1
พระพาย
บ่ายแก่ๆ ของวันเสาร์กลางเดือนที่เงียบสงัดเป็นธรรมดาของวันพิเศษวันนี้ที่ทุกบ้านจะต่างพร้อมใจกันล้างจานชามให้สะอาด เก็บข้าวของต่างๆ ให้เป็นระเบียบและออกไปสถานที่นัดพบ เพื่อฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ หรือแม้แต่จ้องมองการถ่ายทอดสดการออกสลากกินแบ่งรัฐบาลจากหน้าจอเล็กๆ ของโทรศัพท์มือถือของใครของมัน และร่วมลุ้นไปด้วยกัน แม้สุดท้ายแล้วหนังสือพิมพ์ทุกฉบับจะตีพิมพ์เลขที่ถูกรางวัลทั้งหมดในวันถัดไปอยู่แล้วก็ตาม แต่การได้ร่วมลุ้นรางวัลใหญ่ไปพร้อมๆ กับเพื่อนฝูงญาติมิตรก็ดูจะเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นดี
ในเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ หญิงสาวคนหนึ่งเอื้อมมือเล็กไปเปิดวิทยุเครื่องเก่าสมัยที่ยังใช้ถ่านไฟฉายก้อนโต หน้าตาของหล่อนจิ้มลิ้ม สองแก้มอิ่มเต็มไปด้วยแป้งเด็กสีขาวที่พอกจนหนา กับทรงผมสั้นจู๋เหมือนสาวมาดแมน แต่สวมเสื้อคอกระเช้ากับกางเกงวอร์มขายาวสีแดงยี่ห้อดัง หล่อนนั่งอยู่บนแคร่ไม้สักขนาดใหญ่ที่ปูเสื่อกกไว้ นัยน์ตาเหม่อลอยของหล่อนจ้องมองออกไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย ในขณะที่หญิงชราคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับจานกระเบื้องสีขาวใส่แตงโมหั่นชิ้นพอคำไว้จนเต็ม
“หวยออกล่า” (หวยออกรึยัง)
แกถามหญิงสาวในชุดเสื้อคอกระเช้า ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่หือไม่อือ หล่อนยังคงจ้องมองไปยังทิศเดิม แน่นิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนแกจะยกจานแตงโมที่เย็นฉ่ำไปวางไว้ยังเบื้องหน้าของผู้เป็นหลานสาว
‘อุ๊ยตา’ ‘ป้าตา’ หรือ ‘ป้าตา’ เป็นเจ้าของหอพักเก่าแก่แห่งนี้ ว่ากันว่าก่อนที่มันจะเป็นหอพักสำหรับนักศึกษาเช่นปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่พักชั่วคราวให้กลุ่มสัมปทานป่าไม้มาก่อน ก่อนจะร้างหลังสิ้นสุดสงครามและสัมปทานต่างๆ ถูกยกเลิก ตกทอดมาจนกระทั่งถึงมือแก และดูเหมือนมันจะเป็นสมบัติเพียงชิ้นไม่กี่ชิ้นที่พ่อกับแม่ของแกทิ้งไว้ให้ แกจึงเลือกที่ผืนนี้ไว้สำหรับอยู่อาศัย และยกที่ดินเปล่าที่อยู่ถัดออกไปทางตะวันตกให้น้องชายแก
แรกเริ่มเดิมทีป้าตาก็เพียงทำความสะอาดกับเปลี่ยนไม้เก่าที่ผุพังให้เป็นไม้ใหม่เท่านั้น แล้วเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นชามละห้าบาทสิบบาท และเพราะแกมีฝีมือทางด้านการทำอาหาร ลูกค้าจึงติดใจรสชาติก๋วยเตี๋ยวของแกจนขายดิบขายดี ก่อนจะพบกับสามีแกที่เป็นนายช่างใหญ่จากเมืองหลวง แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ได้เป็นสามีที่ดีสักเท่าไหร่ ครั้นพองานก่อสร้างแล้วเสร็จก็พลันหอบข้าวหอบของทิ้งแกไป หลงเหลือไว้เพียงสิ่งมีชีวิตหนึ่งให้แกอุ้มท้องเล่นไปอีกเก้าเดือน
แต่คนอย่างป้าตาหรือจะยอมให้โชคชะตากลั่นแกล้ง แกยังคงทำงานหนักขึ้นและให้กำเนิดเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แกตั้งชื่อง่ายๆ ว่า ‘สายหยุด’ เลี้ยงดูฟูมฟักให้สาวเจ้าเติบใหญ่ เพียงแต่ยิ่งเติบโตขึ้น สายหยุดยิ่งเนื้อหอมขึ้นเรื่อยๆ ชายใดไม่ว่าจะเป็นชายในหมู่บ้านหรือต่างหมู่บ้านก็มักจะแวะเวียนมาเที่ยวหา จนหัวกระไดบ้านป้าตาไม่แห้ง เป็นอยู่อย่างนั้นจนป้าตาต้องไล่ตะเพิดกลับไปบ้างก็มี กระทั่งสายหยุดอายุได้ 15 ปี หล่อนจึงขอตัวไปหางานทำในเมืองกรุง
ข่าวคราวเงียบหายไปกว่าสิบปี ลูกสาวตัวดีกลับมาพร้อมกับท้องที่โตเกินกว่าจะทำงานไหว มาทราบข่าวภายหลังว่าสายหยุดถูกหลอกให้ทำงานขายบริการ เป็นเครื่องบำเรอกามตั้งแต่เช้ายันเย็นอยู่กว่าหลายขวบปี นานวันเข้าสายหยุดเองก็เริ่มชินชา ใช้ชีวิตอยู่กับงานนั้นอย่างกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปเสียแล้ว กระทั่งเกิดพลาดพลั้งตั้งท้อง
สิ่งเดียวที่สายหยุดคิดได้คือการกำจัดเด็กในท้องออกไปให้ได้เร็วที่สุด เพื่อที่หล่อนจะได้เริ่มงานอย่างไม่มีอะไรติดขัด พยายามกินยาขับครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เด็กในท้องก็ไม่ยอมหลุดออกมาเสียที ถึงขนาดว่าไปนั่งรออยู่ในห้องหมอของคลินิกทำแท้งเถื่อน จะขึ้นเขียงรอมร่ออยู่แล้ว แต่คนไข้เตียงข้างๆ ดันเสียเลือดมาก จนตกเลือดตายคาขาหยั่งที่ตั้งอยู่ห่างจากสายหยุดเพียงผ้าม่านสีเขียวบางๆ กั้นเท่านั้น
สายหยุดต้องหนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากคลินิก ยอมใจให้เด็กน้อยได้เกิดตามความต้องการ และคนเดียวที่สายหยุดคิดถึงในยามลำบากเช่นนี้ก็ดูจะมีเพียงแม่ของหล่อนคนเดียวเท่านั้น ทว่าไม่กี่เดือนหลังจากที่สายหยุดกลับมา หล่อนกลับดูเหมือนไม่ได้สนใจไยดีลูกในท้องเสียเท่าไหร่ อาหารการกินในแต่ละมื้อก็กินในแบบที่อยากจะกิน ดื่มสุราเมามายไปกับเพื่อนฝูงกระทั่งคืนที่หล่อนเจ็บท้องจะคลอด พวกพ้องของหล่อนเป็นคนพาหล่อนไปทิ้งไว้ยังโรงพยาบาลประจำตำบล ก่อนจะแยกย้ายไปและปล่อยให้ป้าตาตามมาเฝ้าทีหลัง
ไม่กี่ชั่วโมงเด็กน้อยก็พลันลืมตาดูโลก เจ้าตัวเล็กเกิดมาด้วยร่างกายที่แข็งแรง เพียงแต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด...เมื่อหมอแจ้งให้ทราบว่าพัฒนาการทางสมองของหนูน้อยจะไม่เป็นไปตามปรกติ ป้าตาโมโหจนแทบทำเอาโรงพยาบาลประจำตำบลแตก แกออกปากชี้หน้าด่าหมอทันทีว่าอย่าให้แกได้พบเจอหมอคนนี้ที่ใดเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นแกจะเอาเลือดหัวหมอออกมาล้างเท้าแก ด้วยโกรธเคืองที่หมอพูดจาพล่อยๆ หาว่าหลานแกจะเป็นเด็กไม่สมประกอบ ทั้งๆ ที่เด็กเองก็เกิดมาท่าทางแข็งแรงแท้ๆ
แม้หมอจะเอ่ยทุกอย่างด้วยหลักการและความเป็นจริงก็ตาม แกก็ยังคงเชื่อว่าหลานสาวของแกจะเป็นปรกติ กระทั่ง ‘สร้อยมาลา’ หรือ ‘หนูสร้อย’ เติบโตขึ้น...
ต้องยอมรับว่าสร้อยมาลาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองช้ากว่าเด็กทั่วๆ ไป กว่าจะตั้งไข่หรือเดินเตาะแตะได้ก็ปาไปเกือบ 5 ขวบแล้ว ไม่ต้องนับเรื่องการพูดจา เพราะกว่าจะเอ่ยได้คำแรกก็เล่นเอาป้าตาท้อไปเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นคืออาการผิดปรกติอย่างเช่น เมื่อมีใครก็ตามเริ่มพูดคุยด้วย สร้อยมาลาจะเงียบกริบไม่ตอบกลับเลยแม้แต่ประโยคเดียว หล่อนจะนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ
คนที่คอยดูแลสร้อยมาลาก็เห็นจะมีแต่ป้าตาคนเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากที่สายหยุดคลอดลูก หล่อนก็เก็บข้าวเก็บของออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ทั้งๆ ที่แผลของหล่อนยังไม่สนิทดีเสียด้วยซ้ำ ป้าตาจำต้องเลิกขายก๋วยเตี๋ยวมาดูแลหลานของแกเต็มเวลา แม้หลายครั้งหลายคราหญิงชราคนนี้จะท้อแท้ต่ออุปสรรคต่างๆ ไปบ้างก็ตาม แต่สิ่งเดียวที่ทำให้แกสู้ต่อดูเหมือนจะเป็นสร้อยมาลา หลานสาวของแกคนนี้นี่แล...
ในความมืดมิดที่มืดที่สุดอาจมีข้อดีตรงที่ เรามักจะมองเห็นแสงสว่างได้ชัดเจนขึ้น แม้มันจะเป็นแสงสว่างเพียงน้อยนิดก็ตาม เมื่อมีข่าวมาว่าในละแวกหมู่บ้านจะมีวิทยาลัยเอกชนมาเปิด ป้าตาจึงปรับเปลี่ยนบ้านเก่าที่มีโครงสร้างเป็นห้องพักอยู่แล้วให้กลายเป็นหอพักไม้สูงสองชั้น เปิดให้นักเรียนนักศึกษาเข้าพักในราคาถูก และเพราะมันอยู่ใกล้กับวิทยาลัย หอพักไม้แห่งนี้จึงเต็มตลอดปี
“ถูกหวย ถูกหวย”
สองมือเล็กของสร้อยมาลาในวัย 20 ปีปรบมือร่วมลุ้นไปกับยาย ในขณะที่ป้าตาหยิบสลากกินแบ่งรัฐบาลกว่าสิบใบและโพยหวยใต้ดินใบเล็กๆ ออกมาจากย่ามสีแดง มันดูจะเป็นความหวังล้มๆ แล้งๆ สำหรับชาวบ้านตาดำๆ ที่ต้องการรวยทางลัด แต่อย่างไรเสีย หากถูกรางวัลขึ้นมาก็ถือว่าได้เงินมาโดยไม่ต้องลงแรงอะไรเลย มิหนำซ้ำสร้อยเองก็ดูจะเป็นตัวนำโชคของยาย เพราะใบไหนที่สร้อยหยิบขึ้นมา ใบนั้นมักจะถูกรางวัลอยู่บ่อยๆ
แต่ยังไม่ทันที่เสียงจากวิทยุจะประกาศออกรางวัล รถมินิแวนสีดำคันใหญ่ก็พลันขับเข้ามาจอดเทียบทางเข้าหอพักเสียแล้ว ป้าตาหรี่ตามองอย่างสงสัย ก่อนจะมั่นใจแล้วว่ารถคันนั้นต้องเป็นรถของคนที่แกรู้จักเป็นแน่
ประตูเลื่อนบานหนาเปิดออกและมันเป็นจริงดังคาด เมื่อชายคนขับรถรีบกุลีกุจอลงมาช่วยพยุงเด็กสาวคนหนึ่งลงจากรถ เธอก้าวลงมาพร้อมกับเรือนผมยาวที่ถักเปียไว้ด้านหลัง สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวสั้นไม่มีลวดลายกับกระโปรงยาวสีเขียวมะกอก เธอสวมรองเท้าผ้าใบคู่ใหญ่สีเดียวกันกับกระโปรง หอบหิ้วเอาสัมภาระมากมายลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สองสามใบ
“โฮะ!! มาละก๋า!” (โอ๊ะ!! มาแล้วเหรอ!)
ยาวดวงตาตะโกนถาม หญิงชราอายุ 65 ปีพลันขยับลงจากแคร่ใหญ่ สอดเท้าเล็กๆ ของแกลงกับรองเท้าแตะสีมอซอเพื่อเดินไปทักทายคนบนรถ แต่ยังไม่ทันที่แกจะเดินไปถึง รถมินิแวนคันใหญ่นั้นก็พลันขับออกไปเสียแล้ว ทิ้งไว้เพียงเด็กสาวอายุ 19 ปีผู้มีศักดิ์เป็นหลานสาวแกอีกคนกับสัมภาระมากมาย ส่วนแม่ของเธอที่นั่งอยู่บนรถตู้ก็จากไปโดยไม่ยอมพูดจาฝากฝังอะไรกับใคร
“โคะ! อั้นล้ำเหลือ ใจ๋ก่อตึงบะมาปากฮอดกูก๊ะ! เอาลูกมาละละก่อไปเอี๊ย!” (โห! อะไรจะขนาดนั้น ไม่คิดจะพูดคุยกับกูหน่อยเหรอ เอาลูกมาทิ้งไว้แล้วก็ไปอย่างนี้เนี่ยนะ!)
ป้าตาก่นด่าตามรถมินิแวนสีดำคันนั้นไปในทันที ทำเอาสาวเจ้าที่ยืนอยู่กับกองข้าวของทำได้เพียงยิ้มแหยๆ เท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ป้าตา” ร่างบางพนมมือไหว้สวัสดี ทำเอาป้าตารีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน
“ป๊ะๆ เข้าไปกิ๋นน้ำกิ๋นท่าก่อน หืยยย~ อี่จวนนี่มันตึง...” (ปะๆ เข้าไปกินน้ำกินท่าก่อน หืยยย~ คนอย่างอีจวนนี่มัน...)
แกเอ่ยกับหลานสาว พลางช่วยหอบข้าวหอบของบางอย่างที่แกพอจะยกไหวเข้ามาวางไว้ข้างแคร่ ริมฝีปากกระจิริดที่ก่นด่าได้เจ็บแสบเสมอมายังคงพร่ำบ่นแม่ของหลานคนนี้ไม่เลิก
“พระพาย!” สร้อยมาลาโบกมือทักทายผู้มีศักดิ์เป็นน้าของหล่อนน้อยๆ หญิงสาวผมเปียก็โบกมือทักทายตอบ
“สร้อย! สบายดีมั้ย”
‘พระพาย’ ถามหลานสาวผู้มีอายุมากกว่าเธอด้วยรอยยิ้มหวาน และมันทำให้สร้อยเสียบกริบลงทันที
“อ้าว เงียบไปซะแล้ว” พระพายเอ่ยต่ออย่างเก้อเขิน เธอไม่ชินกับท่าทางของสร้อยมาลาเสียที แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการตอบสร้อยมาลาจะทำให้อีกฝ่ายเงียบลง แต่ถ้าไม่ตอบกลับไปมันก็ดูจะเสียมารยาทแปลกๆ
“มาๆ กิ๋นน้ำๆ เอ๊าะนี่บะเต้า” (มาๆ กินน้ำๆ อะ นี่แตงโม)
ป้าตาตะโกนเรียกพระพาย พลางตักน้ำเย็นในกระติกน้ำแข็งสีเขียวใกล้ๆ มือใส่แก้วพลาสติกสีสันฉูดฉาด วางเสิร์ฟรอไว้ใกล้ๆ กับจานแตงโมสีแดงสวย แกยังคงจดๆ จ้องๆ กับเสียงจากวิทยุเครื่องเก่าไม่เลิก ในขณะที่ร่างบางพยายามลากกระเป๋าสัมภาระใบที่สองและสามของเธอเข้าไปเก็บไว้ในห้องทำงานของป้าตา
พระพายถึงกับหอบแฮก ก่อนที่เสียงประกาศจากวิทยุจะทำเอาป้าตาร้องเฮ สองมือแกยกชูขึ้นสูงสุด ด้วยแกถูกรางวัลเลขท้ายสองตัวอีกงวดหนึ่งแล้ว
“เย่!!”
หลังจากป้าของเธอกู่ร้องอย่างดีใจไปได้ไม่กี่วินาทีเท่านั้น สร้อยมาลาก็พลันยกมือชูขึ้นรองเฮด้วยอีกคน มันทำเอาพระพายอดอมยิ้มหวานไม่ได้
พระพายเป็นเด็กสาวจากเมืองใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้วเธอก็เป็นเพียงอดีตเด็กบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น เพราะหลังจากที่พ่อและแม่ของพระพายเลิกกัน แม่ก็พาพระพายย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมือง ไม่กี่ปีแม่เธอก็แต่งงานใหม่กับนักธุรกิจมีชื่อ ใช้ชีวิตในบ้านหลังใหญ่โตและมันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเหลือเกิน
พ่อเลี้ยงของพระพายดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ส่งเสียให้เรียนในโรงเรียนดังๆ กระทั่งแม่ของเธอตั้งท้องลูกของเขา พระพายจึงถูกลดบทบาทลงเหลือเพียงลูกเลี้ยงธรรมดาๆ เท่านั้น ในทุกๆ ปิดเทอมใหญ่ เธอจะถูกส่งให้กลับมาอยู่กับพ่อ แต่พ่อเธอมักอ้างว่าที่บ้านคับแคบ พระพายจึงต้องพักอาศัยอยู่บ้านของป้าตา จนเธอรู้สึกว่าป้าตาเป็นแม่คนที่ 2 ของเธอไปแล้ว
“บึ๋ดมะแลงเฮาแป๋งหมูจุ่มบ่อ” (เย็นนี้เราทำจิ้มจุ่มกันมั้ย)
ป้าตาเสนอพลางคว้าปากกาในย่ามสีแดงออกมาจดคำนวณเงินที่แกคาดว่าจะได้รับจากการถูกหวยในครั้งนี้เอาไว้ มิหนำซ้ำยังเขียนชื่อเสียงเรียงนามของแกลงบนสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกรางวัลเลขท้ายสองตัวอีกจำนวนสี่ใบเสียจนเรียบร้อย คาดว่าเย็นนี้ตอนไปตลาดแกคงแวะไปขึ้นเงินรางวัลที่ธนาคาร หรือไม่ก็ร้านเจ๊พิมพ์รับซื้อสลากถูกรางวัลเป็นแน่
“อะไรก็ได้ค่ะ หนูกินได้หมดเลย” พระพายว่า สาวเจ้าก้าวขึ้นมานั่งบนแคร่ใหญ่ คว้าแก้วน้ำใบเล็กขึ้นจิบแก้กระหายน้อยๆ
“เอ้อ ไปหาป้อตั๋วแล่ เตวมากอยเป็นสี่ห้ารอบละ ตั๋วบะมาซักเต้อ” (เอ้อ ไปหาพ่อหนูสิ เดินมามองหาหนูสี่ห้ารอบแล้ว หนูไม่มาสักที)
ป้าตาบอกในระหว่างที่แกยังคงนั่งฟังรางวัลที่ 1 ต่อไป พระพายที่ได้ยินก็พลันขยับลงจากแคร่ไม้ใหญ่ เธอเดินเข้าไปเปลี่ยนรองเท้าแตะที่ชั้นวางรองเท้าด้านในห้องพักสำนักงาน ก่อนจะก้าวออกมาพร้อมกับกระเป๋าใบเล็กของเธอ โบกมือให้สร้อยมาลาผู้ยังคงโบกไม้โบกมือไปมาไม่ยอมเอาลงเสียที
พระพายก้าวผ่านพุ่มโกสนและบ่อน้ำเก่าที่บัดนี้ไม่เปิดให้ตักใช้งานแล้ว แต่ติดตั้งปั๊มน้ำซึ่งดึงน้ำจากบ่อมาใช้เพื่อรดน้ำและล้างทำความสะอาดทั่วไปแทน บนทางดินแคบๆ ที่เธอเดินไปผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน ทำให้ทางเดินนั้นไร้ซึ่งต้นหญ้าต้นเล็กๆ จะมีก็แต่พุ่มไม้ที่ขึ้นอยู่สองข้างทางเท่านั้น
สองมือเล็กของพระพายกำสายกระเป๋าหนังของเธอ ขณะก้าวไปท่ามกลางธรรมชาติของชนบทที่เธอคุ้นเคย เสาไฟฟ้าที่ทำขึ้นจากไม้เก่ามีเส้นสายไฟห้อยระโยงระยาง เชื่อมกันไปยังแต่ละบ้านให้พอใช้งานได้เท่านั้น บางเส้นเต็มไปด้วยเถาตำลึงและวัชพืชที่ขึ้นคลุมเสียจนแทบมองไม่เห็นเค้าเดิมของมัน และเป็นอยู่เช่นนี้มาเนิ่นนานมากแล้ว
“เฮ้อ...” พระพายพ่นถอนหายใจ มันน่าอึดอัดใจในทุกคราที่ต้องก้าวเข้าไปยังบ้านของพ่อ ดูเหมือนพ่อจะไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่มย่ามกับแกมากนัก พลอยทำให้รู้สึกว่าทั้งพ่อและแม่ไม่ได้ต้องการเธอเท่าไหร่ ก่อนร่างบางจะเดินมาหยุดยืนอยู่หน้ารั้วไม้เก่าๆ ที่ทำขึ้นจากไม้แผ่นหนาตอกลงกับไม้ท่อนใหญ่ที่บัดนี้ผุพังไปมากแล้ว
สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นลำไยใหญ่ แม้ใบลำไยจะร่วงลงมากองอยู่กับพื้น แต่ก็ถูกกวาดไปสุมกันไว้เป็นที่เป็นทาง ทำให้บริเวณโดยรอบดูสะอาดสะอ้าน เบื้องหน้าของเธอเป็นลานดินกว้างๆ ถัดออกไปเป็นตลิ่งลาดลงไปยังลำธารสายเล็กๆ บ้านของพ่อเธอตั้งอยู่บริเวณนั้นพอดิบพอดี ประตูด้านหน้าของบ้านหลังนั้นเป็นประตูบานพับ บัดนี้มันเปิดอ้าออก และมีใครบางคนนั่งอยู่บนเติ๋นด้านในหรือชานบ้านใต้ชายคาเพียงลำพัง
“พ่อ...” ริมฝีปากเล็กๆ ของพระพายเอื้อนเอ่ยคำนั้นแผ่วเบา เธอจ้องมองพ่ออยู่อย่างนั้นก่อนจะเดินมุ่งหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ดูเหมือนกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง
“พระพาย...มาละก๋าหล้า” (พระพาย...มาแล้วเหรอลูก)
ครั้นคนเป็นพ่อเห็นลูกสาวก็พลันพรวดพราดลุกขึ้นจากเติ๋นใหญ่ ก้าวเข้าไปหาพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างในทันที ดวงตาเล็กๆ ของพ่อมองสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของลูกตัวเอง ก่อนจะถามคำถามเดิมๆ ที่เคยถามอยู่ตลอด
“ยันต์ตี้ป้อหื้อมีไหน” (ยันต์ที่พอให้อยู่ไหน)
สีหน้าของแกดูแตกตื่นอยู่น้อยๆ กระทั่งพระพายขยับคอเสื้อยืดของเธอลง ให้แกเห็นว่าที่คอระหงสวมสร้อยยันต์เส้นเล็ก มีลักษณะเป็นเส้นฝ้ายสีแดงที่ร้อยตะกรุดทองแดงเก้าดอกไว้
พระพายเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสร้อยยันต์เส้นนี้ ตั้งแต่จำความได้เธอก็สวมมันไว้กับคอเรียบร้อยแล้ว จะเปลี่ยนเป็นเส้นใหม่และยาวขึ้นตามโอกาส หรือในยามที่เส้นเก่าชำรุดไปเท่านั้น ว่ากันว่ามันถูกทำขึ้นมาในรูปแบบคล้ายกับ ‘ยันต์ต่อ 7 แม่’ ซึ่งเป็นเครื่องรางที่มีตะกรุดเจ็ดดอก เพียงแต่สร้อยของพระพายจะมีตะกรุดเก้าดอกเหมือน ‘ยันต์เก้ากุ่ม’ แทน โดยใช้แผ่นทองแดงเก้าแผ่น จารคาถาเก่าแก่ด้วยคาถาล้านนาทั้งหมดแปดคาถาล้อมรอบดวงชะตาของผู้สวมใส่ ส่วนใหญ่มักใช้ในการป้องกันภูตผีปีศาจ จึงมักถูกเรียกขานกันว่า ‘ยันต์กันผี’ หรือบางกรณีใช้เป็นยันต์เสริมสิริมงคล เมตตามหานิยม หรือใช้ในทางแคล้วคลาดก็มี
แต่สำหรับยันต์ของเธอ มันดูจะมีอะไรที่มากมายกว่านั้น ด้วยเพราะพ่อกำชับอยู่ตลอดเวลาว่า ห้ามถอดสร้อยยันต์เส้นนี้ออกโดยเด็ดขาด และเธอไม่เคยขัดคำแก
“ดีละ จะไปถอดออกเน่อหล้า” (ดีแล้ว อย่าถอดออกนะลูก)
แกกำชับหนักแน่นและพระพายก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบ...
ความคิดเห็น |
---|