11

ตอนที่ 11


 

11

หลังจากทั้งสองช่วยกันจัดการอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยงทุกเมนูแล้ว กฤตภาสจึงพามินตราขึ้นไปยังชั้นบนสุดของห้างสรรพสินค้า ‘โภคินเพลส’ ซึ่งจัดไว้เป็นพื้นที่สำหรับฝ่ายบริหาร

“สวัสดีค่ะท่านรอง” นารีลุกขึ้นยืนทักทายท่านรองประธานบริหารทันที เมื่อได้ยินเสียงเดินมุ่งตรงเข้ามาหา

“สวัสดีคุณนา วันนี้ผมเข้าแป๊บเดียวนะ ช่วยกำชับทุกนัดด้วยว่าให้รักษาเวลา” กฤตภาสกล่าว ก่อนจะหันมาแตะแขนนักศึกษาที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“ส่วนนี่คือมินตรา เธอจะเข้ามาฝึกงานที่นี่เป็นบางวัน ผมฝากคุณช่วยดูแลด้วยนะ ส่วนจะเข้ามาวันไหนบ้าง คงต้องรอตารางเรียนออกก่อน แล้วผมจะจัดตารางการฝึกงานให้เธออีกที”

“มินตรา นี่คุณนารี เลขานุการของฉัน คุณนารีจะคอยดูแลตารางนัดหมาย และเป็นตัวแทนฉันในการบริหารจัดการงานที่ห้างสรรพสินค้า” กฤตภาสแนะนำสองสาวต่างวัยให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ

มินตราประนมมือไหว้ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม นารีรับไหว้ด้วยรอยยิ้ม “น่ารักเหมือนที่คุณชานนท์และคุณธีระเคยเล่าให้ฟังเลยนะคะ” นารีเอ่ยกับผู้เป็นนาย

ธีระและชานนท์แอบกระแอมใส่กันเสียงเบา ก่อนที่ผู้เป็นนายจะหันไปมองสองคนต้นเรื่องที่สามัคคีก้มหน้าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“พวกนายเล่าอะไรให้นารีฟัง” กฤตภาสเอ่ยถามคนสนิท

“ผมแค่เล่าให้ฟังว่าเด็กในปกครองของนาย ทั้งสวยและน่ารักครับ” ชานนท์เงยหน้าขึ้นตอบผู้เป็นนาย

“อย่าให้รู้นะว่าแอบนินทาเด็กของฉัน” กฤตภาสชี้หน้าสองหนุ่มอย่างคาดโทษ แต่ในขณะเดียวกันก็อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี

มินตราและนารียกมือขึ้นป้องปากแอบหัวเราะคิกคักที่เห็นชานนท์และธีระโดนคาดโทษ แต่ถึงกระนั้นคำว่า ‘เด็กของฉัน’ ก็ทำให้สองคนสนิทลอบยักคิ้วให้กัน

“เธอจะเข้าไปนั่งข้างในห้องฉัน หรือจะอยู่ดูคุณนารีทำงานก็ตามใจ” ผู้ปกครองหันไปพูดกับ ‘เด็กของฉัน’

“หนูขออยู่กับคุณนารีนะคะ” มินตราตอบ

กฤตภาสพยักหน้าแล้วจึงหันไปสั่งความกับคนสนิท

“ธีระ นายอยู่ข้างนอกคอยดูมินตราด้วยก็แล้วกัน อย่าให้แอบออกไปเล่นซนที่ไหน”  เมื่อสั่งการกับธีระจบแล้ว ท่านรองประธานบริหารหน้าดุก็เดินตัวปลิวเข้าห้องทำงานไปพร้อมกับชานนท์ ปล่อยให้เด็กน้อยแสนซนที่ท่านรองเอ่ยกระทบ ยืนย่นจมูกทำหน้ามุ่ยอยู่ตรงหน้าประตูที่ปิดสนิท

“หนูไม่ได้ซนเสียหน่อย นะพี่ธีระ” มินตราทำเสียงกระเง้ากระงอด แต่เธอก็ทำได้น่ารักเสียจนหนึ่งคนสนิทและหนึ่งเลขานุการอดที่จะอมยิ้มตามไม่ได้

“นายก็แค่พูดกันไว้ก่อน หนูมินไม่ซนก็ดีแล้ว นายจะได้ไม่ต้องห่วง” ธีระปลอบเสียงอ่อนโยน

“น้องมิน มานั่งตรงนี้ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวพี่จะเริ่มโทร. หาหัวหน้าฝ่ายต่างๆ จัดคิวเข้าพบท่านรองแล้วนะคะ” นารีขยับเก้าอี้ให้มินตรานั่ง ก่อนจะเริ่มต้นการทำงาน

มินตรานั่งมองนารีคุยโทรศัพท์และพิมพ์เอกสารต่างๆ ด้วยความสนใจ ผู้จัดการแผนกต่างๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเข้าพบผู้ปกครองของเธอตามเวลาที่ขอไว้ จนเวลาผ่านไปร่วมสองชั่วโมงแล้ว คนในห้องก็ยังคงทำงานไม่ได้หยุดหย่อน

“ปกติมีคนมาพบคุณรองแบบนี้ทุกวันเลยหรือคะพี่ธีระ” มินตราเอ่ยถาม

“นี่ยังน้อยนะ ปกตินายวิ่งเข้าออกห้องประชุมเลยล่ะ บางครั้งประชุมสามสี่ห้องพร้อมกัน พี่กับชานนท์ต้องแยกกันเข้าแทนนายด้วยก็มี” ธีระตอบ

“โห เหนื่อยแย่เลย” เด็กสาวเอ่ยเสียงอ่อย

“คุณนา คุณธีระ พรีมเข้าพบท่านรองได้หรือยังคะ” ในขณะที่มินตรา นารี และธีระนั่งสนทนากันอยู่นั้น หญิงสาวนามว่าพริมาก็เดินมายืนรอเวลาเข้าพบกฤตภาสอยู่หน้าห้อง

ธีระยกนาฬิกาขึ้นมาดู ก่อนจะเดินนำพริมาไปยังประตูที่ปิดสนิท “เชิญครับคุณพรีม”

พริมาค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

                “คุณพรีมคือนัดสุดท้ายแล้วใช่ไหมคุณนา” ธีระถาม

                “ใช่ค่ะคุณธีระ” นารีตอบ

                “ดี ผมจะได้ให้คนเตรียมรถ”

                “ที่นี่มีครัวไหมคะ” จู่ๆ เด็กสาวก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

นารีกับธีระเลิกคิ้วมองใบหน้าคมพร้อมกัน

“มีจ้ะ หนูมินหิวหรือ”  ธีระถาม

“เปล่าจ้ะ มินจะไปหาน้ำหวานๆ ไว้รอคุณรอง พี่บัวบอกว่าเวลาเหนื่อยๆ คุณรองชอบดื่มน้ำสดชื่น”

“งั้นตามพี่มาทางนี้ค่ะ” นารีอมยิ้ม ก่อนจะเดินนำเด็กสาวไปยังห้องครัวขนาดเล็กที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของชั้น มินตราหยิบจับวัตถุดิบเท่าที่มีในตู้เย็นออกมาทำน้ำแดงมะนาวโซดา เสร็จแล้วจึงเดินกลับไปยังหน้าห้องทำงานของกฤตภาส ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มเดินนำพริมาและชานนท์ออกมาจากห้องทำงานพอดี

“ฉันบอกว่าอย่าออกไปซนที่ไหนไง หืม” ผู้ปกครองเลิกคิ้วมองเด็กในปกครองและเลขานุการส่วนตัว

“หนูไม่ได้ไปเล่นซนนะคะ หนูไปเตรียมน้ำหวานไว้รอคุณรองต่างหาก” มินตราตอบ พลางเดินนำแก้วน้ำหวานไปส่งให้ชายหนุ่มที่แสร้งทำหน้าตึงอยู่หน้าห้องทำงาน “พี่บัวบอกว่าเวลาเหนื่อยๆ คุณรองชอบดื่มน้ำสดชื่น แต่ที่นี่ไม่มีเลมอนกับน้ำตาลแดง หนูเลยทำน้ำแดงมะนาวโซดาแทนค่ะ”

กฤตภาสรับแก้วน้ำหวานของมินตราขึ้นมาจิบเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงสบตาแม่ครัวตัวน้อยที่ยืนรอฟังผลอย่างใจจดใจจ่อ “สู้น้ำสดชื่น...” คนชิมเว้นวรรคเล็กน้อยให้เด็กในปกครองใจหายเล่น “ได้เลย เปรี้ยวหวานกำลังดี”

มินตราถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก พร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ กฤตภาสใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วยีผมเด็กสาวเล่นด้วยความเอ็นดู และด้วยท่าทีอ่อนโยน ความสนิทสนมที่กฤตภาสมีต่อเด็กสาวแปลกหน้า ทำให้พริมาเผลอกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้แน่น

“ไป...กลับบ้านกัน” กฤตภาสเอ่ยหลังจากดื่มน้ำหวานจนหมดแก้วแล้ว มินตราพยักหน้ารับน้อยๆ

“ธีระ ชานนท์ เดี๋ยวลงไปซื้อของที่ชั้นล่างก่อน วันนี้มีคนจะแสดงฝีมือให้ชิม”

“ครับนาย” สองคนสนิทรับคำ

“งั้นผมกลับก่อนนะคุณนา คุณพรีม” เอ่ยจบก็เดินออกไป โดยมีเด็กในปกครองวิ่งตามไปพร้อมกับคนสนิทอีกสอง

“เด็กที่ไหนตามท่านรองมาทำงานคะคุณนา” พริมาถาม

“หนูมิน เด็กที่ท่านรองอุปการะไว้น่ะค่ะ” นารีตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลงจัดการกับกองเอกสารบนโต๊ะ เพื่อปิดการสนทนา

...

“อุปการะงั้นหรือ หึ แผนสูงนะนังหนู” พริมากระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงานของตนเอง แล้วกวาดเอกสารบนโต๊ะลงพื้นเพื่อระบายอารมณ์ขุ่นเคืองที่มี

 

“เอาอันนี้ดีกว่าค่ะ พี่บัวบอกว่ายี่ห้อนี้อร่อย” มินตราหยิบขวดเครื่องปรุงสองขวดขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจวางชิ้นหนึ่งลงบนชั้นตามเดิม แล้วนำอีกขวดไปวางไว้ในรถเข็นที่ธีระเข็นเดินตาม

“ท่าทางการเลือกของคล่องแคล่วใช้ได้นี่ ขั้นตอนนี้ฉันให้ผ่าน ส่วนขั้นตอนการทำกับรสชาติ คงต้องไปลุ้นกันอีกที” ผู้ปกครองยักคิ้ว

“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าคลำเอง ถ้าอยากรู้ว่าอร่อยหรือเปล่า คุณรองก็ต้องลองชิมเองนะคะ แต่ที่แน่ๆ คุณท่านเคยบอกว่าหนูทำอาหารอร่อยมากกก...” มินตราลากเสียงยาวตรงคำว่า ‘มาก’ การได้ใช้เวลาร่วมกันทำให้เธอกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

“นี่แน่ะ หลงตัวเองเหมือนกันนะเรา” กฤตภาสอมยิ้ม หลังจากยกกำปั้นขึ้นมาเขกหน้าผากเด็กสาวไม่แรงนักแล้ว

“รังแกเด็กนะคะ” มินตราทำหน้ามุ่ย แอบบ่นอุบอิบ

“ว่าไงนะ” คนรังแกเด็กแสร้งถามตามหลังเด็กสาวที่ออกตัวก้าวเดินไปเลือกของต่อ กฤตภาสส่ายหน้าพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ แล้วสาวเท้าเดินตามเด็กในปกครองไปเลือกซื้อของต่อไป

“เธอทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตอนสิบสี่” ธีระเข็นรถเดินตามผู้เป็นนาย พร้อมกับร้องเพลงคลอเบาๆ พอให้ได้ยินกับชานนท์เพียงสองคน

                ...

เมื่อได้ของครบตามต้องการแล้ว กฤตภาสจึงพามินตรากลับบ้านโภคินอภิวัฒน์ สภาพการจราจรบนท้องถนนใจกลางเมืองกรุงเช่นนี้ ต่อให้รถสมรรถนะแรงแค่ไหนก็วิ่งได้แค่ระบบอีโค เครื่องปรับอากาศที่ทำความเย็นกำลังดีส่งผลให้เด็กสาวที่รับประทานอาหารมาอิ่มๆ และใช้แรงเดินเลือกซื้อของทั้งวันนั่งสัปหงก มินตราพยายามฝืนลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก

“ง่วงก็นอนเถอะ” กฤตภาสเอ่ย

“หนูนอนได้หรือคะ” มินตราถามเสียงอ่อย พยายามปรือเปลือกตาขึ้นมองตามเสียงคนพูด

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ง่วงก็นอน ฉันอนุญาต”

มินตราซบใบหน้าแนบเบาะพลางลูบแขนตัวเอง พยายามยกกระเป๋าสะพายใบโตขึ้นบังความเย็นจากระบบเครื่องปรับอากาศภายในรถ

“หนาวหรือไง” กฤตภาสละสายตาจากหน้าจอไอแพด แล้วเหล่ตามองคนที่กำลังหลับตาพริ้ม “มินตรา มินตรา” เรียกสองครั้งแล้ว ก็ยังไร้เสียงตอบรับ

“หลับง่ายจริง” ชายหนุ่มส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะถอดเสื้อสูทออกแล้วคลุมลงบนตัวคนร่างเล็กอย่างเบามือ ด้วยกลัวว่าเธอจะตกใจตื่น

เมื่อได้รับไออุ่นจากเสื้อสูทตัวโตแล้ว มินตราจึงคลายอ้อมแขนที่กอดตัวเองออก แล้วเคลื่อนมือขึ้นมาประสานกันวางลงข้างแก้ม ก่อนจะพลิกตัวเล็กน้อยเพื่อให้นอนสบายขึ้น รอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่บนใบหน้าของท่านรองประธานตลอดเวลา แววตาที่เอื้ออาทรนี้ยากนักที่ใครจะได้เห็น แต่ในเวลาที่อยู่กับเด็กสาวคนนี้ กฤตภาสกลับแสดงความอ่อนโยนออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยความที่เขาเองอยากมีน้องสาวมาตั้งแต่เล็กๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกถูกชะตา อยากดูแล อยากปกป้องเด็กสาวคนนี้ตั้งแต่แรกเจอ

...

“มินตรา มินตรา ตื่นเถอะ ถึงบ้านแล้ว” เสียงเรียกดังขึ้นไม่ดังมากนัก

“ถึงแล้วหรือคะ” หญิงสาวค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น แล้วยกมือขยี้ตาแรงๆ

“อ้าวๆๆ ตาแดงกันพอดี พอๆ เอามือออก” กฤตภาสดึงมือที่กำลังขยี้ตาออก ก่อนจะตีที่มือบางทั้งสองข้างไม่แรงนัก “ต่อไปอย่าขยี้ตาแบบนี้อีก จำไว้”

“ค่า” มินตรารับปากเสียงงัวเงียทั้งที่ยังหลับตาอยู่

“ฉันให้เวลาเธอ 20 นาที ไปอาบน้ำให้สดชื่น แล้วไปเจอกันที่ห้องครัว เข้าใจหรือเปล่า”

“ค่า” มินตรารับคำ แล้วปีนลงจากรถ เดินเซไปเซมาจนถึงบ้านพักของนมพิศ

“เดินเป๋เป็นปูเลย” ชานนท์เอ่ยขำๆ ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายเข้าไปในบ้าน

 

“ทำอะไรอยู่หนูมิน หันซ้ายหันขวา ท่าทางสนุกเชียว” นมพิศ แม่นมของสี่เสือแห่งตระกูลโภคินอภิวัฒน์ เอ่ยถามเด็กสาวที่กำลังหันซ้ายแลขวา หมุนตัวหยิบจับข้าวของในครัวอย่างกระฉับกระเฉง

“มินกำลังจะทำน้ำพริกลงเรือค่ะนม” มินตราหันไปตอบคำถามนมพิศ ขณะมือทั้งสองข้างยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง

“ดีจริง นมก็คิดอยากกินพอดี มีอะไรให้นมช่วยไหมล่ะ”

“ไม่เป็นไรค่ะนม นมรอชิมฝีมือมินอย่างเดียวดีกว่าค่ะ มื้อนี้มินอยากโชว์ฝีมือให้คุณรองทาน”

“ดีลูกดี แต่อย่าทำเผ็ดมากนะ คุณรองเธอทานเผ็ดไม่เก่งเท่าไหร่” แม่นมผู้รู้ใจสี่เสือเป็นที่สุดเอ่ยบอกแม่ครัวตัวน้อย

“ได้ยินเหมือนกับว่ามีคนแอบพูดพาดพิงผมอยู่นะครับ” เสียงของผู้ถูกพาดพิงชื่อดังขึ้นที่ประตูห้องครัว กฤตภาสก้าวเข้ามาสวมกอดนมพิศจากด้านหลัง เสือรองกดปลายจมูกลงบนแก้มเหี่ยวย่นของบุคคลที่เขารักเสมือนมารดาอีกคน ทั้งซ้ายและขวา นมพิศลูบมือที่กอดรัดร่างท้วมของเธอ พร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง

“พอๆ ค่ะ ไม่ต้องมาอ้อนนม” นมพิศเอียงคอหอมแก้มทายาทคนที่สองของท่านเจ้าสัวอย่างเต็มรัก เพราะท่านช่วยคุณน้ำเพชรเลี้ยงสี่หนุ่มมาเองกับมือ ท่านจึงทั้งรักทั้งห่วง เปรียบเสมือนลูกในไส้ก็ไม่ปาน กฤตภาสปล่อยมือจากร่างอ้วนท้วนของแม่นม ก่อนจะเดินเข้าไปมองคนที่กำลังสาละวนอยู่กับการโขลกพริก กระเทียม ด้วยท่าทางคล่องแคล่ว

“ให้ฉันช่วยอะไรบ้าง” ผู้มาใหม่เอ่ยถามแม่ครัวหัวป่าก์

“อืม” มินตราทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะหาอะไรที่ง่ายที่สุดให้ผู้ปกครองของเธอได้ลองทำ “ช่วยล้างผักก็ได้ค่ะ”

“คิดว่าฉันทำเป็นแค่นี้หรือไงแม่ครัว” ชายหนุ่มส่ายหน้า บ่นอุบอิบ ด้วยรู้เท่าทันความคิดของเด็กสาว แต่กระนั้นก็เดินไปหยิบผักมาใส่กะละมัง แล้วเปิดน้ำล้างผักทีละใบทีละต้นอย่างเบามือ

นมพิศยืนมองร่างของนายน้อยผู้หวงตัวกับผู้หญิงทุกคน แต่ในเวลานี้กลับกำลังปล่อยตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อทำกิจกรรมร่วมกับเด็กสาวในปกครอง เมื่อยืนสังเกตการณ์อยู่สักพัก เริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นส่วนเกินระหว่างบุคคลทั้งสอง นมพิศจึงค่อยๆ หันหลังเดินออกจากห้องครัวไปพร้อมกับรอยยิ้มสุขใจ

                ...

“อมยิ้มอะไรครับนม อาการแบบนี้เหมือนสาวน้อยที่กำลังตกหลุมรักใครสักคน” เสียงคุณเล็กร้องทัก ขณะนมพิศกำลังเดินอมยิ้มผ่านประตูห้องนั่งเล่น

“แหม คุณเล็กก็ว่าไป นมมีความสุข นมก็ต้องยิ้มสิคะ” นมพิศเปลี่ยนทิศการเดิน จากเดิมที่จะเดินออกไปด้านนอกบ้านใหญ่ เป็นเดินเข้าไปนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ซึ่งตอนนี้สามเสือกำลังเล่นกับเจ้าเสือน้อยอยู่

“มีเรื่องอะไรดีๆ ที่พวกผมยังไม่รู้ครับนม” คุณหมอกลางวางเจ้าเสือน้อยให้ลงคลานเล่นกับพื้นห้อง ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งลงข้างๆ แม่นม

“นมว่า...” นมพิศลากเสียงยาว แล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกจากห้องนั่งเล่น “นมไม่บอกดีกว่าค่ะ ความลับ”

“นมครับ บอกหน่อยนะ” คุณเล็กวิ่งตามไปกอดเอวกลมของแม่นมเอาไว้ พร้อมกับซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังอย่างออดอ้อน

“ตอนแรกก็ไม่อยากรู้เท่าไหร่ แต่พอนมทำท่าแบบนี้ ผมชักจะอดใจไม่อยู่แล้วสิ” คุณใหญ่อุ้มเจ้าเสือน้อยเดินมาดักหน้านมพิศไว้อีกคน

“เฮ้อ คุณหนูของนมเนี่ยไม่ยอมโตสักที รู้ทั้งรู้ว่านมแพ้ลูกอ้อน” นมพิศส่ายหน้ากับลูกอ้อนที่กำลังเจอ “เอาละค่ะ อยากรู้อะไรก็ตามไปดูในห้องครัวก็แล้วกัน นมบอกได้แค่นี้” นมพิศถอนหายใจยาว แล้วตีมือลงบนอ้อมแขนเสือเล็กที่พันธนาการร่างท้วมของเธอเอาไว้ ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นทันที

“แบบนี้ต้อง...” คุณหมอกลางเอ่ย

“ตามไปดู” คุณเล็กกับคุณใหญ่ต่อประโยคพร้อมกัน ก่อนที่สามเสือและอีกหนึ่งลูกเสือจะเคลื่อนกำลังพลไปยังห้องครัว ซึ่งเป็นสถานที่ต้นเหตุที่นมพิศเอ่ยถึง

                ...

“ไม่ใช่ค่ะคุณรอง ต้องโขลกแบบนี้นะคะ ทำเป็นจังหวะสม่ำเสมอแบบนี้ค่ะ”

ภาพที่มินตรากำลังเอามือของเธอจับรอบมือใหญ่ของเสือรองเพื่อสอนให้โขลกพริก กระเทียม ที่เธอทำค้างเอาไว้ ทำให้สามเสือที่แอบซุ่มอยู่ถึงกับร้อง ‘อู้’ ในลำคอ ก่อนจะแท็กมือกันอย่างเบาเสียงที่สุด และเจ้าเสือน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของคุณพ่อก็ช่างรู้งาน เพราะเอาแต่อมยิ้มพร้อมกับเงยหน้ามองคุณพ่อและคุณอา แต่ไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ออกมา

“ทำไมต้องทำตามแบบฉบับที่น้องบัวสอนด้วย ทำแบบฉัน พริกก็ละเอียดเหมือนกัน” กฤตภาสขัด

“ก็ถ้าทำตามแบบที่พี่บัวบอก เสียงก็น่าฟัง จังหวะก็น่ามอง และพอเราใส่ใจกับสิ่งที่ทำ ผลก็จะออกมาดีค่ะ” มินตราถอนหายใจพร้อมกับตอบคำถามนี้เป็นรอบที่สอง

“โอเคๆๆ ฉันจะพยายามก็แล้วกัน” ว่าพลางพยายามเอาใจใส่การโขลกน้ำพริกให้ได้จังหวะตามที่แม่ครัวกำชับไว้

“งั้นมินไปดูข้าวญี่ปุ่นที่หุงไว้ก่อนนะคะ ว่าใช้ได้หรือยัง” มินตราลุกขึ้นไปดูหม้อหุงข้าวที่ชายหนุ่มสอนวิธีหุงข้าวญี่ปุ่นเอาไว้เพื่อเตรียมทำข้าวปั้น

“คุณรองคะ คุณรอง ข้าวสุกดีแล้วค่ะ” มินตราเปิดดูหม้อข้าว พร้อมกับร้องเรียกผู้ปกครองของเธออย่างตื่นเต้น “หอมจัง”

“แค่ข้าวสุก ทำเป็นตื่นเต้นไปได้ หืม” กฤตภาสวางมือจากการโขลกพริก แล้วจึงลุกขึ้นเดินไปดูเม็ดข้าวตามที่เด็กสาวร้องอวด

“ก็หนูเพิ่งเคยหุงข้าวญี่ปุ่นนี่คะ หอมด้วย นุ่มด้วยค่ะ” มินตราหยิบเมล็ดข้าวที่สุกแล้วขึ้นมาเป่าให้หายร้อน ก่อนจะส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อย

“อร่อยขนาดนั้นเชียว” ชายหนุ่มอมยิ้มเมื่อเห็นเด็กสาวทำหน้าตาพริ้ม เมื่อได้ชิมรสข้าวญี่ปุ่นที่ตนเองลงมือหุงสุกเป็นครั้งแรก

“อร่อยมากค่ะ คุณรองลองชิมดูสิคะ” มินตราหยิบข้าวขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง ยกขึ้นมาเป่าให้หายร้อน ก่อนจะยื่นไปใส่ปากคนที่ยืนอยู่ข้างกาย กฤตภาสก้มตัวลงเล็กน้อย แล้วอ้าปากรับข้าวญี่ปุ่นก้อนนั้นเข้าปาก

“อืม อร่อยจริงๆ ด้วย” กฤตภาสกลืนข้าวลงคอ ก่อนจะโน้มใบหน้าลงอีกครั้ง เพื่อสบตากับคนร่างเล็กที่กำลังเงยหน้าขึ้นจ้องมองรอผลจากการชิม มินตรายิ้มกว้างเมื่อได้รับคำตอบที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน กฤตภาสยกมือขึ้นจับไหล่บางทั้งสองข้างของเด็กสาวเอาไว้ ก่อนจะขยับใบหน้าโน้มลงไปใกล้กับใบหน้าของมินตรา จนจมูกของทั้งสองคนแทบจะแนบสนิทกัน มินตราหลับตาลงอย่างตื่นกลัว ในสมองน้อยๆ ของเธอกำลังครุ่นคิดไปต่างๆ นานา แต่ก่อนที่หัวใจดวงน้อยจะเตลิดไปไกลมากกว่านี้ ฝ่ามือหนาก็กระทบหน้าผากบางเบาๆ มินตรากะพริบตาปริบๆ จ้องมองคนตรงหน้าด้วยความงุนงง

“จำไว้ว่าอย่ายิ้มแบบนี้ให้ใครอีก” ชายหนุ่มดีดหน้าผากเด็กสาวอีกครั้ง ก่อนจะผละตัวออก แล้วกลับไปนั่งโขลกน้ำพริกต่อ

 

“หัวใจจะวาย” คุณเล็กถอนหายใจ ก่อนจะหันไปสบตากับพี่ชายทั้งสอง ระหว่างที่ความเงียบกำลังครอบงำทั้งภายนอกและภายในห้องครัว เสียงเล็กๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบริเวณหน้าประตู

“มิน” ใบบุญในวัยกำลังหัดพูด ร้องเรียกพี่เลี้ยงให้อุ้ม กฤตภาสและมินตราหันไปมองยังบริเวณต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงกัน จนสามเสือต้องรีบขยับตัวออกมาจากที่ซุ่ม

“กำลังจะพาใบบุญไปว่ายน้ำ มองหานายไม่เจอ ก็เลยเดินตามเสียงโขลกน้ำพริกมา” คุณใหญ่กระแอมหนึ่งที ก่อนจะรีบแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ขุ่นเสียจนมองไม่เห็นทางให้ปลาว่ายน้ำ

“แล้วนี่ทำอะไรกันอยู่ครับ กลิ่นหอมเชียว” คุณหมอกลางเดินไปนั่งลงข้างๆ คุณรอง

“โอ้โห มีข้าวญี่ปุ่นด้วย หอมมาก” คุณเล็กพาตัวเองเข้าไปหามินตราที่บริเวณหม้อหุงข้าว ก่อนจะก้มใบหน้าลงสูดดมกลิ่นข้าวสุกเข้าเต็มปอด

“มินตราอยากหัดทำอาหารญี่ปุ่น ผมเลยจะสอนทำข้าวปั้น ส่วนทางนั้นจะโชว์ฝีมือทำน้ำพริกลงเรือสูตรเด็ดของน้องบัวครับ” คุณรองตอบคำถามพี่ชาย

“งั้นพวกฉันไม่กวนแล้วนะ พาใบบุญไปว่ายน้ำก่อน อาหารเสร็จแล้วยกไปที่สระว่ายน้ำก็แล้วกัน” คุณใหญ่พูดจบก็หันหลังเดินออกไปจากบริเวณครัวทันที ส่วนเสือกลางและเสือเล็ก เมื่อเห็นว่าเสือใหญ่ถอนทัพแล้ว ทั้งสองจึงผลุนผลันวิ่งตามไปทันที ทิ้งให้สองคนในห้องครัวมองตามด้วยความงุนงง

“อะไรกัน จะไปก็ไป จะมาก็มา” กฤตภาสส่ายหน้า “ต้องทำยังไงต่อ พริกละเอียดแล้ว” ชายหนุ่มร้องถาม

มินตราละมือจากหม้อหุงข้าว ก่อนจะเดินกลับไปตั้งใจทำน้ำพริกลงเรือต่อจนเสร็จ จากนั้นจึงถึงขั้นตอนของการทำข้าวปั้นที่ชายหนุ่มทุ่มสุดตัว ทำสุดฝีมือ เมื่อเตรียมข้าวและวัตถุดิบต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงช่วยกันปั้นข้าวให้ได้ขนาดพอดีคำ

“งั้นหนูแต่งหน้าข้าวปั้นเลยนะคะ” มินตราขออนุญาต

“เอาสิ” กฤตภาสพยักหน้า

มินตรานำปูอัด ยำสาหร่าย ไข่หวาน และไข่กุ้ง มาตกแต่งหน้าข้าวปั้นที่ชายหนุ่มบรรจงปั้นเอาไว้อย่างสวยงาม เมื่อแต่งหน้าข้าวปั้นได้จำนวนหนึ่ง แม่ครัวหัวป่าก์ก็เกิดไอเดียใหม่ขึ้นมา เธอค่อยๆ ตักน้ำพริกลงเรือวางบนข้าวปั้นพอประมาณ จากนั้นจึงนำหมูหวานมาหั่นเป็นลูกเต๋าขนาดเล็ก นำไปวางลงบนข้าวปั้นแล้วโรยหน้าด้วยปลาดุกฟู

“นี่ค่ะ ข้าวปั้นสูตรมินตรา” มินตราหยิบข้าวปั้นชิ้นโบแดงขึ้นมาโชว์ผู้ปกครอง

“หืม สูตรไหนกันเนี่ย” กฤตภาสก้มหน้าลงมองข้าวปั้นสูตรมินตรา พร้อมกับหัวเราะให้แก่ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กสาว ก่อนที่ผู้ปกครองหน้าดุจะเอื้อมมือไปจับมือน้อยๆ ที่ถือข้าวปั้นสูตรเด็ดขึ้นมามองอย่างละเอียด ชายหนุ่มอ้าปากรอ และมินตราเองก็เข้าใจความหมาย เธอรีบป้อนข้าวปั้นชิ้นนั้นให้กฤตภาสได้ลิ้มรสทันที

“เป็นยังไงบ้างคะ” มินตราเงยหน้าขึ้นรอคำตอบจากนักชิมอย่างใจจดใจจ่อ

“ก็...แปลก แตกต่าง แต่ลงตัว เมนูนี้ผ่าน” คุณรองยักคิ้วให้

มินตรายิ้มกว้างอีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มที่ผู้ปกครองเพิ่งจะออกคำสั่งว่าห้ามยิ้มแบบนี้ให้ใคร กฤตภาสยิ้มตอบก่อนจะหันไปตั้งใจปั้นข้าวต่อ

“งั้นมินทำข้าวปั้นหน้าน้ำพริกเยอะๆ เลยดีกว่าค่ะ ทำเผื่อพี่บัวด้วย”

“ฉันจองหนึ่งจาน”

“ได้ค่ะ” มินตราขานรับ ขณะมือยังคงสาละวนอยู่กับจานอาหารตรงหน้า กฤตภาสนั่งอมยิ้มมองจานข้าวที มองหน้าเด็กในปกครองที นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่มีเวลามาทำอะไรที่ผ่อนคลายแบบนี้  ช่วงชีวิตที่ผ่านมามีแต่เรียนและทำงาน หรือไม่ก็ทำกิจกรรมกับพี่น้อง ซึ่งเป็นกิจกรรมแบบผู้ชาย การเข้าครัวทำอาหารอย่างจริงจังครั้งนี้ นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบสามสิบสามย่างสามสิบสี่ปีเลยก็ว่าได้

                ...

“เสือรอง น้ำพริกหวาน” คุณเล็กที่แอบเกาะขอบหน้าต่างห้องครัวเอ่ยกับพี่ชายฝาแฝด

“ฉายาใหม่ ไฉไลกว่าเดิม” คุณหมอกลางหัวเราะ

“ไปครับ ไปรายงานพี่ใหญ่กัน” คุณเล็กค่อยๆ คลานนำคุณหมอกลางออกไป เพื่อไปรายงานสถานการณ์ต่างๆ ให้พี่ชายคนโตฟัง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น