1

บทนำ + ตอนที่ 1


 ดาราสาวซึ่งเพิ่งจะกลายเป็นเจ้าสาวหมื่นล้านไปหมาดๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้

กวิน อภิธาน นั่งโยกเก้าอี้ตัวโปรดอยู่บนระเบียงหลังบ้านพร้อมกับแก้วกาแฟอุ่นๆ หอมกรุ่นในมือ ดวงตาของเขาเหม่อมองออกไปไกลยังท้องนากว้างใหญ่ภายใต้แสงตะวันที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า มันเป็นช่วงเวลาที่เขาโปรดปรานที่สุด เพราะจะได้ผ่อนคลายทั้งกายและใจ หลังจากนั่งคร่ำเคร่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์มาเกือบแปดชั่วโมง เพื่อเร่งปิดต้นฉบับส่งนิตยสารกรุงเทพมหานคร นิตยสารนวนิยายแนวบู๊ล้างผลาญชื่อดังของเมืองไทยให้ทันเวลา

ถูกแล้ว...อาชีพหลักในทุกวันนี้ของเขาก็คือ การเป็นนักเขียนนั่นเอง

มานั่งคิดดู ชีวิตของเขาก็พลิกผันไปราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว หลังจากค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตัวเองแล้วกลายมาเป็นนักเขียนมือทองมีผลงานทั้งแบบรูปเล่ม ลงนิตยสาร รวมไปถึงมีค่ายละครนำนิยายของเขาไปทำละครและภาพยนตร์มากมาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นเพียงครูบ้านนอกอยู่ในโรงเรียนประจำตำบลอันห่างไกลความเจริญเท่านั้น

นั่นคงจะเป็นเพราะว่าตัวเขาเองเป็นคนหนึ่งที่เป็นหนอนหนังสือมาตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือได้นั่นเอง เขามักจะเข้าห้องสมุดเป็นประจำ ทุกวันจะหยิบยืมหนังสือกลับมาอ่านต่อที่บ้านเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร สารคดี หรือแม้กระทั่งนิยาย และนิยายเรื่องโปรดที่สุดของเขาก็คือ สารวัตรใหญ่ ของ วสิษฐ เดชกุญชร ซึ่งเป็นนักเขียนที่ทำให้เขาตื่นเต้นได้เสมอไม่ว่าจะอ่านเรื่องไหน และเรื่องนั้นก็เป็นแรงบันดาลใจให้เขาเริ่มเขียนนิยายเรื่องแรกขึ้นมา นั่นก็คือ สารวัตรแดนเถื่อน นั่นเอง

กวินจำได้ว่าตอนที่เพิ่งเรียนจบ และสอบบรรจุได้เป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนประจำตำบลแห่งหนึ่งในจังหวัดตะเข็บชายแดนนั้น เขาได้รู้จักกับอดีตนายตำรวจคนหนึ่งชื่อสมบุญ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเช่าที่เขาเช่าอาศัยอยู่ และก็เป็นนายตำรวจเกษียณอายุผู้นี้นี่เองที่เป็นคนจุดประกายให้เขาเริ่มต้นการเขียนขึ้น

สมบุญเป็นอดีตตำรวจที่เก่งมาก ประวัติการทำงานของแกเป็นที่เลื่องลือในวงการสีกากีไม่น้อย คนร้ายคนไหนที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแกก็มักเกรงกลัวไปตามๆ กัน ส่วนในด้านชีวิตรักของแกเองก็โชกโชนไม่แพ้กัน เพราะความเก่งและความหล่อเหลาของแกนี้เอง ทำให้สาวๆ หลงใหลจนตกเป็นเมียแกหลายคน ทุกคนมีลูกคลอดออกมารวมแล้วก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งโหล ทำให้เวลาเย็นที่บ้านแกจะวุ่นวายมาก แกเลยชอบปลีกวิเวกมานั่งดื่มสังสรรค์กับเขาที่ลานหน้าบ้านเช่าเป็นประจำ ทุกครั้งที่มาก็มักจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับการปราบปรามเหล่าร้ายมาเล่าให้เขาฟังเสมอ ซึ่งก็สนุกเข้มข้นมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป บางเรื่องแกก็ยอมรับกับเขาภายหลังว่าแต่งเติมเสริมให้มันฟังสนุกขึ้น อย่างเช่นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของจอมโจรคนหนึ่งที่แกบอกว่าถึงกับต้องไปเรียนเวทมนตร์คาถามาปราบเป็นต้น

นั่นจึงทำให้เขามีข้อมูลเกี่ยวกับตำรวจมาประดับสมองเพิ่มขึ้นอีกเยอะทีเดียว กระทั่งในที่สุดข้อมูลมันก็ล้นทะลักออกมาเป็นตัวหนังสือในค่ำคืนหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องราวของนายตำรวจสมบุญเสียทั้งหมด แต่เขานำเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยและเหตุการณ์บางส่วนมาปรับใช้กับจินตนาการของตัวเอง แล้วเรียงร้อยออกมาเป็นนิยายบู๊ชนิดล้างผลาญเรื่อง ‘สารวัตรแดนเถื่อน’ จนสำเร็จ ก่อนจะลองส่งให้นิตยสารกรุงเทพมหานคร ซึ่งรวบรวมนวนิยายแนวบู๊ที่เขาติดตามอ่านมาตั้งแต่เด็ก และเคยส่งผลงานเกี่ยวกับบทความต่างๆ รวมไปถึงบทวิจารณ์และเรื่องสั้น จนได้พิมพ์ลงนิตยสารเล่มนี้มาแล้ว

หลังจากส่งไปได้ไม่นาน บรรณาธิการที่ดูแลด้านนิยายของนิตยสารก็ติดต่อมาขอลิขสิทธิ์เรื่องสารวัตรแดนเถื่อนไปลงในส่วนนิยาย และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียนของเขาในนาม ‘เปลวเทียน’ นั่นเอง

พอเรื่องสารวัตรแดนเถื่อนลงนิตยสารไปได้สองสามตอน ก็มีจดหมายจากแฟนๆ ประดังประเดกันเข้ามาว่าสนุกและได้อรรถรสเป็นอย่างมาก ไม่นานนิยายเรื่องนั้นก็ถูกพัฒนากลายเป็นละคร จนเริ่มมีสำนักพิมพ์ต่างๆ ติดต่อมาเพื่อขอลิขสิทธิ์ผลงานของเขาไปตีพิมพ์เป็นรูปเล่ม และเนื่องจากนิตยสารกรุงเทพมหานครไม่มีนโยบายในการทำพ็อกเกตบุ๊ก จึงให้นักเขียนมีอิสระในการเลือกสำนักพิมพ์ได้เอง เขาจึงตัดสินใจเลือกส่งต้นฉบับไปที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง แต่ด้วยความใหม่ต่อวงการนี้ ค่าลิขสิทธิ์สำหรับทำสารวัตรแดนเถื่อนเป็นเล่มนั้นจึงน้อยกว่าที่เขาควรจะได้ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว อีกทั้งจำนวนพิมพ์ที่สำนักพิมพ์นั้นแจ้งมาก็น้อยมากเมื่อเทียบกับความนิยมในท้องตลาดจนเป็นที่น่าสงสัย แต่เขาก็ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยและเก็บประสบการณ์นี้มาเป็นบทเรียนเท่านั้น

พอจบเรื่องสารวัตรเถื่อน เขาก็มีผลงานลงในนิตยสารกรุงเทพมหานครอีกหลายเรื่อง เกือบทุกเรื่องจะถูกนำไปทำบทละคร รวมถึงมีสำนักพิมพ์น้อยใหญ่ขอลิขสิทธิ์ไปทำเป็นพ็อกเกตบุ๊ก ในช่วงแรกๆ นั้นเขายังคงโดนสำนักพิมพ์เขี้ยวลากดินกดค่าลิขสิทธิ์บ้าง โดนแอบพิมพ์เพิ่มบ้าง เป็นเหตุให้เขาต้องเปลี่ยนสำนักพิมพ์ไปเรื่อย ผลงานของเขาจึงกระจัดกระจายไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ มากมาย แต่ถึงกระนั้นการเขียนนิยายก็สร้างรายได้ให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียว

หลังจากนั้นอีกสามปี ชีวิตของเขาก็พลิกผันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ดารณีนุช พลอยประดับ เจ้าของและบรรณาธิการของสำนักพิมพ์แอบโซลูท มาปรากฏตัวที่หน้าบ้านของเขาพร้อมกับสัญญาขออนุญาตใช้สิทธิ์ในงานวรรณกรรมทุกเรื่องที่เขาเคยเขียนมา รวมถึงเรื่องที่จะเขียนต่อไปด้วย

การจู่โจมครั้งนั้นทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเอาจริงเอาจังทีเดียว และเมื่ออ่านรายละเอียดในสัญญาแล้ว เขาก็คิดว่ามันเป็นข้อเสนอที่ดีมาก ประกอบกับการได้พูดคุยและได้ฟังทัศนคติของเธอแล้ว ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสในตัวผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ในที่สุดจึงยอมตกลงยกลิขสิทธิ์ในส่วนที่หมดสัญญากับสำนักพิมพ์เดิมแล้วให้ ส่วนที่ยังไม่หมดก็รอเวลาแล้วค่อยนำมาพิมพ์อีกภายหลัง

จนกระทั่งผลงานทั้งหมดของเขาถูกรวบรวมเป็นหลักแหล่งภายใต้หัวสำนักพิมพ์แอบโซลูทโกลด์ ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์ในเครือที่จับกลุ่มวรรณกรรมชั้นครู งานฮิตติดตลาด รวมถึงงานแนวบู๊ล้างผลาญ สืบสวนลึกลับหรือฆาตกรรม

ช่วงนี้เองที่เขาเริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ นิยายเรื่องหนึ่งสามารถทำรายได้ให้เขาได้มากกว่าการตรากตรำทำงานทั้งปีเลยทีเดียว ประกอบกับมารดาป่วยออดๆ แอดๆ และอาการก็เริ่มหนักขึ้นทุกที เลยทำให้กวินตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูแม้จะรักอาชีพนี้มากก็ตาม เพราะมีเงินพอที่จะใช้เลี้ยงชีพได้อย่างไม่ขัดสนแล้ว อีกทั้งยังย้ายกลับมาอยู่กรุงเทพฯ เพื่อดูแลมารดาได้อย่างใกล้ชิดอีกด้วย

ต้นปีต่อมา กวินก็เขียน มาเฟียเลือดอีสาน ออกมาอีกหนึ่งเรื่อง ซึ่งก็เป็นนวนิยายที่มีแฟนนิยายคลั่งไคล้กันเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งไปเข้าตาผู้กำกับภาพยนตร์แนวบู๊ชื่อดัง เลยถูกติดต่อทาบทามไปทำภาพยนตร์จนดังทะลุปล้อง กวาดรางวัลตุ๊กตาทองไปหลายสาขา ทำให้ชื่อ เปลวเทียน กลายเป็นนามปากกาที่น่าจับตามองขึ้นมาอย่างมากทีเดียว

มาถึงวันนี้ เขาก็อยู่บนเส้นทางอาชีพนักค้าน้ำหมึกมาเกือบแปดปีแล้ว และมีผลงานออกมาเป็นรูปเล่มแล้วถึงยี่สิบห้าเล่มด้วยกัน นิยายเหล่านั้นล้วนทำเงินให้เขามากมาย ไม่ว่าจะจากการขายหนังสือหรือขายลิขสิทธิ์เป็นละครและภาพยนตร์

ติ๊งต่อง...

เสียงกริ่งประตูหน้าบ้านที่ดังขึ้นทำให้กวินหลุดจากภวังค์แห่งอดีต เขาหยุดโยกเก้าอี้แล้ววางแก้วกาแฟเอาไว้ที่โต๊ะเตี้ยข้างเก้าอี้

“ใครมา”

ชายหนุ่มงึมงำ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้โยกตัวโปรด เดินกลับเข้าไปในบ้านไม้สองชั้นแล้วเดินตัดข้ามห้องโถงกลางไปหยุดยืนอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน ดวงตาคมมองผ่านสวนซึ่งครึ้มไปด้วยแมกไม้ใบหญ้าไปยังประตูรั้วปูนเก่าคร่ำคร่า เพ่งฝ่าความมืดไปจนเห็นสีม่วงวิบไหวอยู่ที่ประตูรั้ว เขาเอื้อมมือไปกดสวิตช์ไฟข้างประตูจนกระทั่งหลอดไฟที่เสารั้วฉายแสงออกมาสว่างไสว

“สวัสดีจ้า...เปลว” สาวใหญ่ผู้โกรกผมสีม่วงเหมือนชุดที่สวมใส่อยู่โบกไม้โบกมือให้เขา

กวินยิ้มอย่างขบขัน เพราะไม่นึกว่าแค่คิดถึงเท่านั้น บรรณาธิการสาวใหญ่จะมาปรากฏตรงหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้

“พี่ท็อป” เขาร้องทักเมื่อเดินไปถึงประตูรั้วเหล็ก ปลดล็อกแม่กุญแจก่อนจะเลื่อนมันเปิดออกแล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีครับพี่ มาได้ไงครับเนี่ย”

“พอดีมาธุระแถวนี้น่ะ เลยแวะมาหา...คิดถึง”

“ธุระที่ไหนเจ๊ ออกจากสำนักพิมพ์ก็ดิ่งตรงมานี่ ไม่เห็นแวะไหนเลย” เสียง ฟ้าคราม กัปปะวัฒนะ ดังมาจากรถตู้สัญชาติเกาหลี หนุ่มท่าทางขี้เล่นซึ่งเป็นนักเขียนแนวคอเมดีชื่อดัง นามปากกา ตาเบบูญ่า ก้าวลงมาจากรถแล้วบิดตัวไปมาอย่างเมื่อยล้า

“อ้าว กัปปะ มากับเขาด้วยเหรอ” เขาร้องทัก

“ไอ้เวร ไอ้ทองคำเปลว” ชายหนุ่มผู้มาเยือนสวนกลับทันควัน “มาล้อนามสกุลเดี๋ยวต่อยปากแหก ฉันชื่อฟ้าครามโว้ย เรียกให้มันถูกๆ หน่อย”

กวินหัวเราะกับคำพูดคุกคามแบบทีเล่นทีจริงของเพื่อนนักเขียนที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าไปสนิทด้วยตอนไหน เพราะมารู้ตัวอีกที ฟ้าครามก็มักจะแวะมาดื่มเบียร์สังสรรค์กับเขาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทั้งยังสนิทสนมจนพูดเล่นหัวกันได้อย่างไม่ต้องเกรงใจกันด้วยซ้ำ

“ไปครับ เข้าไปนั่งข้างในดีกว่า เดี๋ยวยุงจะหามกันเสียเปล่าๆ”

กวินเดินนำผู้มาเยือนทั้งสองเข้าไปในบ้านหลังน้อยที่แสนอบอุ่น แล้วเสิร์ฟน้ำแร่เย็นฉ่ำให้ดารณีนุชกับเบียร์ในแก้วบูตทรงสูงให้ฟ้าครามอย่างรู้ใจ พอหนุ่มเจ้าสำราญได้เครื่องดื่มถูกใจเท่านั้นก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เลิกบ่นปอดแปดว่าเป็นนักเขียนแต่ต้องมาขับรถให้บรรณาธิการไปเลย แล้วจัดการละเลียดฟองเบียร์เย็นฉ่ำด้วยท่าทางดื่มด่ำกับรสชาติอันคุ้นลิ้น

“แล้วนี่คุณแม่ไปไหนเสียล่ะ” บรรณาธิการสาวใหญ่เอ่ยถาม

“ไปทำบุญกับญาติๆ น่ะครับ พรุ่งนี้เย็นๆ ก็คงกลับ” เขาตอบก่อนจะวกเข้าเรื่องที่สงสัย “แล้วสรุปว่าพี่ท็อปมาถึงบ้านผมนี่ มีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่าครับ”

“ก็...จะว่าอย่างนั้นก็ได้นะ”

“เรื่องอะไรหรือครับ ถึงได้มาเอาโพล้เพล้แบบนี้”

“ก็มีสองเรื่อง” ไฮโซสาวใหญ่ยกสองนิ้วขึ้นชู ก่อนจะหดนิ้วชี้ลงจนเขากับฟ้าครามหันหน้ามองกันแล้วแอบยิ้มด้วยความขบขัน แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เพราะชอบทำจนกลายเป็นความคุ้นชิน

“เรื่องแรก ต้นฉบับเรื่องระห่ำรักท้าโลกันตร์เสร็จเรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ พี่จะวางแผงในงานหนังสือเดือนมีนาคมนี้เลย จะให้เปลวไปเปิดตัวหนังสือด้วยนะ สะดวกไปไหมล่ะ”

“ไม่มีปัญหาครับ”

“แหม...เปลวนี่พูดง่ายนะ ไม่เห็นเหมือนคนบางคน” ดารณีนุชยิ้มหวานให้เขาก่อนจะหันไปค้อนฟ้าครามจนนักเขียนหนุ่มถึงกับสำลักฟองเบียร์

“เดี๋ยวจองเวทีได้ยังไง พี่จะโทร.มาบอกอีกทีนะ งานนี้คงใหญ่ เพราะพี่ว่าจะเชิญผู้กำกับกับดาราที่เล่นเรื่องนี้ไปพูดคุยด้วย เพราะสื่อเล่นข่าวแล้วว่าทางช่องซื้อไปทำละครตั้งแต่ลงนิตยสารแล้ว และก็กำลังเตรียมเปิดกล้องอยู่รอมร่อ”

“ครับ” เขาพยักหน้า “แล้วเรื่องที่สองล่ะครับ”

“เรื่องนี้สำคัญสักหน่อย” ดารณีนุชทำเสียงขรึมขึ้นมาทันที ก่อนจะจีบปากจีบคอเอ่ยว่า “เปลวก็รู้ใช่ไหมว่าพี่ไฮโซ”

“ครับ” กวินพยักหน้า ลอบอมยิ้มกับฟ้าครามอีกครั้ง

“ก็ไอ้ความเป็นไฮโซของพี่นี่แหละ ที่ทำให้พี่รู้จักพวกไฮโซไฮซ้อเยอะแยะ แล้วพวกนี้ก็มีข่าวฉาวไม่เว้นแต่ละวัน มาบ่นกับพี่ตามงานเลี้ยงเป็นประจำจนบางทีพี่ก็นึกรำคาญนะ”

“แล้วไงครับ” เขาเอ่ยถาม เพราะเธออารัมภบทยาวแบบไม่เข้าเรื่องสักที

“อ้อ...ก็เพื่อนพี่คนหนึ่งน่ะสิ เขามาเปรยๆ กับพี่ว่าอยากมีหนังสือที่เป็นช่องทางให้เขาได้อธิบายเรื่องข่าวคาวต่างๆ ของเขากับภรรยาทั้งเก่าและใหม่ได้น่ะสิ” ดารณีนุชเอ่ยพลางยกน้ำแร่ขึ้นจิบ “ทีนี้พี่มาคิดว่าไอ้หนังสือชีวประวัติอะไรพวกนั้นมันไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร แล้วมันก็ไม่ใช่แนวของสำนักพิมพ์เราด้วย ถ้าทำออกมาเป็นเชิงนิยายมันน่าจะขายได้ดีกว่า เพราะมันจะได้กลุ่มลูกค้าที่เป็นแฟนนิยายด้วย เปลวว่าดีไหมล่ะ”

“หมายถึงจะเขียนนิยายจากชีวประวัติ เพื่อให้คนเข้าใจเพื่อนของพี่ท็อปงั้นหรือครับ”

บรรณาธิการสาวใหญ่ดีดนิ้วดังเป๊าะ “แหม...สมกับเป็นเปลวเทียนจริงๆ พี่พูดนิดเดียวก็แตกประเด็นได้กระจ่างแจ้งแล้ว”

“ขอบคุณครับ” เขาค้อมศีรษะเล็กน้อย “ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับผมหรือครับ”

“ก็คงไม่เกี่ยวหรอกจ้ะ ถ้าอีตาตาเบบูญ่าจะไม่ปฏิเสธความคิดพี่ แล้วโบ้ยมาให้เปลวน่ะ”

“โห...เจ๊ คนอื่นเรียกน้องจ๊ะน้องจ๋า ทีผมละขึ้นไอ้ขึ้นอีทีเดียวนะ” ฟ้าครามโอดครวญ

กวินหัวเราะและคิดเหมือนบรรณาธิการคนเก่งว่าฟ้าครามน่าจะเหมาะกว่า เพราะนอกจากแนวนิยายจะตรงกับจุดประสงค์แล้ว นามปากกาตาเบบูญ่าก็นับได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มคนทำงานขี้เหงาที่ชอบฉากเลิฟซีนหวือหวา และต้องการเสียงหัวเราะกับบทสนทนาอย่างถึงพริกถึงขิงของพระนางด้วย แถมยังเป็นนักเขียนที่มีนิยายขายดีติดอันดับของสำนักพิมพ์หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน

“หมายความว่าไงวะ ที่พี่ท็อปบอกว่าโบ้ยมาให้ฉัน” กวินเอ่ยถามฟ้าคราม

“ฉันไม่ว่างว่ะ มีโพรเจกต์ใหญ่กับน้องๆ อีกสองคน” อีกฝ่ายยักไหล่พร้อมกับส่ายใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ “แล้วฉันก็ไม่ชอบทำงานโจทย์ด้วย เห็นว่านายเป็นลูกรัก เลยแนะนำเจ๊เขาไป”

“โจทย์เจิดอะไรกันยะ ฉันก็แค่วางแนวทางนิยายให้แค่นั้น” ดารณีนุชค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ฟ้าคราม ก่อนจะหันมายิ้มกับเขาแล้วเอ่ยด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน “แล้วพี่ก็เห็นว่าเปลวเพิ่งส่งต้นฉบับมา คงยังว่าง แล้วก็ยังไม่ได้เริ่มพลอตเรื่องใหม่ใช่ไหม”

“ก็ใช่ครับ” เขาพยักหน้าอย่างรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมา

“ตกลงเปลวรับเขียนใช่ไหมจ๊ะ”

“เอ่อ...แต่มันไม่ใช่แนวผมนะครับ” กวินบอกปัดอย่างมีเหตุผล “ผมอยากเขียนให้นะครับ แต่ดูเหมือนมันไม่ใช่แนวผมเอาเสียเลย พี่ท็อปก็รู้ว่าผมเขียนนิยายบู๊ ไม่ใช่นิยายรักอะไรแบบนี้”

“แต่พี่เชื่อมือเปลวนะ” ดารณีนุชเอ่ยเสียงแข็ง “เขียนแนวเดียวซ้ำๆ กัน คนมันจะเบื่อนะจ๊ะ คนเราน่ะมันกินน้ำพริกถ้วยเดียวทุกวันไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นพวกแฮมเบอร์เกอร์ พิซซา มันจะขายดีเหรอ”

“แต่...”

“ไม่แต่ละ ถือซะว่าพี่ขอ” บรรณาธิการสาวใหญ่ไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธ “ที่ผ่านมา พี่ไม่เคยขอให้เปลวเขียนตามตลาดเลยสักครั้ง ปล่อยให้เปลวใช้จินตนาการตามอิสระ แต่คราวนี้พี่ขอ”

กวินชะงัก เพราะดารณีนุชแม้จะมีข่าวว่าเคยแจกโจทย์ให้นักเขียนในสังกัด แต่เธอไม่เคยทำอย่างนั้นกับเขาเลยสักครั้ง เพราะเห็นว่างานของเขาขายได้และมีแฟนกลุ่มใหญ่ที่เหนียวแน่นทีเดียว ถึงขนาดว่าหากเป็นงานเขียนในนามเปลวเทียน นักอ่านแทบจะไม่ต้องดูปกหรืออ่านเรื่องย่อก็ตัดสินใจซื้อได้ไม่ยาก

“ถ้างั้นผมคงปฏิเสธไม่ได้สินะครับ” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน

“จ้ะ” ดารณีนุชยิ้มแป้น

“แล้วมีกำหนดการยังไงครับ”

“ก็ว่าจะวางแผงกลางเดือนมิถุนายนจ้ะ เพื่อนพี่เขาร้อนใจอยากให้ออกเร็วๆ กว่านี้ด้วยซ้ำ แต่พี่คิดว่าเวลาอาจไม่พอ” ดารณีนุชตอบแล้วเหลือบมองเขาพร้อมรอยยิ้ม

“เท่ากับว่า ผมมีเวลาสามเดือน”

“ใช่จ้ะ” บรรณาธิการสาวใหญ่พยักหน้า “สำหรับเปลว พี่ให้เดดไลน์ถึงปลายเดือนพฤษภาคมเลย เพราะต้นฉบับไม่ต้องตรวจแก้อะไรมากมาย พี่เชื่อมือ”

“แล้ว...เพื่อนพี่ท็อปเป็นใครหรือครับ”

“คุณอมร จตุรงค์สกุล”

คำตอบของดารณีนุชทำเอากวินถึงกับอึ้ง เพราะนั่นเป็นชื่อของเจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของเมืองไทยที่เพิ่งจะมีข่าวว่าหย่ากับภรรยาที่อยู่กินกันมาหลายสิบปี แล้วไปแต่งงานกับดาราสาวคราวลูกซึ่งเคยมีข่าวฉาวสะเทือนวงการไปไม่นานมานี้เอง

แต่เรื่องราวร้าวฉานเหล่านั้นก็ยังไม่ทำให้เขากระอักกระอ่วนใจได้เท่ากับว่า ดาราสาวที่ตัดสินใจแต่งงานกับชายรุ่นราวคราวพ่อคนที่ว่านั่นคือ...บราลี สินศิลป์

หญิงสาวผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของเขา

“พี่ติดต่อคุณอมรไว้แล้วด้วยนะ เขานัดให้ไปคุยกับเขาที่เมืองกาญจน์ เปิดรีสอร์ตหรูให้เปลวนอนพักเก็บบรรยากาศชีวิตรักของเขาฟรีๆ หรือเปลวจะนั่งเขียนนิยายอยู่ที่นั่นเลยก็ได้ เขาไม่จำกัดเวลาด้วย”

“ขนาดนั้นเลยหรือครับ” เขายิ้มเจื่อน

“งั้นสิ” ดารณีนุชพยักหน้า “คุณอมรน่ะ เป็นแฟนนิยายของเธอตัวยงเชียวนะ เห็นเป็นนักธุรกิจใหญ่งานรัดตัวแน่นเป็นงูเหลือมอย่างนั้นก็เถอะ อ่านหนังสือเธอทุกเล่มเลยละ”

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลองบรรณาธิการยื่นคำขาดมาแบบนี้ สงสัยว่าจะปฏิเสธยากเสียแล้ว แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ ถ้าเขาต้องเจอกับบราลีในสถานภาพที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ เขาจะทำงานให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไรกัน ในเมื่อเธอยังคงอยู่ในหัวใจของเขาอย่างไม่เสื่อมคลาย

“ถ้าเปลวปฏิเสธ พี่คงไม่มีหน้าไปออกงานสังคมอีกแล้ว ชีวิตเซเลบของพี่คงจบสิ้นกัน” ดารณีนุชเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเครียดราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

“ใจเย็นๆ สิครับพี่ท็อป” เขาโบกมือห้าม แม้จะรู้ว่าบรรณาธิการแสร้งพูดไปแบบนั้นเอง เหตุผลก็ฟังแล้วไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับการวางมือจากวงการสังคมชั้นสูงเลย นั่นเพราะเธอรู้จุดอ่อนของเขาดีว่าเป็นคนขี้เกรงใจ ไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนเพราะเขา และไม่เคยปฏิเสธคำขอร้องของใครโดยเฉพาะเธอ

ฟ้าครามกลับแทรกขึ้นมาด้วยสีหน้ากระตือรือร้น ทั้งๆ ที่เป็นคนโยนเผือกร้อนมาให้เขาเอง

“เฮ้ย...ไม่อยากทำก็ปฏิเสธเจ๊เขาไปเถอะ”

“ฟ้าคราม” บรรณาธิการสาวใหญ่คำราม หันไปมองเจ้าพ่อคอเมดีตาเขียวปั้ด ทำเอาผู้ใช้นามปากกาตาเบบูญ่าถึงกับจ๋อย

กวินมองทั้งสองคนอย่างสงสัย เพราะทั้งที่ดารณีนุชสามารถบังคับฟ้าครามได้ง่ายกว่า และฟ้าครามเองก็ไม่เคยขัดเธอได้ราวกับถูกบรรณาธิการสาวใหญ่กุมความลับอะไรบางอย่างอยู่ แต่เธอกลับยอมให้ฟ้าครามปฏิเสธงานนี้โดยง่าย

“เอ้า...ลองดูก็ได้ครับ” กวินเอ่ยอย่างจำนนใจ

“นั่นไง” ดารณีนุชตบมือดังฉาดด้วยความดีใจ “พี่ว่าแล้วว่าเปลวของพี่ต้องไม่ทำให้พี่ผิดหวัง”

“ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า “แต่ผมขอเวลาพี่สักหน่อยได้ไหมครับ คือผมมีต้นฉบับต้องเขียนส่งนิตยสารกรุงเทพมหานครก่อนน่ะครับ”

“นั่นก็แล้วแต่เปลวเถอะ เพราะยิ่งเริ่มช้า เวลาก็เหลือน้อยลง แต่พี่เชื่อว่าเปลวทำได้”

“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเริ่มหลังงานเปิดตัวหนังสือระห่ำรักท้าโลกันตร์ก็แล้วกันนะครับ”

“ได้” ดารณีนุชพยักหน้า แล้วดึงโทรศัพท์มือถือรุ่นพระเจ้าเหาขึ้นมากดปุ่มเสียงดังตุ๊ดๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง “เปลวจดเบอร์คุณอมรไปก่อนก็แล้วกันนะ จะไปหาเขาวันไหนก็นัดกันเอง บอกว่าพี่แนะนำมาก็ได้”

“ครับ” กวินพยักหน้ารับ แล้วรีบบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ลงในโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ตโฟนของเขาตามที่ดารณีนุชบอก

“อืม...เอาเบอร์คุณบราลีไปด้วยเลยไหม”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ “คะ...ครับ”

ดารณีนุชก้มลงกดปุ่มบนโทรศัพท์มือถือที่มีคุณสมบัติเฉพาะโทร.ออกกับรับสายเท่านั้นอีกครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกเบอร์โทรศัพท์ของหญิงสาวที่เขาไม่เคยโทร.หาเลย หลังจากเกิดเรื่องเมื่อแปดปีก่อน

บราลี สินศิลป์


-------------------------------------------

 

 บราลีไม่เคยถูกลบเลือนไปจากใจของเขาเลย ตลอดแปดปีที่ผ่านมา

บทที่ ๑

บราลีวางมือจากงานจัดแจกันสำหรับนำไปวางตามส่วนต่างๆ ของบ้านลง หลังจากโทรศัพท์มือถือของเธอส่งเสียงดังออกมาเป็นเพลงที่ตั้งโปรแกรมเอาไว้เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเสียงเพลงที่ทำให้เธอไม่ต้องดูหน้าจอก็รู้ว่าใครโทร.มา หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มากดรับพร้อมกับกรอกเสียงหวานลงไป

“สวัสดีค่ะ...คุณอมร”

“แหม...หนูลี เรียกเสียห่างเหินกันเลย ฉันบอกให้เรียกคุณพี่ไงล่ะ เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ ไม่ใช่คนอื่นไกลเหมือนเมื่อก่อน”

“แต่เราไม่ได้...” บราลีชะงักก่อนจะหลุดปากออกไป เธอใช้มือหนึ่งปิดโทรศัพท์แล้วหันไปเอ่ยกับบรรดาคนรับใช้ที่มาช่วยเธอตัดแต่งกิ่งก้านดอกไม้อยู่ใกล้ๆ “พวกเธอมีอะไรก็ไปทำเถอะ ของพวกนี้เอาไว้นี่ก่อน แล้วค่อยมาเก็บ”

“ค่ะคุณลี” สาวใช้เอ่ยพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะพากันลุกเดินออกไปด้วยสีหน้าเสียดายที่ไม่ได้แอบฟังเรื่องที่เจ้านายคุยกัน

“คุณพี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ” บราลีจำต้องเรียกสามีอย่างที่เขาต้องการพร้อมกับเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “เมื่อวานคุณพี่บอกว่าจะบินไปโอซากาเที่ยวบินสิบเอ็ดโมงเช้าไม่ใช่หรือคะ นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว หรือว่าลืมอะไรคะ”

“อ้อ...พอดีมีธุระจะไหว้วานหนูลีสักหน่อยน่ะ”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำ

“หนูลีจำคุณดารณีนุชได้ไหม คนที่มางานแต่งของเรา ที่ทำผมสีม่วงๆ ใส่ชุดราตรีสีม่วงน่ะ”

“จำได้ค่ะ” บราลีตอบ นึกถึงผู้หญิงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคนนั้นขึ้นมาทันที

“คือคุณดารณีนุชเนี่ย เขาเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ ทีนี้นักเขียนของเขาอยากจะเขียนนิยายเกี่ยวกับเรื่องของเรา”

“เรื่องของเรา...หรือคะ” บราลีทวนคำด้วยความแปลกใจ

“ใช่...เรื่องของเรา เรื่องของฉัน แล้วก็เรื่องข่าวร้ายๆ ของหนูลี ฉันอยากประกาศให้โลกรู้ว่าแท้จริงแล้วหนูโดนกระทำจากสื่ออย่างไร แล้วก็อยากจะปิดปากไอ้พวกนักข่าวไร้จรรยาบรรณด้วยที่หาว่าหนูลีมาแต่งงานกับฉันก็เพราะหวังสมบัติ”

“แต่เรื่องหลังนี่ก็เป็นความจริงนี่คะ”

“ไม่เอาน่า เรื่องนั้นฉันเองต่างหากที่เสนอให้หนู แล้วในข้อตกลงก่อนแต่งงาน หนูลีก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรกับทรัพย์สินประดามีของฉัน นอกเสียจาก...เอ่อ...แป๊บหนึ่งนะ”

เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง บราลีเข้าใจว่าสามีของเธอคงกำลังวุ่นอยู่กับธุรกิจที่รัดตัวราวกับงูเหลือมของเขา ระหว่างรอ เธอรู้สึกได้ถึงความอุดอู้ แม้ห้องนี้จะเป็นห้องกว้างที่ประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือนราคาแพงลิบ จึงลุกขึ้นเดินตรงไปยังระเบียงแล้วทรุดตัวลงนั่งตรงชุดเก้าอี้ไม้สีขาวสะอาด สูดกลิ่นของธรรมชาติและทอดสายตามองวิวภูเขาอันเขียวขจี ก่อนที่เขาจะกลับมาอยู่ในสายอีกครั้งหลังจากผ่านไปได้เกือบห้านาที

“ถึงไหนแล้วนะ” อมรเอ่ยถาม

“เรื่องของเราที่จะไปเป็นนิยายของคุณดารณีนุชค่ะ” บราลีตัดสินใจข้ามเรื่องที่คุยค้างเอาไว้ไป เพราะรู้กันแค่สองคน จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกันอีกให้มากความ

“อ้อ...ก็อย่างที่บอกแหละ คุณดารณีนุชเธอจะทำนิยายเกี่ยวกับชีวิตรักของเรา แล้วเธอก็จะให้นักเขียนมาสัมภาษณ์ฉัน แต่นักเขียนคนนั้นดันโทร.มานัดฉันตอนที่ฉันต้องไปญี่ปุ่นตั้งสัปดาห์นี่สิ”

“แล้วคุณพี่จะให้ฉันทำอย่างไรล่ะคะ”

“ฉันรับปากเขาไปแล้วว่าจะให้มาสัมภาษณ์แล้วก็นั่งเขียนนิยายที่รีสอร์ต”

“ที่นี่หรือคะ”

“ใช่...ที่รีสอร์ตนั่นแหละ เห็นว่าจะไปถึงพรุ่งนี้ ฉันอยากให้หนูลีช่วยรับรองเขาหน่อย แล้วก็ให้สัมภาษณ์เขาเลย เปิดบ้านพักติดแม่น้ำแควให้เขาก็แล้วกันนะ หลังที่เมื่อก่อนหนูลีเคยไปพักบ่อยๆ นั่นแหละ”

“ได้ค่ะ” บราลีรับปาก “แล้วฉันพูดได้แค่ไหนคะ”

“อืม...ก็พูดไปตามความจริง ยกเว้นเรื่องนั้นก็แล้วกัน”

คำว่า ‘เรื่องนั้น’ คือเรื่องที่เธอกับอมรรู้กันแค่เพียงสองคน และเป็นสิ่งที่ระบุเอาไว้ในสัญญาก่อนแต่งอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่แพร่งพรายออกไปให้ใครรู้

“ได้ค่ะ” หญิงสาวรับคำ “ว่าแต่นักเขียนคนนั้นเป็นใครหรือคะ”

“อ้อ...เขาชื่อ เปลวเทียน”

“ค่ะ...แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรคะ” บราลีเอ่ยถาม เพราะไม่ค่อยได้อ่านนวนิยายสักเท่าไหร่ จะอ่านก็แต่เฉพาะบทละครเรื่องที่จะแสดงเท่านั้น แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นบทประพันธ์ประเภทดรามาซึ่งเป็นแนวที่เธอถนัดของนักเขียนรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงคนทำละครประเภทนี้

“อืม...เขาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว” ปลายสายเอ่ยอย่างร้อนใจ “ที่ตู้หนังสือในห้องสมุดมีผลงานของเปลวเทียนอยู่ครบชุด ทุกเล่มมีรูปของเขาอยู่ที่ท้ายเล่ม หนูลีไปหยิบดูก็แล้วกันนะ ฉันไปละ”

ไม่ทันที่เธอจะกล่าวอำลา สัญญาณโทรศัพท์ก็ถูกตัดไป บราลีถอนหายใจก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้บนตัก จากนั้นก็นั่งเล่นชมธรรมชาติ ฟังเสียงน้ำไหลอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านพักแล้วออกจากห้องนั่งเล่นเดินไปจนถึงห้องสมุดซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของบ้าน

อมรเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ที่บ้านทุกหลังมักจะมีห้องสมุดสำหรับให้เขาขลุกตัวอยู่เวลาว่างจากงาน บนชั้นหนังสือที่ทำมาจากไม้สักมีหนังสือหลากหลายแนว รวมทั้งงานเขียนของนักเขียนที่ใช้นามปากกาว่า ‘เปลวเทียน’ ด้วย

บราลีงึมงำอย่างนึกทึ่งเมื่อเห็นชื่อนั้นเรียงเป็นแถวยาวเหยียดราวยี่สิบกว่าเล่ม และชื่อเรื่องแต่ละเล่มนั้นก็พาให้คิ้วของเธอขมวดมุ่นด้วยความฉงนฉงาย

“สารวัตรแดนเถื่อน มาเฟียเลือดอีสาน นักฆ่าพันธุ์อำมหิต...อะไรกันเนี่ย เรื่องเรากับคุณอมรมันไม่ได้บู๊ล้างผลาญขนาดต้องให้คนที่เขียนเรื่องพวกนี้มาเขียนให้สักหน่อย”

หญิงสาวส่ายหน้า ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มไปบนด้านบนของสันหนังสือเล่มขวาสุด เพราะอมรมักจะเรียงลำดับความใหม่เก่าของหนังสือจากซ้ายไปขวาเสมอ จากนั้นก็อ่านชื่อเรื่องที่สันปก

“บินแหลกแจกกระสุน” เธอทำหน้าเบ้ “ยี้...ชื่อเรื่องแบบนี้ก็มีคนหยิบอ่านด้วยเหรอ”

แต่เมื่อบราลีดึงหนังสือเล่มนั้นออกมาดูปก เธอก็ถึงบางอ้อ เพราะชื่อเรื่องเมื่อครู่นั้น เมื่อมาเทียบกับคำว่าเปลวเทียนก็ดูเหมือนจะเล็กกระจิริดไปเลย ดูเผินๆ เหมือนกับเรื่องนี้จะชื่อเรื่องเปลวเทียนเสียด้วยซ้ำ นั่นก็แสดงว่าคนที่ซื้อหนังสือเล่มนี้คงไม่ได้สนใจชื่อเรื่องสักเท่าไหร่ จุดขายของมันน่าจะเป็นชื่อผู้แต่งกับรูปแบบปกที่สะดุดตาเสียมากกว่า

หญิงสาวมองดูปกซึ่งเป็นรูปเครื่องบินรบสมัยโบราณก่อนจะส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

“บ้าจังเลย แล้วเรื่องของฉันมันจะชื่ออะไรกันล่ะเนี่ย”

บราลีตัดสินใจไม่เปิดหน้าสุดท้ายในทันที เพราะเริ่มอยากจะรู้ว่า ผู้เขียนที่ใช้นามปากกาว่า ‘เปลวเทียน’ คนนี้จะมีสำบัดสำนวนอย่างไร ถึงขนาดที่อมรต้องมีเก็บครบชุดอยู่ในห้องสมุดส่วนตัวแทบจะทุกบ้าน อีกอย่างคุณเปลวเทียนอะไรนี่ก็จะมาถึงตั้งพรุ่งนี้ ยังมีเวลารู้จักหน้าค่าตาเขาอีกนาน คิดดังนั้นเธอจึงถือหนังสือเล่มนั้นไปที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พนักสูงบุนวมน่านอนเสียมากกว่านั่งอ่านหนังสือ ก่อนจะวางหนังสือเล่มหนานั้นลงบนโต๊ะและเริ่มอ่านมัน

ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง เธอก็อ่านหนังสือมาได้เกือบครึ่งเล่มแล้ว และรู้สึกว่านักเขียนคนนี้มีสไตล์การเขียนที่น่าติดตามทีเดียว เขาเป็นคนใช้ภาษาดี ในขณะเดียวกันก็กระชับไม่เยิ่นเย้อ เดินเรื่องเร็วและมีจุดที่ทำให้เธอไม่สามารถปิดหนังสือลงได้เมื่อจบบท

และที่สำคัญกว่านั้น เวลาเธออ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกเหมือนว่าตัวเองคือนางเอกเรื่องนี้ก็ไม่ปาน

ทว่าหลังจากอ่านมาจวนจะครึ่งเล่ม เธอกลับรู้สึกเหนื่อยและอยากจะพัก เพราะอ่านไปอ่านมาก็เหมือนตัวเองเข้าไปบู๊อยู่ในสงครามเข้าจริงๆ ทำให้แม้ว่ายังสนุกกับเรื่องราวอยู่ก็ตาม แต่คงถึงเวลาต้องไปทำอย่างอื่นบ้างเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นคงหัวใจวายตายคาโต๊ะแน่ๆ

“ก่อนนอนค่อยอ่านต่อก็แล้วกัน” บราลีพึมพำ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดกล่องไม้สำหรับเก็บที่คั่นหนังสือ แล้วหยิบที่คั่นหนังสือรูปผีเสื้อสีทองอร่ามมาเสียบเอาไว้ตรงหน้าที่อ่านค้างอยู่ จากนั้นก็พลิกไปยังด้านในของปกหลังเพื่อดูหน้าคนแต่งเสียหน่อย

ทว่า...ใบหน้าของนักเขียนนามปากกาเปลวเทียนกลับทำให้ความเหนื่อยล้าจากการรบในหนังสือนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง ดวงตากลมของเธอเบิกกว้างด้วยความตะลึงลาน เพราะแทนที่นักเขียนคนนี้จะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับสามีของเธออย่างที่เธอจินตนาการไว้ กลับกลายเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมสัน มีหนวดเคราหร็อมแหร็มคุ้นตา

“นี่มันกวินนี่นา”

กวินยังคงกำโทรศัพท์มือถือของตัวเองแน่นอยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน ดวงตาของเขาเหม่อมองข้ามท้องนาเขียวขจีไปไกลแสนไกล ภาพวงหน้าของเด็กสาวคนหนึ่งปรากฏเด่นชัดอยู่บนท้องฟ้าสีครามเหนือรวงข้าวที่กำลังตั้งท้อง

‘ผมต้องไปญี่ปุ่นหนึ่งสัปดาห์น่ะสิครับ’

เสียงของอมรยังก้องวนเวียนอยู่ในสมองของเขา

‘เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะให้คุณไปสัมภาษณ์ภรรยาของผมที่รีสอร์ตเมืองกาญจน์ก่อนก็แล้วกัน ผมจะเปิดบ้านพักให้คุณจะอยู่สักสัปดาห์ รอจนกว่าผมกลับมาดีไหม ผมไม่คิดตังค์’

ทีแรกเขาคิดว่าจะหลีกเลี่ยงการเจอบราลีด้วยการขอสัมภาษณ์อมรเพียงคนเดียว แต่เจอคำตอบอย่างนี้ของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาคิดอะไรไม่ออก และจำต้องรับปากไป

ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความเสียดาย เป็นเพราะงานต้นฉบับที่จะต้องส่งให้แก่นิตยสารกรุงเทพมหานครแท้ๆ ที่ทำให้เขาโทร.ไปหาเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ช้าเกินไป ผลก็เลยลงเอยด้วยการที่เขาจะต้องไปสัมภาษณ์บราลีเพียงคนเดียวแทน

นักเขียนหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ครั้นจะเลิกล้มโครงการมันก็ไม่ใช่วิสัยของเขา เนื่องจากรับปากกับดารณีนุชเอาไว้แล้ว และทางอมรก็จัดแจงทุกอย่างเสียดิบดีด้วยการบอกว่าจะเปิดบ้านพักริมแม่น้ำแควให้เขาพักฟรีโดยไม่จำกัดเวลาเสียอีก

ชายหนุ่มเหลือบดูปฏิทินในโทรศัพท์ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง นับจากวันนี้จนถึงเดดไลน์ที่ต้องส่งต้นฉบับ ก็เหลืออีกแค่สองเดือน หากไม่เริ่มไปเก็บข้อมูลเอาไว้ คงจะเขียนงานออกมาไม่ทันเวลาเป็นแน่

กวินกดโทรศัพท์อีกครั้ง โทร.ไปหาลูกพี่ลูกน้องเพื่อให้มาอยู่ดูแลมารดาเหมือนครั้งที่เขาได้บรรจุเป็นครูที่ต่างจังหวัด ก่อนจะขึ้นไปบนห้องนอนแล้วเก็บเสื้อผ้าสำหรับหนึ่งสัปดาห์บรรจุลงในกระเป๋าเดินทาง เตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปกาญจนบุรีในเช้าวันพรุ่งนี้

ระหว่างนั้นมารดาเขาเปิดประตูเข้ามาพร้อมกาแฟหอมกรุ่น เมื่อเห็นเขากำลังง่วนอยู่กับกระเป๋าใบใหญ่จึงร้องถามด้วยความสงสัย

“จะไปไหนหรือวิน”

“กาญจนบุรีน่ะครับ ว่าจะไปหาข้อมูลเขียนนิยายนิดหน่อย”

มารดาเลิกคิ้ว วางกาแฟบนโต๊ะแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆ เขา

“อะไรกัน เพิ่งปิดต้นฉบับไปไม่ใช่หรือ ทุกทีเห็นพักเป็นเดือนๆ กว่าจะเริ่มเรื่องใหม่”

“งานนี้เร่งน่ะครับแม่ พี่ท็อปเขาอยากให้ออกกลางเดือนมิถุนายนครับ”

“อ้อ...คราวนี้ไประห่ำที่เมืองกาญจน์เหรอ” มารดาเอ่ยแซว เพราะรู้สึกขัดใจกับชื่อเรื่องแต่ละชื่อของเขา บ่นโอดโอยอยู่ประจำว่าฟังแล้วหัวใจจะวาย

“เปล่าหรอกครับ” เขาปฏิเสธกลั้วหัวเราะ “คราวนี้เป็นแนวชีวประวัติน่ะครับ”

“ชีวประวัติ” คุณแม่ทวนคำ “เอาประวัติคนมาแต่งเป็นนิยายอย่างนั้นหรือ”

“ใช่ครับ” กวินพยักหน้า “พี่ท็อปบอกว่าอยากให้ผมลองอะไรใหม่ๆ ดูน่ะครับ”

“อืม...ก็ดีนะ ลองเปลี่ยนแนวดูบ้าง เขียนซ้ำๆ เดิมคนอ่านเขาจะจับทางได้เสียเปล่าๆ” มารดาเอ่ยอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย ก่อนจะเอ่ยถามคำถามที่เขาหวั่นเกรงว่าท่านจะถามขึ้นมา “แล้วนี่จะเขียนประวัติใครกันล่ะ แม่รู้จักไหม”

ชายหนุ่มชะงักไป ก่อนจะเอ่ยอ้อมแอ้มด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “ประวัติคุณอมร เจ้าของเครือจตุรงค์กรุ๊ปครับ”

คราวนี้เป็นหญิงสูงวัยที่อึ้งไปบ้าง กวินหยุดพับเสื้อแล้วเงยหน้าขึ้นมองมารดา สีหน้าของท่านทำให้เขารู้ว่าท่านรู้จักอมรอย่างแน่นอน

ก็ใครบ้างล่ะที่ไม่รู้จัก เพราะหลังจากชายวัยทองคนนั้นประกาศหมั้นกับดาราสาวผู้เคยเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง ทั้งอมรและเธอก็กลายเป็นที่จับตามองของสื่อทุกแขนง จนกระทั่งดาราสาวผู้ตกอับคนนั้นกลายเป็นเจ้าสาวหมื่นล้านไปเมื่อไม่ถึงสองเดือนมานี้

“คุณอมร ที่เพิ่งแต่งงานกับ...” มารดาชะงักไปชั่ววินาทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามต่อด้วยน้ำเสียงเบาหวิว “หนูลีน่ะหรือลูก”

“ครับ” กวินก้มศีรษะลง ซ่อนใบหน้าสะเทือนใจไม่ให้มารดาเห็น

“แล้ว...”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับแม่” เขาเอ่ยขัดขึ้น พยายามทำน้ำเสียงให้ปรกติและพับเสื้อเก็บลงกระเป๋าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง “ลีแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้พบกันเจ็ดแปดปีแล้วมั้ง ความรู้สึกเดิมๆ มันคงเปลี่ยนไปหมดแล้วละครับ”

หญิงสูงวัยมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอาทร ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอื้อมมือมาลูบศีรษะเขา

“แม่ไม่ได้ห่วงความรู้สึกของหนูลีหรอกนะ เธอแต่งงานมีครอบครัวแล้ว จิตใจก็คงจะเปลี่ยนไปอย่างที่วินว่านั่นแหละ แต่ที่แม่เป็นห่วงคือ...” มารดามองเขาด้วยแววตาอาทร “แม่ห่วงความรู้สึกของวินมากกว่า”

“ทำไมหรือครับแม่” เขาหัวเราะฝืนๆ “มันก็ผ่านมานานแล้ว ผมเลิกคิดไปแล้วละครับ”

“จริงเหรอ”

“จริงสิครับ” กวินรับคำหนักแน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกโหวงเหวงชอบกล

“ถ้าจริง แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่มีใครอื่นล่ะ”

นักเขียนหนุ่มอึ้งไปเมื่อถูกถามคำถามแทงใจดำเข้าให้

“ผม...เอ่อ...ยังหาคนที่ใช่ไม่เจอต่างหากล่ะครับ”

“แม่ก็ไม่เห็นวินไปหาใครที่ไหนนะ หมกตัวอยู่แต่กับเครื่องคอมพิวเตอร์เขียนนิยายเท่านั้น”

กวินหัวเราะกลบเกลื่อนความจนแต้มของตัวเอง ก่อนจะดึงมือมารดามากุมเอาไว้ “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับแม่ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่รับทำงานนี้หรอก”

“ก็แล้วที่รับทำงานนี้เพราะทำใจได้แล้ว หรือว่าอยากเจอหนูลีอีกกันแน่ล่ะ”

เป็นอีกคำถามหนึ่งที่ทำเอากวินถึงกับสะอึก เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นสบตามารดา ทำได้เพียงถอนมือกลับมาพับเสื้อผ้าเก็บใส่กระเป๋าต่อไปเท่านั้น ก่อนจะเสพูดเรื่องอื่นในฉับพลัน

“เดี๋ยวพรุ่งนี้น้องต่ายจะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่นะครับ”

“วิน” มารดาร้องเรียกเขาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยจนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมองท่าน ดวงตาที่ท่านมองมานั้นเต็มไปด้วยความอาทรต่อเขาเสมอ

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับแม่ เชื่อผมเถอะ”

ผู้เป็นมารดามองเขาอย่างพินิจ ก่อนจะถอนหายใจแล้วเอื้อมมือมาลูบศีรษะของเขาอีกครั้ง

“ถ้าวินเชื่ออย่างนั้น แม่ก็ขออวยพรให้ลูกทำสำเร็จเหมือนทุกครั้งนะ”

“ขอบคุณครับแม่” เขายกมือพนมแล้วกราบลงแทบตัก

“แต่ก่อนไป แม่ขออะไรสักอย่างได้ไหม”

“อะไรครับ”

มารดาแย้มยิ้ม บีบมือของเขาเบาๆ

“คืนนี้ลองนอนทบทวนดู แล้วตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าที่ไปหาหนูลีคราวนี้นี่ เพราะงานหรือเพราะ...หัวใจ”

บราลีในชุดนอนแบบไนต์กาวน์กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงกว้างใหญ่ ที่ใหญ่เสียจนทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับตัวเองกำลังถูกลอยแพอยู่กลางมหาสมุทรทองคำอันกว้างใหญ่ไพศาล

ในมือของเธอมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง หน้าปกเป็นรูปเครื่องบินรบโบราณซึ่งหลังจากเธออ่านไปครึ่งเล่มเมื่อตอนเช้าก็พบว่ามันเป็นเครื่องบินรบในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้เธอต้องหยิบหนังสือเล่มนี้จากห้องสมุดส่วนตัวของสามีมาไว้ที่ห้องนอนของตัวเองในค่ำคืนนี้

แต่เป็นเพราะผู้แต่งที่ใช้นามปากกาว่า เปลวเทียน นั่นต่างหากล่ะ

เธอไม่ได้เห็นใบหน้าคมเข้มนี้นานเท่าไหร่แล้วนะ อืม...สักเจ็ดหรือแปดปีได้แล้วละสิ

หญิงสาวถอนหายใจ ก้มลงเปิดปกหลังด้านในดูใบหน้ารูปเหลี่ยมที่มีหนวดและเคราบางๆ ประดับอยู่ด้วยความรู้สึกหวานหวามชอบกล

กาลเวลาทำให้เธอคิดว่า ความรู้สึกเช่นนี้มันจะจางหายไปแล้ว แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าของเขาอีกครั้ง เธอกลับพบว่า...ไม่ใช่เลย

บราลีใช้ปลายนิ้วลูบไล้ใบหน้าเขา ความรู้สึกแบบหนุ่มสาวมันยิ่งทวีคูณขึ้นมากด้วยซ้ำ เมื่อมันผสมผสานกับความคิดถึงที่ยังคงเจืออยู่ในหัวใจของเธออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ถ้าได้พบตัวจริงอีกครั้งล่ะ เธอจะทำหน้าอย่างไรกัน ในเมื่อเธอเองก็มีสถานะทางสังคมที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว

แล้วตอนนี้ล่ะ...เขาคนนั้นจะมีสถานะทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

บราลีถอนหายใจ ก่อนจะปิดหนังสือลงแล้วกอดมันเอาไว้แนบอก ประหนึ่งว่ากำลังกอดผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เอาไว้ด้วยความคิดถึงอย่างสุดซึ้ง...

‘เราเลิกกันเถอะ’

เสียงของกวินผุดขึ้นมาลอยวนเวียนอยู่ในสมองของเธอ เสียงตัดรอนของเขาสะกิดน้ำใสๆ ที่หล่อเลี้ยงดวงตาอยู่ก่อนแล้วให้ไหลลงมาอาบแก้ม

‘ไม่ได้นะคะวิน คุณจะมาบอกเลิกลีทางโทรศัพท์แบบนี้ไม่ได้นะคะ เราต้องคุยกัน’

‘ไม่...ทุกอย่างมันจบลงแล้วลี’

‘ทำไมคะ บอกเหตุผลมาสิ’

‘ผมขอให้คุณประสบความสำเร็จบนเส้นทางของคุณ...ลาก่อน’

กวินไม่บอกเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ก่อนจะตัดสายทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย เสียงสัญญาณขาดที่ดังซ้ำไปซ้ำมานั้นราวกับเสียงคำรามของปีศาจร้ายที่กำลังกระหน่ำค้อนทุบหัวใจของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เธอผิดอะไร? นั่นเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในสมองของเธอนับจากวันนั้น

อะไรกันนักหนาหรือ ที่ทำให้เขาตัดสินใจโทร.มาบอกเลิกเธอ แล้วหลบลี้หนีหน้าเธอไปไกลจนสุดชายแดน

หลายครั้งเหลือเกินที่เธอคิดจะเดินทางไปถามเขาด้วยตัวเอง แต่ด้วยคิวงานที่รัดตัวทำให้เธอไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอย่างที่ใจต้องการได้ จนกระทั่งความกลัวเริ่มก่อตัวโอบล้อมหัวใจเธอ ขังความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเขา ปิดกั้นความกล้าที่จะถามหาเหตุผลจากเขาเอาไว้ให้อยู่แต่เพียงภายในโพรงอก

ทำให้ทุกครั้งที่เธอมีเวลาว่างจากงาน เธอต้องใช้เวลาไปกับการตัดสินใจว่าจะก้าวออกจากประตูบ้านพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าและเดินทางไปถามเหตุผลจากเขาดีหรือไม่ แต่ทุกครั้งมันกลับลงเอยด้วยความขลาดเขลา และสรุปจบลงตรงที่เธอเองต้องกลับมาหมกตัวอยู่แต่บนเตียง ทิ้งเวลาในวันหยุดอันน้อยนิดไปอย่างเปล่าประโยชน์

หลังจากนั้นเป็นปี เธอก็ทุ่มเทให้แก่งานการแสดงเพื่อลืมความรู้สึกเหล่านั้นไป ทุกวินาทีของเธอจึงมีแต่งานกับงาน ไม่ว่าจะเป็นละคร งานพรีเซนเตอร์โฆษณา หรืองานอีเวนต์ต่างๆ ดวงเรื่องงานของเธอดูจะพุ่งพรวดสวนทางกับเรื่องความรักที่เริ่มดำดิ่งลงในหุบเหวหัวใจอันลึกล้ำยากหยั่งถึง

ช่วงเวลาแปดปีที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการ มีชายหนุ่มเข้ามาตามจีบเธอมากหน้าหลายตา ซึ่งก็มีทั้งพระเอก ดาวร้าย นายแบบ และหนุ่มไฮโซทั้งหลาย ไม่เว้นแม้กระทั่งชายแก่มีฐานะที่ส่งคนมาทาบทามเธอให้ไปเป็นเมียน้อยก็มีมาแล้ว แต่กำแพงหัวใจที่เธอก่อขึ้นจากความผิดหวังทำให้พวกเขาเหล่านั้นมีอันต้องเลิกรากันไปเอง

ชื่อของบราลีกลายเป็นเจ้าหญิงของวงการ เพราะไม่เคยมีข่าวฉาวใดๆ มากล้ำกรายชื่อเสียงของเธอเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามกับเธอเมื่อปีที่แล้ว

มันเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เส้นทางในสายอาชีพของเธอต้องมาพบจุดดับอย่างที่เธอเองก็คาดไม่ถึง เมื่อดารารุ่นพี่ซึ่งเล่นเป็นแม่ของเธอในละครที่กำลังถ่ายทำมาชักชวนให้ไปร่วมงานวันเกิดที่ผับแห่งหนึ่ง บราลีจำต้องไปอย่างเสียมิได้ เพราะดารารุ่นพี่คนนั้นใจดีกับเธอตลอดเวลาที่อยู่ในกองถ่าย เมื่อถูกรบเร้าหนักเข้า เธอก็เลยต้องยอม แต่ยังต่อรองว่าจะต้องกลับเร็วหน่อย เพราะมีคิวต้องไปถ่ายปกนิตยสารที่หัวหินในวันรุ่งขึ้น

หารู้ไม่ว่า...ดารารุ่นพี่คนนั้นเป็นเอเจนต์ส่งหญิงสาวให้แก่เศรษฐีเฒ่าตัณหากลับหลายต่อหลายคน และเธอเองก็ติดกับเจ้าหล่อนเข้าอย่างจัง ทั้งๆ ที่ระวังตัวแล้ว แต่วันนั้นดันเผลอไผลหลงเชื่อลิ้นสาลิกาของดาราคนนั้นจนหลวมตัวดื่มน้ำส้มไปหนึ่งแก้ว

น้ำส้มแก้วนั้นเองที่ทำให้บราลีรู้สึกร้อนวูบวาบหลังจากดื่มไปได้สักพัก สมองรู้สึกเบลอๆ ควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ จำได้แต่ว่ามีชายแก่คนหนึ่งรูปร่างท้วมหน้าตาหื่นกระหายมาประคองเธอ พยายามพาออกจากผับแห่งนั้นตามคำแนะนำของดาราสาวเจ้าของวันเกิด

ทว่าโชคของเธอก็ยังไม่ร้ายถึงขีดสุด เมื่อจู่ๆ แสงไฟในผับก็สว่างวาบขึ้น ก่อนจะมีตำรวจมากมายกรูกันเข้ามาเพื่อจับปาร์ตี้ยาอี โชคดีของเธอที่ตำรวจพวกนั้นช่วยเธอให้พ้นจากการต้องเสียพรหมจรรย์ แต่...หลังจากตำรวจตรวจปัสสาวะของเธอแล้ว ปรากฏว่าในร่างกายของเธอมีสารเสพติด และในเช้าวันต่อมา ชื่อของเธอก็ปรากฏหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับว่า...

เจ้าหญิงแห่งวงการใจแตก ร่วมปาร์ตี้ยาอี และพัวพันกับวงการค้าเนื้อสด

ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความจริงก็ตาม และท้ายที่สุดแล้วเธอพิสูจน์ความบริสุทธิ์กับศาลได้ แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงไปเรียบร้อยตั้งแต่วันแรกที่มีการพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งแล้ว เพราะกว่าข่าวฉาวครั้งนี้จะซาลงก็เล่นเอาผ่านไปหลายเดือน แถมในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กยังมีการต่อเสริมเติมแต่งละเลงสีสันให้ชื่อเสียงของเธอเละเทะยิ่งขึ้นราวกับไฟลามทุ่ง

ทว่า...ข่าวที่เธอพ้นข้อกล่าวหาทั้งปวงกลับกลายเป็นกรอบเล็กๆ ที่ไม่มีใครสนใจจะอ่าน

ปีที่แล้วเกือบทั้งปีจึงกลายเป็นปีแห่งหายนะของเธอ บราลีถูกเจ้าของงานยกเลิกงานเกือบหมด ละครที่ถ่ายค้างไว้ถูกดอง บางเรื่องที่ถ่ายทำไปฉายไปก็เล่นเปลี่ยนคนแสดงเอาดื้อๆ โดยให้นางเอกของเรื่องประสบอุบัติเหตุจนต้องผ่าตัดแปลงโฉมหน้าเสียใหม่ กลายเป็นนักแสดงสาวดาวรุ่งอีกคนมาแสดงแทน และอีกหลายเรื่องที่รอเปิดกล้องอยู่ก็ถูกเปลี่ยนตัวนางเอกอย่างกะทันหัน โฆษณาหลายตัวของเธอถูกถอดออกจากจอแก้ว

เมื่องานหายเงินก็หด มิหนำซ้ำเจ้าของสินค้าบางตัวก็ยังยื่นฟ้องร้องค่าเสียหายกับเธออีก โทษฐานที่เธอไม่รักษาภาพลักษณ์เจ้าหญิงแห่งวงการเอาไว้  ไหนจะค่าผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโดมิเนียม ผ่อนรถ ทุกอย่างประดังเข้ามาจนทำให้เงินที่สะสมมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการร่อยหรอลงไปทุกขณะ แต่เคราะห์ของเธอก็ดูเหมือนจะยังไม่สิ้นสุด เมื่อต้องนำเงินส่วนหนึ่งไปรักษามารดาที่เครียดจนร่างกายอ่อนแอ ทำให้โรคร้ายรุมเร้าเข้ามาอีก

เส้นทางสายบันเทิงของบราลีจึงถึงจุดจบลงในที่สุด

บราลีเริ่มหันหน้าเข้าวัด ถือศีลกินมังสวิรัติตามคำแนะนำของเพื่อนดาราที่ยังหวังดีกับเธออยู่ และวัดที่เธอมักจะไปถือศีลก็คือวัดดังในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นที่ที่เธอได้พบกับอมร มหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่งจะหย่าขาดจากภรรยาที่อยู่กินกันมาถึงยี่สิบปี จนกระทั่งในที่สุดความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก็นำมาสู่การแต่งงานอันหรูหราอลังการเมื่อสองเดือนก่อน

และนั่นก็นำมาซึ่งการที่เธอจะได้พบกับกวินอีกครั้งหนึ่ง หลังจากอมรต้องการจะแก้ข่าวให้เธอผ่านทางสื่อหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นนิตยสารกอสซิป หนังสือพิมพ์บันเทิงหลายฉบับที่เป็นเพื่อนฝูงกับเขา รวมไปถึงโพรเจกต์นวนิยายของคุณดารณีนุช ซึ่งมี เปลวเทียน หรือ กวิน อภิธาน คนรักเก่าของเธอเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวนั่นเอง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น