10
จุดเริ่มต้น
ใบโพรูปทรงกระดิ่งแกว่งไกวไปตามแรงลมที่พัดผ่านมาเบาๆ แซมเสียงนกตัวกระจิ๋วที่เกาะอยู่ตามยอดไม้ใหญ่เหนือหลังคากระเบื้องดินขอแบบเก่า ทอดเงาสีเข้มลงกระทบกับพื้นชายคาที่บัดนี้เต็มไปด้วยรองเท้าผ้าใบกว่าหลายสิบคู่
เสียงพูดคุยภายในโถงเรียนใหญ่ของบ้านอาจารย์เป็นธรรมดังสลับไปกับเสียงหัวเราะชอบใจของเหล่านักศึกษาปี 1 ภาควิชาศิลปกรรมศาสตร์ที่วันนี้เริ่มเรียนวิชาองค์ประกอบศิลป์เป็นวันแรก งานของแต่ละคนที่อาจารย์เป็นธรรมสั่งให้ทำถูกวางลงบนขาตั้งไม้ ให้เจ้าของภาพแต่ละคนอธิบายแนวความคิดเกี่ยวกับภาพของตน ก่อนที่อาจารย์เป็นธรรมจะวิจารณ์และให้คะแนน
“ภาพนี้คือภาพ ‘จุด’ ครับ มันเป็นได้ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด แต่สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง” คิวนำเสนอผลงานของตัวเองต่อสายตาเพื่อนแต่ละคนอย่างยิ่งใหญ่ แม้ภาพบนใจกลางกระดาษร้อยปอนด์ของเขาจะมีจุดเล็กๆ เพียงจุดเดียวที่เกิดขึ้นจากปลายปากกาสีดำก็ตาม
ทุกคนหัวเราะชอบใจครั้นเมื่อคิวพูดจบ ชายเจ้าของภาพยิ้มร่าอย่างภาคภูมิใจในแนวคิดของตัวเอง เขาคาดว่าอาจารย์เป็นธรรมจะประทับใจในแนวคิดอันชาญฉลาดของเขา แม้มันจะเป็นเพียงผลงานที่เพิ่งทำเมื่อคืนนี้สดๆ ร้อนๆ และใช้เวลาทำไม่ถึงสิบวินาที
“น่าสนใจ”
ถ้อยคำอาจารย์เป็นธรรมยิ่งดันใบหน้าคิวให้เชิดขึ้นและบานเป็นจานกระด้ง ภายในหัวของเขาคงคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า หากอาจารย์เป็นธรรมไม่ให้คะแนนเต็ม ก็ต้องให้สัก 99.5 เป็นแน่ ก่อนอาจารย์จะเดินมาเขียนคะแนนลงกรอบกระดาษที่ให้นักศึกษาแต่ละคนทำแยกมาด้วย เนื่องจากไม่ต้องการเขียนคะแนนบนชิ้นงานโดยตรง
คะแนนที่ถูกเขียนด้วยปากกาเคมีสีแดงคือ ‘10’ คะแนน ทว่าคะแนนเต็มของงานแต่ละชิ้นนั้นถูกกำหนดเอาไว้ที่ 100 คะแนน ทุกคนในโถงเรียนต่างพากันหัวเราะก๊ากออกมาเสียงดัง ส่วนคิวก็ทำหน้าตกตะลึงกับคะแนนที่เขาได้รับ ตอนนั้นเองที่อาจารย์เป็นธรรมเริ่มอธิบาย
“นักเรียนเคยเห็นหนอนผีเสื้อรึเปล่า”
อาจารย์เป็นธรรมเอ่ยถาม นักศึกษาแต่ละคนบ้างพยักหน้าตอบ บ้างก็ตอบขึ้นพร้อมๆ กัน
“แรกเริ่มเดิมทีมันอาจเป็นเพียงหนอนตัวเล็กๆ กว่ามันจะเติบใหญ่เป็นหนอนตัวเท่าหัวแม่มือได้ มันต้องกิน กิน และกิน หลบซ่อนจากผู้ล่า แสงแดด มนุษย์ กว่าจะโตเป็นหนอนตัวใหญ่ได้ หาใช่เพียงอยากจะกินก็กิน อยากจะโตก็โต”
ชายชราว่าพลางวาดรูปหนอนตัวเล็กๆ ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้น เพียงแกจับดินสอแท่งเล็กๆ ปาดไปมาบนพื้นกระดาษสีขาว ไม่กี่วินาทีต่อมาก็ปรากฏขึ้นเป็นรูปหนอนตัวเล็กๆ หนึ่งตัวที่เหมือนจริงราวกับมีหนอนเป็นๆ มาอยู่บนกระดาษ
“จนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัวของมันแล้ว มันก็จะชักใยหุ้มตัวเอง บ่มเพาะตัวเอง เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่มันเคยเป็น ก่อนจะออกจากดักแด้แล้วกลายเป็นสิ่งใหม่” อาจารย์เป็นธรรมอธิบายให้เด็กนักศึกษาเห็นภาพ ทำเอาเด็กหน้าใหม่ตาใสบางคนรับรู้ได้ถึงสิ่งที่อาจารย์ต้องการจะสื่อ
“ผมไม่ได้บอกว่างานคุณไม่ดี แต่กว่าศิลปินชั้นครูแต่ละท่านจะคลี่คลายงานของตัวเองสู่นามธรรมได้นั้น พวกท่านต้องบ่มเพาะตัวตนของตัวเองมานานแค่ไหน ท่านผ่านอะไรมาบ้าง เพราะพวกท่านเหล่านั้นเต็มอิ่มกับด้านรูปธรรมแล้ว...” ชายชราว่าก่อนจะเติมจุดลงไปยังท้ายเลข 10 อีกครั้ง เพื่อตอกย้ำว่านี่คือ 10 คะแนนจริงๆ
“ผมให้เป็นค่าปากกา กับความกล้าของคุณก็แล้วกัน คุณคิว”
สิ้นคำอาจารย์เป็นธรรม ทุกคนต่างหัวเราะชอบใจกันใหญ่ คิวเองก็เช่นกัน เพราะหากถามถึงใจลึกๆ ของนายคิวแล้ว เขาก็รู้ตัวดีว่างานชิ้นนี้จะถูกวิจารณ์ออกมาในทิศทางไหน
อาจารย์เป็นธรรมหัวเราะพลางตบมือลงกับบ่าหนาของคิวเบาๆ อย่างปลอบใจ เพราะวันนี้เขาได้รับบทเรียนที่แสนยิ่งใหญ่ ว่าก่อนจะทะเล่อทะล่าเอางานแอ็บสแตรกต์แบบงูๆ ปลาๆ มาเล่นกับอาจารย์ชั้นครู ก็ต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ดีเสียก่อน
แต่ในขณะที่ทุกคนต่างหัวเราะกันสนุกสนาน ดูเหมือนจะมีเพียงพระพายเท่านั้นที่ไม่ได้สนใจการให้คะแนนเหล่านี้เลย เนื่องจากเธอเอาแต่หันมองเคนที่นั่งห่างออกไปประมาณสองสามเมตร เขาเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เหม่อลอยออกจากทุกสิ่งรอบๆ ตัว แตกต่างจากครั้งแรกที่เจอกันในวันรายงานตัว และช่วงก่อนที่จะถูกสาวชุดแดงตามมา เขาไม่ได้สนใจเลยเสียด้วยซ้ำว่าทุกคนรอบตัวสนุกสนานกันแค่ไหน มันดูผิดวิสัยไปหมด
“พระพาย...” โรสสะกิดเรียกเธอ เพราะถึงตาของพระพายแล้วที่จะต้องลุกขึ้นไปนำเสนอผลงานของตัวเอง
เจ้าของร่างบางถึงกับพรวดพราดลุกขึ้นยืน ก้าวเดินมาหยุดยืนแข็งทื่อ ทำตัวเกร็งอย่างกับเป็นท่อนไม้ต่อหน้าเพื่อนๆ คนอื่นๆ
“คือว่า...วาดรูปครุฑค่ะ จริงๆ ไอเดียมาจากชื่อของพี่ผู้ชายที่อยู่ที่นี่ ชื่อ ‘ไวษวาหะ’ ที่แปลว่าพาหนะของพระวิษณุ...” พระพายอธิบายไปอย่างเก้อเขิน เธอบิดตัวไปมาน้อยๆ อย่างเขินอายทุกคราที่ต้องนำเสนองานหน้าชั้นเรียน ยิ่งเมื่อรับรู้ว่าชายเจ้าของชื่อยืนมองเธออยู่จากที่ไกลๆ ด้วยก็ยิ่งทำเอาเธอประหม่า
ภาพวาดของพระพายเป็นรูปครุฑที่วาดด้วยดินสอ แต่งแต้มสีสันด้วยสีน้ำจางๆ ทำให้ผลงานที่ออกมากลายเป็นภาพครุฑสีหวานที่ให้อารมณ์เหมือนไอศกรีมเรนโบว์ อาจารย์เป็นธรรมถึงกับอมยิ้มอย่างเอ็นดู ด้วยรู้จักไวษวาหะมาก่อนอยู่แล้ว
แต่เพื่อนเธอหลายๆ คนต่างสงสัยในใจอยู่ครามครัน ด้วยไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อนี้มาก่อน จะเป็นรุ่นพี่หรือญาติของอาจารย์เป็นธรรมก็ไม่เคยรู้จัก พวกเขาจึงเพียงรับฟังคำวิจารณ์ผลงานของอาจารย์ไปเท่านั้น ไม่ได้สอบถามหรือตามหาเจ้าของชื่อนั้นเลยสักนิด จะมีก็แต่โรสที่เริ่มทำตัวเลิ่กลั่กอยู่ไม่สุข
ครั้นเมื่อสิ้นสุดการให้คะแนนภาพสุดท้าย การเรียนการสอนภายในวันนี้จึงจบลงไปได้ด้วยดี และทุกคนต่างมีการบ้านชิ้นใหม่ที่ต้องกลับไปทำ อาจารย์เป็นธรรมแจกแจงรายละเอียดของงานให้นักศึกษาทุกคน เนื่องจากวิชานี้เป็นวิชาองค์ประกอบศิลป์ ทุกคนจึงต้องมีงานส่งอาทิตย์ละหนึ่งชิ้นงาน โดยทุกๆ วันศุกร์จะมีการนำเสนอผลงานและวิจารณ์เพื่อให้คะแนนเช่นเดียวกับวันนี้
พระพายและโรสต่างช่วยกันเก็บของก่อนที่โรสจะขอตัวกลับก่อน เนื่องจากคนที่บ้านของหล่อนมารับแล้ว พระพายจึงต้องหอบหิ้วกระดานรองวาดกลับไปยังจักรยานคันเก่าเพียงคนเดียว เตรียมตัวจะปั่นจักรยานกลับไปยังหอพักของเธอ แต่ก็ไม่ลืมว่าจะต้องแวะซื้อขนมเกลือให้สร้อยมาลาเสียก่อน
“พระพาย! กลับดีๆ นะ” คิวที่เดินผ่านมาพร้อมกับเคนตะโกนบอกลา พลางยกมือหนาข้างหนึ่งขึ้นโบกบ๊ายบาย
พระพายโบกมือตอบ ก่อนจะเห็นว่าเคนดูหน้าตาซีดเซียวลงกว่าเดิมมาก สาวเจ้าจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เคนเป็นอะไรรึเปล่า”
“เออ เราก็ว่ามันท่าจะไม่ไหวแล้วว่ะ ไปหาหมอเหอะ” คิวเสนอ แต่เคนเพียงส่ายหน้าน้อยๆ เท่านั้น
พระพายที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดแม้จะอยากบอกความจริงออกไป แต่ก็ยังคงหวั่นกลัวต่อสิ่งที่จะตามมา ใบหน้างามแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเธอเป็นห่วงเขาเหลือเกิน กระทั่งทำให้ใครบางคนที่ยืนมองเธออยู่ไกลๆ เริ่มหวั่นใจไปด้วย
“เคน...ถ้าไม่ไหวทักหาเรานะ คิวก็ได้ อยู่หอเดียวกันใช่มั้ย...” พระพายบอก เพราะริมฝีปากของเคนนั้นซีดเผือดเสียจนแทบกลายเป็นสีม่วงอ่อน ดวงตาเขาแดงขึ้นน้อยๆ จนทำให้พระพายเริ่มใจเสีย หัวใจดวงเล็กบีบแน่น เธอหวั่นกลัวสิ่งที่รอเคนอยู่ด้านนอกอยู่มาก เนื่องจากสิ่งนั้นทำให้สภาพร่างกายของเคนเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้
สาวเจ้าเหลือบไปมองยังด้านหน้าทางเข้าบ้านของอาจารย์ ก็เห็นร่างนั้นยังคงยืนรออยู่ที่เดิม เนื้อตัวหญิงสาวในชุดเสื้อผ้าฝ้ายสีแดงเปียกปอนชุ่มไปด้วยหยดน้ำ มันหยดลงผืนดินเบื้องล่างหยดแล้วหยดเล่า ดวงตาสีแดงก่ำของหล่อนเหลือกขึ้นมองตอบพระพายอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนที่ร่างกายนั้นจะเริ่มสั่นผับ
วินาทีนั้นเองที่อยู่ๆ สายลมแรงก็พลันพัดผ่านมา มันโถมลงกับผืนพสุธาเสียจนทำเอาฝุ่นตลบ ทุกคนในที่แห่งนี้จำต้องรีบเดินหลบเข้าไปยังใต้ชายคาบ้านของอาจารย์เป็นธรรม พระพายเองก็เช่นกัน เธอยกมือเรียวขึ้นป้องปิดใบหน้าตัวเอง พลางรีบหันหน้าเข้าหากำแพงอย่างตกอกตกใจ ก่อนที่เจ้าของกายาใหญ่จะพลันปรากฏกายป้องร่างเธอ
“คะ...คุณไวษวาหะ...” ครั้นเมื่อสายลมลดแรงลง ร่างบางก็พลันเงยหน้าขึ้นมองเขา บุรุษร่างใหญ่ที่บัดนี้ยืนป้องร่างงามเล็กน้อย แต่ใบหน้าคมกลับหันไปยังทางเข้านั้นอยู่ตลอดเวลา
พระพายรับรู้ได้ในทันทีว่าดวงวิญญาณดวงนั้นหายไปจากบริเวณทางเข้าบ้านอาจารย์เป็นธรรมเรียบร้อยแล้ว สาวเจ้าจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นในทันที พลางดีใจมากเหลือเกินที่เจ้าที่ไล่หล่อนไปได้ แม้ความจริงแล้วจะเป็นเพราะปีกกล้าของไวษวาหะก็ตาม
ตอนนี้เองที่พระพายรับรู้ได้ถึงแผ่นอกกว้างของไวษวาหะที่อยู่ใกล้เธอเสียจนใบหูเล็กได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้นแรงถี่รัว ความหวาดกลัวเมื่อครู่พลันอันตรธานหายไปในชั่วพริบตา
เหตุใดถึงได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจได้ถึงขนาดนี้เชียวนะ...พระพายได้แต่คิดอยู่ในใจ ในขณะที่ทุกคนค่อยๆ เดินผ่านเธอไปอย่างกับว่าไม่มีใครมองเห็นเธอ
“เป็นอะไรรึเปล่า” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถาม ทำเอาใบหน้างามแดงแจ๋
เหตุใดเธอจึงไม่ชินกับเสียงทุ้มต่ำของเขาเสียทีนะ
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ” พระพายรีบส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะขยับออกจากอ้อมแขนของชายร่างใหญ่
“พระพาย! เรากลับแล้วนะ” ตอนนั้นเองที่เคนเป็นคนบอกลาเธออีกครั้ง และคิวโบกมือลาอีกครา ดูเหมือนทั้งสองจะมองเห็นพระพายแล้ว เพียงไม่มีใครมองเห็นไวษวาหะเลยสักคน พวกเขาพากันเดินไปยังลานจอดรถด้านหน้า คิวขึ้นคร่อมจักรยานยนต์ของตัวเองและเคนเป็นคนซ้อนอยู่ด้านหลัง
“อย่าลืมนะเคน! คิวด้วย ขับรถดีๆ นะ!” พระพายตะโกนย้ำ กระทั่งคิวขับรถออกไปลับสายตาเธอ
ตอนนี้ดูเหมือนจะเหลือเพียงพระพายกับชายตัวโตที่ยืนอยู่เบื้องหน้า อีกฝ่ายยังคงยืนอยู่อย่างนั้นและไม่แม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใด
“เอ่อ...กลับก่อนนะคะ คุณ...เอ่อ...พี่ไวษวาหะ” พระพายรีบว่า แม้จะไม่มั่นใจว่าเธอจะต้องเรียกเขาว่าอะไรกันแน่ ครั้นจะเอ่ยด้วยนามเพียงอย่างเดียวก็ดูห้วนจนเกินไป ครั้นจะเอ่ยว่าคุณก็ฟังดูแปลกๆ จึงคิดเองเออเองว่าคนตัวใหญ่ต้องแก่กว่าเธอเป็นแน่ จึงได้เอ่ยเรียกท่านไปเช่นนั้น
“พระพาย” ชายเบื้องหน้าเป็นฝ่ายเรียกนามเธอกลับ
“ขา...” เธอขานรับอย่างเก้อเขิน
“เรียกข้าเพียงไวษวาหะเถิด” ริมฝีปากเข้มเอ่ย เขารับรู้ว่าพระพายยังคงเป็นกังวลเกี่ยวกับการเรียกขานนามของตัวเอง
“จะดีเหรอคะ!” เพียงแต่พระพายยังคงไม่แน่ใจ ริมฝีปากอิ่มเอ่ยถามย้ำ และท่านพยักหน้ารับแทนคำตอบ
“ก็ได้...งั้น...กลับก่อนนะคะ” แม้พระพายจะรับคำ แต่ก็ยังเก้อเขินเกินกว่าจะเอ่ยเรียกนามท่านด้วยชื่อเปล่าๆ อยู่ดี จึงตัดสินใจแจ้งเพียงว่าเธอจะกลับไปเพียงเท่านั้น เพราะต้องแวะตลาดเพื่อหาซื้อขนมเกลือให้สร้อยมาลาอีก เกรงว่าหากไปช้ากว่านี้ตลาดจะวายไปเสียก่อน
บรรยากาศรอบๆ เงียบลง แม้ไวษวาหะจะรู้สึกว่ายังอยากอยู่กับเธอต่อ แต่จะเอ่ยขอให้เธออยู่ต่อมันก็ดูจะเอาแต่ใจเกินไปสักหน่อย ในขณะที่สาวร่างบางหันหลังกลับ สองเท้าก้าวเดินห่างจากอกเขาไปทีละนิด ทำเอาหัวใจดวงโตของท่านรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
เท้าเล็กๆ ถีบขาตั้งเหล็กเก่าของจักรยานขึ้น ก่อนจะเกิดเสียงโซ่ที่ห้อยลงน้อยๆ ตีกับตัวหุ้มโซ่ขึ้นเบาๆ
วินาทีนั้นพระพายหันใบหน้างามกลับมามองยังชายร่างใหญ่ แล้วยกมือขึ้นโบกมือลา
“พระพาย!”
แต่ยังไม่ทันที่พระพายจะได้ก้าวขาออกไปไหน ไวษวาหะก็พลันร้องเรียกหา
“ขะ...ขา!!” สาวเจ้าถึงกับสะดุ้งโหยง สองมือเธอกำมือจับของจักรยานแน่นสนิท
“ให้ข้าเดินไปส่งได้หรือเปล่า” เจ้าของกายาใหญ่เอ่ยถาม ทำเอาพระพายหน้าแดงแจ๋อีกครั้ง เธอได้แต่เพียงยืนกะพริบตาอยู่ปริบๆ เกิดมาก็เพิ่งจะมีชายขอเดินไปส่งนี่แล
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ...หนู...คือหนูต้องไปแวะซื้อของก่อน” แต่สาวเจ้ากลับเลือกที่จะปฏิเสธ พระพายบอกอีกฝ่ายไปตามตรง เพราะเธอไม่อยากให้เขาเบื่อที่จะต้องมาตามส่งเธอซื้อของ ยิ่งของนั้นเป็นขนมด้วยแล้ว ภายในหัวของพระพายขาวโพลนไปหมด แม้ในหัวใจลึกๆ แล้วจะรู้สึกอยากเชื่อมสัมพันธ์กับท่านก็ตาม
“เช่นนั้นให้ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าได้หรือเปล่า” ไวษวาหะยังคงยืนกรานจะไปด้วย ไม่รู้ว่าจะทำให้สาวเจ้ารำคาญใจหรือไม่ แต่อย่างน้อยที่สุดมันอาจพอยื้อเวลาให้ท่านได้อยู่กับเธอนานขึ้น สักเพียงนิดก็ยังดี
แน่นอนว่าคำถามนี้ทำเอาทุกอย่างเงียบกริบอีกครั้ง แก้มสองข้างของพระพายแดงแจ๋ จนกระทั่งมือเรียวจำต้องลูบแก้มอิ่มของตัวเอง มันร้อนฉ่าแตกต่างจากมือเธอที่เย็นเฉียบ หัวใจดวงเล็กเท่ากำปั้นของเธอมันเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมาด้านนอกอยู่แล้ว
“กะ...ก็ได้...”
สาวเจ้าตอบตกลง เสียงของเธอขาดกระท่อนกระแท่นอย่างทำตัวไม่ถูก แต่พระพายกลับมีข้อแม้อยู่ข้อหนึ่ง
“แต่ไวษวาหะต้องสวมรองเท้าด้วยนะ!!” เธอตะโกนบอกเสียงดังทีเดียว
ความคิดเห็น |
---|