15

ตอนที่ 15

 

 * * * * * * * * * *

“สวัสดีค่ะ คุณพี่”

เสียงของบราลีดังออกมาจากลำโพงโทรศัพท์มือถือของอมร ชายสูงวัยเผยยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแจ่มใสนั้นทำให้เขาอารมณ์ดีได้เสมอ

“สวัสดีจ้ะหนูลี” เขากรอกเสียงลงไป ก่อนจะนิ่งเงียบลงอย่างลังเล

“ผลการประชุมเป็นอย่างไรบ้างคะ”

“ผ่านไปด้วยดีจ้ะ”

“ยินดีด้วยนะคะ ลีนึกอยู่แล้วว่ามันต้องสำเร็จด้วยดี”

“ขอบใจจ้ะ” อมรเอ่ยอย่างรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง ทุกอย่างไม่เคยพลาดเป้าหมายที่วางเอาไว้ นั่นเป็นเพราะเขาพิถีพิถันกับทุกรายละเอียดของทุกงาน เขาทำงานหนักเพื่อที่จะได้มาซึ่งความสำเร็จ จนกระทั่งสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนถึงระดับนี้ได้

แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นกับเขาจนได้

อมรหงุดหงิดทุกครั้งที่นึกถึงจุดบกพร่องข้อเดียวในชีวิตของเขา และสิ่งนั้นมันนำพามาถึงจุดจบในชีวิตการแต่งงานของเขา

การหย่าร้าง...เป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความล้มเหลวของเขา และตราหน้าเขาว่าเป็นคนที่ไม่สมบูรณ์พร้อม

แม้เขาจะจำได้ว่าวินาทีแรกที่เห็นปานวาด โลกของเขาเรืองรองไปด้วยความหวังเช่นไร แต่ทุกอย่างมันกลับพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่าด้วยตัณหาที่ไม่รู้จักพอของเธอ

“คุณพี่เห็นข่าวหรือยังคะ”

อมรสะอึก คำถามนั้นดึงเขาให้ผละจากอดีตอันแสนเจ็บปวดให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน...ปัจจุบันที่กำลังจะกลายไปเป็นอนาคตอันสดใสของเขาอีกครั้ง เขารู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ที่อยู่ๆ บราลีก็กลับเป็นคนพูดเรื่องนั้นขึ้นมาเสียเอง แทนที่จะเป็นเขาที่คาดคั้นเอาความจริงจากเธอ

“เห็นแล้ว” เขาตอบสั้นๆ

ใช่...หลังจากฟังคำของอดีตภรรยา เขาก็กลับมาที่ห้อง เปิดคอมพิวเตอร์แบบพกพา ลังเลอยู่นานหลายนาที จนกระทั่งตัดสินใจเปิดข่าวอ่านตามที่ปานวาดบอก

แล้วเขาก็ได้พบกับข่าวที่ทำให้หัวใจของเขาแทบลุกเป็นไฟ

ตอนแรกที่เห็นภาพของบราลีกำลังรับประทานอาหารกับชายหนุ่ม เขาก็รู้สึกโกรธ แต่เมื่อพินิจดูบรรยากาศของร้านอาหารแห่งนั้น เขาก็จำได้ว่านั่นเป็นร้านอาหารร้านโปรดของเขา เขารู้จักและคุ้นเคยกับเจ้าของร้านดีและบราลีก็รู้ในข้อนี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะพาผู้ชายชู้อย่างที่ข่าวเขียนไปนั่งรับประทานอาหารอย่างโจ่งแจ้งขนาดนั้น และเมื่อมาพิจารณาดีๆ แล้ว รูปนั้นมันก็ไม่ได้สื่อไปในทางไม่ดีเลย สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงก็มีเพียงข้อความอันไร้จรรยาบรรณของหนังสือที่พาดอยู่ใต้รูปต่างหาก คิดได้ดังนั้นอมรจึงคลายความขุ่นใจลง แต่ก็ยังอยากได้ยินคำอธิบายจากปากของภรรยาสาวอยู่ดี

“แล้วคุณพี่คิดว่าอย่างไรคะ”

คำถามที่ย้อนมาทำให้อมรรู้สึกอึ้ง ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วย้อนถามกลับไป “หนูลีว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรล่ะ”

“ไม่ทราบสิคะ ฉันถึงได้ถามไงคะ”

คราวนี้อมรหัวเราะเสียงดัง “ฉันคิดว่าหนูลีคงอธิบายเรื่องนี้ได้”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบ “ผู้ชายคนนั้นคือคุณเปลวเทียน รูปนั้นเป็นตอนที่ฉันพาเขาไปทานข้าวที่ร้านเจ๊คิ้มค่ะ”

อมรยิ้ม มันเป็นคำอธิบายสั้นๆ ที่ได้ใจความครบถ้วน เธอแนะนำผู้ชายคนนั้นอย่างเปิดเผย และบ่งบอกถึงสถานที่ในภาพที่เขาสามารถจะตรวจสอบได้ เพราะเจ๊คิ้มรู้จักมักคุ้นกับเขาดี ไม่มีทางที่เจ้าของร้านอาหารแสนอร่อยคนนั้นจะยอมให้ใครมาทำสิ่งที่ทรยศหักหลังเขาในร้านของตัวเองแน่ๆ

“ฉันก็คิดว่าน่าจะใช่นะ ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรกับที่คนเขาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก ก็ฉันเป็นคนเชิญคุณเปลวเทียนไปที่นั่นเองนี่นา จะมาเขียนว่าเธอแอบไปเจอกับเขาได้อย่างไรกัน...ใช่ไหม”

“คุณพี่เชื่อฉันใช่ไหมคะ”

“ใช่” อมรตอบอย่างมั่นใจ นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่ได้แสดงท่าทางโกรธเกรี้ยวออกไปเหมือนตอนที่เห็นปานวาดกอดรับฟัดจูบอยู่กับชายหนุ่มคราวลูกคนนั้น

มีความเป็นไปได้สองทางก็คือ เขารักและเชื่อใจบราลีมากกว่า หรือไม่...ก็เป็นพราะเขารักปานวาดมากเสียจนมันแปรเปลี่ยนเป็นความแค้นอันทรงพลัง เข้าทำนองที่ว่า ‘รักมาก ก็แค้นมาก’ จนลืมสติก็เป็นไปได้

“ถ้าอย่างนั้นฉันก็สบายใจค่ะ อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณพี่จะคิดกับเรื่องนี้อย่างไร”

“ฉันคงตัดสินใจไม่ผิดใช่ไหม ที่เชื่อใจเธอ” อมรถามออกไปอย่างเป็นกังวลนิดๆ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมา มันสอนให้เขารู้ว่าความบกพร่องในร่างกายของเขาอาจทำให้ความซื่อสัตย์นั้นถูกบั่นทอนลงได้ด้วยสัญชาตญาณดิบของมนุษย์

“ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเป็นกังวลนะ ลืมๆ มันไปเสียเถอะ เรื่องไม่มีมูล อีกหน่อยคนมันก็เลิกสนใจไปเองแหละ” อมรบอก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องมาไถ่ถามถึงสุขภาพของแม่ยาย จากนั้นก็พูดคุยสัพเพเหระกับภรรยาสาวอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะวางสายไป

เขาโยนโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงบนเตียง ก่อนจะมองดูตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกหวั่นใจ

‘นอกจากเงินแล้ว คุณมีอะไรที่ผู้ชายควรให้กับผู้หญิงบ้างล่ะ’

เสียงของปานวาดก้องอยู่ในสมองของเขา และมันก็คือความจริงที่เขาปฏิเสธไม่ได้

บราลียังสาว ยังสวย ร่างกายของเธอเปล่งปลั่งไปด้วยพลังแห่งอิตถีเพศ ส่วนเขาคือชายแก่ที่มีพุงหลาม ผิวหนังเหี่ยว กล้ามเนื้อก็ไม่แข็งปั๋งเหมือนหนุ่มๆ อีกแล้ว ความแตกต่างนี้เองอาจเรียกร้องให้เธอต้องการอะไรที่มากไปกว่าสิ่งที่เขามีอยู่ และเปลวเทียนก็อาจตอบโจทย์นั้นได้ก็ได้

ถ้าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับปานวาดมันหวนกลับมาเกิดกับบราลีอีกครั้ง มันคงจะเป็นเรื่องอัปยศอดสูสำหรับเขาแน่ๆ เพราะคราวนี้มันอาจไม่ได้รู้กันในวงจำกัดเหมือนคราวที่แล้ว

อมรก้มลงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกดเลขหมายแล้วยกขึ้นมาแนบหู เมื่อปลายสายรับแล้ว จึงกรอกเสียงอันหนักแน่นลงไป

“ไอ้เข้ม ฉันมีเรื่องจะไหว้วานแกสักหน่อย...”

เมื่อบราลีเดินออกจากบ้านไปถึงที่จอดรถ เธอก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นนายเข้มกำลังเช็ดถูรถกอล์ฟคันโปรดที่เธอใช้ขับภายในรีสอร์ตอยู่เป็นประจำด้วยท่าทางแข็งขัน

“นายเข้ม” เธอร้องเรียกเมื่อเดินเข้าไปใกล้

ผู้ถูกเรียกหยุดมือจากการทำความสะอาดโครงรถ ก่อนจะหันมายิ้มให้เธอ “คุณลีจะไปทำงานหรือยังครับ เดี๋ยวผมขับไปส่ง”

“นึกครึ้มอะไรขึ้นมา ถึงจะขับไปส่งฉัน” เธอหัวเราะอย่างนึกขัน

“เอ่อ...” นายเข้มมีท่าทางอึกอักลังเล

บราลีจ้องมองชายหนุ่ม ก่อนจะนึกขึ้นได้ถึงสถานการณ์อันคับขันที่ระอุขึ้นมาตั้งแต่เมื่อเย็นวาน

“คุณแม่สั่งให้เธอมาคอยประกบฉันใช่ไหม”

นายเข้มสะอึก แต่ก็ไม่ตอบอะไร เพราะคงโดนกำชับมานักหนา

หญิงสาวหันไปมองที่ประตูบ้านหลังใหญ่อย่างรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองมา แล้วเธอก็พบว่าเป็นมารดาของเธอนั่นเองที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้น และกำลังทอดตาจับมาที่เธอด้วยแววตาแข็งกร้าว

บราลีถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันกลับไปหาคนขับรถหนุ่มอย่างจำนน “ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ ฉันสายแล้ว”

นายเข้มรับคำอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะกระโดดขึ้นไปประจำที่พลขับ บราลีค่อยๆ ก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังแล้วเหลือบมองไปยังประตูบ้านอีกครั้ง ก็ยังเห็นมารดาของเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้อย่างนั้น

หญิงสาวเบนสายตาหนีไปทางอื่นขณะรถแล่นออกจากบริเวณบ้าน ครั้นเมื่อมาถึงทางแยกที่ตีนเนิน บราลีก็เหลียวไปมองถนนซึ่งทอดไปสู่บ้านพักริมน้ำอย่างนึกเสียใจ เพราะไม่มีโอกาสจะแวะไปขอโทษกวินเกี่ยวกับนัดดินเนอร์เมื่อเย็นวานอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ก่อนจะออกมาจากบ้านได้เลย

เมื่อนายเข้มขับรถเลี้ยวไปอีกทาง เธอจึงได้แต่ถอนใจออกมา แล้วนั่งรอจนกระทั่งรถไปจอดที่หน้าอาคารหลังใหญ่ จึงลงจากรถแล้วก้าวเดินไปยังห้องทำงานอย่างหงอยเหงา

ทว่า...เมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้าไปแล้ว บราลีก็กลับต้องชะงัก เมื่อเห็นใครบางคนมานั่งในห้องอยู่ก่อนแล้ว หลังและไหล่ของใครคนนั้น ประกอบกับเรือนผมดำขลับของเขาทำให้เธอถึงกับร้องเรียกเขาออกไปอย่างลืมตัว

“วิน”

ชายหนุ่มหันมามองเธอ เขายิ้มแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ในมือมีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเธอคิดว่าเขาหยิบมาจากโต๊ะเตี้ยกลางชุดโซฟารับแขก

“วินเข้ามาได้อย่างไรกันคะ” เธอเอ่ยถาม ก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าสะพายบนโต๊ะแล้วทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่ง

“วินมาหาลี ไม่เห็นใครอยู่ข้างนอก ก็เลยเดินเข้ามานั่งรอ”

แม่บ้านคงมาทำความสะอาดแล้วไม่ได้ล็อกประตูเหมือนเคย เพราะเป็นเวลาที่บราลีจะมาถึงที่ทำงานพอดี แต่วันนี้เธอมาสาย จึงมาถึงห้องทีหลังกวิน

“ทำไมลีถึงไม่ไปตามนัด” เขาทวงถาม

“เอ่อ...คือ...”

“เพราะไอ้นี่ใช่ไหม” กวินวางนิตยสารกอสซิปเซเลบลงบนโต๊ะ ภาพมื้ออาหารระหว่างเธอกับเขาปรากฏขึ้นในสมองของเธอชัดเจนกว่าภาพถ่าย

บราลีพยักหน้าหงึกๆ แทนคำตอบ

“ทำไมล่ะ ลีก็รู้ดีนี่ว่าวันนั้นมันไม่ได้มีอะไรเลยนะ เราแค่ทานข้าวกัน ลีจะใส่ใจอะไรกับไอ้นักข่าวบ้าๆ ที่ถ่ายรูปไปแล้วนั่งเทียนเขียนเป็นตุเป็นตะแบบนี้”

“แต่คุณแม่เป็นคนเอาหนังสือเล่มนี้มาให้ลีดู” เธอบอกเขา ซึ่งก็เป็นประโยคไม่ยาวนักที่ทำให้กวินถึงกับชะงักไปนานทีเดียว

“คุณแม่รู้แล้วว่าวินคือนักเขียนคนโปรดของคุณอมร ท่านห้ามไม่ให้ลีพบวินอีก”

ท่าทางของกวินนั้นดูเหมือนจะตะลึงงันไม่น้อย บราลีเข้าใจว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันระหว่างเขากับมารดาในช่วงก่อนที่เขาจะบอกเลิกเธอนั้น คงทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจที่คราวนี้ท่านก็เข้ามาเกี่ยวข้องอีกครั้ง บราลีอยากบอกให้เขารู้ว่าเธอเองก็อยากจะฝืนคำสั่งของท่านเหมือนกัน แต่ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนั้นได้ เธอเป็นภรรยาของคุณอมร และมารดาของเธอก็ยังมีโรครุมเร้าอยู่มากมายที่ทำให้เธอไม่อาจสร้างความผิดหวังให้ท่านได้ โดยเฉพาะโรคหัวใจที่ต้องการการดูแลทางด้านอารมณ์เป็นพิเศษ

“เราสองคนคงจะต้องห่างกันสักพัก” บราลีเอ่ยเสียงเบาหวิว

“วินอธิบายให้คุณแม่ฟังได้นะ”

“อย่าเลยค่ะ” เธอส่ายหน้า “เปล่าประโยชน์ ลีอธิบายแล้ว แต่ท่านไม่ฟัง”

“ทำไมล่ะ เราจะคบกันเป็นเพื่อนไม่ได้หรือ”

“วินคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือคะ” บราลีย้อนถามกลับไป

“เอ่อ...” กวินมีท่าทางอึกอัก

เธอรู้ดีว่าเขาไม่คิดกับเธอแค่เพื่อนแน่ๆ หลายครั้งที่เขาแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง และก็เป็นหลายครั้งที่เธอตอบสนองเขา หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป บางทีมันอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมาจริงๆ ก็ได้

“คุณแม่พูดถูกนะคะ” หญิงสาวเอ่ย “ตอนนี้ลีไม่ใช่บราลีคนเดิมแล้ว เกิดภาพแบบนี้ออกไปมันย่อมไม่ดีไม่งาม มันจะเสื่อมเสียไปถึงคุณอมรด้วย ถึงแม้เราจะบริสุทธิ์ใจก็ตาม แต่คนที่ไม่รู้จักเรา เขาไม่เข้าใจหรอกค่ะ แล้วยิ่งถ้ามีคนถ่ายภาพที่เรา...”

บราลีทอดเสียงลงอย่างกระดากอาย ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่น้ำตกซึ่งก็ทำเอากวินนิ่งไปนาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“วินเข้าใจ”

“ถ้าอย่างนั้นวินกลับไปเถอะค่ะ ถ้ามีอะไรบอกชมพู่ได้นะคะ เขาจะเป็นคนดูแลวินแทนลีเอง”

กวินจ้องมองเธอด้วยสายตาเว้าวอนอย่างทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น เธอเองก็คงเช่นเดียวกัน เพราะเดี๋ยวนี้เธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะคบหาเขาได้อย่างเปิดเผยอีกแล้ว แม้จะเป็นการคบหากันฉันเพื่อนอย่างที่เขาบอกก็ตาม

“ไม่เป็นไรหรอก วินคิดว่า...” นักเขียนหนุ่มทอดเสียงลงด้วยท่าทีลังเล ก่อนจะถอนใจออกมาแล้วเอ่ยด้วยเสียงเข้ม “วินจะกลับกรุงเทพฯ”

“อะไรนะคะ”

ชายหนุ่มฝืนยิ้มด้วยสีหน้าเจื่อน ทำให้เธอรู้ดีว่าเขาคงกระอักกระอ่วนกับสถานการณ์เช่นนี้เหมือนกัน

“เอาไว้คุณอมรกลับมา วินค่อยมาอีกทีดีกว่า ถ้ามีคุณอมรอยู่ด้วย ลีกับคุณแม่อาจอึดอัดใจน้อยลงก็ได้”

บราลีจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกเหมือนมีคนมาบีบหัวใจ อยากจะโผเข้าไปกอดเขา ร้องไห้กับอกของเขา มันคงจะทำให้เธอคลายความอึดอัดใจอย่างที่เขาพูดได้มากกว่าการที่จะมีคุณอมรมานั่งคั่นกลางระหว่างกัน

แต่เธอก็ทำไม่ได้ หญิงสาวได้แต่อดกลั้น และพยายามไม่ให้น้ำตาที่เอ่อท้นรอบดวงตาแดงก่ำไหลออกมาต่อหน้าเขาเท่านั้น

“วินไปนะ” เขายิ้มจากนั้นก็ลุกขึ้น ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้นหลายวินาที

‘อย่าไปเลยนะคะ...วิน’ บราลีกู่ร้องในใจ แต่ไม่อาจแปรเปลี่ยนออกมาเป็นเสียงได้

กวินก้าวเท้าเดินไปจนกระทั่งถึงประตูห้องทำงาน แต่แล้วก็กลับหยุดนิ่งไปอีกครั้ง

วินาทีนั้น บราลีภาวนาให้เขาหันกลับมา ถ้าคำขอของเธอได้ผล เธอจะลุกจากเก้าอี้ วิ่งไปหาเขา และกอดเขาเอาไว้ให้แน่นที่สุด

ทว่า...สิ่งที่เธอภาวนากลับไม่เป็นผล ฟ้าดินคงรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง

กวินเอื้อมมือไปจับลูกบิด เขาหมุนมันแล้วเปิดประตู ก่อนจะก้าวออกไปจากห้อง จนกระทั่งลับไปจากสายตาของเธอ

ลมวูบหนึ่งพัดเข้ามาตามช่องประตูที่เปิดอ้าอยู่ บราลีรู้สึกเหมือนกวินได้กลายร่างเป็นลมกลับมาโอบกอดเธอแทน ก่อนที่ลมวูบนั้นจะสลายไปในที่สุด

หญิงสาวยิ้มเศร้าๆ กับความคิดว้าวุ่น เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาแดงก่ำ หลับตาลงแล้วเอนหลังพิงพนัก ร้องไห้ออกมาตามลำพังและได้แต่คิดว่า...

ชีวิตนี้ เธอจะมีวันได้พบกับความสุขที่แท้จริงบ้างหรือเปล่า?

ระหว่างเดินกลับบ้านพัก กวินรู้สึกโหวงเหวงในอก เพราะการจากลาเป็นครั้งที่สองทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกระชากเศษเสี้ยวที่เหลือของหัวใจที่แตกสลายออกไป

เขาเดินไปตามทางอย่างเลื่อนลอย ถึงกระนั้นก็ยังสามารถพาตัวเองกลับมาที่บ้านพักได้

กวินเก็บของทุกอย่างลงกระเป๋าด้วยความรู้สึกกะปลกกะเปลี้ย แม้จะใช้เวลานานกว่าปรกติ แต่ทุกอย่างก็ถูกจัดเก็บอย่างเรียบร้อยในที่สุด เขายกทุกอย่างไปใส่ไว้ในกระโปรงหลัง จากนั้นก็ขับรถไปคืนกุญแจห้องที่อาคารกลาง

“พี่วินจะกลับแล้วหรือคะ ไหนว่ามาอยู่อาทิตย์หนึ่ง” ชมพู่เอ่ยถามเขาด้วยความแปลกใจ

“บังเอิญมีธุระด่วนน่ะครับ” เขาฝืนยิ้ม ไม่วายเหลือบตามองไปยังห้องทำงานด้านหลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหักห้ามใจไม่ได้

ชมพู่โน้มตัวมาหาเขา พร้อมกับยกมือป้องปาก “เพราะข่าวนิตยสารบ้านั่นหรือเปล่าคะ”

กวินยิ้ม ไม่ตอบคำถามนั้น

“บ้ามากๆ” ชมพู่โวยเบาๆ “แค่คนนั่งกินข้าวกัน เขียนอะไรไม่รู้เป็นตุเป็นตะ ชมไม่เชื่อนะคะ แล้วเพื่อนๆ ชมในกลุ่มก็ไม่มีใครเชื่อด้วย เพราะชมไปแก้ข่าวให้พี่วินเรียบร้อยแล้ว”

“ขอบคุณครับ” เขาเอ่ยเพื่อตัดบท เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดไปกับข่าวนั้นอีกแล้ว

“ค่ะ...สู้ๆ นะคะ” หญิงสาวยิ้มแล้วชูสองนิ้วให้กำลังใจเขา

กวินโบกมือให้เธอ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินกลับไปที่รถ ขับออกจากรีสอร์ตมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ ด้วยความเร็วรถที่ไม่เคยแตะถึงมาก่อน

* * * * * * * * * *

“เจ๊ครับเจ๊” เสียงเจ้าปาปารัซซี่ฝึกหัดคนเดิมดังมาแต่ไกล จนเอกชัยต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างรำคาญใจเมื่อเขาวิ่งปรู๊ดมาเกาะขอบโต๊ะทำงานตรงหน้า

“มีอะไรยะ”

“ก็เรื่องที่เจ๊ให้ไปสืบเมื่อวานไงครับ”

“เรื่องอะไร” เอกชัยขมวดคิ้วมุ่น “วันๆ ฉันสั่งไปร้อยแปดพันเก้า จำไม่ได้หรอกย่ะ”

“เรื่องชายนิรนามไงครับ”

คอลัมนิสต์หนุ่มหัวใจสาวเลิกคิ้ว ก่อนที่ภาพเปลือยเปล่าท่อนบนของชายหนุ่มน่าตาคมคายจะปรากฏขึ้นในสมองอันหลักแหลม

“รู้แล้วเหรอว่าเป็นใคร” เจ๊แจ็คกี้จีบปากจีบคอถามอย่างสนใจแต่ไม่แสดงออก

“รู้แล้วครับ” ปาปารัซซี่หนุ่มยิ้มแฉ่ง

“รู้แล้วก็บอกมาสิยะ” เอกชัยอดไม่ได้ที่จะทำมะเหงกเขกกะบาลคนลีลาท่าทางเยอะเข้าให้สักที

“โอ๊ย...เจ๊ ซาดิมส์หรือเปล่าเนี่ย”

“ก็ถ้าไม่รีบพูดมา จะเอาแส้ฟาดเทียนหยดเสียให้เข็ด”

“หูย ไม่ล่ะครับ” ชายหนุ่มโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ก่อนจะรีบวกกลับเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว “ผมไปสืบมาแล้วครับ ผู้ชายคนนั้นน่ะ เป็นนักเขียนนิยายที่ใช้นามปากกาว่า เปลวเทียน ครับ”

“เปลวเทียน” เอกชัยทวนชื่อนั้นอย่างคุ้นหู “ที่เขียนบทเรื่องสะใภ้ยมทูตนั่นเหรอะ”

“ไม่ได้เขียนบทครับ เขาเขียนนิยายเป็นเล่มๆ นี่แหละ”

“ต๊าย...จริงหรือยะ”

“จริงสิครับ นี่ผมมีของมายืนยันด้วย” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะหยิบหนังสือนิยายเรื่องที่เพิ่งจะพูดถึงออกมาวางบนโต๊ะ แล้วเปิดหน้าปกหลังซึ่งมีรูปและประวัติของผู้แต่งอยู่ “นี่ไงครับ กวิน อภิธาน เจ้าของนามปากกา เปลวเทียน”

เอกชัยตาลุกวาวเมื่อเห็นว่า ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มคนนี้ เหมือนกับชายที่เขาเห็นอยู่ที่กาญจนบุรีกับบราลีไม่มีผิดเพี้ยน

“สำนักพิมพ์แอบโซลูทโกลด์งั้นหรือ” คอลัมนิสต์งึมงำ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ในลำคอพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น