บทที่ 11
ครึ่งหลังของคอนเสิร์ตเป็นอย่างไร แทบไม่ได้จารึกอยู่ในสมองของกลางฟ้าเลย ความคิดของเธอเฝ้าวนเวียนอยู่กับมาริชกับจูบที่สองของเขา จนกระทั่งคอนเสิร์ตเลิกและน่านน้ำพาเธอกลับมาส่งที่บ้านก็ยังหยุดคิดเรื่องนั้นไม่ได้สักที
หรือว่าเธอจะต้องมนตร์เสน่ห์ของมาริชเข้าให้ซะแล้ว!
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า กลางฟ้า”
เธอหันไปแล้วเห็นน่านน้ำกำลังมองเธออยู่ สายตาที่มองเธอนั้นดูกังวลและเป็นห่วงในเวลาเดียวกัน หญิงสาวจึงรีบปรับสีหน้าใหม่
“อ๋อ เปล่าๆ... ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าจะบอกมาริชยังไงที่เจอเราสองในคอนเสิร์ต”
“เขายังไม่รู้ใช่ไหมว่าเราสองคนรู้จักกัน”
กลางฟ้าส่ายหน้า แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อก็มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์ดังกระหึ่มมาจากข้างหลัง เมื่อหันไปก็เห็นรถคันใหญ่แล่นตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวจอดที่หน้าบ้าน เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับ ผู้ชายร่างสูงก็เหวี่ยงขาข้ามรถลงมายืนที่พื้น เขาถอดหมวกกันน็อกออก แล้วใบหน้าหล่อเหลาของมาริชก็แทบจะส่งยิ้มให้เธอเดี๋ยวนั้น
“กลางฟ้า”
เสียงของมาริชฟังดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง กลางฟ้ามองรอยยิ้มของเขาแล้วเผลอคลี่ยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว ดวงตาคู่สวยของเขาจับจ้องที่เธออย่างมีความหมายแล้วเดินเข้าตรงเข้ามาหา
ทว่าเมื่อก้าวเท้าเดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว ฝีเท้าของเขาก็ชะงัก ดวงตาแพรวพราวเปลี่ยนไปเป็นสงสัยทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มที่ยืนอยู่เคียงข้างเธอ
“ไอ้น่าน?”
กลางฟ้าชะงักรอยยิ้มตามไปด้วย จริงสินะ นี่เป็นการเผชิญหน้าโดยไม่คาดฝันของผู้ชายสองคนที่ไม่ควรต้องมาเจอกันหน้าบ้านของเธอเลย
หญิงสาวพยายามฉีกยิ้ม ทำใจดีสู้สถานการณ์ว่า “เอ่อ น่านน้ำ มาริช คุณสองคนคงรู้จักกันแล้วสินะ คือว่า...”
“เดี๋ยวก่อน” มาริชตัดบท เขาหันไปมองน่านน้ำ จู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเหมือนไม่เชื่อตาตัวเอง “นี่แกเป็นนักเขียนด้วยเหรอวะ”
“นักเขียนบ้าอะไรของแก” น่านน้ำขมวดคิ้วงุนงง
“เมื่อวานกลางฟ้าบอกว่าวันนี้จะไปดูคอนเสิร์ตกับเพื่อนนักเขียน” เขาหันหน้าไปมองกลางฟ้า “อย่าบอกนะว่าเพื่อนนักเขียนของคุณคือไอ้น่านล่ะ”
“ใช่” กลางฟ้ารีบพูด พร้อมกับที่น่านน้ำส่งเสียงว่า “ไม่ใช่!”
“ตอบกันไปคนละทางแบบนี้ ตกลงยังไงกันล่ะเนี่ย” มาริชยกมือกอดอก
“คือ คือ... เรื่องมันเป็นแบบนี้...” กลางฟ้าพยายามแก้ตัวปากคอสั่น “คือนักเขียน... คือน่าน... อันที่จริง...”
“นี่คุณโกหกผมอีกแล้วใช่ไหม กลางฟ้า” มาริชเริ่มหน้าตึงด้วยความไม่พอใจ
“ปละ เปล่า... คือว่าน่านเป็นนักเขียน... เอ่อ...”
น่านน้ำมองสีหน้าจับผิดของมาริชและหน้าตาตื่นๆ ของกลางฟ้าแล้วนึกหงุดหงิดที่ผู้กองคู่ปรับทำท่าคุกคามข่มเหงเหมือนทุกคนอยู่ใต้อำนาจ ด้วยความหมั่นไส้ น่านน้ำจึงโพล่งออกมาว่า
“แกหยุดซักกลางฟ้าซะทีเถอะ ฉันไม่ใช่เพื่อนนักเขียนของเธอ และฉันก็ไม่เคยเขียนหนังสือด้วย”
“อ้าว แล้วกลางฟ้าเอามาจากไหนว่าแกเป็นนักเขียน” มาริชย้อนถาม
“เอ่อ...” เธอหันไปมองน่านน้ำและส่งสายตาตาเขียวปั้ดใส่เขาที่ไม่รับมุข “ก็ใช่... คือน่าน...”
“พอเถอะ กลางฟ้า มาถึงป่านนี้ผมว่าบอกมาริชตามตรงกันเลยดีกว่า” น่านน้ำหันไปพูดกับเธอตรงๆ
“บอกอะไร”
“บอกว่าผมกำลังจีบคุณน่ะสิ”
เธอกับมาริชถึงกับร้องประสานเสียงกันว่า “อะไรนะ!!”
น่านน้ำหันไปพูดกับกลางฟ้า “ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะ แต่ผมคิดว่าถึงเวลาที่ควรบอกให้เขารู้สักที”
คิ้วเข้มของมาริชขมวดเข้าหากันระหว่างมองทั้งคู่สลับกันไปมา “นี่แก... แกพูดจริงเหรอ”
“จริงสิ ไม่งั้นฉันจะไปมาหาสู่กลางฟ้าอยู่บ่อยๆ ทำไมล่ะ” น่านน้ำพูดหน้าตาเฉย “ฉันว่ามันถึงเวลาที่ต้องพูดความจริงสักที เพราะฉันเบื่อแทนกลางฟ้าที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ อยู่อย่างนี้”
มาริชจ้องหน้าน่านน้ำอยู่หลายวินาทีด้วยความสับสน “เดี๋ยวนะ ถ้าแกจีบกลางฟ้า... แล้วคอนเสิร์ตวันนี้ทำไมแกถึงปล่อยให้ฉัน... ฉันกับกลางฟ้า...”
น่านน้ำส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าแกชื่นชอบและเทิดทูนใครสักคน แกจะไม่อยากล่วงเกินเธอหรอก และอีกอย่าง ฉันกับกลางฟ้ายังไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย ทำอย่างนั้นก็เท่ากับไม่ให้เกียรติเธอสิ”
คำตอบนี้ทำให้ใบหน้าของมาริชชาราวกับถูกตบหน้าซ้ายขวาเพราะเคย ‘ล่วงเกิน’ เธอไปแล้วถึงสองครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยมองว่าน่านน้ำมีอะไรสู้เทียบเคียงผู้กองอนาคตไกลอย่างเขาได้สักอย่าง แต่บัดนี้กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรับบทผู้ร้ายที่คอยจ้องปลุกปล้ำนางเอก และน่านน้ำคือพระเอกสุภาพบุรุษลูกผู้ชายที่ไม่เคยแตะต้องเธอเลยสักครั้งแม้โอกาสเอื้อให้อย่างเต็มที่ก็ตาม
และน่านน้ำก็เดินหน้าทำคะแนนต่ออีก “ฉันรู้เรื่องที่สารวัตรสั่งให้แกคอยเฝ้าติดตามกลางฟ้า เธอไม่กล้าขัดคำสั่งสารวัตรก็เลยต้องแต่งเรื่องโกหกแก แต่ฉันกล้ารับรองเลยว่าทุกครั้งที่พาเธอออกมา ฉันไม่เคยพาเธอไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเลยสักครั้ง และวันนี้ก็แค่อยากพาเธอออกเดทด้วยการไปดูคอนเสิร์ตเท่านั้น ฉะนั้นแกอย่าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องสารวัตรเลยนะ ฉันขอร้อง”
“มะ... ไม่ใช่...” กลางฟ้าอยากตะโกนบอกว่าเธอไม่ได้ไปออกเดทกับน่านน้ำสักหน่อย แต่ใบหน้าของมาริชแสดงออกชัดเจนว่าเชื่อสิ่งที่น่านน้ำพูดเต็มประตู
“ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าไอ้น่านกับคุณ...” เขาส่ายหน้าแล้วยกสองมือขึ้นลูบหน้าผากเหมือนกลุ้มใจหนัก “แย่ชะมัด นี่ถ้าผมรู้สักนิดว่าที่คุณวางแผนหนีผมนั้นมาตลอดก็เพื่อจะได้ออกไปพบกับไอ้น่าน ผมจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของคุณเลย และวันนั้นผมก็คงไม่ดุจนคุณร้องไห้ด้วย”
“เดี๋ยวสิ มาริช คือ...”
“ขอโทษนะ กลางฟ้า ผมขอโทษอย่างมากที่ล่วงเกินคุณวันนี้”
มาริชหันหลังเดินไปจากหน้าบ้านโดยที่ไม่มองกลางฟ้าแม้แต่แวบเดียว ก่อนขึ้นรถ ดูเหมือนเขานึกขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง จึงเหลียวหลังกลับมาพูดว่า
“อ้อ แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องสารวัตรนะ ผมไม่ฟ้องเขาแน่นอน เผลอๆ อาจเป็นเรื่องที่ดีกว่าก็ได้ที่มีคนดูแลคุณแทนผม”
เขาเดินกลับไปที่รถ หยิบหมวกกันน็อกมาสวมปิดหน้าตัวเอง
“มาริช!” กลางฟ้าร้องไล่หลังตามเขา แต่เขาเหวี่ยงขาข้ามเบาะขึ้นคร่อมรถแล้ว เสียงบิดสตาร์ทเครื่องดังกระหึ่มจนกลบเสียงเรียก จากนั้นก็แล่นรถผ่านทั้งคู่ออกไปจากบริเวณนั้น ไม่กี่อึดใจต่อมา ความเงียบสงบก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
“จบๆ ไปสักทีนะ คราวนี้ไอ้มาริชจะได้เลิกตอแยคุณสักที” เสียงของน่านน้ำดังมาจากข้างหลัง
กลางฟ้ายังคงยืนอยู่ที่เดิม จริงด้วยสินะ น่านน้ำเพิ่งพาเธอรอดจากการถูกมาริชสงสัยและดูเหมือนจะเลิกสงสัยไปอีกนานเลยด้วย เธอควรต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด
“กลางฟ้า?” น่านน้ำเรียก “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ... เปล่าๆ” เธอเรียกสติกลับคืนมา “คือ... วันนี้ฉันขอบคุณคุณมากนะน่าน ขอบคุณสำหรับทั้งบัตรคอนเสิร์ต และก็... เอ่อ และแผนของคุณที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์จนฉันรอดตัวจากการถูกมาริชจับผิดได้”
น่านน้ำนิ่งไปอึดใจหนึ่ง “คุณเข้าใจว่ามันเป็นแค่แผนของผมจริงๆ เหรอ”
“ถ้าไม่ใช่แผนของคุณแล้วมันคืออะไรล่ะ” กลางฟ้าถาม ใบหน้าบริสุทธิ์ใจนั้นดูเหมือนไม่เข้าใจอะไรจริงๆ
น่านน้ำพยักหน้าหงึกหงักแล้วคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก เขาพึมพำเพียงแค่ว่าขอตัวกลับบ้านก่อนแล้วเดินออกจากประตูรั้วบ้านของกลางฟ้าอย่างเงียบๆ
ชายหนุ่มกลับเข้าอพาร์ทเมนต์ของตัวเองในอีกสิบห้านาทีต่อมา รู้สึกตัวเองใช้พลังกับเหตุการณ์เมื่อตอนหัวค่ำไปมากเสียจนหมดเรี่ยวแรง แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าห้อง ความเปลี่ยนแปลงในบ้านทำให้เขาลืมทุกอย่างไปทันที
ภายในบ้านสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบกว่าทุกวัน เมื่อเดินไปที่ครัวแล้ว เขาก็เดาได้ตั้งแต่ยังไม่เปิดตู้เย็นว่าจะต้องเจออะไร ภายในตู้ที่เคยชินแต่กับความโล่งหรือไม่ก็เป็นอาหารกินเหลือแช่ทิ้งไว้สำหรับกินมื้อต่อไป บัดนี้เต็มไปด้วยผักสดผลไม้ เค้กจากร้านชื่อดังหนึ่งกล่องวางเบียดกับกล่องใส่อาหารที่เขาเดาว่าน่าจะเป็นขาหมูต้มพะโล้ของโปรด นมกล่องและน้ำผลไม้วางเรียงเป็นตับที่ช่องใส่ขวด เมื่อเปิดช่องแช่แข็ง เขาก็เห็นอาหารกล่องแช่แข็งที่พอเพียงให้เขากินได้เป็นสัปดาห์ วางซ้อนกันจนแทบไม่มีที่ว่าง
เขาเอื้อมมือหยิบโค้กกระป๋องแล้วเปิดดื่มระหว่างเดินไปห้องนอน รอยยิ้มโล่งอกระบายที่ใบหน้าเมื่อเอื้อมมือเปิดตู้ เขาเดาได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเปิดตู้เสื้อผ้าว่า สูทและเสื้อเชิ้ตตัวใหม่เอี่ยม ซักรีดและแขวนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ กลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มโชยออกมาราวกับร้านซักรีด
กระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง เขาหยิบขึ้นมาอ่าน
“ซื้อเสื้อใหม่มาเปลี่ยนให้แล้วนะ หัดกินของดีๆ บ้าง เลิกกินมาม่าสักที เป็นห่วงมากนะ”
น่านน้ำมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยสายตาเปี่ยมรัก เขายิ้มให้กับลายมือสวยเป็นระเบียบนั้นแล้วพึมพำเบาๆ
“ขอบคุณมากนะครับ”
ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนฟุบกับหมอน กลิ่นผ้าปูที่นอนซักเสร็จใหม่ๆ กรุ่นขึ้นมาชวนให้นอนหลับฝันดี
“แกทำบุญมาดีนะ ไอ้น่าน” เขาพูดกับตัวเอง “นางฟ้ามาโปรดทันเวลาพอดี”
กลางฟ้ารู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่ชายหนุ่มผมเกรียนในเครื่องแบบของซีซียูที่แนะนำตัวว่าชื่อดอน มาหาเธอที่โรงเรียนกลอรีในตอนสายของวันจันทร์แทนที่จะเป็นมาริช เขาอธิบายว่าผู้กองมอบหมายให้เขาติดตามไปดูแลความปลอดภัยของเธอกับเด็กนักเรียนตอนออกไปทัศนศึกษาเช้าวันนี้
“แล้วลูกพี่ของคุณไปไหนซะล่ะ”
“กำลังแนะนำโครงการของหน่วยปราบปรามให้กับลูกสาวผู้อำนวยการซีซียู” แล้วรีบเสริมว่า “เป็นภารกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ครับ”
หญิงสาวทำได้แค่พยักหน้ารับ ไม่กล้าแสดงความผิดหวังออกมาทางสีหน้าเพราะรู้สึกว่าพ่อหนุ่มน้อยคนนี้กำลังจับตามองปฏิกิริยาทางใบหน้าของเธอไม่วางตา
ระหว่างนั่งรถตู้ของโรงเรียนเพื่อไปยังสวนสาธารณะ กลางฟ้าแปลกใจตัวเองที่รู้สึกหงุดหงิดที่มาริชไม่ได้ตามมาดูแลเหมือนทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเฝ้าติดตามระวังภัยให้ทุกฝีก้าวราวกับบอดี้การ์ดดูแลเจ้าหญิง เมื่อคืนเธอส่งข้อความบอกเขาว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องพาเด็กนักเรียนไปทัศนศึกษานอกโรงเรียน เขาตอบกลับมาสั้นๆ ว่ารับทราบ แล้วกลายเป็นพ่อหนุ่มหน้าละอ่อนคนนี้มาแทน
รถตู้มาส่งครูซันนีกับนักเรียนมาถึงที่สวนสาธารณะ เธอฝืนใจลืมเรื่องความหมางเมินของเธอกับมาริช แล้วสอนให้เด็กๆ รู้จักพันธุ์ไม้ต่างๆ หลังจากนั้นก็สั่งงานให้ทุกคนเก็บใบไม้มาศึกษาแยกแยะว่าต้นไหนเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวหรือใบเลี้ยงคู่ เมื่อเด็กนักเรียนเริ่มเดินหาใบไม้ เธอก็เดินไปที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ตามลำพัง สายตาคอยจับตามองนักเรียนทำงานแต่หัวใจห่อเหี่ยว
“ครูซันนี ขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”
เสียงถามดังมาจากข้างๆ ทำให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง ชายหนุ่มผมเกรียนลูกน้องของมาริชกำลังยืนมองเธออยู่ ใบหน้าอ่อนวัยนั้นบ่งบอกอายุว่าน่าจะแค่ยี่สิบต้นๆ เผลอๆ จะเด็กกว่าเธอด้วยซ้ำ รอยยิ้มเป็นมิตรทำให้เธอรู้สึกถูกชะตา จึงกระเถิบที่บนม้านั่งตัวยาวให้เขาได้นั่งลงข้างๆ
“หวังว่าครูซันนีจะเข้าใจนะครับว่า บางครั้งคำสั่งจากเบื้องบนเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงยากจริงๆ”
“คำสั่งอะไรจากเบื้องบน” กลางฟ้างงที่เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ก็ที่พี่มาริชมาไม่ได้ไงครับ คำสั่งจากผู้อำนวยการ ถ้าไม่จำเป็น ไม่มีใครอยากปฏิเสธหรอก”
คำพูดของดอนทำให้เธอสบายใจขึ้นมาหน่อย ว่าแต่ไอ้หมอนี่พูดเหมือนอ่านความคิดเธอได้เลย
“ผมว่าไม่น่ามีใครชอบภารกิจนี้นะ แต่ลูกสาวผอ.นี่สิ หล่อนติดพี่ริชแจมาก ผมล่ะสงสารเลย”
กลางฟ้ายังจำฤทธิ์เดชยายคุณหนูเพ็ญนีติ์ในวันนั้นได้ ดูหล่อนจะแค้นเคืองเธอมากที่ได้จูบกับมาริช สงสัยตอนนี้คงพยายามทุกวิธีทางที่จะทำให้เขาชดเชยให้อยู่กระมัง
“ก็ดีแล้วนี่ ลูกพี่เธอก็เหมาะสมกันดีกับลูกสาวผอ.นะ” เธอพยายามไม่พูดน้ำเสียงประชดประชัน
“คุณคิดงั้นเหรอ แต่ผมว่าไหนๆ จะมีแฟนทั้งที ผมอยากให้พี่ริชได้กับผู้หญิงน่ารักกว่านั้นหน่อย ประเภทหน้าใสๆ หน้าตาไม่ต้องแต่งจัด ประกอบอาชีพไร้มลพิษ อย่างเป็นครูสอนเด็กๆ อะไรแบบนี้มากกว่า”
แหม นายดอนนี่ก็เชียร์ลูกพี่เหลือเกิน กลางฟ้าได้ยินแล้วแทบกลั้นยิ้มไม่อยู่
“อ้าว แล้วลูกพี่สุดหล่อของเธอยังไม่มีแฟนอีกเหรอ" เธอแกล้งหลอกถาม
ดอนส่ายหน้าขึงขัง “ลูกพี่ผมไม่มีแฟนมานานมากแล้ว"
“นานมากคือแค่ไหนล่ะ หว่านเสน่ห์แพรวพราวขนาดนั้น คงสามเดือนละมั้ง”
“สามปี”
ดอนพูดเสียงเคร่งขรึมจนกลางฟ้าต้องเชื่อ “สามปี? โห ได้ไงกัน ลูกพี่เธอไม่เฉาตายไปซะก่อนเหรอ”
“ความรักครั้งนั้นมันมีเรื่องน่าสะเทือนใจน่ะ พี่ริชทำใจไม่ได้ไปพักใหญ่ ก็เลยยังไม่มีใคร”
“เรื่องสะเทือนใจอะไรเหรอ”
ดอนทอดสายตาออกไปไกลเหมือนระลึกความหลัง “...เมื่อสามปีก่อน ก่อนถึงวันแต่งงานไม่ถึงเดือน ว่าที่เจ้าสาวของพี่ริชก็ไปจากชีวิตเขาตลอดกาล ตอนนั้นพี่ริชแทบไม่เป็นผู้เป็นคนเลยล่ะ และเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุผลให้พี่ริชสมัครเข้าหน่วยซีซียู และทำงานบ้าบิ่นอย่างไม่กลัวตาย”
กลางฟ้าจ้องดอนนิ่งงัน ไม่อยากเชื่อเลยว่ามาริชที่แสนจะกวนประสาทและเจ้าชู้แพรวพราว เคยมีอดีตที่เลวร้ายขนาดนั้น เธอกำลังจะอ้าปากถามต่อ นักเรียนหญิงคนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องกรี๊ดมาจากต้นไม้ใหญ่ กลางฟ้าตกใจสุดขีดแล้วรีบวิ่งไปดู ปรากฏว่าเป็นงูเขียวตัวหนึ่งกำลังเลื้อยหนีมนุษย์ไปด้วยความตกใจ
หลังจากนั้นเธอก็คอยเฝ้าระวังเด็กนักเรียนจนไม่มีโอกาสได้ถามดอนเรื่องนี้อีก แต่สิ่งที่ได้รับรู้จากเขาทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นมาก หญิงสาวตั้งใจว่าวันนี้เธอจะโทร.ไปหามาริช เผื่อจะมีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน
ความคิดเห็น |
---|