20

บทที่ 19


 

บทที่ 19

“รับของหกโมงเสาร์นี้ ที่จอดรถชั้นใต้ดินของห้างเจริญวาณิชย์”

กลางฟ้าอ่านข้อความนั้นในสมุดที่จดมา เทใจกลับไปกลับมาหลายรอบแล้วว่าจะไปเปิดหน้ากากหนอนซีซียูตัวนั้นพร้อมน่านน้ำ หรือไปงานเลี้ยงซีซียูกับมาริชดี  

แม้ว่าใจเอนเอียงอยากไปกับมาริชมากกว่า แต่นี่เป็นโอกาสเดียวที่จะได้กระชากหน้ากากของหนอนตัวเบ้งของซีซียูได้ และงานแบบนี้ก็มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น

“นี่ มาริช งานนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองให้กับเจ้าหน้าที่ของซีซียูไม่ใช่เหรอ ฉันอยากให้คุณไปสนุกกับพวกเจ้าหน้าที่ด้วยกันมากกว่าต้องมาคอยอยู่กับฉันนะ” เธอคุยโทรศัพท์กับมาริชตอนหัวค่ำของเย็นวันพฤหัส

“ไม่เลย ผมยิ่งกว่ายินดีซะอีก”

“แต่ฉันเพิ่งได้รับงานด่วนจากทางโรงเรียนเมื่อเช้านี้น่ะสิ” เธอพูดพร้อมกับไขว้นิ้วและแอบพึมพำขอโทษมาริชอยู่ในใจที่ต้องโกหกเขาอีกครั้ง “เสาร์นี้ทางโรงเรียนจัดงานสัมมนาทางวิชาการ กว่าจะเสร็จและกินอาหารเย็นร่วมกันก็ปาเข้าไปสองสามทุ่มแล้ว เอาอย่างนี้ดีไหม เราเปลี่ยนมาเป็นเจอกันวันอาทิตย์แทนแล้วไปนั่งคุยกันที่คาเฟ่สักแห่ง หรือที่ร้านอาหารริมแม่น้ำก็ได้ คืนพรุ่งนี้คุณจะได้สนุกกับพวกเจ้าหน้าที่ของซีซียูเต็มที่ได้ไงล่ะ”

เขาเงียบไปสักพักแล้วตัดสินใจว่า “อืม ถ้าคุณไม่ไป ผมก็ไม่ไปดีกว่า กลัวโผล่ไปแล้วถูกสั่งให้ไปเป็นคู่ควงของลูกสาวผอ.ธมกร”

“ถ้าอย่างนั้นเราเปลี่ยนมาเป็นเจอกันวันอาทิตย์นี้แทนนะ”

“โอเคครับ กลางฟ้า เราจะได้นั่งคุยกันเงียบๆ ระลึกความหลังครั้งอยู่ในป่าด้วยกัน”

หลังวางหูแล้ว กลางฟ้าถอนหายใจยาวด้วยอารมณ์สองขั้ว ทั้งมีความสุขกับการเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับชายหนุ่มที่แสนน่ารักและพยายามแสดงออกให้เธอรู้ว่าเขาคิดอย่างไร แต่ยิ่งรู้สึกดีกับเขาแค่ไหน เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเขามากเท่านั้น เธอมองโทรศัพท์ที่วางสายไปแล้วและรำพันกับตัวเอง

“มาริช ฉันขอโทษนะที่ต้องโกหกคุณอีกแล้ว แต่สัญญา... ฉันจะเปิดเผยทุกอย่างให้คุณรู้วันอาทิตย์นี้นี่แหละ”

เมื่อกลางฟ้าตัดสินใจว่าจะคบกับมาริชแล้ว เธอคิดว่าจะต้องไม่มีอะไรปิดบังเขาอีก ทั้งเรื่องการเปิดพบข้อมูลลับในคอมพิวเตอร์ที่บ้านของดอลลี และข้อตกลงระหว่างเธอกับน่านน้ำ หลังจากวันเสาร์นี้ที่กระชากหน้ากากหนอนร้ายตัวนั้นสำเร็จ น่านน้ำก็จะได้ในสิ่งที่เขาต้องการสักที จากนั้นเธอก็จะเลิกยุ่งกับเรื่องนี้โดยเด็ดขาดและยุติการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเขาแต่เพียงเท่านี้ ถึงตอนนั้นแล้ว การเปิดเผยเรื่องทุกอย่างกับวิธูและมาริช ก็จะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดกับน่านน้ำแล้ว

ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอทำ และทำเพื่อชดเชยให้กับน่านน้ำที่รับผิดแทนเธอเท่านั้นจริงๆ

 

                “เราต้องหารถสักคัน ขับไปจอดรอที่ลานจอดรถห้าง จะได้เห็นกันชัดๆ เลยว่าคนในรถวีโก้สีบรอนซ์คือ

ใคร”                

บ่ายวันศุกร์ที่สระเลี้ยงหงส์ในสวนสาธารณะ น่านน้ำกับกลางฟ้านัดเจอกันเพื่อวางแผนกระชากหน้ากากของ

หนอนตัวนั้นในวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่เห็นพ้องต้องกันว่าจะซ่อนตัวอยู่ในที่จอดรถของห้างระหว่างรอรถวีโก้สีบรอนซ์ขับเข้ามา

“แต่นี่มันบ่ายวันศุกร์แล้ว ถ้าจะเช่ารถ เราต้องรีบแล้วนะ” กลางฟ้าช่วยออกความเห็นเมื่อรู้ว่าน่านน้ำไม่มีรถนอกจากมอเตอร์ไซค์ผุๆ คันนั้น

                “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมหารถมาเอง พรุ่งนี้ผมจะมารับคุณที่บ้านตอนห้าโมงเย็น แล้วเราจะจอดรอที่ลานจอดรถของห้างก่อนที่พวกมันมาถึง”

                “ถ้าเรารู้แล้วว่าเขาเป็นใคร คุณจะทำยังไงต่อ ตรงเข้าไปจับเขาเลยหรือเปล่า”

                “เราไม่มีหลักฐานมากพอที่จะจับเขาได้ แค่ข้อความในแชทมันไม่พอหรอก แต่ขอให้รู้เท่านั้นว่าเขาเป็นใคร แล้วผมจะหาหลักฐานมัดตัวมันให้ได้ โดยอาศัยข้อมูลที่ผมได้จากสายข่าวของผมกับของคุณ”

                ความคาดหวังของน่านน้ำทำให้เธอไม่สบายใจ ตอนแรกเธอตั้งใจจะบอกยุติการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหลังจากรู้แล้วว่าหนอนซีซียูเป็นใคร แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว บอกเขาไปตอนนี้เลยดีกว่า

“น่าน ฉันอยากจะบอกคุณว่าฉันจะทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ”

                เขาเลิกคิ้วมองเธอด้วยความแปลกใจ “ทำไมล่ะ”

                “เหตุการณ์หลงป่าครั้งนี้ทำเอาทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด ทั้งหมดก็แค่สนองตัณหาส่วนตัวของฉันเท่านั้น และอีกอย่าง ฉันไม่อยากต้องมีความลับปกปิดกับ... เอ่อ กับทุกคนน่ะ”

เธออยากพูดชัดๆ ไปเลยว่าทุกคนที่ว่าก็คือวิธูกับมาริช แต่ตัดสินใจว่าอย่าดีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอที่น่านน้ำไม่จำเป็นต้องรู้ เผลอๆ เขาอาจไม่ได้สนใจอยากรู้ถึงขนาดนั้นด้วย

                “จริงเหรอกลางฟ้า” สีหน้าของเขาผิดหวังอย่างรุนแรงจนถึงกับซึมไปทันที เธอมองเขาแล้วนึกสงสารจับใจ เริ่มลังเลว่าควรช่วยเขาต่อดีหรือเปล่า แต่เธอรู้ตัวดีว่าควรต้องหยุดเรื่องนี้ได้แล้ว

“น่าน ฉันเริ่มรู้ทุกอย่างมากเกินไปแล้ว ฉันควรต้องหยุดสักที”

                ปกติน่านน้ำเป็นคนที่ไม่แสดงออกทางสีหน้าสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาทำหน้าเหมือนเด็กหลงทางที่ไม่รู้จะไปทางไหนดี

                “ฉันขอโทษนะน่าน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าทำให้ฉันสำนึกได้ว่ากำลังพัวพันอยู่เรื่องที่ยุ่งเหยิงที่บานปลายใหญ่เข้าไปทุกที แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะช่วยคุณเป็นครั้งสุดท้ายด้วยการบอกรายละเอียดทั้งหมดของแหล่งข่าวลับให้คุณรู้ หลังจากนั้นคุณก็ไปหาทางล้วงข้อมูลจากแหล่งข่าวนั้นเอาเอง”

                แววตาของชายหนุ่มดูมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย               “คุณจะยอมบอกแหล่งข่าวคนนั้นให้ผมรู้หรือว่าเขาคือใคร”

                “ใช่ ฉันจะบอกคุณทีเดียวพร้อมกับพาไปดูสถานที่ที่ฉันไปได้ข่าวพวกนั้นมา รวมถึงวิธีการที่ได้ข้อมูลทั้งหมดด้วย สัปดาห์หน้าหลังจากที่เราจับหนอนซีซียูได้แล้วฉันจะพาคุณไป แล้วหลังจากนั้นฉันจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้อีก ต่อให้คุณขอร้องก็ตาม”

คนที่ชื่อลามูน... เขาคือคนร้าย เขาเป็นคนขององค์กรเดือนลับ เขาลักลอบค้ายาเสพติดและอาจกระทำเรื่องผิดกฎหมายอื่นๆ อีกก็ได้ ต่อให้เขาคนนั้นเป็นพ่อ แม่ หรือผู้ปกครองของนักเรียนของเธอ แต่ในเมื่อเขาทำผิด ในฐานะพลเมืองดีคนหนึ่งอย่างเธอจึงไม่ควรเพิกเฉยต่อความชั่วร้าย

      

                บ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์ กลางฟ้าเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการไปกระชากหน้ากากหนอนบ่อนไส้ซีซียู เสียงออดดังที่ประตูหน้าบ้านตอนห้าโมงเย็นสองครั้ง เธอชะโงกหน้ามองผ่านกระจกของประตูบ้าน เห็นใบหน้าของน่านน้ำกำลังส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือเรียก

กลางฟ้าเดินไปเปิดประตูบ้านให้เขา

“คุณได้รถมาแล้วเหรอ” เธอมองไปที่รถสีน้ำเงินเข้มที่จอดอยู่ริมรั้วหน้าบ้าน ในใจแอบลุ้นพร้อมกับคาดเดาไปด้วยว่าเขาจะเช่ารถบุโรทั่งอะไรมารับเธอไปจับผู้ร้ายคืนนี้ 

เขาพยักหน้าแล้วเดินนำเธอออกจากประตูรั้วไปที่รถคันนั้น “ไปกันเถอะ”  

กลางฟ้าเดินตามเขาจากบ้าน น่านน้ำกดปุ่มรีโมทกุญแจรถในมือ แล้วไฟหน้ารถของรถคันนั้นก็สว่างวาบ เขาเดินอ้อมไปที่ประตูฝั่งผู้โดยสารของรถคันนั้นแล้วเปิดประตูให้เธอ

ตอนที่เดินไปขึ้นรถ เธอก็เหลือบมองสัญลักษณ์วงกลมที่มีดาวสามแฉกตรงหน้ากระโปรงรถสีกรมท่าแล้วถึงกับตาค้าง เธอเดินกลับไปที่หน้ารถแล้วก้มลงมองมันชัดๆ

“น่าน! คุณถึงกับต้องเช่ารถเบนซ์มาเลยเหรอ” เธอร้อง

เท่านั้นไม่พอเมื่อสายตาเหลือบเห็นป้ายทะเบียนหน้ารถเลข 7777

“ไม่จริง! นั่นป้ายทะเบียนเลขสวยอีกต่างหาก เราแค่ไปจับผู้ร้ายนะ ต้องลงทุนขนาดนี้เลยเหรอ”

ชายหนุ่มอมยิ้ม “ผมไม่ได้เช่า ผมยืมเพื่อนมา พอดีเพื่อนคนนี้เป็นเศรษฐีมีรถหลายคัน ก็เลยขอคันที่เก่าหน่อยมายืมขับ”

                “นี่ขนาดเก่าหน่อยนะเนี่ย” กลางฟ้าเกาหัวระหว่างย่อตัวลงมองรถเงาวับและล้อแมกซ์เป็นประกายแทบส่องเม็ดสิวที่หน้าได้ “อยากเห็นจังว่าไอ้คันใหม่ล่าสุดจะขนาดไหน”

น่านน้ำได้แต่อมยิ้มและไม่พูดอะไร เขาเดินอ้อมไปนั่งหลังพวงมาลัย จากนั้นก็ขับมุ่งหน้าตรงไปยังชั้นจอดรถใต้ดินของห้างเจริญวาณิชย์ ห้างนี้เป็นห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ของเมืองที่ก่อสร้างตามแบบสมัยเก่า นั่นคือเป็นห้างขนาดเล็ก มีที่จอดรถใต้ดินขนาดไม่ใหญ่นัก กะด้วยสายตาแล้วน่าจะจอดรถได้ไม่เกินห้าสิบคัน ดังนั้นแค่กวาดตามองคร่าวๆ ก็สามารถมองเห็นรถทุกคันในที่จอดรถ

ทั้งคู่ตัดสินใจเลือกที่จอดรถริมกำแพงด้านในสุดที่หันหน้ามองออกได้ทั้งลานจอดรถ กลางฟ้าตื่นเต้นเสียจนแทบนั่งไม่ติดเบาะรถ หลังจากจอดรถได้เกือบสิบห้านาที น่านน้ำก็สะกิดแขนของกลางฟ้าเบาๆ

“มีวีโก้สีบรอนซ์มาคันนึง”

รถกระบะวีโก้สีบรอนซ์แล่นช้าๆ เข้ามาในลานจอดรถ กลางฟ้าตื่นเต้นจนเกือบลืมหายใจ ระหว่างที่แล่นตรงเข้ามาเรื่อยๆ จู่ๆ ก็มีไฟหน้าของรถคันหนึ่งกะพริบสามครั้งใส่รถวีโก้

มันเป็นรถตู้สีดำ จอดอยู่ที่แถวกลางของลานจอดรถ ห่างจากบริเวณที่น่านน้ำจอดไปสักสิบเมตร

“รถตู้สีดำ... มันส่งสัญญาณแล้ว”

รถวีโก้แล่นผ่านรถตู้สีดำจนเกือบมาถึงฟากที่น่านน้ำจอดอยู่ มันถอยจอดเข้าซองอย่างดี อึดใจต่อมา ก็มีชายร่างท้วมเปิดประตูออกพร้อมกับผู้หญิงหุ่นใกล้เคียงกัน แล้วพากันเดินหายเข้าไปในห้าง

“ไม่ใช่” น่านน้ำดูเหมือนผ่อนคลายลง “แต่ทีนี้เราก็รู้แล้วว่ามันนัดกับรถตู้สีดำคันนั้น”

กลางฟ้าจ้องรถตู้คันนั้นเขม็ง รอคอยว่าเมื่อไหร่จะส่งสัญญาณอีกครั้ง

สิบนาทีต่อมา รถวีโก้สีบรอนซ์อีกคันก็แล่นเข้ามาในที่จอดรถ กลางฟ้ากับน่านน้ำแทบไม่หายใจเมื่อเห็นรถตู้เปิดไฟกะพริบใส่รถวีโก้อีกครั้ง

                รถวีโก้คันใหม่ขับเลยรถตู้คันนั้นไป มันแล่นตรงเข้ามาเรื่อยๆ มาทางรถเบนซ์ของน่านน้ำที่จอดหันหน้าออกไปทางลานจอดรถ ตอนที่วีโก้แล่นมาตรงหน้า กลางฟ้าเห็นกระจกรถนั้นดำสนิทจนมองไม่เห็นอะไรเลย จากนั้นก็เลี้ยวผ่านหน้าไปแล้วแล่นอ้อมไปบริเวณจอดรถแถวกลางลาน

                เธอกำลังจะถอนหายใจเมื่อเห็นว่าคงไม่ใช่รถวีโก้คันนี้ ปรากฏว่ามันถอยจอดในช่องจอดที่หันท้ายตรงกับรถตู้คันนั้นพอดี

                “หรือว่าจะเป็นคันนี้” น่านน้ำกระซิบราวกับกลัวว่าคนในรถวีโก้จะได้ยิน

                กลางฟ้าตื่นเต้นจนมือเปียกเหงื่อไปหมดระหว่างรอลุ้นให้คนในรถเปิดประตูออกมา ทั้งลานจอดรถตกอยู่ในความนิ่งงัน ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เป็นเวลาเกือบครึ่งนาที

                ในที่สุด ก็มีความเคลื่อนไหวบางอย่างจากรถตู้ กลางฟ้ากับน่านน้ำมองเห็นผู้ชายวัยฉกรรจ์รูปร่างสันทัด สวมแจ็กเก็ตดำกับสวมแว่นกันแดดสีชาเดินอ้อมท้ายรถตู้ออกมา เขาตรงไปที่ประตูคนขับของรถวีโก้สีบรอนซ์คันนั้น แล้วยื่นหน้ามองเข้าไปในกระจกรถ

“ใช่วีโก้คันนี้จริงๆ ด้วย เขากำลังจะออกมาแล้ว!” กลางฟ้าเกือบลืมไม่หายใจด้วยความลุ้นระทึก ปลายนิ้วเย็นเฉียบระหว่างรอคอยหนอนซีซียูเผยโฉม วินาทีนี้เธอจะไม่ปล่อยให้หนอนตัวนั้นคลาดสายตาเป็นอันขาด

น่านน้ำเผลอกำรอบพวงมาลัยรถเสียจนข้อมือกลายเป็นสีขาวซีด เขาจดจ้องไปที่หน้าต่างรถวีโก้ที่เลื่อนลงช้าๆ

ทั้งน่านน้ำและกลางฟ้ากลั้นหายใจพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว

แต่แล้วหน้าต่างก็หยุดเลื่อนลงเมื่อช่องหน้าต่างเปิดกว้างลงมาแค่ครึ่งฟุต

                คนขับรถตู้โน้มตัวลงเพื่อจ่อใบหน้าไปที่ช่องนั้น เขาพูดบางอย่างกรอกลงไป นิ่งรอสักครู่เหมือนฟังอีกฝ่ายตอบโต้ แล้วคนขับก็พูดบางอย่างกลับไปอีกครั้ง

คนในรถวีโก้ยื่นกระเป๋าเอกสารออกมาจากช่องหน้าต่าง กลางฟ้าแทบไม่รูปลักษณ์สัณฐานของคนในรถเลย แค่เห็นว่าสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน แล้วหน้าต่างก็เลื่อนปิดทันที

คนขับรถตู้ยืดตัวตรง กระชับกระเป๋าในมือ แล้วเดินตามสบายกลับไปที่ประตูรถตู้ของตัวเอง จากนั้นก็ก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไปจากลานจอดรถของห้าง

                “อย่านะ...” น่านน้ำกระซิบแทบไม่หายใจ

                กลางฟ้าไม่เข้าใจว่าเขาพูดแบบนั้นทำไม แต่แล้ววินาทีต่อมาเธอถึงได้เข้าใจเมื่อเห็นรถวีโก้เริ่มหักเลี้ยวออกจากช่องจอด

“อ้าว! เฮ้ย!  อย่าเพิ่งรีบไปสิ!”

อึดใจต่อมา รถวีโก้สีดำก็แล่นออกจากช่องจอด น่านน้ำสบถเสียงกร้าวพร้อมกับตบพวงมาลัยอย่างหัวเสีย

“แม่ง! มันไม่ลงรถมาเลย!”

“เอาไงดีน่าน เราจะตามมันไปไหม”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาเลื่อนเกียร์ลงมาเป็นตัว D รอจนรถวีโก้เลี้ยวลงบนทางวนลงที่จอดรถ เขาก็บึ่งรถตามไปทันที

 

เมื่อออกสู่ถนนใหญ่แล้ว น่านน้ำไม่กล้าแล่นรถเบนซ์ไปจ่อประชิดติดท้ายรถวีโก้ เขาปล่อยให้รถสีบรอนซ์แล่นนำห่างไปราวสามคันแล้วขับตามโดยไม่ปล่อยให้คลาดสายตา ค่อยยังชั่วที่การจราจรในเมืองค่อนข้างคับคั่ง น่านน้ำจึงแล่นตามรถวีโก้คันนั้นได้โดยที่ไม่เป็นที่สังเกต

กลางฟ้าไม่รู้ตัวเลยว่ากัดเล็บจนกุดไปแล้วทั้งสิบนิ้วระหว่างที่น่านน้ำตรึงมือกับพวงมาลัยแน่นเพื่อขับตามวีโก้ไปอย่างระมัดระวังไม่ให้คลาดสายตา

เธอชะโงกหน้ามองจนเห็นตัวเลขป้ายทะเบียน “ฉันเห็นทะเบียนเลขท้ายสองตัวเป็นเลข 47”

ในที่สุด รถคันนั้นก็เลี้ยวออกจากถนนสายนั้นแล้วมุ่งหน้าสู่ถนนอีกเส้นที่การจราจรบางตากว่า น่านน้ำพยายามแล่นตามหลังรถใหญ่อีกคันเพื่อเป็นที่กำบังสายตา แต่คอยชะเง้อมองตามท้ายรถของวีโก้ หลังจากวิ่งไปได้เกือบสิบห้านาที ไฟเลี้ยวของรถวีโก้ก็กะพริบเพื่อเตรียมตัวเลี้ยวซ้ายเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง

                น่านน้ำเปิดไฟเลี้ยวตาม เขาปล่อยให้วีโก้เลี้ยวเข้าไปที่ทางเข้าขนาดใหญ่ไปก่อน เมื่อรถเบนซ์แล่นไปถึงหน้าทางเข้า เขาก็เหลือบมองป้ายตัวอักษรโลหะสีเงินบนกำแพงหินแกรนิต เขียนว่า

                “โรงแรมเดอะ วัน”

น่านน้ำรีบบึ่งรถตามไป เห็นไฟท้ายแว่บๆ ของรถวีโก้ผลุบขึ้นที่จอดรถ เขารีบขับตามไป แต่พอวิ่งขึ้นไปถึงชั้นถัดมา รถเก๋งคันหนึ่งก็วิ่งแทรกตรงหน้าของเขาพอดี น่านน้ำเบรกตัวโก่งพร้อมกับตบแตรลั่น

กลางฟ้ากระทืบเท้าอย่างหัวเสีย “ปั๊ดโธ่ ไอ้รถบ้า! เข้ามาแทรกตอนนี้ทำไมเนี่ย!”

รถขับวนขึ้นไปเรื่อยๆ ดูเหมือนที่จอดรถแต่ละชั้นเต็มจนไม่มีที่ว่างเหลือเลย เจ้าหน้าที่คอยโบกไล่ให้ขึ้นไปยังชั้นถัดไป น่านน้ำพยายามชะเง้อมองข้ามรถเก๋งคันหน้า แต่ทางขึ้นที่จอดรถที่หมุนวนขึ้นไม่เอื้อให้เขามองข้ามคันหน้าไปยังรถวีโก้ได้เลย

“ให้ตายสิ! มันเลี้ยวเข้าจอดที่ชั้นไหนหรือยังก็ไม่รู้” น่านน้ำพยายามชะเง้อคอมองอย่างร้อนใจ

“แต่ยามโบกไล่ขึ้นไปทุกคันเลยนะ หวังว่าไอ้วีโก้นั่นก็คงยังไม่ได้จอดเหมือนกัน” กลางฟ้าตั้งข้อสังเกต

ในที่สุดรถก็แล่นลงมาถึงชั้นบนสุดที่ยามโบกให้เข้าจอดได้สักที น่านน้ำเลี้ยวเข้าชั้น 4C  ตามหลังรถคันหน้าที่แล่นอืดเป็นเต่า เมื่อเข้ามาในลานจอดรถแล้ว เขาก็มองไม่เห็นรถวีโก้สีบรอนซ์อีกเลย

“แม่งเอ๊ย! คลาดจากมันจนได้!” น่านน้ำทุบกำปั้นรัวๆ ใส่พวงมาลัยด้วยความหงุดหงิด

“น่าน! นั่นไง มันจอดอยู่ตรงโน้น!” กลางฟ้าชี้ไปที่หัวรถวีโก้สีบรอนซ์ ทะเบียนที่ลงท้ายด้วยเลข 47  จอดเข้าซองเรียบร้อย น่านน้ำไม่เสียเวลาหาที่จอดรถแล้ว เขาหักหัวรถเข้าจอดซ้อนคันแล้วกระชากกุญแจรถออก ทันทีที่พุ่งออกมาจากรถเบนซ์ เขาก็พุ่งปราดเข้าไปที่รถวีโก้ ยื่นหน้ามองทะลุกระจกรถ

ภายในนั้นมีแต่ความว่างเปล่า

“มันออกไปแล้ว!”

แล้ววินาทีนั้น กลางฟ้าก็เหลือบมองไปที่ประตูทางเข้าโรงแรมที่แง้มเปิดออกพอดี น่านน้ำหันไปมองตาม

ไหล่กว้างของชายในสูทสีน้ำเงินผลุบหายเข้าไปในประตู ยังไม่ทันได้เห็นรายละ เอียดมากกว่านั้น ประตูบานนั้นก็ปิดตามหลังอย่างรวดเร็ว

“ตามมันไปเร็ว!” เขาพูดพร้อมกับวิ่งตรงไปยังตัวโรงแรม กลางฟ้ารีบวิ่งตามไปอย่างกระชั้นชิด รถคันหนึ่งแล่นเข้ามาแล้วบีบแตรลั่นเมื่อเห็นสองหนุ่มสาววิ่งข้ามถนนโดยไม่มีแม้แต่เหลียวมองซ้ายขวา เสียงเบรกเอี๊ยดและเสียงแตรทำให้ทั้งคู่ชะงักและปล่อยให้รถแล่นผ่านไปก่อน จากนั้นน่านน้ำก็วิ่งนำไปที่ประตูเข้าโรงแรมอย่างรวดเร็วโดยมีกลางฟ้าวิ่งตามมาติดๆ

เปิดประตูเปิดออกไปเป็นโถงหน้าลิฟท์ของชั้นสี่ ทว่าบัดนี้มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีใครยืนรอลิฟท์เลยสักคน

“ทำไงดี” ทั้งคู่หันหน้ามองกันอย่างร้อนรน

แล้วตอนนั้นน่านน้ำก็เห็นป้ายประชาสัมพันธ์ข้างลิฟท์ เป็นกระดาษสีขาวพิมพ์ด้วยอักษรสีดำ ตั้งอยู่บนสแตนด์ทองเหลืองเขียนว่า

“งานเลี้ยงซีซียู ห้องบอลรูม ชั้นแอล”

“มันกำลังจะเข้าไปในงาน!!” น่านน้ำเงยหน้ามองตัวเลขด้านบนลิฟท์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนหยุดที่ชั้นแอลหรือชั้นล็อบบี้ กลางฟ้าเม้มปากด้วยความเจ็บใจที่ทำเป้าหมายหลุดมือ แล้วตอนนั้น ลิฟท์อีกตัวก็เปิดประตูรับทั้งคู่พอดี

“ถ้ามันเข้าไปในงานได้ เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามันเป็นใคร”

ทั้งคู่กระโจนเข้าไปพร้อมกันทันที น่านน้ำกดปุ่มปิดแล้วรีบกดชั้นแอลย้ำๆ หลายๆ ครั้งราวกับช่วยให้ลิฟท์แล่นเร็วขึ้น หลังจากรอคอยยาวนานเหมือนชั่วชีวิต ในที่สุดประตูลิฟท์ก็เปิดออกสู่ชั้นล็อบบี้ สองหนุ่มสาววิ่งแหวกผ่านบรรดาแขกและเจ้าหน้าที่ของโรงแรมเพื่อตรงเข้าไปในห้องบอลล์รูมที่กำลังจัดงานเลี้ยงของซีซียู

ที่หน้าประตูทางเข้าห้องบอลล์รูม เจ้าหน้าที่ซีซียูในชุดสูทสากลสองสามคนกำลังยืนต้อนรับอยู่หน้าเครื่องตรวจอาวุธ น่านน้ำพากลางฟ้าวิ่งฝ่าเข้าไป แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยกแขนขวางชายหนุ่มไว้

“ตรวจอาวุธก่อนครับ”

ทั้งสองคนแทบกระทืบเท้าเร่าระหว่างมองไปที่ประตูทางเข้าห้องบอลล์รูม ป่านนี้ผู้ชายในชุดสูทสีน้ำเงินเดินกลมกลืนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

กลางฟ้าผ่านการตรวจอาวุธภายในเวลาไม่กี่วินาที น่านน้ำตะโกนตามหลังเธอไป

“คุณเข้าไปก่อนเลย!” น่านน้ำชี้นิ้วไปที่ประตู เธอไม่เสียเวลาฟังเสียงของเจ้าหน้าที่อีกคนที่ขอให้ลงทะเบียน แล้ววิ่งพุ่งเข้าไปในงานทันที

น่านน้ำแทบกระชากคอเสื้อเจ้าหน้าที่ที่ตรวจอาวุธขึ้นมาเขย่าด้วยความร้อนอกร้อนใจ หลังจากใช้เวลาราวสิบห้าวินาที เขาก็ผ่านการตรวจได้ในที่สุด ตอนที่เตรียมจะวิ่งปราดเข้าไปในงานตามหลังกลางฟ้า สายตาก็สะดุดกับบางอย่างที่ด้านหลังโต๊ะลงทะเบียน

กล้องวิดีโอบนขาตั้งเครื่องหนึ่งกำลังบันทึกภาพคนที่เข้ามาในงาน ความคิดบางอย่างแล่นวูบเข้ามาในสมองอย่างรวดเร็ว เขาปราดเข้าไปคว้ากล้องออกมาจากขาตั้ง

“เฮ้ย นั่นทำอะไรน่ะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนคุมกล้องยืนงงที่น่านน้ำดึงกล้องออกไปจากที่ตั้ง

เขาไม่ตอบ รีบกดปุ่มย้อนหลังกลับไปก่อนหน้าเขากับกลางฟ้า

แล้วภาพที่เห็น... ผู้ชายสวมสูทสีน้ำเงินคนนั้นกำลังเดินออกจากที่ตรวจอาวุธแบบเดียวกับที่เขาเดินออกมาเมื่อสักครู่... ใบหน้าของชายคนนั้น มองเห็นชัดเจนว่าเป็นใคร

ภาพใบหน้านั้นทำให้เขาถึงกับถือกล้องค้างอยู่อย่างนั้น

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น