กวินหมกมุ่นอยู่กับการผลิตงานชิ้นใหม่ของเขาตลอดทั้งวันทั้งคืน เขาแทบไม่ได้ลุกไปไหนเลยนอกเสียจากเวลาอาหารและต้องจัดยาให้กับมารดาเท่านั้น แต่ความตั้งใจของเขากลับไม่เป็นผลสักเท่าไหร่เมื่อพบว่าผ่านมาสามวันแล้ว งานของเขาก็คืบไปได้เพียงไม่กี่หน้า ทั้งๆ ที่ปรกติต้องเขียนได้สักสามสิบหน้าเป็นอย่างต่ำแล้ว
ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานแล้วเป่าปากออกมา สองตาทอดจับหน้าจอคอมพิวเตอร์ขาวโพลนด้วยความว้าวุ่นใจกลัวว่าจะเสร็จไม่ทันกำหนด
เสียงเคาะประตูทำให้เขาละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์หันไปมอง สักพักประตูก็ถูกเปิดออก มารดาของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยน้ำชาที่มีควันลอยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นมะลิหอมฉุย
“เป็นไงบ้างลูก”
เขายิ้มเจื่อนๆ “ก็เขียนไม่ค่อยลื่นเลยครับ”
ผู้เป็นแม่วางถ้วยชาบนโต๊ะ เอื้อมมือมาลูบศีรษะของเขา “พักสักหน่อยไม่ดีหรือ แม่เห็นนั่งอยู่แต่ที่โต๊ะมาสามวันติดแล้วนะ”
“กลัวไม่ทันน่ะสิครับ”
“แล้วนั่งอยู่อย่างนี้จะทำให้เขียนเร็วขึ้นหรือ”
กวินเลิกคิ้ว นึกเห็นด้วยกับมารดาขึ้นมา เพราะหลายครั้งที่เขาไปบรรยายให้นักเรียนนักศึกษาที่อยากเป็นนักเขียนฟังว่า เวลาที่เราเขียนไม่ออกนั้น เป็นเพราะเราหมกมุ่นกับสิ่งที่ทำอยู่มากไป ควรจะไปพักผ่อนเสียบ้างเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง แต่พอถึงเวลากลับลืมคิดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียได้
“ฝืนเขียนไปมันจะไม่สนุกเอานา”
“ก็ได้ครับ” เขาพยักหน้า ก่อนจะหยิบน้ำชามาจิบ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้สมองผ่อนคลายได้ จากนั้นก็ดึงมือมารดามากุมเอาไว้แล้วตบหลังมือเบาๆ “แม่อยากไปเที่ยวไหนไหมครับ”
“คนแก่ก็อยากไปไหว้พระแค่นั้นแหละลูกเอ๋ย”
ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ “ก็ดีนะครับ ไปทำบุญสักหน่อย จิตใจจะได้สงบ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมพาแม่ไปทำบุญที่วัดดีไหม”
“ดีสิ จะได้ทำบุญให้พ่อเขาด้วย” ผู้เป็นแม่ยิ้ม ก่อนจะยกมือขึ้นจับแก้มเขา “แม่ว่า ถ้าพ่อเขายังอยู่ เขาคงจะภูมิใจในตัวลูกมากนะ”
“ที่ไหนได้ครับแม่” กวินหัวเราะเอิ๊ก “ผมว่าข้าราชการครูที่มีอุดมการณ์สูงอย่างพ่อคงจะเอาไม้ตะพดไล่ตีหัวผมเสียมากกว่า อยู่ๆ ก็ลาออกจากการสอนหนังสือมาเขียนนิยายก็อกๆ แก๊กๆ อยู่กับบ้านแบบนี้”
“เขียนนิยายก็เป็นงานสุจริตนี่นา พ่อเขาไม่ว่าหรอก” ผู้เป็นแม่ค้านอย่างให้กำลังใจ “แล้วอีกอย่าง การเขียนหนังสือให้คนอ่านก็ถือเป็นครูเหมือนกัน ถ้าสิ่งที่ใส่ลงไปแฝงประโยชน์ และให้ความรู้อย่างถูกต้องกับผู้อ่านแบบที่ลูกทำมาตลอด...จริงไหมล่ะ”
“ครับ” ชายหนุ่มลากเสียงยาวก่อนจะโผเข้ากอดมารดาผู้ซึ่งเป็นแฟนนิยายตัวยงของเขาชนิดที่เรียกได้ว่า อ่านทุกเล่ม จำได้ทุกตัวอักษรทีเดียว
“รักแม่จังเลย”
ผู้เป็นแม่โอบกอดตอบแล้วตบหลังลูบไหล่เขาด้วยความรักที่มีให้เสมอมา “แม่ก็รักลูกจ้ะ”
เช้าวันต่อมา กวินตื่นแต่เช้ามืดเพื่อพามารดาไปวัดใกล้บ้าน หลังจากทำบุญและฟังพระสงฆ์เทศน์ให้ใจสงบแล้ว เขาก็พาแม่ไปยังสุสานที่ฝังศพพ่อซึ่งอยู่ภายในบริเวณวัดนั้น สองแม่ลูกพากันทำความสะอาดเจดีย์บรรจุอัฐิของผู้ล่วงลับก่อนจะกราบไหว้ด้วยความอาลัยรัก
กวินดึงร่างแม่มาโอบไว้เมื่อเห็นท่านน้ำตาซึม บรรยากาศอันเงียบสงัดของสุสานทำให้เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ของมารดาก้องกังวาน เสียงนั้นแทรกซึมเข้าไปในหัวใจอันเปล่าเปลี่ยวของเขา แม้จะเป็นเสียงที่หม่นหมอง แต่มันกลับช่วยสร้างพลังชีวิตให้กับเขาได้อย่างชัดเจน เพราะมันเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่แม่มีให้กับพ่อ แม้เวลาที่ท่านล่วงลับไปแล้วก็ตาม ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ตราตรึงจิตใจของเขาตลอดมา
“กลับกันเถอะครับ”
มารดาพยักหน้า กวินจึงประคองท่านกลับไปที่รถแล้วพาท่านกลับบ้าน ระหว่างทางเขารู้สึกว่า การได้ปลดปล่อยจากสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้อย่างแม่นมั่นนั้นบ้าง มันทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อกลับถึงบ้านเขาจึงสามารถเขียนนิยายต่อได้อย่างค่อนข้างไหลลื่นกว่าสองสามวันที่ผ่านมา
ทว่า...ความไหลลื่นนั้นกลับต้องสะดุดลงด้วยเสียงโทรศัพท์ในช่วงบ่าย
“เบอร์ใคร” เขางึมงำอย่างไม่คุ้น ก่อนจะตัดสินใจกดรับสายนั้นแล้วกรอกเสียงลงไป “สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่า”
เสียงปลายสายเป็นเสียงผู้ชาย แต่กลับมีน้ำเสียงอ่อนหวานและลงท้ายประโยคอย่างผู้หญิง นั่นยิ่งทำให้เขาไม่รู้สึกคุ้นเข้าไปใหญ่ อาจเป็นพวกพนักงานขายที่ชอบโทร.มาชักชวนเขาให้ซื้อสินค้าหรือทำบัตรเครดิตต่างๆ เป็นประจำก็เป็นไปได้
“คุณเปลวเทียนใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ” เขาตอบรับอย่างแปลกใจ เพราะปลายสายรู้ถึงนามปากกาของเขาด้วยซ้ำ “คุณเป็นใครครับ”
“อ๋อ...ดิฉันชื่อเอกชัยค่ะ เรียกแจ็คกี้ก็ได้นะคะ”
“เอ่อ ครับ” กวินรับคำอย่างงงๆ
“ดิฉันเป็นคอลัมนิสต์จากนิตยสารเซเลบริตี้ค่ะ อยากจะขอสัมภาษณ์คุณในกรณีข่าวอื้อฉาวกับคุณบราลีสักนิดหน่อยอะค่ะ”
ประโยคล่าสุดทำเอากวินถึงกับฉุนกึก นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าชายที่อยู่ปลายสายเป็นใคร
“ผมไม่มีอะไรให้สัมภาษณ์ครับ”
“แหมๆๆ จะไม่แก้ข่าวอะไรสักหน่อยหรือไงคะ”
“ไม่ครับ ไม่มีข่าวอะไรต้องแก้ สิ่งที่คุณเขียนลงไปมันเป็นเรื่องเหลวไหล ไม่มีมูลความจริงเลยสักนิดเดียว” เขายืนกรานเสียงเข้ม
“เอ...แต่จากข้อมูลที่ดิฉันมี มันเรียกว่าไม่ธรรมดาเลยนะคะ”
“แค่ไอ้รูปที่เราไปทานอาหารกันน่ะหรือครับ”
มีเสียงหัวเราะอย่างเยาะหยันดังออกมาจากลำโพง กวินรู้สึกโกรธ แต่ก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้อย่างเต็มที่ เพราะไม่อยากมีเรื่องกับพวกนักข่าวไร้จรรยาบรรณพวกนี้สักเท่าไหร่
“อันนั้นมันแค่น้ำจิ้มค่ะ รูปอื่นเด็ดกว่านี้อีกตั้งเยอะ”
กวินรู้สึกใจหายวาบ นึกไปถึงตอนที่เขากอดบราลีในน้ำขึ้นมา หากมีคนถ่ายภาพได้แล้วนำไปขายต่อให้นายเอกชัยคนนี้ล่ะก็ รับรองได้ว่าเขากับเธอคงจะต้องถูกละเลงสีใส่อย่างเมามันแน่ๆ
“รูปอะไรของคุณ” เขาคำรามกลบเกลื่อน
“ก็รูปที่คุณกอดคุณบราลีในร้านอาหารนั่น”
“มันไม่มีอะไร ตอนนั้นคุณบราลีสะดุดล้ม ผมเลยช่วยเอาไว้ ทุกคนในร้านก็เห็น เจ้าของร้านก็เห็น”
“แหมๆๆ แล้วรูปที่คุณเปลือยเปล่ากอดคุณบราลีในน้ำที่น้ำตกเอราวัณล่ะคะ”
กวินถึงกับสะอึกและช็อคไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนมีคนกระแทกชนักที่ติดหลังอยู่ให้จมลึกเข้าไปในร่างกายจนทะลุถึงหัวใจ
“ผะ...ผมไม่ได้เปลือย” เขาโพล่งออกไปตามความจริง เพราะเขาใส่กางเกงอยู่ในขณะนั้น “มันไม่มีอะไรอย่างที่คุณคิด ตอนนั้นคุณลีตกน้ำ ผมก็เลยไปช่วยเอาไว้แค่นั้นเอง”
“เป็นคุณจริงๆ ด้วย” ปลายสายหัวเราะคิกคัก
“มันไม่ได้มีอะไรอย่างที่คุณคิดนะ”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงคะ ฉันถึงอยากจะสัมภาษณ์คุณ เพราะเห็นแค่รูปที่คนส่งมาเนี่ย ฉันจินตนาการเตลิดไปไกลเลยทีเดียวนะคะ”
“ผมยืนยันว่าไม่มีอะไร เราสองคนบริสุทธิ์ใจ”
“ถ้าคนได้เห็นรูปอย่างเดียวก็คงไม่คิดว่าคุณยังเวอร์จิ้นหรอกนะคะ”
“อะไรนะ” กวินท้วงอย่างไม่แน่ใจ
“เอ่อ...ดิฉันหมายถึงความบริสุทธิ์ใจอะไรของคุณนั่นน่ะค่ะ”
“แล้วคุณจะเอายังไง”
“ก็ให้ดิฉันสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว ถ้ามันไม่มีมูลจริง ฉันก็คงจะไม่เอาลงให้เสื่อมเสียชื่อเสียงตัวเองหรอกค่ะ”
ปลายสายเอ่ยราวกับคิดว่าเขาไม่รู้ว่าหลายครั้งที่คอลัมน์สาวไส้ไฮโซสร้างเรื่องราวขึ้นมาเพื่อให้เป็นกระแส จะได้ขายนิตยสารได้มากๆ โดยไม่มีมูลความจริงเลยสักนิดเดียว
“ที่ไหน เมื่อไหร่”
“อืม...” เอกชัยครางอย่างครุ่นคิด เขารออย่างใจจดจ่อ ก่อนจะสะอึกกับคำตอบที่ได้รับ
“ที่คอนโดฯของดิฉันดีไหม เป็นส่วนตัวดี”
“อะไรนะ” เขาเค้นเสียงถามอย่างไม่แน่ใจ
“อะ...ก็แหม พอดีว่าดิฉันต้องปิดต้นฉบับน่ะสิคะ เลยไม่มีเวลาว่างออกไปไหนเลย รถก็เสียอยู่ เลยคิดว่าถ้าเป็นที่นี่น่าจะสะดวกกว่า สัมภาษณ์เสร็จปุ๊บก็แก้ผ้า...เอ๊ย แก้ข่าวให้คุณปั๊บไงคะ”
“แล้วผมจะแน่ใจได้อย่างไรว่า หลังจากสัมภาษณ์แล้วคุณจะไม่เอารูปพวกนั้นลงนิตยสารของคุณอีก”
“ฉันมีไฟล์กับรูปที่อัดออกมาแล้วอยู่ที่นี่ทั้งหมด ถ้ามันไม่มีอะไรจริง ฉันก็คืนให้คุณ...แค่นั้น”
“คุณจะไม่เอารูปพวกนั้นลงนิตยสารอีกแน่ๆ ใช่ไหม”
“แน่นอนค่ะ ข่าวไม่มีมูลจะเขียนทำไม”
“ได้” กวินรีบตอบรับ “คอนโดฯคุณอยู่ที่ไหน”
“เซอร์เคิลลาดพร้าว รู้จักไหมคะ”
“รู้” เขาตอบ แล้วรอฟังเอกชัยบอกเบอร์ห้องของเขา “โอเค อีกครึ่งชั่วโมงผมจะไปถึง”
กวินวางสายแล้วหันไปแต่งตัว ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นคล้องไหล่ หยิบกุญแจรถแล้วออกจากห้องไปที่หน้าบ้าน
“อ้าว จะไปไหนล่ะลูก”
“ไปธุระนิดหน่อยครับ”
“ระวังตัวนะ” ผู้เป็นมารดาเอ่ยราวกับหยั่งรู้ถึงอันตรายในที่ซึ่งเขากำลังจะไป
“ครับแม่” เขาตอบแล้วยกมือไหว้โดยถือคำอวยพรนั้นเป็นสิ่งคุ้มกาย ก่อนจะขึ้นรถแล้วขับออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่คอนโดมิเนียมกลางใจเมืองด้วยหัวใจที่ว้าวุ่น
แต่ในระหว่างนั้นเองกลับมีเสียงโทรศัพท์อีกสายหนึ่งดังแทรกเข้ามา กวินรู้ได้ทันทีจากเสียงเรียกเข้าว่าใครโทร.มา จึงจอดรถข้างทางก่อนจะรับสายนั้น
“สวัสดีค่ะ”
“ลี” กวินร้องเรียกเธอ
ปลายสายนิ่งไปสักพัก ก่อนจะกระแอมแล้วเอ่ยเข้าประเด็น “คือ...ลีจะโทร.มาบอกว่า คุณอมรกลับมาแล้วนะคะ เขาอยากพบวิน”
ให้ตายสิ...เขาคิด ทำไมต้องกลับมาเอาเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ด้วยนะ เพราะถ้าเกิดอมรเห็นภาพที่น้ำตกนั่น อาจสร้างความเดือดร้อนให้กับบราลีก็เป็นได้
“วินคะ” เธอร้องเรียกเมื่อเขาเงียบไป
“คะ...ครับ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมเงียบๆ”
กวินลังเลว่าจะบอกเรื่องที่เอกชัยมีรูปเขากับเธอที่น้ำตกดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจงำความเอาไว้ เพราะไม่อยากให้บราลีเป็นกังวลใจไปด้วย เขาควรจะจัดการเรื่องนี้เงียบๆ คนเดียว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เรื่องราวที่จะสร้างความเสื่อมเสียให้กับเธอก็คงสูญสลายไป
แต่เขาจะไว้ใจคนอย่าง เอกชัย ได้อย่างไรกัน
“วินคะ”
“เอ่อ...ครับ”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ” เขารีบตอบ
เธอนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง “วินสะดวกกลับมาที่เมืองกาญจน์หรือเปล่าคะ”
“ได้สิ” กวินบอกเสียงเบาหวิว “พรุ่งนี้วินจะไปหาก็แล้วกันนะ หวังว่าบ้านพักหลังเดิมจะยังไม่มีแขกมาพักใช่ไหม”
“ยังค่ะ” เธอเอ่ยแล้วทิ้งจังหวะไปชั่วครู่ “ถ้าอย่างนั้นลีจะรอนะคะ”
ประโยคล่าสุดทำให้กวินรู้สึกอยากจะโบยบินไปหาเธอทันที แต่เมื่อมาคิดได้ว่า ใครกำลังอยู่เคียงข้างเธอตอนนี้ และอะไรกำลังรอเขาอยู่ที่คอนโดมิเนียมของเอกชัย ความว้าวุ่นสับสนก็บังเกิดขึ้นจนรู้สึกอึดอัดไปทั่วทั้งโพรงอก
“วินจะรีบไปให้เร็วที่สุด”
เธอบอกลาเขาด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ไม่รู้เขาจะคิดไปเองหรือเปล่าว่าเธอยินดีที่จะได้พบเขาอีก กวินบอกลาเธออย่างมีความหวัง เขาวางสายไปก่อนจะค่อยถอนใจออกมาแล้วมองดูหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างใช้ความคิด จากนั้นก็ออกรถมุ่งหน้าสู่คอนโดมิเนียมหรูใจกลางกรุงต่อไป
* * * * * * * * * *
บราลีวางโทรศัพท์แนบอกก่อนจะทิ้งร่างรัดรึงลงบนเก้าอี้ทำงาน รู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้ยินเสียงกวินอีกครั้งหนึ่ง รวมไปถึงได้รู้ว่า เขากำลังจะเดินทางกลับมาหาเธอ
ไม่สิ...เขากลับมาหาคุณอมรต่างหาก
หญิงสาวหน้างอขึ้น แต่ก็ไม่นานเพราะมีเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะเสียก่อน ก่อนจะตามมาด้วยเสียงนุ่มของคุณอมร
“ฉันเข้าไปได้ไหม”
เพียงได้ยินเสียงสามี บราลีก็กระตือรือร้นลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูทันที
“คุณพี่”
“เป็นไง ทำงานยุ่งอยู่หรือเปล่า” เขาเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้ามานั่งที่ชุดรับแขก
“ก็ไม่ยุ่งหรอกค่ะ คุณพี่มีอะไรหรือเปล่าคะ” เธอตอบขณะเดินไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม ก่อนจะรินน้ำชาร้อนๆ จากกาใส่แก้วแล้วนำฝามาครอบไว้
“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะชวนเธอไปเยี่ยมหลวงพี่สักหน่อย”
บราลียิ้มขณะจัดขนมปังกรอบใส่จานใบเล็ก “วันก่อนหลวงพี่ก็เพิ่งถามถึงคุณพี่ค่ะ ฉันยังบอกเลยว่ากลับมาคราวนี้ คุณพี่คงจะว่างพอจะไปถือศีลอีก”
อมรหัวเราะ “ดูท่าจะยากเสียแล้ว ลองเจรจาสำเร็จแบบนี้ งานเข้าอีกกระบุงโกยเลยล่ะ”
หญิงสาวนำน้ำชาและอาหารว่างวางบนโต๊ะเตี้ย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ โดยรักษาระยะห่างจากสามีเอาไว้อย่างพอเหมาะ
“เอ...แล้วไปพบหลวงพี่มาเมื่อไหร่หรือ”
บราลีชะงัก ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนให้เขา “เอ่อ...พอดีวันก่อน คุณเปลวเทียนอยากจะเห็นวัดที่เราไปปฏิบัติธรรมกันน่ะค่ะ เขาจะเอาไปประกอบฉาก ฉันเลยพาไปดู อืม...ก็วันที่ฉันพาเขาไปทานอาหารที่ร้านเจ้คิ้มจนมีคนแอบถ่ายไปลงนิตยสารไงคะ”
“อ้อ” อมรพยักหน้าอย่างนึกออก “แล้วนี่โทร.ไปบอกคุณเปลวเทียนหรือยังว่าฉันกลับมาแล้ว”
“เรียบร้อยค่ะ เขาบอกว่าพรุ่งนี้จะรีบมาสัมภาษณ์คุณพี่”
“ก็ดีนะ เพราะมะรืนฉันคิดว่าจะลงไปภูเก็ตสักหน่อย”
“ไปดูงานสร้างรีสอร์ตมันตาหรือคะ”
“อือ” เขาพยักหน้า “มีตรวจรับงานงวดสุดท้ายน่ะ ต้องลงไปดูสักหน่อย”
“คุณพี่ไม่เหนื่อยหรือคะ บินไปโน่นมานี่ตลอด”
“เหนื่อยสิ” อมรถอนหายใจ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักอย่างอ่อนล้า “แต่ถ้าไม่ทำอะไรเสียเลย ฉันมันก็คงเป็นเหมือนท่อนซุงผุๆ ไร้ค่า ไร้ประโยชน์”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” บราลีเอื้อมมือไปแตะหลังมือเหี่ยวย่นของสามีอย่างปลอบโยน “ทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนมีประโยชน์ค่ะ ท่อนซุงผุเอง ถ้านำมาเผาไฟก็สามารถให้ความอบอุ่น หรือนำมาปรุงหุงต้มอาหารให้พลังงานได้นะคะ”
ชายสูงวัยหันมามองเธอแล้วยิ้มให้ ความรู้สึกที่ได้รับนั้นเหมือนกับแววตาของผู้ใหญ่ที่ส่งความเอ็นดูให้กับเด็กอย่างไรอย่างนั้น เขาเอื้อมมือมาลูบศีรษะเธอเบาๆ
“ขอบใจนะ”
บราลียิ้มตอบแล้วบีบมือเขาเบาๆ เป็นกำลังใจ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วดึงมือสามีเบาๆ
“ไปค่ะ เดี๋ยวฉันจะพาคุณพี่ไปวัด”
อมรยิ้มแล้วพยุงตัวลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ถึงแม้จะมีอายุมากแล้ว แต่การทำงานอย่างแข็งขันตลอดเวลาก็ทำให้ร่างกายดูจะแข็งแรงกว่าคนหนุ่มหลายคนทีเดียว
หญิงสาวเดินจูงมือสามีออกจากห้องทำงาน ก่อนจะพาไปขึ้นรถที่มีนายเข้มเป็นสารถี จากนั้นก็มุ่งหน้าสู่วัดเขาพุทธโคดมในทันที
* * * * * * * * * *
คอนโดมิเนียมของเอกชัยนั้นอยู่บนถนนลาดพร้าวซึ่งมีการจราจรค่อนข้างหนาแน่นทีเดียว ทำเอากว่าที่กวินจะไปถึงก็กินเวลาไปเกือบจะบ่ายคล้อยเต็มที
ชายหนุ่มแจ้งกับพนักงานต้อนรับด้านล่างว่าจะขึ้นไปที่ห้องของเอกชัย พนักงานคนนั้นมองเขาแปลกๆ ก่อนจะโทรศัพท์ไปขออนุญาตเจ้าของห้องตามระเบียบ จากนั้นก็วางหูแล้วผายมือให้เขาเดินไปที่ลิฟต์
กวินจึงขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่หมาย เขาเดินเลี้ยวไปจนสุดโถงทางเดินแล้วกดกริ่งที่หน้าประตูห้อง ก่อนจะยืนรออยู่ตรงนั้นด้วยใจเต้นระทึก
เมื่อเปิดประตูออก ชายหนุ่มก็ถึงกับผงะเมื่อเห็นเจ้าของห้องสวมเสื้อกล้ามแบบตาข่ายสีแดงกับกางเกงขาสั้นยืนโพสท่าอย่างยั่วยวนอยู่ต่อหน้า
“สวัสดีครับ คุณเอกชัยใช่ไหมครับ” เขาเอ่ยถามละล่ำละลัก
“แหม ไม่ต้องคุณเคินอะไรหรอกค่ะ เรียกแจ็คกี้เฉยๆ ก็ได้” เจ้าของห้องบอกพร้อมทำตาปริบๆ จนขนตาปลอมหนากระพือขึ้นลงราวพัด “เข้ามาก่อนสิ ปิดประตูด้วยนะคะ”
หลังจากเอ่ยชวน เอกชัยก็หันหลังให้แล้วเดินบิดก้นส่ายไปส่ายมาไปที่ตู้เย็น กวินกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในแล้วปิดประตูเบาๆ
“รับน้ำอะไรดีคะ”
“ไม่ล่ะครับ” เขาโบกมือ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ดื่มไม่กินอะไรในห้องนี้เด็ดขาด เพราะสถานการณ์ไม่ค่อยจะปรกติเสียแล้วหลังจากเห็นเจ้าของห้องในสภาพแบบนี้เข้าเต็มตา “ผมว่าเรามาสัมภาษณ์กันให้เสร็จๆ ดีกว่าครับ ผมมีธุระต้องไปต่อ”
“คุณได้ไปต่อแน่ค่ะ หลังจากเราเสร็จกันแล้ว” เอกชัยยังคงรินน้ำให้เขาตามมารยาท ก่อนจะนำแก้วมาวางบนโต๊ะเตี๊ยตรงหน้าเขา กวินส่งสายตากึ่งงงกึ่งไม่พอใจกับคำพูดกำกวมนั้น เจ้าของห้องจึงหัวเราะออกมา “ฉันหมายถึงเสร็จการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัวน่ะค่ะ”
ถึงจะเอ่ยแก้แล้ว แต่มันก็ไม่ทำให้กวินวางใจเสียทีเดียว
“ก่อนอื่น ผมขอดูรูปพวกนั้นได้ไหม”
เอกชัยยักไหล่ แล้วเดินยักย้ายไปที่ตู้ข้างประตู เปิดลิ้นชักหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลมายื่นให้ “มีคนส่งของพวกนี้มาที่ฉันเมื่อวันก่อน”
กวินรีบรับมาเปิดออกดูก็พบว่า มีแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นกับรูปถ่ายอีกเกือบสิบใบ รูปเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นภาพของเขากับบราลีแทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะรูปที่เขาเปลือยท่อนบนแล้วโอบกอดเธออยู่ในน้ำ หลายต่อหลายรูปในสระน้ำธรรมชาติของน้ำตกเอราวัณนั้น ชวนให้คนที่ได้เห็นคิดไปต่างๆ นานาเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นรูปคล้ายเขาก้มลงจูบเธอ ซึ่งความจริงแล้วเขาจำได้ว่าเป็นตอนที่ก้มลงไปปลอบเธอเรื่องงูปลอมต่างหาก แต่ใครจะเชื่อล่ะ ในเมื่อเขาเองที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ยังอดคิดเมื่อมองอย่างผิวเผินไม่ได้ว่า ผู้ชายในรูปกำลังก้มลงจูบผู้หญิงคนนั้นอยู่
“ถ้าผมให้สัมภาษณ์คุณ ของพวกนี้ผมก็สามารถนำกลับไปได้ใช่ไหม”
“อืม...” เอกชัยจิ้มนิ้วชี้กับคางอย่างมีจริตจะก้าน ก่อนจะยิ้มพราว “คุณคิดว่า ฉันจะเชื่อคุณไหมล่ะ มันเป็นเรื่องระหว่างคุณกับแม่ดาราสาวคนนั้น ลับหลังคุณอาจไปทำอะไรต่อมิอะไรมากกว่าที่ฉันเห็นในรูปก็ได้”
“หมายความว่า ถึงผมจะอธิบายเรื่องทั้งหมดอย่างไร คุณก็ไม่มีทางเชื่องั้นสิ”
คอลัมนิสต์หนุ่มเบ้ปาก “ก็นอกจากคุณจะมีอะไรมายืนยัน”
“แต่คุณบอกผมเองว่า ถ้ามาให้สัมภาษณ์แล้ว คุณจะยกของพวกนั้นให้ผมทั้งหมด” กวินโพล่งออกไปอย่างเหลืออด “ให้ตายสิ คุณต้องการอะไรกันแน่...เงินเหรอ”
เอกชัยหัวเราะในลำคออย่างไม่ยี่หระต่อข้อเสนอของเขา
“คุณต้องการเท่าไหร่ ผมยินดีถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรง”
“มันไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอก” เอกชัยยิ้มพราว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเบียดเขาแล้วใช้นิ้วไล้คางที่มีเคราขึ้นหรอมแหรมของเขาอย่างยั่วยวน
กวินเบี่ยงหลบ ก่อนจะขยับตัวออกห่างแล้วเอ่ยถามเสียงเข้ม “เท่าไหร่”
เอกชัยยิ้ม ตาหวานเยิ้ม “ตอนนี้ฉันไม่ต้องการเงินสักแดง ถ้าคุณอยากได้ของพวกนี้ คุณก็ต้องแลก”
“แลก...กับอะไร”
คอลัมนิสต์หนุ่มหัวใจสาวจิ้มนิ้วลงบนอกของเขา “ตัวคุณไงละ”
ความคิดเห็น |
---|