10

บทที่ 9


บทที่ 9

                ห้าโมงเย็น กลางฟ้ากลับเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดีที่มีข้อมูลใหม่ๆ มาเขียนนิยาย ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่แสนคุ้มค่า แล้วยังได้นั่งมองใบหน้าหล่อละมุนของน่านน้ำที่ดีต่อใจไปทั้งวัน

                แต่ถึงแม้เขาเป็นผู้ชายหล่อเหลามีเสน่ห์ เธอก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างในตัวเขาที่เข้าไม่ถึง ชายหนุ่มทำตัวแปลกๆ เหมือนนาทีหนึ่งกำลังตกหลุมรักเธอ และอีกนาทีต่อมาก็เหมือนรู้ตัวแล้วดึงตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังมีพฤติกรรมน่าขำอีกอย่างหนึ่งคือ เขาพกบะหมี่ถ้วยมาจากบ้านพร้อมกระติกน้ำร้อน พอถึงตอนเที่ยง เขาก็เทน้ำร้อนใส่ถ้วยและกินมาม่าคัพเป็นอาหารกลางวัน อ้างว่ากินอาหารข้างทางแล้วท้องเสีย

เธอคิดเรื่องต่างๆ เพลินจนถึงหน้าบ้าน ทันทีที่ไขประตูบ้านและเปิดเข้าไป ก็มีมือแข็งๆ คว้าต้นแขนของเธอแล้วกระชากเข้าไปในบ้านพร้อมกัน กลางฟ้าหวีดร้องตื่นตระหนก เมื่อตั้งสติได้ เธอก็สะบัดออกด้วยสัญชาติญาณป้องกันตัว

คนที่บุกเข้ามาในบ้านพร้อมกับเธอคือผู้กองหนุ่มตาสวย เขาผลักประตูบ้านปิดดังโครม ดวงตาเป็นประกายที่กำลังจ้องเธอเขม็งนั้นคุกรุ่นด้วยความโกรธ

                “คุณหายไปไหนมาทั้งวัน!”

                “ออกไปกินไอติมกับเพื่อน” หญิงสาวชักสีหน้าหงุดหงิดที่ถูกตามประกบแจ เธอเดินไปที่โต๊ะอาหารกลางห้องแล้วค่อยๆ ยกสายสะพายกระเป๋าออกทางหัวด้วยท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ยิ่งทำให้มาริชหัวเสียหนัก

                “ยังจะโกหกอีก ผมมากดออดบ้านคุณตั้งแต่ตอนสายๆ แต่ไม่มีใครมาเปิด โทร.เข้าบ้านก็ไม่มีคนรับ มือถือก็ไม่เปิด ไหนบอกว่านั่งทำงานอยู่ที่บ้านไง ตกลงไปไหนกันแน่”

                กลางฟ้าวางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ค่อยๆ หันหน้ากลับมายืนหันหลังพิงโต๊ะแล้วพูดน้ำเสียงหงุดหงิดนิดๆ

                “พี่วิธูสั่งให้คุณมาดูแลฉัน ไม่ใช่สั่งให้คุณมาเป็นเจ้านายของฉันนะ กรุณาอย่าพูดจาออกคำสั่งกับฉันอีก เข้าใจไหม”

                ความโกรธทำให้เขาเหลืออดอีกต่อไป มาริชก้าวยาวๆ เพียงสามก้าวก็ประชิดตัวกลางฟ้า และดันจนร่างของเธอติดกับโต๊ะ แขนสองข้างของเขาพาดไว้บนโต๊ะ ขังหญิงสาวไว้ตรงกลางระหว่างลำตัวหนาบึ้ก

                “นี่!” กลางฟ้าตกใจที่เขาเข้ามาประชิดแบบสายฟ้าแลบและถูกประกบจนขยับหนีไม่ได้ “เป็นบ้าอะไรน่ะ ถอยออกไป”

                “ผู้หญิงแบบคุณน่ะ พูดด้วยดีๆ ไม่ได้หรอก ต้องออกคำสั่งเท่านั้น ไม่งั้นปราบไม่อยู่”

                “ตลกล่ะ เอาอะไรมาคิดว่าฉันจะยอมทำตามที่คำสั่งคุณ” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องเขา ร่างใหญ่โตที่ประจันหน้ากับเธอนั้นทำเอาเธอเหมือนลูกหมาตัวน้อยนิด

                “อย่าท้าผม” มาริชหรี่ตาพลางขยับตัวเข้าหาเธออีกจนสัมผัสไอร้อนจากตัวเขาได้ “และจำไว้ว่าอย่าทำให้ผมโกรธ เพราะคุณจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน” 

                กลางฟ้าเหยียดปากใส่หน้าเขาด้วยความหมั่นไส้ “เอาไหวพริบมาสู้ไม่ได้ก็ทำเป็นเอากำลังมาข่มขู่ โธ่เอ๊ย เสียรู้แค่นี้ไม่ตายหรอกน่า”

                “ปากเก่งเหลือเกินจริงๆ” สายตาแพรวพราวที่ระบายด้วยความโกรธกวาดทั่วใบหน้า และหยุดนิ่งสนิทที่ริมฝีปากสีชมพู “คิดว่าตัวเองฉลาดนักใช่ไหม งั้นก็ลองดูว่าไหวพริบของคุณจะสู้ความโหดของผมไหวไหม”

                หญิงสาวกัดปากแน่น เริ่มเดาได้ว่าเขามีแผนอะไร “พอทำอะไรฉันไม่ได้ ก็จะลวนลามฉันอีกล่ะสิ”

                “ใช้คำว่าลวนลามไม่ได้หรอก วันนั้นผมจำได้แม่น คุณเองก็ตอบสนองผมเป็นอย่างดี ทำเอาผมเพ้อไปหลายวันเลยนะ กลางฟ้า” เขาหัวเราะฮึๆ อยู่ตรงหน้าพลางขยับตัวเข้ามาใกล้อีก แผ่นอกของเขาเฉียดอยู่เหนืออกของเธออย่างน่าหวาดเสียว

                “ถอยไปนะ!” เธอเริ่มตระหนักถึงภัยคุกคามแล้วผลักอกเขาแรงๆ แต่อกแข็งปั๋งของเขาไม่ขยับราวกับขุนเขาแข็งแกร่งจนกลางฟ้าเริ่มวิตก 

                ดวงตากร้าวของเขาเป็นประกายร้อนแรง บอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะอารมณ์โกรธหรืออารมณ์ไหน เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกจนหญิงสาวรับรู้ถึงลมหายใจร้อนระอุ

                “ผมอุตสาห์ใจดีกับคุณ เชื่อใจคุณ แต่คุณกลับเห็นผมเป็นตัวตลก ในเมื่อเก่งเอาตัวรอดนักก็หาทางดูก็แล้วกัน แต่ผมจะไม่เมตตาคุณอีกต่อไป...” เขาคำรามเสียงเหี้ยมเกรียมจนกลางฟ้าเริ่มหวั่นใจ “ผมจะลงโทษคุณให้หนัก ชนิดที่ว่าให้คุณจะสำนึกไม่ทัน แล้วผมจะรอดูตอนที่คุณอ้อนวอนขอร้องผม...”

                “หยุดนะ มาริช!” กลางฟ้าร้องเมื่อเห็นแววตาเอาเรื่องของเขา นี่เขาจะจัดการเธอจริงๆ ล่ะก็ ไม่มีทางสู้แรงเขาไหวแน่ เธอมองขนาดร่างกายที่ต่างกันหลายเบอร์แล้วเริ่มหวั่นใจหนัก

                แล้วเขาก็ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋า

                กลางฟ้ามองตามมือของเขาแล้วร้องไม่ออก...

ชื่อ “วิธู” ปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์ในมือของมาริช พร้อมกับเครื่องหมายรูปหูโทรศัพท์สีเขียวกะพริบแสดงว่ากำลังต่อสาย กลางฟ้าถึงกับใจหายวาบ

“ผมจะรายงานเรื่องที่คุณหายตัวไปข้างนอกโดยไม่รายงานผมกับสารวัตร แล้วคุณไปแก้ตัวกับเขาเองว่าวันนี้หายไปไหนทั้งวัน”  

“นี่คุณโทร.หาพี่วิธูจริงๆ เหรอ!” กลางฟ้าร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเขาผละออกมาจากที่ยืนประกบตัวเธอ แล้วยกโทรศัพท์ขึ้นทาบหู

                “คุณจะได้รู้สักทีว่าผมไม่ได้พูดเล่น ผมเบื่อลูกไม้ตื้นๆ ที่คุณภูมิใจนักหนาว่าเป็นแผนการขั้นสุดยอดที่สามารถหลอกปั่นหัวผมได้ ผมไม่มีเวลาเล่นกับคุณ และผมก็ไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณ"    

คุณพระช่วย! นั่นเขาโกรธจริงๆ แล้ว แววตาเป็นประกายของเขาไม่เหลือทั้งอารมณ์ขันและอารมณ์หื่น มีแต่ความโกรธล้วนๆ และท่าทางจะโกรธจัดเสียด้วย

“เดี๋ยวสิ มาริช ฟังฉันก่อน...”

                แต่เขายังคงถือโทรศัพท์จ่อหู ดวงตาคมเหลือบขึ้นมองเพดานระหว่างรอสายเพื่อจะได้ไม่ต้องสบตาเธอ หญิงสาวรีบเอื้อมมือเกาะข้อศอกของเขาอย่างประจบ “วางหูเถอะนะมาริช เดี๋ยวฉันจะเล่าให้คุณฟังว่าไปทำอะไรมา ถ้าคุณฟังแล้วไม่พอใจค่อยโทร.ไปบอกพี่วิธูก็ได้ นะคะ”

"พอเถอะกลางฟ้า ผมไม่ใจอ่อนกับลูกอ้อนของคุณหรอก"

                “แต่คุณฟ้องพี่วิธูไม่ได้นะ!"

                “ขอสายสารวัตรวิธูครับ” เขาไม่ฟังเสียง พูดใส่โทรศัพท์โดยที่ยังจ้องหน้าเธอ “ได้ครับ ขอบคุณ"

                กลางฟ้าเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อที่เขาจะรายงานวิธูจริงๆ

“ขอร้อง มาริช!” เธอรีบย้ายไปอยู่ด้านหน้าของเขาแล้วพยายามแหงนหน้าพูดด้วย “ตอนนี้คุณยังวางสายทัน ได้โปรด ขอให้ฉันได้แก้ตัวสักครั้งเถอะ” ในที่สุดเธอก็ต้องอ้อนวอนเขาอย่างที่พูดไว้จริงๆ

“เสียใจด้วย ผมเพิ่งให้โอกาสคุณไปแล้ววันนี้ และคุณก็ใช้มันไปแล้วด้วย”

“แต่ฉันไม่อยากกลับบ้าน” เธออ้อนวอนเสียงสั่นพร่า

                “นั่นเรื่องของคุณ”

กลางฟ้านึกถึงคำขู่ของวิธูตอนที่ยื่นคำขาดกับเธอเมื่อคราวก่อน รู้ดีว่าเขาทำอย่างที่พูดแน่นอน แต่เธอยังกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้ เธอนึกถึงความสนุกและอิสระที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดชีวิตวัยสาว และกำลังจะจบลงในไม่กี่นาทีข้างหน้าอย่างน่าเสียดาย

“ขอร้องนะ มาริช” มือข้างหนึ่งเขย่าต้นแขนของเขาเหมือนเด็กน้อยวอนผู้ใหญ่ ไม่เหลือสีหน้าท้าทายอย่างอวดดีอีกต่อไป

"คุณทำตัวเองทั้งนั้น ก่อเรื่องอะไรก็รับผลไปก็แล้วกัน”

“อย่าทำแบบนี้กับฉันเลย คุณวางหูก่อนได้มั้ยอะ"

เสียงสั่นพร่าทำให้ชายหนุ่มก้มหน้าลงมอง ดวงตากลมโตมีน้ำตาคลอและกำลังจะล้นจากทำนบ ในที่สุดหญิงสาวอวดดีที่ทำลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้เมื่อสักครู่ กลายสภาพเป็นสาวเจ้าน้ำตาไปเสียแล้ว ดวงตาซุกซนเหมือนแมวน้อยกำลังมองเขาอย่างเว้าวอนและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า แล้วน้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะลงบนแก้มใส...

มาริชกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อยู่ดีๆ เธอก็ดูเป็นหญิงสาวบอบบางคนหนึ่งที่เหมือนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และเขาตระหนักว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนร้องไห้แล้วน่าเอ็นดูเหมือนเธอเลย

“ฮัลโหล”

เสียงวิธูตอบรับที่ปลายสาย ดึงให้ชายหนุ่มกลับมาสู่ความเป็นจริง ดวงตาที่มีน้ำตาจับจนขนตาเป็นก้อนมองเขาร้อนรน เหมือนรอคอยโอกาสสุดท้ายที่มาริชจะตัดสายทิ้งก่อนที่จะรายงานเรื่องทั้งหมด

“มาริช... ขอร้อง” เสียงกระซิบอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง ทำเอาหัวใจของคนตัวโตอ่อนยวบไปกับน้ำตาที่ร่วงพรู

แต่แล้วสายตาของเขาแปรเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม เขามองใบหน้าเธอนิ่งแล้วพูดกรอกลงในโทรศัพท์ว่า

“ครับ สารวัตร ผมเอง ผมจะขอรายงานเรื่องกลางฟ้าวันนี้ครับ"

ได้ยินแค่นั้น กลางฟ้าถึงหมดแรงจนต้องทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้น จบแล้ว... อิสรภาพของเธอสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ และที่น่าเจ็บใจก็คือเธอเป็นคนที่จบอิสรภาพนั้นด้วยน้ำมือของตัวเอง หญิงสาวซุกใบหน้ากับหัวเข่า ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างสิ้นหวัง เธอโทษใครไม่ได้เลย ทุกอย่างเป็นเพราะความอวดเก่งของตัวเองแท้ๆ

เธอนั่งกอดเข่าร้องไห้เงียบๆ รอคอยคำสั่งส่งกลับเข้ากรงขังไม่ต่างจากนักโทษรอคำตัดสินลงโทษ

                “ผมโทร.มารายงานว่า วันนี้ผมพากลางฟ้าไปทำธุระ ตอนนี้เธอทำธุระเสร็จแล้ว ผมเพิ่งส่งเธอกลับบ้านครับ”

                กลางฟ้าถึงกับชะงักค้าง เงยใบหน้าเปื้อนน้ำตาขึ้นมาจากที่ซุกบนเข่า เห็นมาริชกำลังเท้าสะโพกพูดโทรศัพท์โดยที่ไม่ได้มองมาทางเธอ

                “ครับ สารวัตร... ตอนนี้กลางฟ้าเข้าบ้านไปแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ ราตรีสวัสดิ์”

                เธอค่อยๆ ยืนขึ้นมามองเขาด้วยสายตาไม่เชื่อ มองชายหนุ่มกดปุ่มตัดสายและสอดโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋าหลังของกางเกงโดยไม่ยอมสบตาเธอ

                “คุณ... คุณไม่รายงานพี่วิธูแล้วเหรอ” เธอเงยหน้าถามเขา น้ำเสียงเหมือนยังไม่ค่อยมั่นใจดีนัก

                เขาก้าวเข้ามาประชิดตัวกลางฟ้าอีกครั้ง มือใหญ่ๆ สองข้างกุมขากรรไกรของเธอไว้ จับใบหน้าของเธอเชิดขึ้นมาจนเงยขึ้นสบตาเขา

                ดวงตาเป็นประกายระริกใสซื่อบริสุทธิ์จ้องเขานิ่ง ปกติแล้วถ้าเห็นผู้หญิงร้องไห้แบบนี้ หัวใจของเขาจะต้องอ่อนเหลวเป็นขี้ผึ้งลนไฟ แต่กับผู้หญิงลูกไม้ร้อยแปดคนนี้ เขายังไม่วางใจเสียทีเดียว

                “นี่ไม่ได้แกล้งบีบน้ำตาใช่มั้ย” เขาหรี่ตามองเหมือนจับผิด

                กลางฟ้าไม่ตอบ หยาดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตา หยดลงมาสัมผัสปลายนิ้วของชายหนุ่มราวกับช่วยยืนยันความจริง

มาริชขบกรามข่มอารมณ์ หัวใจกำลังพ่ายแพ้ต่อน้ำตาอุ่นๆ ที่ไหลลงมาตามนิ้ว เขานึกอยากโน้มใบหน้าลงจูบเช็ดน้ำตาให้เธอ แล้วโอบร่างน้อยๆ ไว้กับอกเพื่อปลอบขวัญ แต่แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อน เธอยังทำท่าอวดเก่งใส่เขาจนน่าหมั่นไส้ขนาดไหน

ไม่ต้องใจอ่อนให้ยายนี่หรอก 

เขาปล่อยมือจากใบหน้าเล็กๆ คว้าต้นแขนเธอและลากตัวปลิวไปที่โต๊ะอาหาร ดึงเก้าอี้ออกตัวหนึ่งออกมาแล้วจับเธอนั่งลง ส่วนเขาก็เดินอ้อมมาอีกฝั่ง ดึงเก้าอี้อีกตัวมาออกมา แต่ก่อนที่จะหย่อนตัวลงนั่ง ภาพของสาวน้อยที่ยังนั่งสะอื้นเบาๆ และมีน้ำตาเปื้อนแก้มนิ่มเนียน ทำให้เขากำมือเป็นหมัดแน่นด้วยความไม่สบายใจ 

เขาเหลียวมองรอบตัวเพื่อหากล่องกระดาษทิชชูแต่ไม่เจอ จึงล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา

“เอ้า เช็ดหน้าเช็ดตาซะ” เขาสั่งเสียงดุๆ พร้อมกับโยนผ้าเช็ดหน้าไปตกแหมะบนโต๊ะตรงหน้าเธอ

กลางฟ้าเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าแตะใต้ดวงตาและตามแก้ม ท่าทางสูดจมูกไปด้วยดูเป็นเด็กน้อยน่าเวทนา

“หยุดร้องไห้ได้แล้ว เดี๋ยวก็โทร.กลับไปหาสารวัตรซะหรอก!” เขาพูดเสียงหงุดหงิด

เวรเอ๊ย เขารู้ตัวว่าไม่ได้หงุดหงิดกลางฟ้า แต่หงุดหงิดตัวเองต่างหากที่กำลังจะทนน้ำตาของเธอไม่ได้ เขามองกลางฟ้าลนลานเช็ดน้ำตาระหว่างพยายามข่มสะอื้นไปด้วย แล้วเค้นเสียงให้โหดขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ

“ฟังนะ ตอบคำถามผมดีๆ อย่าตุกติก อย่าเล่นลูกไม้กับผมอีก โอเคไหม” เขาชี้หน้าเธอระหว่างนั่งลง

                “แต่คุณจะไม่รายงานเรื่องวันนี้กับพี่วิธูจริงๆ แล้วใช่ไหม” กลางฟ้าสะอื้นปากคอสั่น ย้ำถามให้แน่ใจอีกครั้ง

                “ถ้าไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ ผมจะโทร.กลับไปหาพี่วิธูแน่นอน” เขาเล่นบทโหดเหมือนตอนสอบปากคำผู้ต้องหา หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วกระแทกแรงๆ กับโต๊ะ ราวกับยืนยันคำพูดของตัวเองว่าเอาจริงแล้ว

                กลางฟ้ามองโทรศัพท์มือถือของมาริชด้วยสายตาหวาดๆ เธอเงยหน้าขึ้นแล้วรีบพยักหน้าหงึกหงักเคร่งครัด “ได้เลย คุณอยากถามเรื่องอะไร ฉันจะตอบคุณให้กระจ่างทุกเรื่อง”

                “คำถามแรก” เขาถามเสียงเข้ม “จงตอบคำถามว่า แค่จะถูกส่งกลับบ้าน ทำไมถึงกับต้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร”

                คนถูกซักสะดุ้ง ยังคงมีน้ำตาเปื้อนเป็นปื้นอยู่ที่แก้ม “อ้าว ตกลงคุณไม่ได้อยากรู้ว่าวันนี้ฉันไปไหนหรอกเหรอ”

                “ไม่ต้องถาม ตอบ!” เขาตะคอกและขยับโทรศัพท์บนโต๊ะไปด้วย หญิงสาวปราดตามองทีหนึ่งแล้วระล่ำระลักตอบ

              “ฉะ... ฉันยังไม่อยากกลับบ้านน่ะ อยู่บ้านแล้วมัน... เอ่อ มันไม่มีอิสระ”

                “ไม่ชัดเจน ไม่เข้าใจ อธิบาย!”

                “โห ดุจัง” หญิงสาวบ่นเบาๆ เหลือบตาขึ้นมองตาดุๆ ของอีกฝ่ายแล้วรีบตอบว่า “คือ... อันที่จริงครอบครัวฉันอบอุ่นมากนะ แต่บางทีมันอบอุ่นมากเกินไป ฉันเป็นลูกคนที่พ่อแม่หวงมากที่สุดในบรรดาพ่อแม่บนโลกนี้เลยมั้ง พวกเขาไม่เคยละสายตาจากฉัน แทบจะติดตามฉันไปทุกที่ ไม่ยอมให้ฉันออกไปทำงานนอกบ้านหรือไปไหนไกลๆ เลย ฉันว่าถ้าทำได้ พ่อกับแม่คงเลี้ยงฉันไว้ในบ้านไปจนแก่ตายเลยล่ะ”

มาริชทำหน้าสยอง “ทำไมเป็นงั้นล่ะ”

                “คือมันมีเหตุผลบางอย่างที่ทั้งคู่ห่วงฉันมากเป็นพิเศษกว่าพี่น้องคนอื่นน่ะ เรื่องมันมีอยู่ว่าตอนเด็กๆ พ่อกับแม่เคยพาพวกเราไปอุทยานในป่า ตอนนั้นฉันอายุสักสี่ขวบ ระหว่างที่ทุกคนกำลังกางเตนท์ ฉันก็ดันเดินซนจนหายเข้าไปในป่าลึก แล้วหลงป่าอยู่ในนั้น...”

                “หลงป่าตอนอายุสี่ขวบเนี่ยนะ รอดมาได้ยังไงเนี่ย”

                “ฉันเองก็จำเหตุการณ์นั้นไม่ค่อยได้แล้วละ มันคงเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวมากจนสมองฉันตัดขาดไปจากความทรงจำนั้นไปเลย เท่าที่เคยฟังพ่อกับแม่เล่าก็คือฉันหายไปสามวันเต็ม ตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่าฉันคงโดนเสือจับไปกิน ไม่ก็หิวตายหรือจมน้ำในลำธารไปแล้ว ทั้งทหารตำรวจกระจายกำลังกันค้นหาทั้งป่าแต่ก็หาฉันไม่เจอ จนกระทั่งเช้าวันที่สาม พี่ตำรวจคนหนึ่งก็อุ้มฉันออกมาจากพุ่มไม้ ฉันไปนอนหลับอยู่ในนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้ ตอนนั้นพ่อกับแม่จิตตกมาก คิดว่าเป็นความผิดของพวกเขาที่ทำให้ฉันหายตัวไปจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด”

                “ก็เลยแทบจะขังคุณไว้ในบ้านเนี่ยนะ” มาริชทำหน้าเหลือเชื่อ

                “ก็ทำนองนั้น และอาจเป็นเพราะว่าหลังจากนั้น ฉันก็เริ่มกลัวสิ่งที่ไม่เคยกลัวมาก่อน คิดว่าคงหลอนจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ฉันกลัวที่แคบ กลัวความมืด และบางทีก็ฝันร้ายว่าหลงวนอยู่ที่ไหนสักแห่งออกมาไม่ได้ ครั้งหนึ่งตอนวัยรุ่น ฉันเล่นซ่อนหาในตู้เสื้อผ้า จู่ๆ กลัวจนสติแตกแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นไฮเปอร์เวนติเลชั่น[1]น่ะ”

                ดวงตาคู่สวยของมาริชอ่อนลงด้วยความเห็นใจ

                “แต่ฉันก็รักษาจนดีขึ้นมากแล้วนะ หลังๆ ก็แทบไม่มีอาการนี้อีกแล้ว เพียงแต่พ่อกับแม่ยังคงวิตกไม่เลิกจนไม่ยอมปล่อยให้ฉันไปไหน คุณเข้าใจไหม ฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่กับบ้านไปตลอดเพียงเพราะกลัวจะมีอะไรเกิดขึ้นกับฉันได้หรอก”

                “ถ้าหวงคุณขนาดนั้น แล้วคุณมาไกลถึงที่นี่ได้ยังไง”

                น้ำตาระลอกใหม่ไหลออกมาอีกครั้ง กลางฟ้าใช้ผ้าเช็ดหน้าของมาริชเช็ดน้ำตากับน้ำมูกไปพร้อมกับเล่าด้วยน้ำเสียงรันทดจนเกือบจะปล่อยโฮ “เมื่อประมาณครึ่งปีก่อน ฉันขอพ่อกับแม่ว่าฉันอยากออกมาใช้ชีวิตตามลำพัง พวกเขาไม่ยอม ฉันก็เลย... ก็เลย...”

                มาริชขมวดคิ้วรอฟัง

                “ฉันก็เลยแกล้งทำ เอ่อ... ทำเป็นป่วยน่ะ”

                “หมายถึง... ไฮเปอร์เวนติเลชั่นน่ะเหรอ”

                เธอพยักหน้าทั้งน้ำตา “ฉันก็ไม่อยากหรอกนะ รู้สึกตัวเองเป็นลูกที่แย่มาก แต่พวกเขากลัวว่าฉันจะช็อกอีกรอบ เลยจำใจปล่อยฉันมา และฝากฝังพี่วิธูให้ดูแลฉัน แต่มีเงื่อนไขว่าฉันต้องเชื่อฟังพี่เขา ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องกลับบ้าน”

“งั้นก็เชื่อฟังพี่เขาสิ จะได้ไม่มีปัญหา”

“แต่ฉันก็อยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้างเหมือนกันนี่นา กะอีแค่ไปเที่ยวก็ต้องรายงานตัวเนี่ย คนอายุยี่สิบห้าที่ไหนต้องทำแบบนี้บ้าง ทำไมนะ แค่อยากมีชีวิตเหมือนคนธรรมดาถึงได้ยากลำบากขนาดนี้ด้วย... ” แล้วเธอก็ปล่อยโฮออกมา พร้อมกับสั่งน้ำมูกดังพรืดใส่ผ้าเช็ดหน้าจนชายหนุ่มเผลอเบ้ปากด้วยความสยอง

                ตอนนี้เขาเห็นภาพแล้วว่าทักษะการโกหกเพื่อเอาตัวรอดในระดับตัวแม่ของเธอ มีที่มาแบบนี้นี่เอง แต่เรื่องราวชีวิตแสนรันทดชนิดร้องไห้จนผ้าเปียก ฟังแล้วนึกขำปนเวทนา

                เขาลุกจากเก้าอี้ ย้ายไปนั่งตัวข้างเธอ เอื้อมมือใหญ่ๆ ออกไปขยี้ผมของหญิงสาวแล้วโยกเบาๆ กลางฟ้าเงยหน้าขึ้นจากผ้าเช็ดหน้า เห็นเขากำลังอมยิ้มมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน 

                ให้ตายสิ! เวลาเขาทำหน้าตาแบบนี้แล้ว วิธูที่แสนสุภาพใจดียังต้องชิดซ้าย เธอสูดจมูกนิดๆ ก่อนถามว่า “ตกลงคุณพอใจกับคำตอบของฉันแล้วใช่ไหมมาริช”

                ผู้กองหนุ่มยังคงยิ้มอ่อนโยน แต่ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า

                “ยัง ผมยังไม่ได้ถามเลยว่าวันนี้คุณแอบไปไหน และไปเจอกับใคร”

                "โธ่...คิดว่าลืมไปแล้วซะอีก" หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง

                “ไม่ลืมแน่นอน และนี่คือสิ่งที่ผมต้องการรู้มากที่สุดด้วย” เขาเท้าคางกับโต๊ะมองเธอ “และผมก็เชื่อว่าคุณคงไม่ได้แค่นัดเพื่อนสาวไปกินไอติมทั้งวันหรอก”

                กลางฟ้าสบสายตาอ่อนโยนของมาริช แต่น้ำเสียงเข้มของเขาทำให้กลางฟ้าต้องรีบคิดหาคำตอบ ใจหนึ่งก็ไม่อยากโกหกเขาเลย เมื่อสักครู่เขาอุตสาห์ช่วยเธอโกหกวิธู แต่ข้อตกลงระหว่างเธอตกลงกับน่านน้ำก็สำคัญเหมือนกัน หลังจากชั่งใจอยู่พักหนึ่ง เธอก็ตอบว่า

"คือ... ฉันนัดพบกับ... กับแหล่งข้อมูลสำหรับเขียนหนังสือน่ะ” เธอตอบตามความเป็นจริง

                “นี่คุณเขียนหนังสือบ้าอะไรเนี่ยถึงกับต้องไปหาข้อมูลถึงในป่า แล้วยังต้องมีแหล่งข้อมูลอะไรนี่อีกด้วย”

                “แหม ทีคุณจะจับโจรยังต้องมีหลักฐานเลย อาชีพฉันก็เหมือนกัน จะเขียนหนังสือสักเรื่อง ข้อมูลต้องแน่น เนื้อหาต้องเป๊ะ คุณไม่ใช่นักเขียนไม่เข้าใจหรอก”

                “เออ ผมไม่เข้าใจอะ” มาริชเอนหลังพิงเก้าอี้พลางยกสองมือขึ้นประสานกันหลังศีรษะ “และไม่สนใจด้วย แต่บอกว่ามาแหล่งข้อมูลของคุณคือใครดีกว่า”

                “เขา เอ่อ... คือนักเขียนน่ะ เขามีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันเขียนพอดี” สุดท้ายก็ต้องโกหกจนได้ 

                “นักเขียนเหรอ ชื่ออะไรล่ะ”

                “บอกไม่ได้หรอก ข้อตกลงของเราคือห้ามฉันเปิดเผยตัวตนของเขา ไม่งั้นเขาจะไม่ให้ข้อมูลฉันอีก เพราะอย่างนี้ไงล่ะ วันนี้ฉันถึงต้องหนีคุณไปพบเขา”

                เธอเหลือบมองมาริชด้วยใจลุ้นระทึกว่าเขาจะเชื่อคำโกหกของเธอหรือเปล่า สีหน้าของชายหนุ่มเหมือนยังไม่ปักใจเชื่อเสียทีเดียว

                “อย่าให้รู้ว่าคุณโกหกผมอีกก็แล้วกัน ถ้าไม่อยากมีปัญหาอย่างวันนี้อีก เวลาจะไปไหน คุณต้องบอกผมทุกครั้ง โอเคนะ”

                กลางฟ้าพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟังจนเขาทำสีหน้าพอใจจากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับ เธอเดินตามเขาไปที่ประตูบ้าน ก่อนก้าวเท้าพ้นประตู มาริชก็หันมาย้ำอีกครั้งว่า

“ผมพูดจริงนะกลางฟ้า คำว่า ‘ต้องบอกทุกครั้ง’ หมายถึงทุกครั้งจริงๆ นะ เข้าใจไหม” 

                กลางฟ้าถอนหายใจเบื่อๆ “คุณจะตามฉันไปทุกที่เลยเหรอ ถามจริง”

                “เอาเป็นว่าคุณรายงานทุกครั้งก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวผมดูความเหมาะสมอีกที” เขาหันหลังก้าวออกจากประตู และก่อนที่กลางฟ้าจะปิดประตูตามหลัง มือข้างหนึ่งของมาริชก็จับประตูไว้ แล้วใบหน้าของเขาก็ยื่นกลับเข้ามาใหม่อีกครั้ง

                “เอ่อ... กลางฟ้า...”

                “อะไรเหรอ”

                “เอ่อ... คุณ... คุณไม่มีอาการแบบนั้นนานแค่ไหนแล้วนะ”

                “หมายถึงไฮเปอร์เวติเลชั่นน่ะเหรอ”

                “ใช่”

                “โอ๊ย.... นานหลายปีแล้ว บอกเลยว่าถ้าจะเกิดขึ้นอีก จะต้องเจอเรื่องน่าตกใจประมาณสึนามิถล่มเท่านั้น” แล้วเธอก็เอียงหน้ามองเขาด้วยความสงสัย “ถามทำไมเหรอ”

                เขาสบตาเธอเนิ่นนานอยู่หลายวินาที “เปล่า ผมแค่... เอ่อ นึกว่าถ้าเกิดคุณมีอาการกำเริบตอนอยู่บ้านคนเดียว แล้วคุณจะทำยังไง”

                กลางฟ้ายิ้มสดใสให้เขา “มันไม่น่าเกิดขึ้นอีกแล้วล่ะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก”

                เขายืนมองเธอเงียบๆ อยู่นาน ประกายภายในดวงตาของเขาในเวลานี้ดูหวานเชื่อมจนน่าหลงใหล

                “ถ้ามีอะไร โทร.หาผมได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” มาริชสบตาเธออีกพักหนึ่ง ก่อนผลุบออกจากประตูเธออีกครั้ง และโผล่หน้ากลับมาภายในสามวินาที

                “ล็อกประตูบ้านดีๆ ด้วย”

                กลางฟ้าอดขำไม่ได้ “ก็ไปซะทีสิ ฉันจะได้ล็อกประตู”

                มาริชปิดประตูอีกครั้งและหนนี้เขาไม่กลับมาอีก

 

[1] ไฮเปอร์เวนติเลชั่นเป็นอาการเครียดอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้ที่เป็นมีการหายใจเข้าลึกและเร็วเกินความต้องการของร่างกาย เมื่อเอาแต่หายใจเข้า และไม่หายใจออก คาร์บอนไดออกไซด์จึงลดลงจากกระแสเลือด จึงทำให้เกิดการหายใจขัด มือเกร็ง ตัวเกร็ง นิ้วจีบ วิธีแก้ไขก็คือทำให้ผู้ที่มีอาการคลายความเครียด และให้หายใจใส่ถุงหรืออาจใช้กระดาษทำเป็นกรวยแล้วครอบปากหายใจ เพื่อให้มีคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือดเพิ่ม
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น