9

บทที่ 8



 

บทที่ 8

รถตู้คันสีขาว มีตัวพิมพ์ตัวใหญ่ข้างรถว่า ‘โรงเรียนประถมกลอรี’ จอดที่ลานจอดรถกลางแจ้งของโรงเรียนตอนเจ็ดโมงเช้า กลางฟ้าก้าวลงจากรถพร้อมกับหอบสมุดรายงานของเด็กนักเรียนเต็มอ้อมแขน ระหว่างเดินเข้าอาคารเรียน ก็มีเสียงเรียกชื่อเธอมาจากข้างหลัง

                “สวัสดีครับคุณกลางฟ้า”

เมื่อกลางฟ้าหันไป ก็เห็นชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่งเดินตรงมาหา ไหล่กว้างในเสื้อโปโลสีดำตัดกับผิวผ่องสะดุดตาจนครูและผู้ปกครองแถวๆ นั้นยังต้องเผลอมองตาม ใบหน้าของเขาหล่อสะอาดเกลี้ยงเกลาแบบหนุ่มเชื้อจีน ผมสีอ่อนปรกลงมาถึงดวงตาคู่โตที่ดูมีแววเศร้า ทว่าเป็นความเศร้าที่ดูแล้วให้ความรู้สึกโรแมนติกอย่างบอกไม่ถูก

“คุณ... คุณคนที่เล่นแซกโซโฟนที่ผับคืนนั้น...” นิ้วชี้ของเธอชี้ค้างกลางอากาศ  

เขายิ้มมุมปากให้เธอ ใบหน้าหล่อเหลาแฝงแววโรแมนติก เปลี่ยนไปเป็นหนุ่มเซ็กซี่ทันทีแค่รอยยิ้มเดียว เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด แค่ถอดแว่นหน้าโง่อันนั้นก็ทำชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเลยจริงๆ

                “ใช่แล้วครับ คุณกลางฟ้า คุณคือผู้หญิงที่มานั่งฟังเพลงในผับคืนนั้นกับเพื่อน”      

“ค่ะ...” กลางฟ้าเริ่มสับสนว่าเขาต้องการอะไร “มีอะไรหรือคะ ทำไมคุณถึงรู้จักชื่อฉันและที่ทำงานของฉันด้วย”

                เขาเปลี่ยนท่าทีเป็นการเป็นงานขึ้นทันที “ผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะคุยกับคุณเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าพอมีเวลาสักครู่ไหม”

                เมื่อเห็นหญิงสาวเอียงหน้ามองชายหนุ่มด้วยสายตาหวาดระแวง เขาจึงหยิบบัตรประจำตัวออกมายื่นให้ เมื่อกลางฟ้ารับมาดูก็เห็นรูปถ่ายหน้าตรงของเขา ชื่อด้านล่างเขียนว่า น่านน้ำ แสงศัลย์ กำกับด้านล่างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนข้อมูล แผนกปฏิบัติการและสืบสวนข้อมูล ข้างรูปถ่ายประจำตัวเป็นเครื่องหมายขนาดใหญ่ของหน่วยซีซียู ดูไม่แตกต่างจากบัตรประจำตัวของมาริชที่เขาเคยยื่นออกมาให้เธอดูเมื่อรู้จักกันครั้งแรก

                “ซีซียู?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา

                “ครับ” เขารับบัตรไปเก็บตามเดิม “ผมทำงานอยู่หน่วยเดียวกับมาริช เขาเป็นเพื่อนร่วมงานของผม คุณคงเคยเจอเขาแล้ว”

                “ใช่ อีตาตำรวจจอมกวนประสาทคนนั้น” กลางฟ้าเบ้ปาก พลันนึกถึงคำสั่งของวิธูว่าต่อจากนี้ไปมาริชจะตามมาประกบติดเธอแล้วนึกขึ้นได้ “อย่าบอกนะว่าเขาส่งคุณมาตามจับผิดฉันถึงที่โรงเรียนล่ะ”

                “ผมไม่ได้มาเพื่อสร้างความลำบากใจให้คุณแน่นอน แค่อยากทำความรู้จักกับคุณและตกลงเรื่องบางอย่างกัน”

                “เรื่องอะไร”

                “อืม เรื่องนี้ต้องอธิบายกันยาว ผมขอนั่งคุยกับคุณที่เงียบๆ หน่อยได้ไหม”

                กลางฟ้ามองเขาเหมือนไม่ค่อยแน่ใจนักว่าหมอนี่จะมาไม้ไหน แต่ด้วยความอยากรู้ จึงเดินนำเขาไปที่ห้องสมุดของโรงเรียน

               

กลางฟ้ามองหน้าหนุ่มตี๋อินเตอร์ที่นั่งตรงข้ามกับเธอที่โต๊ะในห้องสมุด เขายิ้มอายๆ เหมือนเคอะเขินที่นั่งต้องอยู่ตามลำพังกับหญิงสาว เวลายิ้มแบบนี้แล้ว ดวงตาโรแมนติกของเขากลายเป็นแววตาใสซื่อไร้มลพิษ ช่างดูเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์หลากหลายในตัวเองเหลือเกิน

“ตกลงคุณอยากคุยอะไรกับฉันเหรอ” กลางฟ้าถามเมื่อเห็นเขาเอาแต่นั่งมองหน้าเธอแล้วยิ้มเขินอยู่นั่น

เวลานี้เป็นชั่วโมงเรียน ภายในห้องสมุดกว้างขวางนี้จึงเงียบสงัด บรรณารักษ์เงยหน้าขึ้นมาจากเคาน์เตอร์เป็นครั้งคราวด้วยสายตาสนใจใคร่รู้ เมื่อครูสาวของโรงเรียนนั่งคุยกับหนุ่มหน้าตาดีสองต่อสองในห้องสมุด

“เอ่อ... ก่อนที่จะคุยกัน ผมมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณกลางฟ้าครับ ถือว่าตอบแทนน้ำใจที่ยอมเสียสละเวลามาคุยกับผม”

เขาเลื่อนหนังสือนิยายออกใหม่ของนักเขียนชื่อดังมาตรงหน้ากลางฟ้า ดวงตาของเธอเป็นประกายด้วยความพอใจ น่านน้ำเพิ่งอ่านในบทความจากเว็บไซต์ว่า วิธีทำให้หญิงสาวที่เป็นนักเขียนประทับใจก็คือซื้อหนังสือให้เธอ

“เรียกฉันว่ากลางฟ้าเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องคุณหรอก”

นั่นไง เธอเปลี่ยนท่าทีขึ้นมาทันที น่านน้ำยิ้มรับแล้วพยักหน้า

“ได้ครับ กลางฟ้า” เขากระแอมเกริ่นก่อนเข้าเรื่อง “คือผมมาพบคุณวันนี้ เพราะอยากรู้รายละเอียดเรื่องที่คุณคุยกับเพื่อนผู้หญิงของคุณในผับที่เราเจอกันคืนนั้นน่ะครับ”

“คุณหมายถึงเรื่องที่ฉันคุยกับดาวรุ่งในผับน่ะเหรอ เรื่องไหนล่ะ” กลางฟ้าถามงงๆ

                ดวงตาสีอ่อนมองสบตาเธอ “เรื่ององค์กรเดือนลับกับโกดังในป่า”

“คุณได้ยินฉันคุยกับรุ่งด้วยเหรอ ในผับออกจะเสียงดัง”

“ผมบอกตามตรงก็แล้วกัน วันนั้นผมตั้งใจติดเครื่องดักฟังเพื่อแอบฟังนายหน้าขนยาเสพติดที่ผมได้เบาะแสมา เขานั่งอยู่โต๊ะข้างหลังคุณพอดี แต่ผม เอ่อ... ดันพลาดติดเครื่องดักฟังผิดโต๊ะ ซึ่งโต๊ะนั้นคือโต๊ะของคุณ ก็เลยได้ยินเรื่องสนทนาของคุณทั้งหมด”

                “ติดเครื่องดักฟัง!” หญิงสาวร้องลั่นด้วยความตื่นเต้น แล้วรีบลดเสียงลงเมื่อบรรณารักษ์ส่งสายตาดุๆ มาทางเธอ “อย่างกับนักสืบแน่ะ!”

“เป็นวิธีหาข้อมูลของผมน่ะครับ” เขายิ้ม  

คราวนี้กลางฟ้าเข้าใจแล้วว่าผู้ชายคนนี้มาหาเธอเพื่ออะไร เธอนึกถึงข้อมูลลับที่ตัวเองได้มาจากเครื่องคอมพิวเตอร์พ่อของดอลลีแล้วส่ายหน้าใส่ชายหนุ่ม “ถ้าคุณจะขอให้ฉันเป็นแหล่งข่าวใหม่ของคุณล่ะก็ บอกได้เลยว่าอย่าเสียเวลาเลย ฉันก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก บอกได้เลยว่าฉันไม่ใช่มืออาชีพ สิ่งที่รู้มาเป็นแค่รู้โดยบังเอิญซะมากกว่า”

                แต่น่านน้ำเดาไว้แล้วว่าเธอคงไม่ยอมบอกเขาง่ายๆ อยู่แล้ว

“คืออย่างนี้ครับ ผมไม่ได้มาขอข้อมูลเฉยๆ ผมมีเงื่อนไขเสนอคุณด้วย”

“เงื่อนไขอะไร” 

                หลังยาวๆ ของชายหนุ่มเหยียดยื่นข้ามโต๊ะจนใบหน้าหล่อละมุนลอยห่างจากตรงหน้าเธอแค่ครึ่งฟุต แววใสซื่อในดวงตาหายไปแล้ว กลายเป็นดวงตาลุ่มลึกที่ดูเหมือนรู้เท่าทันความคิดของเธอ

“คุณให้ข้อมูลขององค์กรเดือนลับที่คุณรู้ ส่วนผมจะเป็นที่ปรึกษาการเขียนหนังสือให้คุณ ไม่ทราบว่าอย่างนี้น่าสนใจพอไหม”

“ทำไมฉันต้องให้คุณเป็นที่ปรึกษาด้วย”

“เพราะคุณกำลังต้องการตำรวจสักคนในการให้ข้อมูลเพื่อเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาชญากรรม” เขาพูดยิ้มๆ “ไม่ใช่หรือครับ”

                “คุณรู้ได้ยังไง...” แล้วกลางฟ้าก็นึกออก “อ๋อ! จากเครื่องดักฟังอีกแล้วล่ะสิ ให้ตายเถอะ แค่คืนนั้นคืนเดียว คุณรู้อะไรเกี่ยวกับฉันตั้งหลายอย่างเลยเชียวนะ”

                ชายหนุ่มยิ้มแล้วถอยกลับไปนั่งตามเดิม “แล้วคุณสนใจไหมล่ะ”

                เขากำลังเสนอสิ่งที่เธอกำลังตามหาอยู่พอดี “แต่ฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าเรื่องนี้จะไม่รู้ถึงพี่วิธู เขาเป็นหัวหน้าคุณไม่ใช่เหรอ”

                “พี่วิธู? หมายถึงสารวัตรวิธูน่ะเหรอ คุณรู้จักกับสารวัตรด้วย?”

                “ยิ่งกว่ารู้จักซะอีก เขาแทบจะเป็นพี่ชายของฉันอีกคนแล้ว เราสนิทกันมากๆ ถึงขนาดพ่อแม่ฝากฝังให้เขาดูแลฉันที่เชียงใหม่นี่เลย แต่พี่วิธูเป็นคนจริงจังมาก สนิทกันขนาดนี้เขายังไม่ยอมเปิดเผยเรื่องการทำงานให้ซีซียูให้ฉันฟังเลยสักคำ”

                “ผมไม่แปลกใจ สารวัตรเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมากๆ และเขาก็เป็นมืออาชีพมากทีเดียว”

                “นั่นสิ แล้วคุณก็ทำงานกับเขาด้วย อย่างนี้มันเสี่ยงกับฉันเกินไปนะ”

                “ถ้าเราแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน แปลว่าผมกำลังทำผิดกฎร้ายแรงของซีซียูอยู่นะครับ ข้อเสนอของผมยิ่งเสี่ยงต่ออาชีพของผมมากกว่าคุณซะอีก”

                “แล้วคุณเอาอาชีพของคุณมาเสี่ยงทำไม”

                “บอกตามตรง ตอนนี้อาชีพของผมกำลังวิกฤต ผมกำลังจะให้ถูกออกถ้าไม่สามารถสืบเรื่องยาเสพติดที่กำลังจะขนเข้ามาได้ ผมจำเป็นต้องหาแหล่งข่าวใหม่ สถานการณ์ตอนนี้ของผมเสี่ยงกับการต้องออกจากงานมากกว่าเรื่องทำผิดกฎของซีซียูซะอีก”

กลางฟ้ามองใบหน้าหล่อใสของหนุ่มตี๋ตรงหน้า ดวงตาสีอ่อนของเขาดูเปิดเผยและจริงใจจนสัมผัสได้ เธอพยายามช่างน้ำหนักไปมาเพื่อหาผลเสียของการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับชายหนุ่มคนนี้ ความผิดของเขาถึงขั้นต้องออกจากงาน แต่ความเสี่ยงของเธอนั้น ตราบใดที่วิธูไม่รู้เรื่องนี้ก็ไม่มีความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น

“แต่ถ้าฉันตกลงแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคุณ ฉันต้องมีเงื่อนไขบางอย่างนะ” กลางฟ้าเสนอ

“ว่ามาเลย”

“ฉันจะเปิดเผยเฉพาะข้อมูลที่ได้มาเท่านั้น คุณจะไม่มีวันรู้แหล่งข้อมูลลับของฉันว่าเป็นใคร ได้มาได้อย่างไร และเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างเราสองคนเท่านั้น ห้ามให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด”

                “ไม่มีปัญหา และผมก็มีเงื่อนไขว่าจะให้ข้อมูลการทำงานของซีซียูกับคุณเพื่อใช้สำหรับเขียนหนังสือ โดยที่คุณห้ามระบุชื่อ ตำแหน่งและสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะชื่อซีซียูออกสื่อ แต่บอกได้แค่ว่าเป็น ‘ตำรวจคนหนึ่ง’ เท่านั้น”

                “ได้เลย” กลางฟ้ายิ้มรับ

                “และเวลาที่เราแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เราจะไม่คุยกันทางโทรศัพท์ แต่จะต้องออกมาเจอกันเท่านั้น”

“ทำไมล่ะ”

                “ผมดักฟังคนอื่นจนชินน่ะ ก็เลยรู้ว่าสายโทรศัพท์เป็นอะไรที่ไม่ปลอดภัยที่สุด”

น่านน้ำแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่จู่ๆ เสนอเงื่อนไขนี้ขึ้นมาทั้งๆ ที่เขาไม่คิดว่าจะมีใครดักฟังครูสอนประถมคนนี้หรอก แต่เขามีความรู้สึกอยากพูดคุยเห็นหน้ากับหญิงสาวหน้าตาสดใสและดวงตาเหมือนแมวคนนี้มากกว่าแค่ฟังเสียงเธอทางโทรศัพท์

                “แต่ฉันเตือนไว้ก่อนนะ ตอนนี้ฉันกำลังถูกตำรวจที่ชื่อมาริชติดตามอยู่ทุกฝีก้าวตามคำสั่งของพี่วิธู เราต้องไม่ให้เขารู้เรื่องนี้นะ”

                ไอ้หน้าลิเกนี่มันมารผจญทุกเรื่องเลยจริงๆ น่านน้ำหลับตาแล้วถอนใจเบาๆ รู้สึกอุปสรรคเยอะแยะไปหมด “ไม่ต้องห่วง ผมไม่สนิทกับเขา เขาไม่มีทางรู้เรื่องส่วนตัวของผมหรอก”

                หลังจากคุยกันเสร็จเรียบร้อย ทั้งคู่ก็ออกมาจากห้องสมุดด้วยกัน กลางฟ้าเดินออกไปส่งน่านน้ำที่ด้านหน้าโรงเรียน ก่อนขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าคู่ชีพ เขาก็หันมายื่นมือให้เธอ

“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับ กลางฟ้า”

                กลางฟ้ายื่นมือออกมาให้เขาบ้าง แล้วถูกฝ่ามือใหญ่ๆ นั้นกำจนมิด ผิวที่มือของเขานุ่มกว่าที่คิดและอบอุ่นเหมือนดวงตาของเขาไม่มีผิด

 

หลังจากตกลงเป็นพันธมิตรแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน น่านน้ำก็ขอนัดกลางฟ้าครั้งแรกในวันเสาร์ที่จะถึง สถานที่คือสวนสาธารณะกลางเมืองตรงบริเวณศาลาข้างสระเลี้ยงหงส์ คืนก่อนวันนัดหมาย มาริชก็โทร.มาหาเธอพอดี

“ถ้าพรุ่งนี้ไปไหนก็บอกนะครับ กลางฟ้า ผมจะไปส่ง”

“อ๋อ ไม่ล่ะจ้ะมาริช” เธอปั้นเสียงหวานกับเขา “ปกติวันเสาร์ฉันจะนั่งเขียนนิยายอยู่กับบ้านทั้งวัน คุณก็ไปออกเดทจีบสาวได้ตามสบายเลยนะ” 

“ผมไม่มีสาวให้จีบครับ แต่ไปนั่งเฝ้าคุณที่หน้าบ้านได้” เขาตอบ

“เอ่อ... คือมันรบกวนฉันด้วยน่ะ” กลางฟ้ารีบบอก “คือเวลาทำงาน ฉันจะต้องเดินรอบๆ บ้านเพื่อกระตุ้นให้เกิดจินตนาการ ถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย ฉันจะทำงานไม่ได้”

ปลายสายเงียบไปพักหนึ่งก่อนพูดว่า “โอเค ถ้าคุณจะไปไหนก็โทร.มาบอกด้วย ตกลงไหม”

“ได้สิ มาริช” กลางฟ้ายิ้มกับตัวเองแล้ววางหู

เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงสาวออกจากบ้านแต่เช้า และไม่ลืมปิดโทรศัพท์มือถือเพื่อป้องกันการถูกมาริชโทร.ตาม เธอสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวพิมพ์ลวดลายดอกไม้ ยัดเข้าไปในกระโปรงบานเหนือเข่าสีฟ้าอ่อนปักดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กแล้วเดินทางด้วยรถสาธารณะ เมื่อไปถึงที่นัดหมายในสวนสาธารณะ เธอก็มองเห็นหุ่นสูงโปร่งของน่านน้ำยืนหันหน้าออกไปยังสระน้ำในศาลาอยู่ก่อนแล้ว

                “น่าน”

                เขาหันไปตามเสียง เห็นหญิงสาวเดินกึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาเขา รูปร่างเล็กแต่ปราดเปรียวและรอยยิ้มสดชื่นในชุดสีหวานน่ารัก ทำให้เขารู้สึกเหมือนแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในชีวิตอับเฉาทันที เขายิ้มค้างและมองกลางฟ้าจนตาแทบไม่กะพริบ

                “สวัสดีครับ กลางฟ้า...” เขามองรอยยิ้มแจ่มใสของเธอเพลินจนลืมตัว

                ใบหน้าหล่อละมุนกับดวงตาเศร้าๆ แสนโรแมนติกที่จ้องเอาๆ ตั้งแต่กลางฟ้าเดินเข้ามาทำให้กระอักกระอ่วนนิดหน่อย เธอยิ้มกว้างให้เขา พยายามทำท่าเหมือนไม่ได้สังเกตว่าสายตาคู่นั้นกำลังมองเธอแทบทะลุร่าง

                “ไม่เป็นไรครับ” ชายหนุ่มทำท่าเหมือนนึกได้หลังจากเผลอมองเธอเหมือนต้องมนตร์ แล้วยื่นห่อของกระจุ๋มกระจิ๋มส่งให้หญิงสาว

                “ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากผมครับ แทนคำขอบคุณที่มากับผมวันนี้”

                กลางฟ้ารับของจากฝ่ามือขาวสะอาดของน่านน้ำ มันเป็นสมุดจดโน้ตลายหวานเล่มเล็ก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองดวงตาโรแมนติกของเขาที่ตอนนี้หวานเชื่อมชวนฝันยิ่งกว่าเดิม

                “ขอบคุณนะน่าน สมุดน่ารักจัง”

                “เมื่อวานเดินผ่านร้านเครื่องเขียน เห็นแล้วนึกถึงคุณ ผมคิดว่านักเขียนน่าจะชอบจดอะไรลงในสมุดโน้ตก็เลยซื้อมาฝาก”

                ตายจริง เขาช่างเป็นชายหนุ่มที่ละเมียดละไม อ่อนไหว และโรแมนติกเหลือเกิน ทำไมเขาถึงรู้นะว่าเธอชอบจดสิ่งสาระพันอันละน้อยลงในสมุด กลางฟ้าช้อนสายตาขึ้นสบตาเขาอีกครั้ง แล้วยิ้มขอบคุณ

เขาชวนเธอนั่งลงที่ม้าหินกลางศาลาที่มองออกไปเป็นสระเลี้ยงหงส์ เมื่อทั้งคู่นั่งหันหน้าหากันบนโต๊ะกลม ดวงตาสีอ่อนของเขายังคงจดจ้องใบหน้าใสๆ ไม่ถอนสายตาไปสักที จนกลางฟ้าต้องฉีกยิ้มออกมาแก้เขิน

หงส์สีขาวสองตัวว่ายน้ำหันหน้าหากัน คอยาวๆ ของมันจรดเข้าหากันจนเป็นรูปหัวใจอยู่กลางสระน้ำ บรรยากาศโรแมนติกเสียจนน่านน้ำเกือบลืมไปแล้วว่าวันนี้เขานัดเธอมาที่นี่เพื่ออะไร ทั้งคู่นั่งมองหน้ากันเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง สีหน้ากระอักกระอ่วนของกลางฟ้าก็ทำให้น่านน้ำฉุกคิดขึ้นมาได้ เสียงเตือนตัวเองดังลั่นอยู่ในสมองว่า

‘ไอ้น่าน แกมีภารกิจต้องทำ ยังมีคนรอแกอยู่ ปล่อยให้หัวใจหวั่นไหวง่ายๆ แบบนี้จะทำงานได้ยังไงวะ’

น่านน้ำรีบเบนสายตาจากดวงหน้าสดใส และมองไปที่สระน้ำแทน หงส์คู่นั้นว่ายผละจากกันไปคนละทางเหมือนหัวใจสลายแยกจากกัน เขากระแอมสองทีแล้วรีบพูดเรื่องธุระทันที

“คุณมีข่าวอะไรเกี่ยวกับการขนยาเสพติดบ้าง กลางฟ้า”

หญิงสาวเปิดกระเป๋าสะพายแล้วหยิบสมุดจดคู่ใจออกมา ในนั้นเธอเพิ่งจดข้อความแชทล่าสุดจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้านของดอลลีเมื่อสามวันก่อน เป็นการสนทนาระหว่าง ‘ลามูน’ กับ ‘ป๋าเทพ’

 

ลามูน:   เปลี่ยนแผนด่วน ย้ายของออกจากโกดังคืนนี้เลย

ป๋าเทพ:             เกิดอะไรขึ้น

ลามูน:  สายของเราแจ้งมา มันเตรียมจะทะลายโกดังพรุ่งนี้

ป๋าเทพ: หนียังไงล่ะ ออกจากป่าไปก็โดนสกัดจับแน่ๆ

ลามูน:   ลงเรือที่แม่น้ำในป่า สายของเราเตรียมไว้ให้แล้ว

 

เมื่อน่านน้ำอ่านข้อความนั้นแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองกลางฟ้าด้วยสายตาตื่นเต้น

“เมื่อสามวันก่อน ทีมปฏิบัติการของซีซียูถูกเรียกประชุมด่วนกลางดึก มีคำสั่งจากสารวัตรวิธูให้บุกโกดังกลางป่าแห่งนั้นในวันรุ่งขึ้น แต่พอถึงเวลาที่ทีมปฏิบัติการไปถึงที่โกดัง พบว่าในนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลือ แต่ทิ้งหลักฐานเพียบว่าเคยมีคนอยู่ในนั้น”

หญิงสาวยกมือขึ้นทาบปิดปากแล้วพึมพำเบาๆ “ข้อมูลของฉันแม่นเหลือเชื่อ!”

“นั่นสิ ตกลงพวกมันหนีไปทางแม่น้ำนี่เอง มิน่าล่ะ วันนั้นเราสกัดทุกด่าน แต่ไม่พบรถผิดสังเกตเลยสักคันเดียวราวกับว่ามันเล่นกลหายไปในอากาศซะงั้น" 

กลางฟ้ายิ่งทวีความอยากรู้ว่า ใครกันที่เป็นเจ้าของนามแฝง ‘ลามูน’ ที่เดาว่าน่าจะเป็นพ่อของดอลลี แต่ก็ไม่เคยได้พบเขาสักครั้ง ทุกวันนี้รู้แค่ชื่อของเขาว่า “รพินทร์ ชัยพฤกษ์” เท่านั้น

“น่าน ตาฉันถามในสิ่งที่ฉันอยากรู้บ้างนะ ปกติองค์กรเดือนลับทำงานผิดกฎหมายประเภทไหน”

“ทุกประเภทที่ได้เงิน มันคือแก๊งของตำรวจกลายพันธุ์เป็นตะกวด พวกโจรในคราบตำรวจใช้องค์กรนี้เป็นแหล่งหาเงินสกปรกทุกชนิดขายของผิดกฎหมาย ฉ้อโกง การพนัน ฟอกเงิน ข่มขู่ รวมทั้งรับจ้างแก้แค้นและฆ่าปิดปาก” 

ดวงตาเหมือนแมวของหญิงสาวเบิกโตด้วยความตื่นเต้น

“แล้วเรื่องรอยสักที่เป็นสัญลักษณ์ของมันล่ะ อยากรู้จังเลยว่ามันมีรอยสักที่สามารถเปลี่ยนรูปได้จริงๆ ด้วยเหรอ”

“ผมเคยเห็นมาแล้ว มันไม่เหมือนรอยสักทั่วไปตรงที่ว่า ปกติแล้วรอยสักนี้เป็นรูปดวงอาทิตย์ แต่ถ้าคนมองขยับเปลี่ยนมุม จะเห็นจันทร์เสี้ยวซ่อนอยู่ในดวงอาทิตย์”

“ทำไมพวกเขาต้องใช้รอยสักเป็นสัญลักษณ์ด้วย”

                “ก็เพราะว่าความพิเศษของมันทำให้ยากที่จะทำเลียนแบบได้ หรือเรียกว่าเลียนแบบไม่ได้ด้วยซ้ำ รอยสักนี้จะไม่มีวันลบออก คนที่รอยสักนี้บนตัว หมายความว่าต้องยอมจงรักภักดีกับองค์กรตลอดไป”

                “ถ้ามันพิเศษโดดเด่นขนาดนั้น พวกมันก็ถูกจับได้ง่ายๆ สิ” กลางฟ้าสงสัย

                “มันมีสารพัดวิธีที่จะปกปิดรอยสัก” เขาเล่าเรื่องแผ่นหนังเทียมอันน่าทึ่งให้เธอฟัง “มันเนียนเหมือนจนเหมือนผิวหนังบนร่างกาย คุณไม่มีทางมองออกเลยด้วยซ้ำ”

พูดถึงตรงนี้แล้ว แววตาของน่านน้ำเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม “รอยสักนี้เป็นความลับเท่าชีวิต คนที่มีรอยสักจะไม่มีวันลาออกจากการเป็นสมาชิกได้ เพราะนั่นหมายถึงความตายสถานเดียว”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น