2
เรื่องไร้สาระ
หัวใจที่เคยด้านชาของเขากระตุก ทั้งๆ ที่เคยคิดว่ามันตายด้านไปนานแล้ว แต่ยามที่ดวงตาสานสบกับร่างบางตรงหน้า ความเจ็บปวดรวดร้าวกลับเริ่มกัดกินอีกครั้ง เอื้อการย์จึงได้รับรู้ว่าที่ผ่านมาหัวใจดวงนี้มันยังเต้นดีอยู่ เพียงแต่เป็นตัวเขาที่ไม่ยอมรับรู้เท่านั้น รอยยิ้มบางๆ ที่เคยแต่งแต้มอยู่บนริมฝีปากเปลี่ยนเป็นชะงักค้าง ก่อนจะเม้มเป็นเส้นตรง สายตาคมไล่ลงมาตั้งแต่ดวงหน้างามผุดผาดที่ถูกเติมแต่งจนสวยเฉียบของเธอเชิดขึ้น หน้าผากมนเปิดกว้าง จมูกเล็กไล้เป็นสันคมรับกับริมฝีปากบางรูปกระจับที่กำลังยกยิ้มเพียงครู่ ก่อนจะเรียบเฉย ส่งให้ใบหน้าสวยเฉี่ยวดูเย่อหยิ่งไว้ตัว บวกกับลำคอระหงที่ตั้งตรงก็ยิ่งส่งให้มาดนางพญาของเธอน่ามองยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มไล่สายตาตั้งแต่หัวจดเท้าของอีกฝ่ายก่อนจะเผยรอยยิ้มเยาะ เหยียดหยันความโง่เง่าของตัวเองในอดีตที่เคยมองภาพอีกฝ่ายราวกับนางในวรรณคดีผู้เรียบร้อย เหมือนผ้าหอมเย็นที่ถูกพับไว้อย่างทะนุถนอมในหีบ ไม่ใช่สตรีท่าทางกร้านโลกตรงหน้าที่สวมเสื้อผ้าเปิดเผยเนื้อหนัง ชุดเกาะอกคว้านลึกจนแทบจะเผยให้เห็นเนินเนื้อขาวผ่อง เปิดเปลือยลำแขนกลมกลึง ผิวเนียนลออที่ยั่วยวนสายตาหนุ่มๆ ทั้งหลายภายในงาน มือข้างหนึ่งของเธอถือกระเป๋าคลัตช์หนังสีดำแบรนด์หรู ที่หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่ยอมแตะ แม้ว่ากระเป๋าใบนั้นจะเป็นของขวัญที่เขามอบให้ ตอนนั้นเธออ้างว่าอย่างไรนะ
อ้อ...ของมีราคาแพงไป เธอไม่กล้าใช้
เฮอะ...ผู้หญิง ก็เพียงแค่หลอกให้ผู้ชายคนหนึ่งตายใจเท่านั้น
หากเพียงแค่เธอกล่าวเลิกสัมพันธ์กับเขาเท่านั้นมันคงจะไม่เจ็บช้ำเท่าเมื่อเขาสืบทราบมาว่า ความจริงแล้วผู้หญิงคนนี้ยังตลบตะแลงรับเงินยี่สิบล้านจากมารดาเขาโดยใช้ข้ออ้างว่าจะไม่กลับมายั่วยวนเขาอีก
สุดท้ายคนที่เขาเคยไว้ใจก็ไม่ต่างอะไรกับโสเภณีคนหนึ่ง เสียดายที่เขามันโง่จึงต้องเสียเงินทั้งๆ ที่ยังไม่เชยชมร่างงามบาดตา จ่ายเงินยี่สิบล้านพร้อมกับเอาเธอใส่พานประเคนให้ผู้ชายคนอื่น ในโลกนี้คงไม่มีผู้ชายคนไหนที่จะโง่เง่าได้เท่าเขาอีกแล้ว
เอื้อการย์เดินกลับไปที่นั่งด้วยอารมณ์ขุ่นมัวที่แม้แต่มารดายังสังเกตเห็น โดยปกติเขาจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะยามอยู่ท่ามกลางสาธารณชน เนื่องจากต้องแบกรับชื่อเสียงของจิรวานนท์ไว้บนบ่าตลอดเวลา ทายาทสายตรงเพียงคนเดียวของธุรกิจแสนล้านย่อมเป็นจุดสนใจ กว่าเขาจะก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ เขาใช้หยาดเหงื่อแรงกายทั้งหมดในการเขี่ยคู่ต่อสู้ที่มาจากสกุลสายรองและบรรดาปลิงในคราบเครือญาติ รวมถึงผู้หญิงไร้ค่าคนหนึ่งที่คิดว่าเธอจะจากลาไปชั่วชีวิต
เสียงปรบมือดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง ตอนนี้บนเวทีกำลังเป็นการเดินแบบอวดโฉมสินค้าไทย ไม่ว่าจะเป็นชุดผ้าไหมดีไซน์เก๋ที่เข้ากันดีกับเครื่องเงินและกระเป๋าสานใบใหญ่ ภาพนางแบบงดงามเฉิดฉายไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้มากไปกว่าร่างกลมกลึงที่นั่งเยื้องไปทางฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่เห็นเขา หรือแสร้งทำเป็นไม่เห็น เอื้อการย์ไม่คิดว่าเงินเพียงยี่สิบล้านในตอนนั้นจะส่งให้อีกฝ่ายกลายมาเป็นคนดังในหมู่ไฮโซที่สามารถจับจองที่นั่งแถวหน้าได้ คิ้วเข้มกดลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะปัดความคิดไร้สาระทิ้ง
เมื่อหันกลับมาสนใจเรื่องราวบนเวทีอีกครั้งก็ถึงคราที่คู่ควงคนล่าสุดของเขากำลังก้าวออกมาในชุดผ้าไหมสีครีมเรียบหรู ร่างระหงเปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟ ดึงดูดสายตาทุกคนให้จ้องมองเธอเป็นจุดเดียว หญิงสาวมั่นใจ เชิดหน้า ริมฝีปากเหยียดตรง มิได้แต่งแต้มรอยยิ้มแต่กลับส่งให้ใบหน้าสวยเก๋ดูน่ามอง ยามที่หมุนตัวกลับเธอเพียงปรายตามองมาทางเขา มุมปากยกยิ้มเพียงครู่ก่อนจะเดินกลับเข้าไป
โชว์ชุดสุดท้ายจบลง พิธีกรจึงเริ่มการประมูลสินค้าทั้งหมดที่นางแบบใช้เดินโชว์ เอื้อการย์ไม่คิดจะเข้าร่วมการประมูลในครั้งนี้อยู่แล้วเพราะอย่างไรเสีย หน้าที่นี้ก็มีมารดาเป็นผู้รับผิดชอบ การประมูลผ่านไปเรื่อยๆ ท่ามกลางราคาที่เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมจนน่าตกใจ
“แม่อยากได้กระเป๋าใบนั้น ชุดสุดท้ายนั่น” กานต์สินีก้มลงกระซิบกับบุตรชาย
เอื้อการย์กวาดสายตามองไปบนเวที “ใบที่แทนี่ถือน่ะเหรอครับ”
“อืม” มารดาของเขารับคำราวกับไม่เต็มใจ ขณะที่ประกายตาของบุตรชายมีแววขบขัน
เขารู้ว่าต้องประมูลของสักหนึ่งชิ้นให้มารดาเพื่อสร้างภาพ แต่หากเลือกประมูลกระเป๋าใบนั้นก็เท่ากับเป็นการประกาศถึงความสัมพันธ์ของเขากับกันทรา ความจริงกันทรานั้นแทบไม่แตกต่างจากคู่ควงคนก่อนๆ ที่ผ่านเข้ามาและไม่นานก็คงผ่านไป เพียงแต่ผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างฉลาดและไม่ทำตัววุ่นวายจนน่ารำคาญเหมือนคนอื่นๆ ชายหนุ่มจึงปล่อยให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาดำเนินต่อไป ตราบเท่าที่เธอจะไม่ก้าวเข้ามาวุ่นวายชีวิตส่วนตัวและล้ำเส้นที่เขาขีดเอาไว้
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ นานๆ ครั้งแม่จะอ้อนผมสักที ลูกคนนี้ทุ่มให้ไม่อั้นอยู่แล้ว”
“ก็ลองแกไม่ทุ่มให้ฉันสิ ทีนังผู้หญิงพวกนั้นยังจ่ายได้เป็นแสนเป็นล้าน แต่กับฉันที่เบ่งแกออกมาทำเขียม” มารดาว่าพลางถลึงตามอง ทำเอาเขาอดหัวเราะความแสนงอนของแม่ไม่ได้จึงเอื้อมไปดึงมือเล็กที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นมาเกาะกุม
“รับรองว่าเอื้อจะประมูลมาให้คุณนายเชยชมในราคาที่ใครก็ไม่กล้าแย่ง เอาให้ตกตะลึงกันไปทั้งงานเลยดีไหมครับ”
“เก็บปากหวานๆ ของแกไปใช้กับสาวๆ เถอะย่ะ เอาแค่กระเป๋าและพื้นที่ข่าวมาก็พอ แม่ต้องกลับแล้ว” กานต์สินีว่าพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา
บุตรชายย่นคิ้วอย่างสงสัย “ทำไมวันนี้กลับไวครับ งานยังไม่เลิกเลย”
“อืม ไม่ไหวจริงๆ แม่ไม่ค่อยสบาย กินยาไปเมื่อบ่าย ตอนนี้ง่วงจนตาจะปิดแล้ว นี่ก็จะออกไปคุยกับคุณหญิงบุษยาอีกครู่ก็กลับเลย นัดท่านไว้ที่ร้านข้างล่าง”
“งั้นเอื้อลงไปส่งนะครับ” เขาทำท่าจะขยับลุกตามไปส่ง แต่มารดากลับส่ายหน้า
“ไม่เป็นไร แม่ยังไม่แก่ขนาดนั้น แกจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”
เขาถอนหายใจ รู้ว่ามารดาต้องการรักษาหน้า บางทีการอวดได้อวดมีในหมู่สาวๆ ก็เป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจ แต่ก็ยังรับปาก “ผมจะจัดการให้เรียบร้อยครับ แม่ไม่ต้องห่วง”
แล้วชายหนุ่มก็ทำได้ดังปากว่าโดยการประมูลกระเป๋าสานใบเดียวในราคาสามล้านบาท ท่ามกลางสายตาริษยาของสาวๆ ทั่วงาน ร่างสูงก้าวขึ้นไปบนเวทีขณะที่พิธีกรเอ่ยแซวว่าชายหนุ่มติดใจกระเป๋าหรือคนถือกันแน่
“พอดีผมอยากจะให้เป็นของขวัญแก่ผู้หญิงที่สวยที่สุดคนหนึ่งน่ะครับ” เขาว่าทีเล่นทีจริง แต่ก็ทำเอาหลายคนอิจฉาตาร้อนเพราะแปลความหมายไปล่วงหน้า
“พอจะบอกใบ้ได้ไหมครับว่าใคร” พิธีกรเอ่ยถาม
เอื้อการย์เพียงแสร้งทำท่าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเบนสายตาไปยังที่นั่งทางซ้ายมือโดยไม่ตั้งใจ ทว่าหญิงสาวในชุดสีม่วงเม็ดมะปรางกลับหายไปเสียแล้ว คล้ายกับหัวใจของเขาจะวูบโหวงไปครู่ ก่อนที่เจ้าตัวจะสลัดทิ้งอย่างไม่ไยดี แล้วหันไปทางที่นั่งของตัวเอง
“คุณผู้หญิงในชุดสีฟ้าที่เคยนั่งอยู่ข้างผมน่ะครับ” คราวนี้ทุกคนภายในงานต่างส่งสายตาไปที่บริเวณนั้นทันที แม้จะพบกับความว่างเปล่า แต่ทุกคนก็เข้าใจได้ทันทีว่าชายหนุ่มกำลังเอ่ยถึงใคร เสียงหัวเราะผสานกับคำชมดังขึ้นจากรอบ
กาย “สวยใช่ไหมล่ะครับ แต่ห้ามจีบนะครับ คนนี้ผมหวงเลยต้องรีบเอาตัวไปซ่อนก่อน กะว่าจะประมูลกระเป๋าใบนี้ไปเซอร์ไพรส์ เพราะเธอบอกว่าชอบตั้งแต่แรกเห็น”
พิธีกรหัวเราะน้อยๆ พร้อมกับเอ่ยชื่นชมชายหนุ่มผู้เป็นลูกกตัญญูแล้วจึงประกาศต่อ
“เนื่องจากว่าวันนี้คุณชลธิชา เจ้าของแบรนด์ชวายให้เกียรติส่งมอบกระเป๋าทั้งหมดมาร่วมงานโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เราจึงได้เชิญให้เธอมาเป็นผู้ส่งมอบกระเป๋าใบนี้ให้แก่คุณเอื้อการย์ จิรวานนท์ ด้วยตัวเองครับ”
เขาค่อยๆ หันไปมอง ทุกส่วนของร่างกายคล้ายเครียดเกร็ง รอยยิ้มที่แต่งแต้มมุมปากเลือนหาย ดวงตาคมตวัดมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไยดี รอยยิ้มบนริมฝีปากงามเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสายตาดูแคลนของเขา
ชลธิชาขยับก้าวเข้าไปใกล้พร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนใกล้จะเลือนหาย...ก่อนจะค่อยๆ สว่างไสวขึ้น ดวงตากลมโตทอประกายระยิบระยับประกอบกับท่วงท่าเดินอย่างมั่นใจนั้นยิ่งส่งให้ร่างงามระหงดึงดูดสายตาผู้คนด้านล่างเวทีที่ต่างหันมากระซิบกระซาบถามกันไปมาว่าสาวงามผู้นี้คือใคร
หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้เขา มือเล็กๆ ขาวเนียนยื่นส่งกระเป๋าให้อีกฝ่ายขณะที่พิธีกรกล่าวเชิญผู้ร่วมจัดงานและนางแบบออกมาร่วมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ใครต่อใครต่างเบียดเขาเข้ามาจนเธอขยับซ้อนอยู่ด้านหน้า แผ่นหลังกึ่งเปล่าเปลือยพิงเข้ากับอกแกร่ง กลิ่นสะอาดสะอ้านอันคุ้นเคยของเขาอบอวลอยู่รอบกาย ทำเอาหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนี ทว่าทุกอากัปกิริยาของเธอนั้นตกอยู่ในสายตาคม ยิ่งร่างเล็กๆ พยายามจะขยับห่าง ชายหนุ่มก็ยิ่งจงใจขยับเข้าไปชิดใกล้ และไม่วายฉวยโอกาสสูดดมกลิ่นหอมเย็นที่ช่างแตกต่างกับเครื่องแต่งกายอันร้อนแรงและเชิญชวนของคนตรงหน้า
มุมปากของเขายกขึ้นเมื่อเห็นท่าทางคล้ายกริ่งเกรงของอีกฝ่าย ราวกับเธอเป็นสาวน้อยที่ไม่เคยต้องมือชาย ท่าทางที่เคยหลอกเขาจนปักใจหลงเชื่อ ยิ่งคิดถึงยามที่เฝ้าทะนุถนอมเธออย่างเทิดทูนก็ให้รู้สึกสะอิดสะเอียน
การถ่ายภาพหมู่ในครั้งนี้ใช้เวลาไม่นาน แต่คนทั้งสองที่ยืนอยู่ใกล้ชิดกันแค่เพียงลมหายใจกั้นกลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ราวกับมันได้ทอดยาวออกไปเนิ่นนาน เธอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองดังชัดเจนจนน่าตระหนก หัวใจดวงนี้ที่เธอแทบไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่มาเนิ่นนานปีกำลังเต้นแรง ยิ่งเขาขยับเข้ามาใกล้ อุณหภูมิในร่างกายก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น เธอไม่ได้รู้สึกประหม่ามานานเหลือเกิน แต่เพราะเป็นเอื้อการย์ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขามักทำให้เธอขัดเขินได้เสมอ
กระทั่งได้ยินเสียงพิธีกรเอ่ยขอบคุณและกล่าวปิดงาน พวกเขาจึงค่อยๆ ขยับตัวออกห่างจากกัน เมื่อนางแบบสาวก้าวเข้ามาหาชายหนุ่ม เสียงเล็กๆ ติดแหบพร่าจึงดังขึ้น
“เอื้อคะ...” น้ำเสียงหวานใสที่เขาไม่เคยลืม ไม่ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร ใช้ความพยายามมากแค่ไหน...แต่เขาไม่เคยลืม คล้ายกับน้ำเสียงหวานซึ้งนี้ได้ฝังแน่นอยู่ในจิตวิญญาณจนยากจะลบเลือน
ทว่าเอื้อการย์มิได้หันกลับไปในทันที แต่กลับก้าวเข้าไปหาร่างงามในชุดผ้าไหมตรงหน้า
“มากับคุณแม่รึเปล่าคะ” นางแบบสาวเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่ามกลางฝูงชน สองร่างสูงเด่นช่างดูเหมาะสมกันราวกับสวรรค์ปั้นแต่ง
“เปล่าครับ”
“งั้น...” เธอเอียงคอพลางช้อนตาออดอ้อน “ไปส่งแทนี่นะคะ” อีกฝ่ายกระซิบให้ได้ยินเพียงแค่สองคน อาศัยจังหวะชุลมุนบนเวทีแอบนัดแนะเขา
เอื้อการย์หันไปส่งกระเป๋าใบนั้นให้ทีมงาน รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะจัดการส่งมันไปที่ไหน แล้วจึงล้วงกระเป๋ากางเกงในท่าสบายๆ “ได้ครับ แล้วรถแทนี่ล่ะ”
“เดี๋ยวให้พี่กี้ขับกลับค่ะ คุณรอแทนี่แป๊บนะคะ ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เกินครึ่งชั่วโมง”
“กับแทนี่ ไม่ว่านานแค่ไหนก็รอได้ครับ”
“ปากหวานตลอดเลยนะคะ แทนี่จะเชื่อได้ไหม”
เขายิ้มเก๋ เป็นรอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่มักจะทำให้ใครต่อใครลุ่มหลง ขณะขยับเข้าไปใกล้เธอพลางก้มลงกระซิบ “ไม่ใช่ปากอย่างเดียวนะครับที่หวาน แทนี่เองก็รู้นี่ครับ”
แม้เสียงทุ้มต่ำจะค่อนข้างเบา ทว่ากับคนที่ยืนคอยเขากลับได้ยินชัดเจน ใบหน้างามภายใต้เครื่องสำอางเนื้อดีซีดเผือดลงจนแทบจะไร้สีสัน
“คนบ้า” นางแบบสาวแสร้งงอนเล็กน้อยก่อนหันหลังกลับเข้าไปด้านหลังงาน แต่มิวายทิ้งข้อความไว้ “แล้วคืนนี้แทนี่จะชิมค่ะ” ตวัดสายตามองตำแหน่งที่เธออยากจะลิ้มรสในคืนนี้ด้วยดวงตาเย้ายวน
ชายหนุ่มยืนส่งอีกฝ่ายจนลับสายตา แล้วจึงหันกลับมามองใครบางคนที่ยืนคอยอยู่
“ขอเวลาชาสักครู่ได้ไหมคะ” เธอพยายามจะส่งยิ้มอ่อนหวานให้เขา
“ไม่ทราบว่าคุณชลธิชามีธุระอะไรกับผมครับ” น้ำเสียงของเขาติดจะกระด้าง ท่าทางห่างเหินที่แสดงออกมาส่งให้รอยยิ้มของคนมองค่อยๆ เจื่อนลง หน่วงหนึบในใจกับคำเรียกขานแสนห่างเหิน
เธออึกอักเล็กน้อย ความรู้สึกผิดกดทับลงจนกลายเป็นความเจ็บปวด คล้ายกับไม่อาจเอ่ยถ้อยคำออกมาได้ แต่อีกฝ่ายมิได้เร่งเร้า เพียงรักษาระยะห่างอย่างรอคอย
“ชารู้ว่าชาผิดต่อเอื้อ...”
“ผมไม่มีเวลามากพอจะคอยรับฟังเรื่องไร้สาระของคุณ” ครานี้ใบหน้าของเธอซีดเผือดจนเห็นได้ชัด สองมือบีบเข้าหากันแน่น
“งั้นชาขอนัดคุยกับคุณวันหลังก็ได้ค่ะ”
“หากเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ว่าวันไหนผมก็คงไม่ว่าง” เขาบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย
ริมฝีปากบางเม้มแน่น เธอขยับก้าวเข้าไปหาเขาอีกก้าว ชายหนุ่มเพียงปรายตามอง “แสดงว่าระหว่างเรา คุยได้แค่เรื่องธุรกิจใช่ไหมคะ”
เอื้อการย์ยักไหล่ราวกับไม่เห็นสำคัญ ท่าทางเช่นนั้นยิ่งทำให้คนมองใจฝ่อ ธุรกิจเล็กๆ ของเธอหรือจะคู่ควรไปเจรจากับเขา
“หากไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” แม้ถ้อยคำจะสุภาพ แต่น้ำเสียงทั้งแข็งกระด้างทั้งห่างเหินราวกับคนไม่เคยรู้จักกันนั้นส่งให้ชลธิชาฮึดสู้
“ค่ะ แล้วชา อืม...ฉันจะติดต่อไปทางเลขาฯ นะคะ แบรนด์ของเราอยากจะขอเข้าร่วมกับศูนย์การค้าในเครือของ จิรวานนท์กรุ๊ปที่ยุโรปและอเมริกา หวังว่าคุณเอื้อการย์จะไม่ขัดข้อง”
อีกฝ่ายหรี่ตามอง เพียงแค่จะขอเช่าพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าของเขาไม่ใช่เรื่องที่ต้องผ่านมือผู้บริหาร โดยเฉพาะรองประธานกรรมการบริษัทเช่นเขายิ่งเป็นเรื่องที่ห่างไกล แต่ในเมื่ออีกฝ่ายจงใจ เขาก็อยากรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้ามีลูกไม้อะไร บางทีเขาอาจจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอด้วยตาตัวเองเสียที
“ผมไม่ค่อยมีเวลาว่าง คุณลองโทร. นัดกับเลขาฯ ของผมเองก็แล้วกัน” เอ่ยจบเขาก็หมุนตัวจากไปทันที
เอื้อการย์หันหลังเดินออกไปโดยไม่แยแส ทั้งๆ ที่ต้องเก็บความรู้สึก เธอไม่ควรคิดหรือรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ ทว่าในใจกลับเจ็บร้าว...อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดที่เก็บกดไว้ตีรวนจนเกินควบคุม ชลธิชาปิดเปลือกตาลง ท่าทางราวกับนางพญาเมื่อครู่ปลิวหายพร้อมกับแรงกายและกำลังใจที่ถูกดึงมาใช้จนเกือบหมด ความดีใจแล่นปราดไปทั่วร่างเพียงได้สานสบกับดวงตาคม ก่อนความรู้สึกผิดกำลังกัดกินผสานกับความหมางเมินที่เขาแสดงออกมาจะกรีดซ้ำรอยแผลเดิมที่อยู่กลางใจ ซึ่งยังปวดร้าวมาจนถึงปัจจุบัน
“จะกลับแล้วเหรอคะคุณเอื้อ” ปภานันปรี่เข้ามาหาเอื้อการย์ทันทีที่เห็นเขามุ่งหน้าออกจากงาน “แล้วนี่ไม่กลับพร้อมคุณพี่เหรอจ๊ะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เปล่าครับ คุณแม่กลับไปก่อนแล้ว ส่วนผมตั้งใจจะค้างที่คอนโด”
“โอ๊ะ...” ท่าทางคล้ายตกใจแต่แววตากลับฉายความยินดีอย่างเห็นได้ชัดนั้นไม่อาจรอดสายตาของชายหนุ่ม ทว่าเอื้อการย์ยังคงรักษาท่าทางสุภาพต่อหน้าผู้สูงวัย “พอดีที่บ้านของน้ามีเรื่องนิดหน่อยต้องรีบกลับ แต่ลูกปัทต้องรีบกลับไปเคลียร์งานที่คอนโด ไหนๆ ก็เป็นทางเดียวกัน น้าฝากน้องไปกับเอื้อหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
หญิงสาวรีบส่ายหน้า “แม่คะ ปัทกลับแท็กซี่เองได้ค่ะ” แล้วจึงหันมามองเขาด้วยท่าทางประหม่า “ไม่รบกวนคุณเอื้อดีกว่าค่ะ คอนโดก็อยู่ไม่ไกล”
“ก็นั่นสิจ๊ะ คอนโดหนูอยู่ไม่ไกล ไหนๆ เราก็คนกันเองใช่ไหมจ๊ะตาเอื้อ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ ในเมื่องานของเธอก็คืองานของบริษัท และคอนโดของหญิงสาวก็เป็นทางผ่าน “เดี๋ยวผมไปส่งปัทให้ครับ”
“น้าขอบใจพ่อเอื้อมากเลยจ้ะ”
“แม่คะ” หญิงสาวกระตุกแขนเสื้อมารดาพยายามจะห้ามปราม แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมฟัง ดันหลังเธอมาให้ชายหนุ่ม ปัทมารู้สึกขายหน้าจนอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ แม่ของเธอทำราวกับกำลังเสนอขายลูกสาวไม่ต่างจากสินค้าชิ้นหนึ่ง
ไม่สิ...ไม่ใช่การเสนอขาย แต่เป็นการยัดเยียดต่างหาก
ปัทมาได้แต่กัดริมฝีปากข่มความน้อยใจ รู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ศักดิ์ศรีสิ้นดี
ความคิดเห็น |
---|