บทที่ 20
กลางฟ้าก้าวเท้าผ่านประตูไม้บานคู่ที่เปิดออกสู่ห้องบอลรูมของโรงแรม เผยให้เห็นแขกเหรื่อเดินขวักไขว่ภายในห้องนั้น หญิงสาวยืนหันซ้ายหันขวาอยู่หน้าประตูจนผมยาวสะบัด สับสนว่าจะตามหาเป้าหมายรายนั้นอย่างไรดี ภายในห้องกว้างตรงหน้าเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ชายหญิงของศูนย์ซีซียู บางคนจับกลุ่มกันพูดคุยพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ บ้างก็ยืนเกาะกลุ่มพูดคุยกันอยู่ข้างโต๊ะค็อกเทลที่ตั้งกระจายทั่วห้อง เธอพยายามมองหาผู้ชายสวมสูทสีน้ำเงินแล้วก็ต้องแทบเข่าทรุดด้วยความท้อแท้เมื่อมองไปเห็นแต่คนสวมสูทสีเดียวกันนี้เกือบค่อนงาน แม้มีสีเทากับสีดำบ้างประปราย
“กลางฟ้า” เสียงเรียกของน่านน้ำมาจากข้างหลัง เธอมองเขาเดินก้าวยาวๆ ตรงเข้ามายืนเคียงข้าง สายตาของชายหนุ่มกวาดมองทั่วห้องไปยังเหล่าเจ้าหน้าที่ซีซียูที่ส่วนใหญ่สวมสูทสีน้ำเงินแทบเหมือนๆ กันไปหมด จนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสืบเสาะจากคนไหนดี
“เราจะหาหมอนั่นยังไงดีล่ะ มีแต่คนใส่สูทสีน้ำเงิน...” เธอเงยหน้าขึ้นพูดกับเขาด้วยเสียงร้อนรน
แต่น่านน้ำกลับกวาดมองทั่วห้องด้วยสายตาสงบนิ่ง ความตื่นเต้นเลือนหายไปจากใบหน้าหมดแล้วจนดูแตกต่างจากเมื่อสักครู่ในที่จอดรถเป็นคนละคน เขาละสายตาจากคนในห้องนั้นแล้วก้มลงกระซิบบอกเธอ
“ไม่น่าจะหาตัวเขายากแล้วล่ะ”
หญิงสาวขมวดคิ้วมองหน้าเขา “ทำไมล่ะ คุณเห็นเหรอว่าเขาเป็นใคร”
เขาลดเสียงลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ “ผมเห็นเขาแล้ว... เมื่อกี้ผมเปิดดูกล้องวิดีโอที่หน้างาน เห็นเขาเข้ามาก่อนเราแค่ไม่กี่นาที”
กลางฟ้ายกมือทาบปิดปากด้วยความตื่นเต้น เธอกำลังจะถามว่าเขาเห็นใคร แล้วตอนนั้นสายตาก็พลันสะดุดกับชายหนุ่มในชุดสูทสีน้ำเงินคนหนึ่งอยู่ตรงหน้าห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร เขากำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะค็อกเทล บริกรคนหนึ่งถือถาดเครื่องดื่มเดินผ่าน เขาเรียกให้หยุดแล้วเอื้อมมือหยิบแก้วไวน์จากถาดยื่นส่งให้ผู้หญิงผมเรียบตรงเป็นไม้บรรทัดที่เกาะแขนข้างหนึ่งของเขา เมื่อผู้หญิงคนนั้นรับแก้วแล้ว เขาก็หยิบไวน์อีกแก้วให้ตัวเอง
ชายหนุ่มคนนั้นยกไวน์ขึ้นจิบ ใบหน้าด้านข้างคมคายได้สัดส่วนที่รับกันอย่างเหมาะเจาะตั้งแต่หน้าผาก จมูกและคางบึกบึนแข็งแรง ขนตางอนหนาเป็นแพเห็นเด่นชัดตัดกับพื้นผนังสีขาวสว่างวาบจากจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่บนเวที หญิงสาวผมตรงเรียบเป็นไม้บรรทัดพยายามเกาะเกี่ยวแขนของเขาอยู่ตลอดเวลา เขาหันไปตอบเธอเป็นบางครั้งเมื่อถูกหล่อนซัก แต่สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าเบื่อหน่าย
แล้วตอนนั้น ราวกับมีบางอย่างกระตุ้นให้เขาหันหน้ามา แล้วสายตาคู่นั้นก็สะดุดนิ่งงันเมื่อหันไปเห็นกลางฟ้ายืนห่างออกไปไม่กี่เมตรท่ามกลางผู้คนในงานที่เดินสวนกันไปมา
สายตาฉงนคู่นั้นมองเธอราวกับจำไม่ได้อยู่ชั่วอึดใจ
แวบแรก แววตาของเขาเหมือนมีประกายลิงโลดด้วยความยินดีที่ได้เจอเธอจนมีรอยยิ้มที่มุมปาก แต่เมื่อเบนสายตาไปมองผู้ชายอีกคนที่มากับกลางฟ้า รอยยิ้มเจื่อนจางเลือนไปจากใบหน้าของเขาทันที แววตาเป็นประกายของเขาหม่นลงจนเป็นกลายเป็นมืดทะมึน จนในที่สุดสีหน้ายินดีก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยและเย็นชา
เขายืนนิ่งอยู่พักหนึ่งเหมือนรวบรวมความคิด จากนั้นก็เดินผละจากหญิงสาวผมตรงยาวคนนั้นเข้ามาช้าๆ จนในที่สุดเขาก็ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ สายตาเย็นชาจดจ้องกลางฟ้านิ่งงัน
“ไหนบอกว่าติดงาน มาไม่ได้แล้วไม่ใช่เหรอ” มาริชถามเสียงกระด้าง “แล้วทำไมโผล่มากับไอ้น่านได้ล่ะ”
“ก็... ก็คุณบอกว่าถ้าฉันไม่มา คุณก็ไม่มาเหมือนกัน...”
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง แต่วูบหนึ่งเธอเห็นแววตาสลดที่ทำให้หัวใจของเธอรวดร้าวตามไปด้วย เขายืนจ้องเธออยู่สองสามอึดใจ เหลือบตามองน่านน้ำทีหนึ่งก่อนหันหลังเดินผละไปจากตรงนั้น
“มาริช ไปไหนคะ... รอเพนนีด้วย”
กลางฟ้ามองเห็นแต่ผมยาวตรงของผู้หญิงที่เป็นคู่ควงของมาริชสะบัดพรืดตามหลัง แล้วหล่อนก็เดินไปจากบริเวณนั้นพร้อมกับเขา
น่านน้ำมองสลับไปมาระหว่างหลังของมาริช กับใบหน้าสับสนและซีดเผือดของกลางฟ้า จนต้องก้มหน้าลงเรียกเธอ
“กลางฟ้า คุณไม่สบายหรือเปล่า หน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเหมือนเพิ่งได้สติ แล้วรีบยกมือเสยผมหน้าม้าและทัดผมที่รุงรังอยู่ที่แก้มไว้หลังหู “อ๋อ คงตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ”
“ดื่มอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวผมไปเอาน้ำส้มมาให้”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วพยักหน้าถี่ๆ “ก็ดีเหมือนกัน รบกวนหน่อยนะ”
น่านน้ำยังคงมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง เขาหวนนึกถึงใบหน้าของชายชุดน้ำเงินในกล้องวิดีโอที่เพิ่งเห็นเมื่อสักครู่ แล้วรู้สึกหนักใจขึ้นมาว่าควรจะบอกเธออย่างไรดี
“กลางฟ้า มีเรื่องสำคัญบางอย่างผมต้องเล่าให้คุณฟัง เราไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกันนะ ตรงนี้คนเยอะเกินไป” เขาชะเง้อมองไปรอบๆ ห้องบอลรูมแล้วมองเห็นระเบียงที่อยู่สุดปลายห้อง “คุณออกไปรอผมที่ระเบียงตรงฟากโน้น ผมจะไปหยิบน้ำส้มมาให้คุณแล้วเดี๋ยวตามออกไป”
กลางฟ้าเลื่อนประตูกระจกบานเลื่อนตรงปลายห้องบอลรูมที่เปิดออกไปเป็นระเบียงขนาดใหญ่ ทิวทัศน์ในยามค่ำคืน มองเห็นเพียงแสงไฟระยิบระยับในเมืองเท่านั้น สายลมอ่อนโชยเบาๆ บนใบหน้า เธอหลับตาเพื่อให้ความเย็นและอ่อนโยนที่พัดผ่านผิวช่วยให้สบายตัวขึ้น
แต่เธอไม่สบายใจเลย แววตาโกรธจัดของมาริชคู่นั้นแสดงออกชัดเจนว่ากำลังเข้าใจผิดอย่างแรง แล้วเธอก็ไม่รู้จะอธิบายกับเขาอย่างไรด้วยนี่สิ
“ผมมองคุณผิดไปจริงๆ”
หญิงสาวสะดุ้ง เธอหันควับไปทางต้นเสียง เห็นมาริชในชุดสูทตัดเย็บอย่างดีสีน้ำเงินเดินล้วงกระเป๋ากางเกงก้าวช้าๆ ออกมาที่ระเบียงด้านนอกโรงแรม ใบหน้าบูดบึ้งจนริมฝีปากคว่ำบ่งบอกอารมณ์ของเขาในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี
“มองฉันผิดเรื่องอะไร” กลางฟ้าหันไปถาม
เขาเค้นรอยยิ้มขึ้งเครียดบนใบหน้า เดินเข้ามายืนข้างเธอและเกาะราวระเบียงที่มองออกไปเป็นทิวทัศน์ยามเย็นย่ำของเชียงใหม่ ชายหนุ่มงยยหน้าพูดกับสายลมอ่อนด้วยแววตาผิดหวังโดยที่ไม่หันมามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ตกลงคุณจะเอายังไงกันแน่”
“เรื่องอะไร”
เขาหันมาสบตาเธอ แววตาเย็นชาและห่างเหินจนเธอใจหาย “ตกลงคุณจะคบผมหรือไอ้น่าน”
“ทำไมคุณถามแบบนี้ล่ะ”
“ถ้าคุณอยากมางานนี้กับเขา คุณบอกผมมาตรงๆ แต่แรกสิ ผมเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายอยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องลำบากแต่งเรื่องเป็นตุเป็นตะเลยว่าติดงาน... งานอะไรของคุณนะ” เขาแกล้งขมวดคิ้ว ยกนิ้วชี้ขึ้นมาเกาขมับทำท่าเหมือนกำลังใช้ความคิด “งานสัมมนาอะไรสักอย่างที่โรงเรียนใช่ไหม กว่าจะเลิกก็ดึกและต้องร่วมกินอาหารอะไรโน่นนี่อีก ถามจริง... คิดนานไหมกว่าจะแต่งเรื่องแบบนี้ออกมาได้”
กลางฟ้ากำมือแน่นเป็นหมัดด้วยความเจ็บใจ ให้ตายสิ นี่เขาเข้าใจเธอผิดอย่างแรง คงถึงเวลาที่จะต้องบอกเขา
แล้วว่าเธอกำลังจะรู้ตัวหนอนซีซียูตัวนั้นแล้ว เขาจะได้เข้าใจสักทีว่าที่เธอโผล่เข้ามาในงานนี้เพราะวิ่งตามผู้ชายสวมสูทสีน้ำเงิน
ผู้ชายสวมสูทสีน้ำเงิน?
เธอค่อยๆ หันไปมองเขาอีกครั้ง มือในเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน... แผ่นหลังแวบๆ ในเสื้อสูทสีเดียวกันและไหล่กว้างนั้นที่ผลุบหายเข้าไปในประตูทางเข้าโรงแรมจากที่จอดรถ...
ถ้าคุณไม่มางานนี้แล้ว ผมก็ไม่มาเหมือนกัน
แต่เขากลับโผล่มางานนี้...
บ้าน่า! ไม่มีมีทางเป็นเขาอยู่แล้ว คนในงานสวมสูทสีนี้กันเยอะแยะ จะเป็นมาริชได้ยังไงกัน
แต่เขาบอกว่าจะไม่มางานนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วโผล่มาที่นี่ได้อย่างไรกัน
“ตกลงยังไงกันแน่ กลางฟ้า อย่าเอาแต่เงียบสิ ช่วยตอบให้ผมหายข้องใจหน่อยว่าทำไมคุณถึงบอกว่าไม่มากับผม แต่โผล่มางานนี้กับไอ้น่านแทน”
“คือ... ฉันติดธุระจริงๆ...” กลางฟ้าไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรให้ดีกว่านี้
“อ้าว ทำไมตอนนี้ไม่ติดธุระแล้วล่ะ” มาริชย้อนถามเสียงโกรธๆ
กลางฟ้าอึกอัก “แต่... แต่ฉันบังเอิญโผล่เข้ามาโดยบังเอิญจริงๆ นะ ฉันไม่ได้...”
“ให้ตายสิ” เขาสบถพลางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “นี่คุณไม่เบื่อบ้างเหรอ เมื่อไหร่คุณจะเลิกใช้วิธีเอาตัวรอดด้วยการพูดจาตลบตะแลงพลิกลิ้นแบบนี้สักที ครั้งแรกผมอาจเชื่อคุณ ครั้งที่สอง ผมอาจยอมโง่อีกครั้ง แต่หลังจากครั้งที่สาม ผมรู้ซึ้งแล้วล่ะว่าคุณเป็นคนแบบไหน ผมอุตสาห์ทำความเข้าใจกับคุณมาตลอดว่า คุณแค่ผู้หญิงบ๊องๆ แบ๊วๆ คนหนึ่งเท่านั้น”
“นี่คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
ตอนที่เขาตอบเธอ น้ำเสียงแข็งกร้าวนั้นฟังดูไม่เหมือนมาริชคนเดิมอีกต่อไป “แท้ที่จริงแล้วคุณเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์ คุณคิดว่าตัวเองฉลาดที่ปั่นหัวผู้ชายได้ โทษทีนะ ผมจะไม่เชื่อข้อแก้ตัวเหลวไหลของคุณอีกต่อไปแล้ว”
กลางฟ้าเหลือที่จะอดต่อไป เธอจะไม่ยอมให้เขากล่าวหาอยู่ฝ่ายเดียวหรอก “ฟังนะ ฉันวิ่งตามผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาในงาน เขาเป็นผู้ร้าย เขาเป็นหนอนซีซียู!”
เขาจ้องเธอด้วยดวงตาลุกโพลงที่ดูออกว่าโกรธจัด “คุณมีหน้าที่อะไรในซีซียูไม่ทราบถึงต้องวิ่งตามจับผู้ร้าย ถ้าคุณอยากทำงานที่นี่มากนักเพื่อจะได้ใกล้ชิดไอ้น่านล่ะก็ ผมจะลองขอกับผอ.ให้เอาไหม ผมสนิทกับลูกสาวของเขามากด้วย น่าจะขอได้ไม่ยาก”
สงสัยคงจะพูดกันไม่รู้เรื่องเสียแล้ว เวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดีแล้วประชดหนักมาก เธอบอกตัวเองว่าหยุดต่อล้อต่อเถียงแล้วกลับไปซะก่อนที่คำพูดของแต่ละฝ่ายจะทำร้ายกันและกันมากไปกว่านี้ เธอจ้องเขาทิ้งท้ายทีหนึ่งแล้วสะบัดหน้าหันหลังกลับ ทว่าข้อมือบอบบางของเธอถูกกำมือแข็งแรงคว้าไว้แล้วกระชากจนตัวบางปลิวกลับมาเผชิญหน้ากับเขา
“พอแก้ตัวไม่ได้ก็จะเดินหนี นี่สินะ วิธีแก้ปัญหาของคุณ” แม้ว่าสีหน้าของเขาดูออกว่าโกรธจัด แต่เห็นชัดว่ามีแววเจ็บปวดแฝงอยู่ “ก่อเรื่องเสร็จก็เดินหนี ไม่คิดจะรับผิดชอบอะไรเลย”
“คุณจะให้ฉันรับผิดชอบอะไร” เธอพยายามแกะมือออกจากกำมือแข็งแรงของเขา
“ถ้ายังถามย้อนกลับมาแบบนี้ได้ก็แสดงว่าเปล่าประโยชน์ คุณทำทุกอย่างโดยอาศัยความพอใจของตัวเองเป็นที่ตั้ง เรื่องอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ คุณจะทำโดยที่ไม่สนใจว่ากำลังทำร้ายจิตใจของใคร คุณไม่เคยรู้หรอกว่าชีวิตของแต่ละคนเคยผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง คนที่มีบาดแผล เวลาที่เขาเจ็บมันจะเจ็บกว่าเดิมเป็นสองเท่า ถ้าคุณชอบเล่นบทนางเอกที่ห้อมล้อมไปด้วยทาสรักล่ะก็ กรุณาแต่งเรื่องใหม่ที่ไม่มีผมซะเถอะ ผมไม่ใช่ตัวประกอบในนิยายรักเพ้อเจ้อของคุณ”
คำพูดเสียดแทงทำให้กลางฟ้าสะอึก เธอสะบัดข้อมือออกอย่างแรงจนหลุดจากกำมือของเขาสำเร็จ แต่สะบัดแรงไปหน่อย ตอนที่หลุดจากกำมือของเขา หลังมือของเธอจึงฟาดไปที่ใบหน้าของมาริช แม้ว่าไม่ถึงกับรุนแรงจนเจ็บสาหัส แต่ความเจ็บใจนี่สิหนักหน่วงยิ่งนัก ชายหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อหลังมือของกลางฟ้าเฉียดแรงผ่านแก้ม เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาร้อนแรงนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ
เป็นแววตาที่บอกให้เธอรู้ว่า ความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันได้ถูกขยำขยี้ไม่เหลือชิ้นดี
ขนาดกลางฟ้ายังตกใจกับการกระทำของตัวเอง เธออ้าปากจะพูดขอโทษ แต่ไม่ทันเสียแล้วเพราะมีบางอย่างที่มองเห็นแวบๆ ทางหางตาเคลื่อนเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ตัวอีกครั้งเธอก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างเย็นๆ กระเซ็นมาโดนผิวบนแขนที่เผยออกนอกร่มผ้า และบางส่วนตามใบหน้า
หญิงสาวยืนงุนงง ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เห็นแต่เพียงแววตาตระหนกของมาริช เขาหันควับไปทางด้านข้างที่เป็นต้นตอของเหตุนั้น แล้วได้ยินเสียงเขาร้องออกมา
“เพนนี!”
เธอหันไปช้าๆ เห็นผู้หญิงผมเรียบตรง สวมชุดค็อกเทลสั้นสีดำหรูหราติดโบอันใหญ่ที่ไหล่ซ้าย กำลังยืนถือแก้วไวน์เปล่าในมือ ลูกตาใหญ่สีเทาจ้องมาอย่างเอาเรื่อง กลางฟ้าค่อยๆ ก้มหน้าลงมองแขนที่เปียกโชก น้ำสีแดงที่สาดจากแก้วไวน์กำลังหยดติ๋งลงมาจากปลายนิ้ว ชุดสีอ่อนของเธอถูกย้อมด้วยสีแดงเข้มยาวเป็นแถบลงมาจนถึงชายกระโปรงที่หัวเข่า
“คุณทำอะไรน่ะ เพนนี!” เสียงของมาริชร้องถามผู้หญิงอีกคน
“ก็ยัยเด็กนี่น่ะสิ บังอาจตบหน้ามาริชในงานเลี้ยงของพ่อเพนนี!”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่...” มาริชพูดได้เพียงเท่านั้น เพราะมีเงาร่างของใครคนหนึ่งเบียดแทรกเข้ามากลางวง ก่อนที่จะมีใครทันได้เห็นว่าเป็นใคร ร่างสูงนั้นก็คุกเข่าลงตรงข้างหน้าของกลางฟ้า
“ชุดคุณเลอะหมดแล้ว” เป็นเสียงพูดของน่านน้ำ เขาจับชายกระโปรงของเธอและใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเช็ดรอยไวน์อย่างตั้งอกตั้งใจ
“อย่า น่าน! ช่างมันเถอะ” หญิงสาวรีบกระเถิบถอยออกมา ทั้งตกใจทั้งกระดากกับสิ่งที่เขาทำ แต่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ถ้าไม่รีบเช็ด เดี๋ยวมันจะซักไม่ออกนะ” เขาเงยหน้าขึ้นพูดกับเธอโดยที่ยังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
มาริชถึงกับหน้าร้อนวูบ แม้จะโกรธกลางฟ้าแค่ไหน แต่เขาควรเป็นคนที่กำลังทำสิ่งในที่น่านน้ำทำอยู่ตอนนี้ แต่ไอ้หมอนั่นก็ตัดหน้าโกยเอาความดีความชอบเก็บเข้าตัวในเวลาคับขันพอดี
จะมีอะไรเลวร้ายกว่านี้อีกไหมนะ มาริชคิด
กลางฟ้าย่อตัวลงนิดๆ แล้วค่อยๆ ดึงชายกระโปรงออกจากมือของเขา “น่าน ไม่เป็นไรหรอก มันเช็ดไม่ทันแล้วล่ะ ช่างมันเถอะ”
เมื่อชายหนุ่มลุกขึ้นยืน เขาก็ถอดเสื้อแจ็กเก็ตออกแล้วบรรจงวางคลุมลงบนร่างเล็กๆ ของกลางฟ้า เขาหันหน้าไปเผชิญหน้ากับชายหญิงอีกคู่ ดวงตาสีอ่อนของเขาจดจ้องมาริชด้วยแววตำหนิอย่างชัดเจน
“มองหาอะไร” มาริชถามเสียงนิ่งแต่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง
“มองหาความรับผิดชอบ” น่านน้ำตอบ ขยับเสื้อบนไหล่ของกลางฟ้าให้เรียบร้อยโดยที่ยังคงไม่วางตาจากมาริช และแค่เพียงประโยคนั้น มือสาดไวน์ก็ก้าวเข้ามายืนขวางตรงหน้าระหว่างมาริชกับน่านน้ำ
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง!” เพ็ญนีติ์เงยหน้าขึ้นพูดกระโชกโฮกฮากใส่ชายหนุ่ม
“ก็หมายความอย่างที่พูดไงล่ะ ผมกำลังมองหาความรับผิดชอบให้กลางฟ้า”
“นี่คุณกำลังจะบอกว่าฉันทำไม่ถูกใช่มั้ย” เพ็ญนีติ์เริ่มเสียงดัง “ฉันเห็นยายนั่นตบหน้ามาริชนะ ถ้าคุณจะถามหาความรับผิดชอบให้แม่นั่น งั้นฉันก็จะถามหาความรับผิดชอบให้กับมาริชที่โดนกระทำบ้างเหมือนกัน”
“นี่มันเรื่องของฉันกับมาริช!” กลางฟ้าชักโมโห ก้าวออกมายืนหน้าน่านน้ำเพื่อจะได้เผชิญหน้ากับเพ็ญนีติ์ “เธอนั่นแหละมาจากไหน จู่ๆ ก็สาดไวน์ใส่ฉัน”
ลูกสาวผอ.จ้องกลางฟ้าแทบกินเลือดกินเนื้อ “มาจากไหนไม่รู้เหรอ นี่มันงานเลี้ยงของพ่อฉันนะ และฉันก็เป็นเจ้าภาพงานด้วย ฉะนั้นฉันจะต้องเอาเรื่องที่เธอตบหน้าแขกของฉัน”
“งั้นก็เอาเลยสิ เชิญเรียกให้แขกของเธอตบหน้าฉันคืนได้เลย”
กลางฟ้าพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองมาริช แม้ว่าจะพูดประชดเพ็ญนีติ์ แต่ดวงตาคู่โตกำลังมองเขาอย่างสำนึกผิด ทว่าสิ่งที่ได้รับตอบกลับมากลับกลายเป็นความเย็นชาเสียจนน่าใจหาย
“จบเถอะ” น้ำเสียงของมาริชฟังออกว่าเหลืออดเต็มทน “ไอ้น่าน แกพากลางฟ้าออกไปจากงานซะ”
“เพนนีไม่ให้ไป ตะกี้น่านพูดเหมือนเพนนีทำผิดเลยนะคะ เพนนีไม่ยอม!” หญิงสาวกระทืบเท้าใส่มาริชด้วยอารมณ์เหวี่ยงวีนแบบคุณหนูขนานแท้ เขาเห็นแล้วต้องสะกดกลั้นความรู้สึกอยากเหวี่ยงหล่อนออกนอกระเบียง
“จบได้แล้วเพนนี ออกไปจากที่นี่เถอะ ไป” เขาผลักไหล่หญิงสาวแล้วรุนไปที่ประตูเข้าห้องบอลรูม แต่เธอยังคงยืนจิกเท้าแน่นไม่ยอมขยับไปจากตรงนั้น
“เพนนีจะฟ้องพ่อ จะเอาให้น่านออกไปจากซีซียู! เขาพูดจาแบบนี้กับเพนนีไม่ได้...”
น่านน้ำยืนมองหนุ่มสาวคู่นั้นฉุดกระชากลากแขนกันอีกพักหนึ่ง เขาแตะต้นแขนกลางฟ้าเบาๆ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าไปจากที่นี่กัน ฝ่ามือของเขาดันที่ไหล่ของเธอแล้วทั้งคู่ก็เป็นฝ่ายเดินออกจากระเบียงไปเสียเอง
น่านน้ำพากลางฟ้ากลับขึ้นมาที่รถอีกครั้งหลังจากที่เพิ่งก้าวลงจากรถคันเดิมได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีดี บรรยากาศตอนขากลับผิดกับขามาโดยสิ้นเชิง ความตื่นเต้นที่จะกำลังจะได้ตัวหนอนวายร้ายของซีซียูในตอนแรกได้หายไปหมดแล้ว กลางฟ้าดูเหงาหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด
เขาเปิดประตูรถให้เธอแล้วเดินอ้อมหน้ารถมาเพื่อนั่งหลังพวงมาลัย ก่อนขึ้นรถ เขาสังเกตว่าช่องจอดรถที่เคยเป็นของรถวีโก้ บัดนี้กลายเป็นรถเก๋งคันอื่นมาจอดแทน เขาไม่แปลกใจที่มันไม่อยู่แล้ว และไม่สนใจแล้วด้วยว่าวีโก้หายไปไหน เพราะเขาได้คำตอบแล้วว่าใครเป็นคนขับวีโก้คันนั้นเข้ามาในโรงแรม
รถเบนซ์คันงามพาสองหนุ่มสาวลงมาจากที่จอดรถของโรงแรมเพื่อออกสู่ถนนใหญ่ ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไรกันเป็นเวลานานหลายนาที จนในที่สุดน่านน้ำก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ
“คุณกับมาริชมีเรื่องผิดใจอะไรกันหรือเปล่า ถ้าอยากระบายก็เล่าให้ผมฟังได้นะ”
กลางฟ้าหันหน้ามองออกนอกหน้าต่างรถ หลังจากเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็เหลือที่จะกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป เธอปล่อยให้มันไหลออกมาอย่างเงียบๆ มาตลอดทาง แม้ว่าพยายามซ่อนใบหน้าของตัวเองในความมืดแต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจพ้นสายตาของน่านน้ำได้
เธอยกมือขึ้นปาดใบหน้า น้ำตาเปียกเต็มแก้มไปหมด คุณพระช่วย... นี่เธอร้องไห้เพราะเขาถึงขนาดนี้เลยเหรอ
“ช่างมันเถอะ ฉันไม่อยากพูดถึง”
กระดาษทิชชูยื่นออกมาตรงหน้า เธอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นดวงตาอ่อนโยนของน่านน้ำเหมือนกำลังบอกให้เธอหยุดร้องไห้แล้วพยักพเยิดไปที่กระดาษในมือ
เธอรับมาแล้วซับน้ำตาบนหน้า รู้สึกอายที่กลั้นน้ำตาไม่อยู่ต่อหน้าน่านน้ำ
“บ้าชะมัด แค่เรื่องโง่ๆ แค่นี้ทำไมฉันต้องร้องไห้ด้วย” เธอพยายามข่มเสียงอู้อี้ “ก็อีแค่แค้นใจที่ผู้หญิงคนนั้นสาดไวน์ใส่ และมาริชก็...”
เธอพูดไม่ออก น้ำตาไหลออกมาอีกรอบด้วยความเจ็บใจ เธอรู้ตัวดีว่าก็แค่ข้ออ้างเรื่องถูกเพ็ญนีติ์สาดไวน์ แต่คำพูดตัดรอนของมาริชนี่สิ ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเจ็บถึงเพียงนี้
“คุณชอบเขาใช่ไหม”
ไม่มีเสียงตอบจากกลางฟ้า
“ผมไม่แปลกใจหรอก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน” เขาพูดปลอบใจ “คิดเสียว่าคุณกับเขาก็เพิ่งรู้จักกัน ยังดีกว่าถลำลึกไปแล้ว ตอนนั้นอาจต้องทำใจลำบากกว่านี้อีก”
เสียงสูดจมูกดังอยู่ในความมืด กลางฟ้าไม่พูดอะไรอีกไปตลอดทางจนถึงบ้าน
น่านน้ำสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจอย่างยากลำบากว่าควรจะบอกกับเธอว่าอย่างไร ภาพผู้ชายเสื้อสูทสีน้ำเงินในกล้องวิดีโอยังติดตา เขาเปลี่ยนใจไปมาอยู่หลายรอบว่าจะพูดกับเธออย่างไร เธอกำลังเสียใจและความจริงที่พูดออกไปจะยิ่งทำให้เธอเสียใจยิ่งกว่าเดิมหรือเปล่า
ระหว่างที่รถเบนซ์แล่นไปจนเกือบถึงบ้านของกลางฟ้า เธอก็เอ่ยปากถามเขา
“ตะกี้คุณบอกว่าเห็นตัวหนอนซีซียูคนนั้นที่กล้องวิดีโอ ตกลงเขาเป็นใคร”
อันที่จริงกลางฟ้าหมดความอยากรู้ไปนานแล้ว แต่ไหนๆ วันนี้ทุกอย่างก็พังพินาศไปหมดแล้ว ขอมีเรื่องดีๆ สักเรื่องก็แล้วกัน
น่านน้ำแล่นรถไปจอดที่หน้าบ้านของกลางฟ้าอย่างเงียบๆ สองตายังคงจดจ้องออกไปยังถนนตรงหน้า ตอนที่เอ่ยคำตอบออกมา เสียงของเขาเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน
“ผู้ชายสูทสีน้ำเงินที่เข้างานก่อนเรา เขาก็คือ... มาริช”
ความคิดเห็น |
---|