7

รัก...จะสานต่อยังไง หากไม่พบกัน

รัก...จะสานต่อยังไง หากไม่พบกัน

 

นครเซาเปาลู

 “เธอต้องหมั้นในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้านะ มาร์ซีนญ่า”

 มาร์เซียตัวแข็ง ยกมือค้างขณะกำลังจะเอื้อมไปหยิบซองน้ำตาลเพื่อเติมในถ้วยกาแฟของตนเอง น่าประหลาดใจที่วันนี้อยู่ดีๆ พี่ชายมาที่โรงแรม โดยปกติแล้วงานโรงแรมทั้งสองแห่งมาร์กุสให้เธอกับญศกาบริหารได้อย่างเต็มที่ 

เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ตอนเขาบอกให้เธอมาพบที่ห้องทำงานของญศกา เธอคิดว่าเขาผ่านมาแถวนี้จึงแวะมาเยี่ยมเยียน แต่ประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอหลังจากสวมกอดทักทายกันกลับทำให้เธอช็อกจนอ้าปากค้าง ได้แต่มองหน้าคนออกคำสั่งที่นั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์บนโซฟาหนังฝั่งตรงข้าม

 “พี่จัดการไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เธอแค่ไปดูเสื้อผ้าที่จะใส่ในวันหมั้นอย่างเดียว สถานที่ก็จัดที่โรงแรมของเรา รูปแบบของงานเดี๋ยวพี่จะดูให้ อ้อ...แล้วพี่จะสั่งให้ประชาสัมพันธ์โรงแรมเชิญนักข่าวมาทำข่าวให้ด้วย”

 พี่ชายของเธอร่ายยาวมาเป็นชุด

 “หมั้นเหรอ มาเมย๓๐ทราบหรือยังคะ”

ไม่ใช่เธอที่เป็นคนถามคำถามนั้น แต่เป็นพี่สะใภ้เธอที่นั่งติดกับสามีต่างหากที่ถามถึงแม่สามีทันทีที่วางถ้วยชาร้อนหลังจากรีบจิบ ราวกับประโยคทั้งหมดของเขาทำให้เธอสำลัก

“ยัง แต่ผมจะบอกท่านเย็นนี้”

“แล้ว...ทำไมมันเร็วนักล่ะคะ”

“ไม่เร็วหรอกยัสก้า ของแบบนี้ช้าไม่ได้”

“หมายความว่าไงคะ ช้าไม่ได้” ญศกาสงสัย

“มาร์ซีนญ่าควรจะมีผู้ชายดีๆ มาเคียงข้างเสียที” มาร์กุสยิ้มกว้าง

“ผู้ชายดีๆ...” ญศกาทวนคำอย่างสงสัย

“อือฮึ” มาร์กุสยิ้มกวนๆ กับภรรยาของเขา

“พี่จะให้ฉันหมั้นกับใคร” ในที่สุดมาร์เซียก็ถามเสียงห้วน หงุดหงิดเล็กน้อยที่เห็นพี่ชายมัวแต่ส่งยิ้มป้อเมีย สองสามีภรรยาถามตอบกันเองในเรื่องสำคัญเกี่ยวกับตัวเธอและทำราวกับเธอไม่มีตัวตนอยู่ที่นี่

“อ้าว...” มาร์กุสร้องเสียงหลง “ทำไมถามแบบนี้ล่ะมาร์ซีนญ่า ก็ตอนนี้เธอน่ะคบกับใครอยู่ล่ะ”

มาร์เซียกะพริบตาปริบๆ มองหน้าพี่ชายสลับกับใบหน้าของญศกา

“สารวัตรโฮแบร์โตหรือคะ!” พี่สะใภ้เธอถามเสียงหลง

“ก็แน่ละสิครับ จะเป็นใครอื่นไปได้ล่ะ”

“พี่แบตโต้รับปากพี่แล้วเหรอคะว่าเขาจะ...” มาร์เซียถามเสียงแห้ง

“ใช่ พี่คุยกับเขาแล้วเมื่อวาน” มาร์กุสขัดก่อนที่เธอจะพูดจบเสียอีก “เขาชอบเธอจะตาย และพี่ก็ไว้ใจเขาที่สุดว่าเขาจะดูแลน้องของพี่ได้ดีกว่าใครๆ... รู้ไหมยัสก้า คุณได้แบตโต้ไปร่วมทีม ค่อยสูสีกับทีมผมหน่อย” ท้ายประโยคเขาหันไปบอกภรรยา 

“แล้วพี่แบต...” เธอพูดไม่ทันจบก็โดนขัด

“แบตโต้น่ะไม่มีปัญหา หรือว่าเรามีปัญหา” มาร์กุสหันมาย้อนถาม 

มาร์เซียรีบหลบตา ได้แต่นั่งกัดริมฝีปาก เอ่ยเสียงแผ่ว “ฉันแย้งพี่ได้ด้วยหรือ”

 “ดี! งั้นก็เตรียมตัวไว้”

 พี่สะใภ้มีสีหน้าครุ่นคิด แล้วญศกาก็เอ่ย “มาร์กคะ ฉันว่ามันเร็วเกินไปไหม ทำไมปุบปับจัง ตอนนี้มาร์ซีนญ่ากับฉันกำลังยุ่งเรื่องขยายโพรเจกต์โรงแรมที่รีโอเดจาเนโรอยู่นะคะ”

 “โพรเจกต์อะไร” มาร์กุสย้อนถาม

“อ้าว...ก็เวดดิงแพลนเนอร์ไงคะ มาร์ซีนญ่ารักโพรเจกต์นี้เอามากๆ ตอนที่เธอไปฮาวาย...งานแต่งของเบอาทริซที่คุณขอให้ฉันจัดการให้ไง”

“โธ่เอ๊ย นี่มันแค่งานหมั้นนะยัสก้า คนของเราเยอะแยะจะตาย อยากจะเนรมิตอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ มีแต่คนเสนอตัวอยากช่วยทำโน่นนี่กันทั้งนั้นแหละ” มาร์กุสยกแขนวางบนพนักโซฟาอย่างสบายอารมณ์ “เอาอย่างนี้สิ พวกคุณก็ทำโพรเจกต์ต่อให้จบ เสร็จปุ๊บก็จัดงานแต่งของมาร์ซีนญ่าเป็นงานแรกที่นั่นเลยก็ได้ เห็นไหม...ลงตัว ง่ายจะตาย”

“แต่โพรเจกต์นี้ใช้เวลานะคะ นี่เรายังหาสถานที่ถูกใจที่จะสร้างชาเปลบนเขาไม่ได้เลย”

มาร์เซียหันไปยิ้มบางๆ ส่งสายตาขอบคุณพี่สะใภ้ที่พยายามช่วยเธอ 

“ก็เลือกจากที่ที่เราหมายตากันไว้สิจ๊ะ เอางี้...ผมจะส่งทีมงานไปช่วยพวกคุณสำรวจสถานที่ ในระหว่างนี้ก็รีบสรุปแบบแปลนให้เรียบร้อย พอเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินปุ๊บ ทีมงานจะได้พร้อมลงมือก่อสร้างทันที” มาร์กุสสรุป

“แต่สร้างเสร็จแล้วก็ยังต้องเสียเวลาตกแต่ง หาอุปกรณ์ หาเฟอร์นิเจอร์อีกนะคะ”

“ผมให้มาร์ซีนญ่าหมั้นในสองอาทิตย์นะ ไม่ใช่ให้แต่ง” เขาเลิกคิ้วมองภรรยา “งานแต่งงานน่ะรอให้โพรเจกต์เสร็จก่อนก็ได้ แล้วไอ้โพรเจกต์หวานๆ ของพวกคุณน่ะ ผมจัดงบและทีมงานไว้ให้ทุกอย่างแล้ว คุณไม่ต้องห่วงยัสก้า ห่วงลูกในท้องของเราดีกว่า ผมไม่อยากให้คุณทำงานหนักมากเกินไปนะที่รัก” มาร์กุสบีบมือภรรยาเบาๆ

“แต่ฉันเป็นห่วงมาร์ซีนญ่าค่ะ เธอต้องดูแลโรงแรมทั้งที่นี่และก็ที่รีโอฯ แล้วรีโอฯ กำลังบูมเพราะเป็นเจ้าภาพกีฬาระดับโลก ไหนจะต้องเตรียมตัวหมั้นอีก คุณเลื่อนออกไปหน่อยไม่ดีกว่าเหรอคะ ถ้างานยุ่งผู้หญิงเราก็จะขี้หงุดหงิด แถมไม่สวยด้วย อย่าลืมนะคะ คุณก็น่าจะทราบดี ผู้หญิงทุกคนอยากสวยและดูดีในวันสำคัญทั้งนั้น”

มาร์กุสทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้ ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย สีหน้าเริ่มเครียด 

“มาร์ซีนญ่าจะไม่โทรมได้ไง” คราวนี้เขาหันหน้ามาขึงตาดุน้องสาว “มาร์ซีนญ่า...พี่เห็นเธอออกไปโดนแดดหลายวันแล้ว เธอพาพวกบอดีการ์ดไปค้นหาอะไรในสวนป่าหลังวิลลา หือ?”

“เอ่อ...คือ...ฉะ...ฉันทำของหาย ก็เลยให้พวกเขาช่วยหา” เธอตอบเสียงแผ่ว

“ของอะไร มันสำคัญมากเสียจนต้องเกณฑ์คนเยอะแยะขนาดนั้นเชียวหรือ”

“สำคัญมากไหมฉันก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าฉันต้องหามันให้เจอ” เธอหลุดปากไปโดยไม่ทันคิด

มาร์กุสทำเสียงจึ๊กจั๊กอย่างรำคาญ “แล้วมันอะไรล่ะ บอกพี่มาสิ”

มาร์เซียอึกอัก หันไปมองหน้าพี่สะใภ้อย่างขอความช่วยเหลือ

“สร้อยค่ะมาร์ก เป็นสร้อยมีจี้ ความจริงมันเป็นของฉันน่ะค่ะ แต่ฉันไม่อยากถูกแดดนานๆ เลยขอให้มาร์ซีนญ่าช่วยจัดการให้แทน”

“หน้าตาเป็นไง เดี๋ยวผมจะกำชับคนของผมให้”

สองสาวหันมาสบตากัน 

“หือ? ยัสก้า ดีไซน์ของจี้เป็นยังไง ไหนบอกมาซิ!”

“คือ...เอ่อ...มัน...เป็น...” ญศกาอึกอัก สบตามาร์เซียเลิ่กลั่ก

“เอ่อ...พี่มาร์กคะ...โอเค ฉันจะหมั้น” ในที่สุดมาร์เซียก็ตัดสินใจพูดออกไปเพื่อหันเหความสนใจมาร์กุสไปยังเรื่องอื่น 

“มาร์ซีนญ่า...” ญศกาครางเสียงแผ่ว

“พี่จะให้ฉันทำไงบ้างก็สั่งมาได้เลย”

“ดีมาก พี่แวะมาบอกเธอเรื่องนี้แหละ เดี๋ยวจะเข้าตึกอี๊กเบ จะสั่งเลขาฯ พี่ให้ประสานงานกับเลขาฯ ของเธอ”

ดูเหมือนมาร์กุสจะลืมคำถามของเขาไปแล้ว พี่ชายเธอวางถ้วยกาแฟหลังจากดื่มรวดเดียวหมด เขาดึงภรรยาไปจูบขมับอย่างรักใคร่ 

“เย็นนี้ผมมารับที่รัก”

แล้วชายหนุ่มก็คว้าเสื้อแจ็กเกตลุกออกไป

“มาร์ซีนญ่า เธอจะหมั้นจริงๆ เหรอ ให้ฉันลองพูดกับมาร์กดูอีกทีไหม”

เมื่อเห็นมาร์กุสออกจากห้องไปแล้ว ญศกาก็ลุกมานั่งข้างๆ และกุมมือน้องสาวสามี

“ไม่มีประโยชน์หรอก ฉันไม่เคยขัดความต้องการเขาได้สักครั้ง”

“แต่เธอรักสารวัตรเหรอ”

คำถามแทงใจดำทำเอามาร์เซียรู้สึกเจ็บแปลบจนต้องกัดริมฝีปากเพื่อข่มความรู้สึก

“อย่าทำเพื่อคนอื่น เธอต้องทำตามหัวใจตัวเอง ไม่มีใครมาฝืนให้เรารักหรือไม่รักใครได้ ฉันอยากให้เธอลุกขึ้นสู้นะมาร์ซีนญ่า”

“แต่เขาเป็นผู้ปกครองฉัน เป็นพี่ชายคนเดียว...”

“ต่อให้เขาเป็นพ่อเธอ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ เธอดูฉันสิ ถ้าฉันเชื่อคำพูดของพี่โค่ ฉันก็คงไม่ได้มานั่งอยู่นี่ในวันนี้” ญศกายกตัวอย่าง

“พี่ชายเธอกับพี่ชายของฉันน่ะไม่เหมือนกันนี่” มาร์เซียแย้ง

“โธ่เอ๊ย มาร์ซีนญ่า ฉันจะบอกให้นะ ฉันรู้จักผู้ชายสองคนนี้ดี เพราะต่างวัฒนธรรมกันการแสดงออกจึงต่างกัน แต่ว่าความจริงแล้วแนวคิดของผู้ชายสองคนนี้เหมือนกันมากเลย เพียงแต่ทั้งคู่ไม่รู้ตัว” ญศกาบอกอย่างขบขัน “ส่วนสารวัตรแบตโต้...เขาเป็นคนดีนะ แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่เธออยู่ด้วยแล้วจะมีความสุข ฉันว่าเขาไม่ใช่คนนั้นของเธอ”

“เธอล่วงรู้อนาคตด้วยเหรอญ่า” มาร์เซียพยายามถามให้เป็นเรื่องขำ

“คิดว่าฉันรู้นะ” ญศกาบอกยิ้มๆ “มาร์ซีนญ่า ฉันเอาใจช่วย ขอให้เธอรีบค้นหาใจของตัวเองให้เจอ ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินไป”

มาร์เซียสบตาพี่สะใภ้ซึ่งเปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจ 

“แต่มันคงสายไปแล้วละ...ญ่า” เธอพูดอย่างคนปลงตก

 

กรุงโตเกียว

“เปลี่ยนท่าได้แล้วมั้งโค่คุง”

โคสึเกะสะดุ้งโหยงหันไปทางต้นเสียงตามสัญชาตญาณ 

“อะไรกันปู่เคาะไหล่แกเบาๆ ถึงกับสะดุ้งเลยรึ”

ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ 

“ตกลงเรานั่งดูทีวีหรือปล่อยให้ทีวีมันดูเรากันแน่ ปู่เห็นเรานั่งเหม่อหมุนปากกาเล่นอยู่นานแล้ว ยังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่หรือไง”

ปู่ตบบ่าเขาแล้วนั่งลงบนโซฟา ขณะที่เขากึ่งนั่งกึ่งนอนเอาขาสอดใต้โต๊ะโคะทะทสึซึ่งมีผ้าห่มหนาคลุมอยู่   เขาเปิดโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการวาไรตีที่มีนักแสดงตลกชื่อดังเป็นพิธีกรดำเนินรายการเอาไว้ แต่ไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ในจอกำลังหัวเราะอะไรกัน 

‘พี่โค่ อีกสองอาทิตย์มาร์ซีนญ่าจะหมั้นแล้วนะ’

จะดูโทรทัศน์รู้เรื่องได้อย่างไร ในสมองเขามีแต่ประโยคนี้ของญศกาวนเวียนอยู่ตลอดเวลา

“ว่าไง คิดอะไรมากเล่า รีบไปหาผู้หญิงคนนั้นซะสิ เวลาไม่คอยใครนะ ทำเป็นเล่นไป”

“คงไม่เป็นอย่างที่บรรพบุรุษเล่าต่อๆ กันมาหรอกครับคุณปู่ เธอจะหมั้นในอีกไม่กี่วันแล้วครับ”

“อ้าว...จริงหรือ อืม...” ริวโนะสึเกะครุ่นคิด “ไป...ไปช่วยปู่ค้นเอกสารดีกว่า ปู่ยังติดใจคำถามของเราอยู่เลยนะ ที่ว่าบรรพบุรุษเคยแต่งงานกับคนต่างชาติหรือเปล่าน่ะ แล้วยังเรื่องฝันประหลาดที่เราเล่านั่นอีก”

เขาลุกจากโต๊ะโคะทะทสึ พยุงปู่ลุกขึ้นเดินตามกันไป

“อ้อ...แกห้ามบอกย่าแกเรื่องจี้หายเชียวนะ ไม่งั้นแกมีเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นแน่ ปู่ขี้เกียจฟังย่าแกบ่น”

ปู่ชี้หน้ากำชับเขาเมื่อทั้งคู่มาถึงห้องเก็บของซึ่งอยู่ชั้นสองของบ้านเก่าซึ่งมีอายุมากกว่าหกสิบปี บ้านหลังนี้สร้างขึ้นใหม่หลังจากเกิดความเสียหายในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กองกำลังสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดปูพรมโตเกียวซึ่งเป็นเมืองหลวง โดยเฉพาะเขตเอะโดะ 

เขาเคยเห็นห้องนี้มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ค่อยได้เข้ามายุ่มย่ามนักเพราะไม่เคยสนใจ ห้องนี้เต็มไปด้วยของเก่า ไม่ว่าจะเป็นหุ่นและตุ๊กตานักรบ ดาบซามุไรและมีดสั้น รวมทั้งอาวุธปืนสมัยโบราณที่จัดเก็บและดูแลเป็นอย่างดี ตรงผนังห้องมีตู้ลิ้นชักไม้ขัดเงาเคลือบน้ำมันสีแดงเข้มหลายใบ ทุกตู้ตกแต่งลวดลายศิลปะญี่ปุ่นโบราณด้วยเหล็กสีดำซึ่งปู่เคยบอกเขาว่าตู้เหล่านี้เป็นตู้ลิ้นชักเก็บข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของซามุไร เป็นของเก่าที่ตกทอดกันมา ล้วนเป็นของหายาก บางชิ้นประเมินราคาไม่ได้และควรคู่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ด้วยซ้ำ 

ขณะเปิดลิ้นชักต่างๆ สำรวจ ริวโนะสึเกะสั่งให้หลานชายคนโตปีนบันไดเตี้ยเพื่อเปิดบานเลื่อนไม้ช่องเล็กข้างบน แล้วขนกำปั่นโบราณลงมาให้หมด 

ชายหนุ่มประหลาดใจเมื่อเห็นข้าวของมากมายของบรรพบุรุษที่เพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก บ้างเป็นกำปั่นเหล็ก บ้างเป็นไม้ บ้างเป็นกล่องทรงกลม ในนั้นมีซองบรรจุซิลิกากันความชื้นไว้ทุกกล่อง เอกสารสำคัญถูกม้วนเก็บใส่กล่องกระดาษทรงกลมยาว เมื่อคลี่ออกดูแม้จะมีสีเหลืองอมน้ำตาลบ้าง มีรอยคล้ำเป็นจุดๆ บ้าง แต่ก็รู้ได้ว่าทั้งหมดถูกบันทึกลงในกระดาษคุณภาพดี...เขามองตัวอักษรโบราณสีดำตัวเล็กตัวน้อยที่ปรากฏเป็นพืด

ปู่ขยับแว่น ค่อยๆ ดูเอกสารทีละแผ่นอย่างสนใจ 

 

เขากับปู่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะอ่านเอกสารจนหมด มีหลายฉบับที่ได้แต่อ่านผ่านๆ เพราะไม่เข้าใจภาษาเก่าและบางครั้งก็แกะลายมือไม่ออกว่าคำพวกนั้นเขียนว่าอะไร 

“สงสัยต้องพึ่งคนนอกแล้วโค่คุง” ริวโนะสึเกะเอ่ย

ปู่ตัดสินใจให้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาในมหาวิทยาลัยช่วยอ่านเอกสารอ่านยากเหล่านั้น 

ข้อมูลน่าสนใจที่ได้มาในภายหลังก็คือพบบรรพชนผู้มีนามว่าชุนโนะสึเกะซึ่งมีตัวตนอยู่ในสมัยเอะโดะช่วงก่อนปลายสมัย และเป็นหนึ่งในห้าสิบคนของนักเรียนทุนของโชกุนที่ศึกษารันงะขุวิทยาการสมัยใหม่ของยุโรปกับมิสเตอร์ฟิลิปป์ ฟรานซ์ ฟอน ซีโบลด์ ชุนโนะสึเกะมีบุตรชายเพียงคนเดียวนามว่ารันโนะสึเกะ ที่สำคัญ ไม่พบหลักฐานการแต่งงานกับคนต่างชาติในตระกูล ซึ่งปู่เขาให้เหตุผลว่าเพราะคนสมัยก่อนไม่เห็นความสำคัญของสตรีเพศ จึงอาจไม่มีการบันทึก

 สิ่งที่ทำให้โคสึเกะตื่นเต้นก็คือเนื้อหาจากบันทึกส่วนตัวของชุนโนะสึเกะที่ระบุว่าได้ทำจี้หายและมีผู้หญิงเชื้อชาติยุโรปคนหนึ่งเก็บได้นั่นเอง ท่านได้จี้คืนแน่นอนเพราะจี้นั้นตกทอดมาถึงรุ่นเขา แต่กลับไม่มีข้อความที่บ่งบอกว่าชุนโนะสึเกะได้สมรสสมรักกับสตรีที่เก็บจี้นั้นได้หรือไม่ ทว่าข้อความต่อมากลับทำให้โคสึเกะช็อกสุดขีด จนต้องเงยหน้าขึ้นถามย้ำกับปู่ของเขาว่าควรจะเชื่อบันทึกเล่มนี้ทั้งหมดหรือไม่ ซึ่งแน่นอน ปู่ของเขาก็ให้คำตอบยืนยันไม่ได้ 

 “หรือเราอยากจะลองเสี่ยงพิสูจน์ล่ะโค่คุง...เอาชีวิตคนมาเสี่ยงเพราะอยากพิสูจน์น่ะ แกคงไม่ทำนะ”

 แล้วประโยคทิ้งท้ายของปู่ก็ก้องในหัวของเขาไปอีกนาน

 

หลังจากฉลองปีใหม่ที่ญี่ปุ่นแล้ว โคสึเกะก็พกความสับสนกลับไปฮาวายด้วย คำเตือนของปู่...ข้อความในบันทึกยังวนเวียนเข้ามารบกวนความคิดเขาตลอดเวลาจนทำให้เขาทำงานที่โรงแรมผิดพลาดบ่อยๆ ถึงขั้นอัลแบร์โตต้องเรียกคุยและเสนอให้เขาไปพักผ่อนที่ไหนสักระยะ แต่เขารู้ดีว่าถึงจะไปพักร้อนที่ไหนก็ทำให้เขาสบายใจไม่ได้อยู่ดี 

เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์แล้ว มาร์เซียคงหมั้นหมายกับสารวัตรหนุ่มตามความต้องการของพี่ชาย และเธอคงมีความสุขในไม่ช้า ขณะที่เขาคบหากับใครไม่ได้อีกเลย ลองสานสัมพันธ์กับใครจิตใจเขาก็ไม่ได้อยู่กับพวกหล่อน เขายังคงฝันแต่เรื่องญี่ปุ่นยุคโบราณบ่อยๆ แต่เรื่องราวไม่ปะติดปะต่อกัน

ในฝัน...ชุนโนะสึเกะเป็นที่โปรดปรานของโชกุนทำให้เทะรุโมะโตะไม่พอใจ บางครั้งเขาเห็นชุนโนะสึเกะตระกองกอดมาเรียอย่างมีความสุขใต้ซุ้มเถาดอกฟุจิ๓๑สีม่วงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวาน แต่ทุกครั้งมักจบลงที่ใบหน้าเปื้อนเลือดของมาร์เซีย

มันหมายความว่าอย่างไร...ชายหนุ่มนั่งมองนิ้วตนเองที่ควงปากกาให้หมุนไปมาขณะใช้ความคิด

“จีเอ็มคะ ได้เวลาเฟซไทม์คุยกับคุณญศกาแล้วค่ะ”

เสียงเลขาฯ ดังเตือนผ่านเครื่องอินเตอร์คอม ปลุกโคสึเกะให้ตื่นจากภวังค์ความคิด เขาลากกดเมาส์เพื่อออนไลน์ข้ามประเทศคุยกับญาติผู้น้อง

“หน้าตาสดใสเชียว แต่ออกจะคล้ำแดดไปหน่อยนะ เป็นไง ใกล้คลอดแล้วนี่” โคสึเกะเอ่ยถามเมื่อภาพใบหน้าของญศกาปรากฏ

“ไม่ค่อยดีเลยพี่โค่ ญ่าต้องการความช่วยเหลือ”

“มีอะไรล่ะ”

“อยากให้มาเซาเปาลูด่วนเลย มีงานให้ช่วย”

“ก็พี่ก็ช่วยงานที่ฮาวายอยู่นี่ไง” เขาเถียง

“หมายถึงต้องการให้มาช่วยที่บราซิลนี่! โพรเจกต์ที่รีโอเดจาเนโรขาดคน!” ญศกาทำหน้ามุ่ย

“ก็เธอกับมาร์เซียไง” โคสึเกะย้อน

“ญ่าท้องแก่ มาร์กไม่ให้เดินทางไกลแล้ว และตอนนี้มาร์ซีนญ่าอยู่โรงพยาบาล ป่วยประจำเลยระยะนี้”

“เป็นอะไร!”

“ไม่รู้! อยู่ดีๆ ก็เป็นลมหมดสติไป เป็นมาหลายครั้งแล้ว แต่หนนี้ถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล”

“ให้คู่หมั้นเขาทำแทนสิ”

“แบตโต้เป็นตำรวจ ไม่รู้เรื่องธุรกิจ ทำแทนกันไม่ได้ แล้วมาร์ซีนญ่าก็ยังไม่ได้หมั้น เธอป่วยแต่จะออกจากโรงพยาบาลวันนี้ งานหมั้นเลื่อนไปเป็นอีกสองสามวันข้างหน้าโน่น...”

ภาพญศกาทำปากยื่นเน้นคำว่าโน่น...มันตลกจนเขาอดอมยิ้มออกมาไม่ได้

“พี่โค่...ทำไมเงียบ ไม่พูด ตกลงใช้เวลาเคลียร์งานหลายวันไหมถึงจะมาหาญ่าได้น่ะ”

“ญ่าจัง...หาจี้ให้พี่เจอไหม” เขาถาม

“ไม่เจอค่ะ ให้บอดีการ์ดนับสิบช่วยค้นแล้ว ไม่เจอเลย...แล้วพี่โค่พูดเปลี่ยนเรื่องทำไมเนี่ย”

...เดดแอร์ไปชั่วขณะมองตากันผ่านจอ...

“ญ่าจัง เราน่ะแต่งงานมากี่เดือนแล้ว”

“อยู่ดีๆ มาถามทำไมเนี่ย เค้างงนะ!”

“เออ...” เขาลากเสียงยาวบ่งบอกความรำคาญ “ตอบมาน่า!”

“สองเดือน บอกได้รึยังว่าถามทำไม”

“สองเดือน” เขาทวนคำ “แล้วพี่จะตอบคำถามคราวหน้า โอเค้?” เขาเลิกคิ้วย้ำ “พี่จะส่งเมลตามไปในสิบห้านาที ช่วยจัดการตามนั้นด้วย...ทุกอย่าง”

“อะไรเหรอพี่โค่”

“สิ่งที่เธอต้องเตรียม...”

“อะไรอะ...ไม่เห็นจะเข้าใจเลย พี่จะขอให้ญ่าทำอะไรเนี่ย ยิ่งงงหนัก”

“แล้วจะทำให้หรือเปล่าล่ะ”

“เออ ก็ต้องทำแหละ”

“Thanks...my sis’...” โคสึเกะขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม “Bye”

 โคสึเกะคลิกออฟไลน์เมื่อการสนทนาจบ 

‘มาร์เซียป่วยเป็นประจำ...ยังไม่ได้หมั้น’

เขาทวนประโยค ยอมรับว่าข้อความนี้ร่นเวลาตัดสินใจของเขาให้สั้นขึ้น 

ช่วงเวลาที่ญศกาแต่งงานคือระยะเวลาเดียวกันกับที่เขาทราบว่ามาร์เซียเป็นผู้เก็บจี้ได้ หากข้อความในตำนานและคำเตือนของปู่เป็นจริง เขาเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น อาจจะงมงาย และอาจเป็นเพียงเหตุบังเอิญ แต่เขารู้แก่ใจดีว่าเขาไม่ต้องการเสี่ยงที่จะสูญเสียใครไป

 

 มาเรียใจเต้นโครมคราม วันนี้ร้านของเธอมีโอกาสต้อนรับซามุไรหนุ่มรูปงาม ทว่าแทนที่เขาจะสนใจสินค้าที่วางเรียงรายอยู่เต็มร้าน กลับสนใจเธอซึ่งเป็นคนขายและแนะนำสินค้าแทน เธอพยายามบิดมือที่ถูกเขาเกาะกุม แต่มือแข็งแรงกลับบีบมือเธอแน่นขึ้น หญิงสาวครางด้วยความเจ็บและถึงกับน้ำตาซึมเพราะหวาดกลัว

“ว่าไง ข้าถามว่าตัวเจ้าล่ะราคาเท่าไหร่ ทำไมเล่นตัวจังล่ะนางต่างด้าว”

“ท่าน...ปล่อยข้านะ ไม่งั้นข้าจะหมดความนับถือ โอ๊ย ปล่อย...”

ซามุไรหนุ่มหัวเราะลั่น “ข้าจะไปต้องการความนับถือจากเจ้าซึ่งเป็นคนต่ำชั้นกว่าข้าทำไม ความนับถือจากพวกคนชั้นต่ำหาได้มีคุณค่าอะไรต่อคนวรรณะสูงกว่าอย่างข้าแม้แต่น้อยไม่ ไป...พาข้าไปห้องนอนของเจ้า ให้ข้าได้ชื่นชมคุณภาพของสินค้าหน่อยปะไร ข้าจะได้ตีราคาเจ้าได้ถูกไง”

คนกักขฬะยังหัวเราะร่วนเสียงดังสนั่น ขณะที่มาเรียตะโกนขอความช่วยเหลือ บ่าวไพร่ของเธอได้แต่ยืนมอง นอกจากไม่มีใครกล้าขยับตัวเข้ามาช่วยเหลือเธอแม้แต่คนเดียวแล้ว ยังทำท่าจะขยับเปิดทางให้ฝ่ายรุกรานขึ้นบ้านอีกด้วย

“เร็วเถิดเจ้าค่ะ ทางนี้”

มาเรียได้ยินเสียงมิโนะดังมาจากหน้าร้าน เธอหันขวับไปก็พบซามุไรหนุ่มแหวกโนะเรนเข้ามา

“หยุดนะ อะริโมะริซัง ท่านจะทำอะไรน่ะ”

ชายหนุ่มผู้มาใหม่ถามเสียงกร้าวกังวาน ดุดันอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน ถ้าเธอฟังไม่ผิด เขาใช้คำว่า ‘ซัง’ แทน ‘ซะมะ’ หรือนั่น มันแสดงชัดถึงการลดระดับความยกย่องอีกฝ่ายลง

“อ้อ...ท่านมะเอะดะ เจอกันอีกแล้วนะ ดูเหมือนว่าดวงเราจะสมพงศ์ในช่วงเวลาสำคัญของข้าทุกที” เขาหันไปขึงตาใส่ เอ่ยเสียงเยาะ

“ปล่อยนางเสียเถอะ มิเช่นนั้นท่านอาจจะเดือดร้อน นางเป็นภรรยาของมิสเตอร์ซีโบลด์ ท่านไม่รู้หรือ”

ซามุไรผู้กักขฬะปล่อยมือเธอทันที

“แต่...ข้า...ไม่...” มาเรียหยุดพูดเมื่อเห็นแววตาปรามดุของซามุไรหนุ่มผู้มาช่วย

“จะ...เจ้าเป็นเมียของท่านซีโบลด์หรือ”

อะริโมะริหันมาถามเธอ มาเรียก้มหน้างุดแล้วพยักหน้ารับเบาๆ

“โธ่...อีบ้าเอ๊ย! แล้วก็ไม่บอกแต่แรก” เขาสบถออกมาอีกหลายคำ ก่อนผลุนผลันออกจากร้านไป 

มาเรียหมดแรงทรุดนั่งลงกับพื้นหลับตา...ตัวสั่น เธอลืมตาเมื่อรู้สึกว่ามีมือนุ่มบีบนวดอยู่ ซึ่งเป็นมิโนะนั่นเอง เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ก็ไม่พบซามุไรคนไหนแล้ว 

ตายจริง...เธอยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย เขาเข้าใจผิดเรื่องมิสเตอร์ซีโบลด์ และเธอก็ยังไม่ได้คืนจี้ให้เขาด้วย

 

“จี้...จี้...” 

มาร์เซียสะลึมสะลือได้ยินตัวเองละเมอ เธอเงยหน้าขึ้น ปรับสายตามองกระจก พลางทบทวนว่าเธอสวมชุดสีครีมงดงามมานั่งอยู่หน้ากระจกอยู่ทำไม เมื่อจำได้ว่าวันนี้เป็นวันหมั้นของตัวเอง หญิงสาวก็มองกระจก สองมือดึงท่อนบนของชุดเกาะอกให้ยกขึ้น แล้วตบหน้าที่เคลือบด้วยเครื่องสำอางเบาๆ แล้วหยิบหวีแปรงมาแปรงผมให้เข้าที่...บ้าที่สุดที่เผลอฟุบหลับบนโต๊ะกระจกในห้องแต่งตัวระหว่างรอพิธีหมั้น เธอแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวจะมีคนมาตามเมื่อได้เวลา

เธอฝันถึงมาเรียบ่อยเกินไปแล้ว วันก่อนฝันว่ามาเรียถูกบิดาดุและขู่ว่าจะส่งกลับเกาะเดะจิมะ และจะให้ไปอยู่กับญาติที่ปัตตาเวียโน่นเลยหากมีเรือเข้ามา เพราะโมโหที่รู้ว่านัดแนะพบปะกับชุนโนะสึเกะ 

ความฝันของเธอเป็นเรื่องราวที่ไม่ปะติดปะต่อ เหตุการณ์กระโดดข้ามหน้าย้อนหลัง เธอกังวลมากจนต้องเล่าความฝันให้ญศกาฟังทุกครั้งที่นึกได้ ซึ่งพี่สะใภ้ก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากบอกว่าเธอคงเหนื่อยและเครียดกับโครงการใหม่ของโรงแรมที่รีโอเดจาเนโร และเธอคงพะวงกับจี้มากไปจึงเก็บเอาไปผูกเรื่องและฝันเป็นตุเป็นตะ

เธอเฝ้าถามญศกาว่าหาจี้พบหรือยัง แต่คำตอบคือยังไม่มีใครหาเจอเลยทั้งๆ ที่แทบจะพลิกแผ่นดินหา มาร์เซียตั้งใจว่าเสร็จงานหมั้นแล้วเธอจะไปค้นหาเอง พวกนั้นอาจหาผิดที่ ถ้าหาเจอคราวนี้ เธอจะรีบส่งคืนให้โคสึเกะ เหมือนมีอะไรสักอย่างบอกเธอว่าความฝันบ้าๆ นี้จะจบลงถ้าเธอมอบมันคืนให้เจ้าของ 

 เสียงบานประตูเปิดดังเอี๊ยด ตามด้วยเสียงปิดลงกลอนทำให้หญิงสาวขยับตัว

“ได้เวลาแล้วหรือนีน่า” เธอถามโดยไม่ได้หันไปมองเพราะมัวแต่ก้มมองของในกล่องเครื่องประดับที่พี่ชายให้คนนำมาวางไว้ “มาช่วยติดสร้อยให้ก่อนได้ไหม เสร็จแล้วค่อยไป”

มาร์เซียหยิบสร้อยยื่นไปด้านหลังส่งๆ แล้วเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัยว่าทำไมนีน่าเพื่อนสาวถึงไม่รับสร้อยไปเสียที แล้วต้องตกใจจนสะดุ้งหวีดร้องเบาๆ ใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อเห็นคนที่อยู่ข้างหลังซึ่งสะท้อนบนกระจกเงา...ไม่ใช่ร่างอวบของเพื่อนสนิท แต่เป็นร่างสูงผึ่งผายไหล่กว้างสวมชุดสูท คนที่เธอไม่คาดคิดว่าจะเห็นเขาที่นี่

มาร์เซียรีบหมุนตัวหันไปดูว่าใช่เขาจริงหรือไม่ มือหนึ่งวางสร้อยลงในกล่องที่เปิดอ้า ส่วนมืออีกข้างขยี้ตา...หรือเธอยังไม่ตื่นจากฝัน

“คุณ...คุณมาได้ไง”

“นั่งเครื่องบินมาสิ ถามแปลก”

“ไม่...ฉันหมายถึงทำไมถึงมาที่นี่ ตอนนี้”

“หรือคุณผิดหวังที่เห็นผมมา”

บ้าจริง ทำไมเธอต้องมีปฏิกิริยากับถ้อยคำตัดพ้อจากปากเขาด้วยนะ 

“มาร์ซีนญ่า...”

ได้โปรด...อย่าเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้ 

พลันมาร์เซียรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟแล่นซ่านจากนิ้วเรียวของเขาส่งมาที่ไหล่เปลือยของเธอทันทีที่เขาสัมผัส 

“คุณพร้อมรึยัง” เขาถาม

“พร้อม...พร้อมอะไรคะ” หญิงสาวเสียงสั่นอย่างระงับความตื่นเต้นไม่ได้ 

สองมือเขาแตะบ่าเธอประคองให้ลุกขึ้น แล้วหมุนตัวเธอให้เผชิญหน้ากับเขา “ไม่มีใครบอกคุณเหรอว่าเราต้องเดินทางกัน”

มาร์เซียส่ายหน้าอย่างงงๆ 

“เดินทาง” เธอย้อนถาม ขมวดคิ้ว “ไปไหน...แล้วฉันจะไปยังไง ในเมื่ออีกไม่กี่นาทีงานหมั้นก็จะเริ่มแล้ว เสร็จงานหมั้นแล้วเราค่อยคุยกันไหมคะ”

“ผมไม่มีเวลา คุณต้องไปกับผมเดี๋ยวนี้ เฮลิคอปเตอร์จอดรออยู่ที่เฮลิโอพอร์ตเรียบร้อยแล้ว”

มาร์เซียกะพริบตามองใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างงุนงง “คุณจะไปกับผมไหม มาร์ซีนญ่า”

เสียงทุ้มนุ่มเชิญชวนของเขาช่างน่าฟังอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินเขาพูดกับเธอแบบนี้มาก่อน เหมือนเขาเติมความร้อนจากมือใหญ่อันอบอุ่นสู่อุ้งมือบางอันเย็นเฉียบของเธอ 

“หรือคุณอยากจะหมั้น...ที่นี่”

เธออึ้งและสับสนจนพูดอะไรไม่ออก

“ผมมารับคุณ ไปกับผมนะสาวน้อย”

ฟังเขาพูดจนจบและโดยไม่ทันคาดคิด คนร่างสูงดึงเธอไปกอดแนบอก กลิ่นโคโลญผู้ชายอวลเข้าจมูก เธอชอบกลิ่นนี้จัง...มาร์เซียตกใจกับความรู้สึกของตัวเอง อกหนาของเขาช่างอบอุ่นและทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยเป็นที่สุด จนเธอเผลอหลับตาพริ้ม เลือดสูบฉีดทั่วร่างและรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองเต้นจังหวะเร็วขึ้น

“นี่ฉันฝันอีกแล้วใช่ไหม ฉะ...ฉันต้องฝันแน่เลย คุณหยิกฉันทีสิ”

นอกจากเขาไม่หยิกแขนเธอแล้ว เขายังดันตัวออกอีกด้วย มาร์เซียใจหายวาบ

“ไม่มีเวลาแล้ว เราต้องรีบไป หรือคุณจะให้ผมไปคนเดียว” ดวงตาสีดำเข้มจ้องเธออย่างรอคำตอบ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นแล้วประตูก็เปิดออก เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังใกล้เข้ามา...มาร์เซียตัดสินใจได้ในเสี้ยววินาทีนั้น

“ตกลงค่ะ ฉันจะไป ฉันจะไปกับคุณ...”

เธอยังพูดไม่ทันจบประโยค โคสึเกะก็รวบข้อมือเธอจับจูงไปเผชิญหน้ากับใครสักคนที่กำลังเดินเข้ามา

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น