บทนำ
รัก...อดีต ปัจจุบัน ฝัน หรือลางบอกเหตุ
ณ นครเซาเปาลู บราซิล
“คุณเป็นไงบ้างคะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
หญิงสาวสวมชุดสูทกระโปรงสั้นครึ่งน่องรีบก้าวยาวด้วยรองเท้าส้นเข็มแหลมสูง ตั้งใจเข้าไปพยุงชายหนุ่มที่ถูกคนของเธอเหวี่ยงล้มบนพื้นบาทวิถีให้ลุกขึ้น คิ้วเข้มหนาของเขาขมวดอย่างอารมณ์เสีย กระนั้นเธอก็สังเกตได้ว่าเขามีริมฝีปากสีแดงอย่างคนสุขภาพดีตัดกับผิวขาวเหลือง เดาว่าคงเป็นชาวบราซิลเชื้อสายเอเชียที่เห็นได้ทั่วไปในเมืองนี้
ถ้าไม่ใช่คนญี่ปุ่นหรือไต้หวัน ก็คงจะเป็นคนเกาหลีแหละน่ะ!
เมื่อครู่ชายผู้นี้กางแผนที่บดบังหน้าตา ยืนพิงรถของเธอซึ่งจอดอยู่หน้าโรงแรม เปเป้ หนึ่งในทีมบอดีการ์ดก็คงจะปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของมาร์กุส...พี่ชายของเธอ ซึ่งกำชับคนใกล้ชิดรอบกายเธอทุกคนให้ดูแลอย่างเข้มงวดขึ้นเป็นระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่คนในอี๊กเบกรุ๊ป เพราะช่วงนี้มีคนหมายปองชีวิตสมาชิกทุกคนในครอบครัว เธอคิดว่าชายผู้นี้ไม่มีทีท่ามุ่งทำร้ายหรือทำอันตรายใดๆ เขาอาจแค่ซวยเพราะดันมายืนพิงรถเธอ เปเป้ก็เลยตวาดเสียงดังขู่ไล่เขา และเมื่อเขาไม่ขยับ ยังคงยืนนิ่งกางแผนที่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว เปเป้จึงยิ่งโมโห ตะคอกใส่พร้อมกระชากแขนอีกฝ่าย
เธอเห็นชายผู้นั้นมีสีหน้าตกใจที่อยู่ดีๆ ก็ถูกบอดีการ์ดของเธอขยุ้มคอเสื้อและกระชากโดยแรง คนร่างใหญ่หนาอย่างเปเป้เหวี่ยงฝ่ายนั้นจนกระเด็น
ตายละ เปเป้ทำเกินไปแล้ว!
หญิงสาวเร่งฝีเท้าเข้าไปปราม แล้วรีบหันไปกล่าวคำขอโทษพร้อมกับยื่นมือให้เขาจับเพื่อยืนขึ้น แต่ชายผู้นั้นกลับมีทีท่าหยิ่งทะนง เอามือยันพื้นลุกขึ้นเอง แม้จะไม่เอ่ยคำโต้ตอบใดๆ แต่กลับขบกรามจนนูน ทั้งสีหน้าแววตายังแสดงออกถึงความโกรธขึ้งอย่างเปิดเผย เธอตัดสินใจถือวิสาสะปัดรอยเปื้อนที่กางเกงเขาเพื่อขออภัย
“ต้องขอโทษด้วยที่คนของฉันทำรุนแรง”
ไม่ใช่แค่เขาหรอก เธอเองก็หัวเสียเหมือนกัน ไม่รู้ว่าควรจะโทษใครดี ความที่เป็นลูกสาวคนเดียวของตระกูลที่มีอิทธิพลทางการเกษตรและพลังงานทดแทนระดับประเทศของบราซิล เมื่อพี่ชายถูกปองร้าย เธอเองก็ย่อมติดหลังแหไปด้วย เวลาไปไหนมาไหนต้องมีบอดีการ์ดติดตามมาตลอดหลายปีแล้ว แต่คนร่างใหญ่โตพวกนี้ก็มักจะเข้มงวดและระแวงเกินไป โดยเฉพาะช่วงนี้ที่อันตรายกำลังโหมเข้ามาอย่างคุกรุ่น
เธอปัดฝุ่นที่เปื้อนกางเกงให้เขาอย่างไม่รังเกียจ แต่เขากลับเบี่ยงตัวหนี เปล่งประโยคซึ่งมีความหมายตรงข้ามกับน้ำเสียงโดยสิ้นเชิง
“It’s all right.”
พลางยกแขนกัน ปฏิเสธน้ำใจของเธอ
และคำตอบภาษาอังกฤษของเขานั่นเองที่ทำให้มือนุ่มซึ่งกำลังปัดกางเกงชะงัก หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง...เขาหน้ามุ่ยก็จริง ทว่าดวงตาฉายแววสงสัยเหมือนเขาไม่เข้าใจที่เธอพูด หรือว่าเขา...
“โอ้! คุณไม่ใช่ชาวบราซิลเหรอคะ ฉันนึกว่าคุณเป็น...” เธอร้องบอกเป็นภาษาอังกฤษ
“เปล่า ผมเป็นนักท่องเที่ยว...ขอตัว”
พูดจบเขาก็เดินจากไป เป็นการบอกกลายๆ ว่าไม่อยากเสวนาด้วย
เป็นครั้งแรกที่เธอถูกผู้ชายผละจากไปโดยไม่สนใจ เชอะ! หยิ่งเสียด้วย ผู้ชายเอเชียก็เป็นเสียอย่างนี้ พูดน้อย ช่างถือตัว...เธอยืนมองเขาเดินห่างออกไปจนลับตา เป่าลมหายใจออกทางปากอย่างเบื่อหน่ายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่คนของเธอเป็นคนก่อครั้งแล้วครั้งเล่า นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะในรอบสองสามสัปดาห์นี้ เธอระอาต่อการกระทำเกินกว่าเหตุของเปเป้เหลือเกิน จึงหันหน้ากลับมาอ้าปากเตรียมตำหนิ
พลันหางตาจับไปที่พื้นปูนบาทวิถี เห็นแผนที่ฉีกขาดและแผ่นโลหะแวววาวหล่นอยู่ใกล้ๆ เธอสาวเท้าเข้าไปดูด้วยความสงสัย เมื่อก้มลงเก็บขึ้นมาก็พบว่าเป็นสร้อยหนังสีดำห้อยจี้สี่เหลี่ยมกรอบเงินพื้นสีดำ ตัวจี้ถูกออกแบบเป็นสัญลักษณ์หยินหยางสามอันมารวมกันตามสไตล์เอเชีย
หญิงสาวตาวาวอย่างนึกได้ จึงหันหน้าไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มเอเชียเมื่อครู่เดินไป อ้าปากเตรียมจะร้องเรียก แต่ไม่ทันจะได้เปล่งเสียง เธอก็ถูกกระแทกอย่างแรงราวกับโดนวัวตัวใหญ่พุ่งชน ทั้งหนักทั้งเจ็บจนชา ไม่รู้ว่าใครปล่อยวัวบ้าตัวนี้มาจากไหน...แต่คงไม่ใช่วัวแล้วละ เพราะมีเสียงตูมจนแก้วหูสะเทือนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนดังตามมา ฝุ่นกระจายฟุ้งรอบตัว เธอเห็นแขนที่อยู่ภายใต้ผ้าสีเข้มของใครบางคนทอดอยู่บนพื้นเบื้องหน้า มือนั้นค่อยๆ ขยับกำสร้อยและจี้นั้นไว้แน่น เลือดไหลรินช้าๆ จิตใต้สำนึกบอกว่า...มันเป็นแขนของเธอเอง
เธอกำลังจะตาย...ความคิดแรกผุดขึ้นในหัว
ไม่...เธอไม่อยากตาย! ช่วยด้วย...ใครก็ได้ช่วยที!
หญิงสาวรวบรวมแรงกาย พยายามขยับร่างและใบหน้าราวกับอยากให้หลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ พยายามกัดฟันรวบรวมแรงฮึดเป็นครั้งสุดท้ายเค้นพลังที่มีทั้งหมด ทว่ากลับได้ยินเพียงเสียงครางอืออาติดๆ ขัดๆ ของตัวเอง...ลอดออกมาแผ่วเบา...
พลัน...เธอลืมตาโพลง หายใจหอบอย่างหมดเรี่ยวแรงบนหมอนนุ่มลายดอกไม้ ผมยาวแผ่สยายยุ่งเหยิงเต็มหมอน เหงื่อผุดซึมทั่วหน้าผาก
ฝัน...เธอฝันถึงมันอีกแล้ว ฝันเห็นตัวเองกับภาพเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ เมื่อไรจะหลุดพ้นจากเหตุการณ์ในอดีตที่ตามหลอกหลอนจิตใต้สำนึกเสียที รู้สึกเหนื่อยล้าทุกคราที่ตื่นจากฝัน และมันช่างแสนทรมานที่ต้องฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้
หญิงสาวค่อยๆ พลิกกายนอนคว่ำ ยกท่อนแขนเอาศอกค้ำตัวไว้แล้วสอดมือไปใต้หมอน ควานหาบางสิ่งก่อนจะล้วงออกมาด้วยมือชื้นเหงื่อ กำ ‘จี้’ นั้นแน่น ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงรู้สึกอุ่นวาบทุกครั้งเวลาที่มันอยู่ในมือ
จี้นี้กลับมาอยู่กับเธออีกครั้ง ระหว่างรักษาตัวจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดครั้งนั้น เธอฝันถึงแต่ภาพเหตุการณ์นั้นเกือบทุกค่ำคืนจนข่มตาหลับไม่ลง พะวักพะวนติดอยู่แต่เรื่องนี้ จนต้องถามหาจี้จากอัลโด้ บอดีการ์ดอีกคนที่พี่ชายเธอจัดให้ เธอสั่งให้เขาหาสร้อยเส้นนี้มาคืนเธอให้ได้ ผ่านไปนับสัปดาห์ อัลโด้ถึงนำมาให้ เขาเล่าว่าตำรวจนำไปฝากไว้กับมาร์กุส เพราะคิดว่าเป็นสร้อยแฟชั่นที่เธอสวมติดคอ
ไม่ใช่หรอก...สร้อยที่ติดกายเธอไม่เคยห่างตัวมีแค่เส้นเดียว คือสร้อยข้อเท้ารูปผีเสื้อ แต่สร้อยในมือชื้นเหงื่อของเธอเส้นนี้กำลังจะกลายเป็นสร้อยประจำตัวอีกเส้นหลังจากฟื้น เพราะเธอเก็บไว้ในปลอกหมอนที่หนุนนอนทุกคืน มันทำให้รู้สึกอุ่นใจ แต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนระเบิดก็ยังตามมาหลอนเธอเป็นบางคราว ราวกับต้องการเตือนไม่ให้ลืม
น่าแปลกที่เธอมักฝันถึงแต่เรื่องราวตอนที่พบชายคนนั้น แล้วเขาเดินจากไปก่อนเกิดระเบิด แต่เหตุการณ์ก่อนพบเขาและหลังจากเขาเดินจากไปแล้ว เธอกลับจำอะไรไม่ได้เลย...และแน่นอน ไม่เคยแม้แต่ฝันถึง
พระเจ้าช่วย...เธอจำเรื่องที่เกิดกับเขาได้ แต่เธอจำหน้าตาเจ้าของสร้อยเส้นนี้ไม่ได้นอกจากปากแดงอย่างคนสุขภาพดีของเขา
บ้าไหม...ที่เธอนึกใบหน้าเขาไม่ออกทั้งๆ ที่ฝันถึงเขาทุกคืนวัน
นี่มันคืออะไรกัน...
ความคิดเห็น |
---|