8

ฤทธิ์เจ้าพ่อ

บทที่ ๘

ฤทธิ์เจ้าพ่อ

 

ฝนตกหนักจนถึงรุ่งสาง เสียงหยดน้ำกระทบหลังคาใบตองตึงดังเปาะแปะ ก่อนจะร่วงลงสู่พื้นชวนให้หลับสบาย

ดาหวันขยับผ้าห่มคลุมร่างแม่ที่นอนหลับสนิทให้มิดชิด ก่อนจะเดินออกจากห้องนอนเพื่อเริ่มภารกิจในวันใหม่ เธอล้างหน้าล้างตา หุงหาอาหารตามปกติ จัดสำรับให้แม่ เตรียมตัวไปทำงานที่โรงบ่มยาสูบ และคิดว่าต้องแวะกลับมาดูอาการของแม่อีกครั้งในตอนเที่ยง

สถานการณ์เช่นนี้ เธอยังไม่อยากทิ้งให้ทองใบอยู่คนเดียว แต่ขืนจะทิ้งงาน รายได้ก็จะขาดหาย เหลือเงินอีกไม่มาก เธอก็จะได้เงินก้อนพามารดาไปหาหมอในตัวอำเภอได้แล้ว

ดวงตะวันถูกเมฆดำจับไปขัง บรรยากาศรอบตัวมัวขุ่น ฝนเริ่มซาแต่ยังมีเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ ดาหวันบอกลาแม่ แกะเชือกที่มัดมือ แล้วจึงหยิบร่มเดินออกจากบ้าน มุ่งตรงไปยังโรงบ่มยาสูบ

ทางเดินเจิ่งนองไปด้วยน้ำขัง ดาหวันค่อยๆ ย่ำเท้าอย่างระวัง ร่มคันเก่าคอยกันหยดน้ำที่ร่วงผล็อย บางเวลาลมพัดแรงเธอต้องใช้แรงจับบังคับคันร่มให้มั่น ไม่ให้ปลิวไปตามแรงลม

เดินออกซอย ข้ามถนนแล้วเลี้ยวขวาไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ก็ถึงประตูโรงบ่มยาสูบ อยู่ๆ ก็นึกได้ว่าเมื่อครู่เธอยังไม่ได้ยกหม้อที่ต้มไข่ลงจากเตาไฟ ดาหวันเริ่มลังเล ใจหนึ่งคิดว่าถ่านในเตาเหลือเล็กน้อย คงไม่ทำให้หม้อไหม้ แต่อีกใจกลับพะวง หากว่ามันไหม้เป็นควันโขมงขึ้นมา แม่เธอที่นอนหลับอยู่คงได้ตายเหมือนหนูนาที่ถูกรมควันในรู

ตัดสินใจหมุนตัวกลับ ยอมเสียเวลาอีกนิด ดีกว่าเสียดายที่ไม่คิดทำอะไรให้รอบคอบ เดินย้อนกลับไปตามถนนฉ่ำน้ำ เมื่อไปถึงหน้าบ้าน ดาหวันก็ต้องแปลกใจ เพราะเห็นคนกำลังจับกลุ่มคุยกันหน้าประตูรั้ว เมื่อเห็นหญิงสาว พวกคนที่มุงดูต่างตกใจ แตกฮือไปคนละทิศละทาง

“มาทำอะไรที่บ้านข้า” เธอถาม แต่ไม่มีใครตอบ ดาหวันทิ้งร่มแล้วรีบวิ่งขึ้นเรือน มุ่งตรงไปที่ห้องนอน

ใจหายเมื่อเปิดประตูไปไม่เห็นร่างทองใบ 

“แม่ อยู่ไหน” 

เธอวิ่งตามหาทั่วบ้าน แต่ก็ไม่พบ 

 

ดาวเหนือเปิดประตูบ้าน เจอลมเย็นพัดเข้ามากระทบผิวจนต้องห่อไหล่ ก่อนจะตัดสินใจวิ่งไปยังใต้ถุนยุ้งฉาง เอื้อมมือเข้าไปในรังไก่เพื่อหาไข่มาทำเป็นอาหารเช้า แม่ไก่ส่งเสียงกะต๊ากๆ แต่อากาศที่เย็นทำให้มันยังหลับตาไม่ยอมขัดขืน หยิบไข่ได้สามฟอง กำลังจะเดินกลับไปที่โรงครัว สายตาก็สังเกตเห็นว่ามีคนอยู่กันเต็มหน้าบ้านทองใบ

เด็กน้อยหวั่นใจว่าจะเกิดเรื่องไม่ดี จึงวางไข่ไว้ที่แคร่ เดินออกมาที่ถนนดาวเหนือก็ต้องตกใจสุดขีด เพราะเห็นพ่อหลวงกำลังให้ลูกน้องแบกทองใบออกมาจากรั้วบ้าน 

หญิงชราตาเบิกโพลง สภาพอิดโรยตัวสั่น พยายามดิ้นรนขอร้องให้ทุกคนปล่อยตัวเธอ

“ปล่อยข้า พ่อหลวง จะจับข้าไปไหน”

พ่อหลวงไม่ตอบ เพราะทุกอย่างทำด้วยความเงียบเชียบ จังหวะที่ผ่านหน้าเขาชายตามายังเด็กหญิง ก่อนจะมองไปทางอื่นเสีย

ทองใบร้องโอดโอย บอกว่าทั้งเจ็บทั้งหนาว ขอกลับไปที่ห้องนอน แต่ไม่มีใครสนใจ 

“เขาจะพายายทองใบไปที่ไหน” ที่สุดเด็กน้อยก็ตัดสินใจถามคนที่มามุงดู

“เขาจะเอาไปตัดผีพรายที่หอเจ้าพ่อคำสะหลี มึงจะไปดูก็รีบตามมา” ชาวบ้านบอกก่อนจะเดินตามขบวนแห่ร่างนางขี้โรค

ดาวเหนือหน้าซีด รีบวิ่งเข้าไปยังบ้านของทองใบ ซึ่งขณะนี้เหลือเพียงคนที่จับกลุ่มพูดคุยหน้ารั้วบ้าน นึกได้ว่าป่านนี้ดาหวันคงออกไปทำงานตามปกติ กำลังคิดจะวิ่งไปแจ้งข่าวที่โรงบ่มยาสูบ ก็ได้ยินเสียงน้าสาวโวยวายบนเรือน จึงรีบตะโกนบอกทันที

“น้าดา เกิดเรื่องแล้ว”

ดาหวันชะงัก เมื่อได้ยินเสียงเรียกจึงรีบลงมาหาเด็กน้อย

“แม่กูอยู่ไหนอีดาว”

“พ่อหลวงกำลังพายายทองใบไปที่หอเจ้าพ่อคำสะหลี บอกว่าจะเอาไปตัดพราย”

หัวใจหญิงสาวแทบร่วงลงพื้น เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ 

‘ไอ้สุชาติ ถือเอาอำนาจความเป็นผู้ใหญ่บ้านพาแม่กูออกจากเรือนโดยไม่บอกกล่าว ทั้งๆ ที่เมื่อวานรับปากกูซะดิบดี’

ดาหวันตัดสินใจวิ่งไปตามถนน มุ่งตรงไปยังศาลเจ้าพ่อ ดาวเหนือตามไปทันที

เมฆบนฟ้ายังคงดำทะมึน ฝนที่ตั้งเค้าตกลงมาอีกครั้ง หยดน้ำสาดลงร่างลูกสาวอีผีพรายที่วิ่งตามกลุ่มของพ่อหลวงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

บนศาลาแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ศรัทธาในตัวเจ้าพ่อ ขณะที่ร่างทรงนั่งเคี้ยวหมากอย่างเคร่งขรึม 

อัมพรรู้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าเกิดเรื่องร้อนเรื่องร้าย อีทองใบผีพรายบุกอาละวาดไปทั่วหมู่บ้าน หลอกคนเฒ่าที่อยู่บ้านคนเดียว หลอกละอ่อนน้อยจนไข้ขึ้น พ่อหลวงสุชาติไม่สบายใจ จึงมาขอไหว้วานเธอทั้งคืน

‘พรุ่งนี้ข้าจะไปจับตัวอีทองใบมา ขอเจ้าพ่อเปิ้นช่วยทำพิธีตัดพรายให้อีทองใบเสีย ชาวบ้านสันทรายจะได้สบายใจ’ พ่อหลวงเป็นห่วง เพราะใกล้ถึงงานบุญปอยหลวงแล้ว หากมีข่าวผีพรายในหมู่บ้าน คงไม่มีใครอยากมาร่วมงานบุญ

พวกเขาจึงร่วมมือกันบุกเข้าไปจับตัวทองใบ พามาให้พ่อเจ้าช่วยฆ่าผีในร่างมัน ส่วนเรื่องเงิน ทุกคนจะช่วยกันออกกันคนละเล็กคนละน้อยเป็นค่าทำพิธีให้

เสียงฟ้าร้องดังจนศาลาหอทรงสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อเจ้าพ่อประทับร่าง เจ้าพ่อก็นั่งชันเข่า จ้องเขม็งไปที่บันไดทางขึ้น ที่สุดก็เห็นกลุ่มคนเดินเข้ามา น้อยโหน่งยิ้มกริ่ม รีบยกมือไหว้และรายงาน

“อีผีพรายมาแล้วพ่อเจ้า” 

เจ้าพ่อคายน้ำหมากลงกระโถน มองร่างนางทองใบที่ใช้คนสี่คนแบกหาม พอขึ้นมาบนศาลาพวกเขาก็จับอีผีพรายคุกเข่าต่อหน้าเจ้าพ่อ

ฝนตกหนักขึ้น ลมแรงจนกระดาษเงินกระดาษทองที่ตกแต่งบนหิ้งเจ้าพ่อปลิวสะบัด บางครั้งลมหอบเอาน้ำฝนเข้ามาจนชาวบ้านต้องยกมือบัง บ้างก็ว่าคงเป็นสิ่งอัปมงคลจากผีร้าย ขอให้เจ้าพ่อคำสะหลีช่วยปัดเป่า เรื่องไม่ดีเหล่านี้จะได้หมดไป

“เจ้าพ่อคำสะหลี เมตตาลูก อีทองใบคนนี้ไม่ได้คิดร้ายกับใคร” หญิงชรายกมือที่ซูบผอมขึ้นมาพนม นัยน์ตาสั่นระริก น้ำตาไหลเป็นทาง หน้าซีดเหมือนไก่ต้มไหว้ผีไม่มีผิด

เจ้าพ่อไม่พูดจา แต่ลุกขึ้นแล้วเอื้อมไปหยิบมีดเล่มสั้นบนหิ้ง ชักออกจากฝักแล้ววาดฟ้อนไปในอากาศ

‘มีดตัดพราย’ พ่อหลวงสุชาติเห็นก็รู้ รีบยกมือไหว้และบอกทุกคนว่าเจ้าพ่อคำสะหลีกำลังจะเริ่มพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ 

“ข้าจะใช้มีดหมอมาตัดผีพรายที่อยู่ในร่างของมัน” เจ้าพ่อเอ่ยเสียงมีอำนาจ

“อย่าทำอะไรข้าเลย ข้ากลัวแล้ว” หญิงชราเบิกตาโพลงเมื่อเห็นของมีคม 

เจ้าพ่อตวัดแขนฟ้อนแอ่นงาม จับมีดวนไปมาตรงหน้านางผีร้าย ผู้คนบนศาลาต่างยกมือไหว้

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนแข่งสายฝนดังมาจากหัวบันไดศาลา 

“ไอ้สุชาติ! เอาแม่กูลงมาเดี๋ยวนี้”  

ดาหวันวิ่งขึ้นมาบนศาลา พ่อหลวงจึงหันไปสั่งลูกน้อง 

“จับอีดาหวันไว้ อย่าให้มันทำลายพิธีได้!”

ไอ้อิ่นและชายฉกรรจ์อีกสามรีบเข้าตะครุบร่างและพาหญิงสาวไปที่มุมศาลา ดาวเหนือยืนตัวสั่น เพราะไม่รู้จะช่วยน้าสาวได้เช่นไร

“ปล่อยกู ไอ้พวกสารเลว!” ดาหวันโวยวาย

“อีดาหวัน”

ได้ยินเสียงคุ้นเคย ทองใบก็ใจชื้น แต่เมื่อเห็นว่าคนอื่นกำลังทำร้ายลูกสาว ความเจ็บปวดก็มากขึ้นเป็นทวีคูณ 

“ปล่อยลูกข้าเถอะ พ่อหลวง” 

“ไอ้สุชาติ ไอ้ชาติหมา มึงจับแม่กูมาทำไม ไอ้คนไม่มีสัจจะ” 

คำด่าทอของดาหวันทำให้ผู้นำหมู่บ้านหมดความอดทน เขาลุกขึ้นปรี่ไปตบหน้าหญิงสาวที่ถูกล็อกแขนอยู่

เผียะ!

ดาหวันหน้าหันตามแรงตบ สุชาติชี้หน้าเอาเรื่อง 

“อีลูกผีพราย กูกำลังช่วยแม่มึงอยู่นะ”

“กูบอกแล้วว่ากูจะพาแม่มาหาเจ้าพ่อเอง พวกมึงไม่ต้องมาเสือกพาแม่กูออกมาจากบ้าน” ดาหวันยังสู้

“อวดดี มึงรู้หรือเปล่าว่าเมื่อคืนแม่มึงทำอะไรไว้” สุชาติจ้องเขม็ง

ชาวบ้านมองดาหวันเหมือนเห็นตัวประหลาด

“แม่มึงไปหลอกคนทั่วหมู่บ้าน ทั้งคนแก่และเด็ก รวมๆ แล้วเป็นสิบ จนทุกคนมาขอร้องให้กูช่วย”

“ไม่จริง แม่กูโดนใส่ร้าย เมื่อคืนกูเอาเชือกมัดมือแม่กู ไปไหนไม่ได้แน่นอน” หญิงสาวเถียงทั้งน้ำตา

“มึงคิดว่าแค่เชือกธรรมดามันจะมัดผีพรายไว้ได้รึ” เจ้าพ่อคำสะหลีที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมา ก่อนจะขยับเข้าใกล้ร่างของทองใบ

“อีอัมพร มึงจะทำอะไรแม่กู” ดาหวันเสียงสั่น

ผีเจ้านายไม่สนใจคำถาม ชูมีดขึ้นฟ้าและจี้ลงไปที่กลางศีรษะของหญิงชรา

“กรี๊ด!” ทองใบร้องลั่นจนเจ็บเข้าไปในดวงใจของลูกสาว

“แม่!” 

มีดหมอที่ปักอยู่ไม่ได้ทะลุหนังเข้าไป แต่แรงกดก็แรงพอที่ทำให้รู้สึกเจ็บ

“บอกมา มึงเป็นผีตนใด ถึงได้มาสิงร่างคนบ้านกู” เจ้าพ่อตะโกนถามร่างที่นั่งอยู่

“ข้าก็คืออีทองใบ ไม่ได้เป็นผี” คนร่างผอมตอบ

เจ้าพ่อกดข้อมือแรงอีก ทองใบร้องเสียงหลง คราวนี้เริ่มมีเลือดออกจากศีรษะ

“พวกมึง ปล่อยแม่กูเดี๋ยวนี้!” ดาหวันพยายามสะบัดตัว แต่แรงชายยังฉุดรั้งไว้ 

“อดทนไว้อีดาหวัน เจ้าพ่อกำลังจะช่วยแม่มึงไล่ผีพรายตนนั้นออกไป” ผู้คนพยายามปลอบใจ

เจ้าพ่อพยักหน้าให้น้อยโหน่งหยิบขันน้ำที่ตั้งอยู่ข้างๆ มาเทลงบนร่างอีผีพราย น้ำในขันบวกกับอากาศเย็นทำให้ทองใบตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า 

“กรี๊ด ข้าหนาวๆ”

“แม่ข้าไม่สบาย ปล่อยแม่ข้า” ดาหวันร้องไห้ มีทั้งลมและฝน แม่เธอใส่เสื้อคอกระเช้าตัวบาง ผ้าสักผืนก็ไม่ได้ห่มทับ แล้วตอนนี้พวกเขายังเอาน้ำเย็นราดตัวอีก

“อีผีพรายตนนี้ ถ้ามึงไม่ยอมออก ข้าจะเอาน้ำมนต์ราด เอามีดหมอปักหัวสูต่อ จะยอมออกไปไหม”

“ข้าไม่ใช่ผี ปล่อยข้าไป” คนป่วยยังดื้อดึง แต่ก็ดูอ่อนแรงไปมากโข

“หยุดได้แล้ว แม่ข้าไม่ได้เป็นผีพราย ปล่อยแม่ข้าไป” ดาหวันอ้อนวอนทั้งน้ำตา

“อีดาหวัน มึงหุบปาก เจ้าพ่อจะช่วยมึงแท้ๆ ยังแหกปากโวยวาย จะทำพิธีเสียหาย” ชาวบ้านคนหนึ่งทนไม่ไหว หันมาตำหนิ

“พ่อหลวง เอาอีดาหวันไปมัดกลางฝนดีกว่า มันไม่น่าสงสารเลยสักนิด ข้าว่ามันอาจจะเป็นผีพรายเหมือนแม่มันแล้วก็ได้ ระวังไว้นะทุกคน อย่าไปเข้าใกล้มัน” อีกคนเริ่มสมทบ จนคนบนศาลาเริ่มเห็นด้วย

ทองใบเห็นลูกสาวแล้วก็น้ำตารินไหล กรรมอันใดหนอ เกิดกับตัวเองยังไม่พอ เวลานี้กำลังจะลามถึงลูก ดาหวันกำลังจะถูกจับมัด ถูกทุกคนรังเกียจ บางคนหยิบอะไรได้ก็ปาใส่ ยากที่ผู้เป็นแม่จะทนไหว ที่สุดจึงตะโกนดังลั่น

“พอเถอะ ข้ายอมแล้ว” 

ทุกคนบนศาลาเงียบกริบ

นางทองใบเอ่ยต่อ “ข้าเป็นผีพรายจากบ้านดงหลวง จะยอมออกแล้ว” 

เสียงนั้นดังฟังชัด บ้านดงหลวงอยู่ติดชายแดนพม่า ผีพรายตัวนี้มาไกลแท้

ทุกคนต่างตกตะลึงจนได้ยินเสียงฝนตกชัดเจนขึ้น เจ้าพ่อและพ่อหลวงต่างยิ้ม ภารกิจสำเร็จ ผิดกับดาหวันที่รู้ดีว่ามารดากำลังโกหก

“ไม่จริง!”

“อีดาหวัน เห็นกับตา ได้ยินกับหูแล้วยังไม่เชื่ออีกว่าในตัวแม่มึงมันมีผีพราย” พ่อหลวงตวาด

นางขี้โรคกลั้นน้ำตา ไม่ยอมร้องไห้ หันไปมองลูกสาว

“ข้ากลืนกินร่างอีเฒ่าทองใบมานานแล้ว อีดาหวันมันไม่รู้เรื่องหรอก” 

“ดี งั้นสูก็ออกร่างมันไปเสีย” เจ้าพ่อสั่งและใช้มีดหมอชี้หน้า

ทองใบตัวสั่น แต่หาได้สั่นกลัวไม่ เธอเพียงแค่หนาว ใช่ ไม่มีผีห่าตนใดในร่างที่เหลือแต่กระดูกนี้หรอก ที่พูดไปก็เพื่อให้ลูกปลอดภัย เธอคิดจะโกหกต่อด้วยการกรีดร้องและโหยหวนว่าไม่มีผีพรายแล้ว แต่ทุกอย่างมันจะจบแน่หรือ

อยู่มาอายุก็เกือบจะห้าสิบแล้ว เธอเองก็เหมือนพันธะให้ลูกสาวต้องเป็นห่วง กลับไปก็คงไม่พ้นป่วยไข้ นอนซม ดีไม่ดี กลางค่ำกลางคืนอาจจะละเมอ บุกไปกินกบกินเขียดให้เขารังเกียจอีก

ยังไงปัญหาก็คงไม่จบ

หญิงชราสบตาลูกสาว คิดว่าดาหวันลูกรักก็คงรู้

‘ลูกเอ๋ย...แก้วตาดวงใจของแม่ แม่รู้ว่าสูนั้นแข็งแกร่งและสูจะต้องรอดต่อไป ส่วนแม่ สวรรค์เมืองบนคงให้บุญมาแค่นี้ และนี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว’

“ถ้าให้ข้าออกร่างนี้ไป อีเฒ่าขี้โรคนี่มันก็ต้องตายไปกับข้าอยู่ดี”

พูดจบ หญิงชราก็คว้ามีดหมอตรงหน้าขึ้นปาดคอตัวเอง

ฉับ!

เลือดทองใบกระเซ็น คนทั้งศาลาแตกฮือ 

“แม่!” ดาหวันร้องลั่น รู้สึกเหมือนดวงใจถูกฉีกไม่มีชิ้นดี จังหวะที่ทุกคนมัวแต่ตะลึง ดาหวันก็สะบัดตัวออกมาได้ เธอปรี่ไปที่ร่างของมารดา

ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ดาหวันกลับรู้สึกว่าแต่ละวินาทีช่างยาวนานและแสนทรมานที่สุด ร่างแม่นอนหายใจรวยรินและช้าลงเรื่อยๆ

“แม่ ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”

นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ คุณพระคุณเจ้า ผีปู่ผีย่า ความดีที่เธอเคยทำมา ขอยอมแลกทุกอย่าง ขอเพียงให้แม่ไม่ตาย

“แม่จ๋า แม่ตื่นมาก่อน”

ดวงตาของทองใบค่อยๆ ปิดลง น้ำตาไหลรินอาบแก้ม แต่แปลกที่ริมฝีปากกลับยิ้มเหมือนต้องการจะบอกว่า ลูกเอ๋ย ไม่ต้องห่วง นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว อะไรที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดีเสมอ

เลือดจากคอแดงฉานเจิ่งนองไปทั่วศาลา เจ้าพ่อคำสะหลีทำตัวไม่ถูก แต่พยายามเก็บอาการ ที่สุดก็ลุกขึ้นและบอกทุกคน

“ผีพรายตนนี้มันยอมออกร่างอีทองใบ แต่มันฆ่าอีทองใบไปด้วย”

“ใครก็ได้ พาแม่ข้าไปหาหมอที” ดาหวันร้องขอ แต่ทุกคนก็เอาแต่เงียบ “พ่อหลวง ผีมันออกไปแล้ว ช่วยแม่ข้าทีเถอะ”

พ่อหลวงได้สติ รีบเข้าไปดูอาการ เขาใช้มืออังปลายจมูกทองใบ ก็พบว่าไม่มีลมหายใจแล้ว

“ผีมันพาแม่มึงไปด้วยแล้วอีดาหวัน”

“แม่” ดาหวันตะโกนลั่น ประคองมารดาขึ้นกอดแนบอก เลือดเลอะเต็มตัว แต่เธอไม่รังเกียจสักนิด เธอไม่มีวันเชื่อว่ามีผีในร่างแม่ ที่แม่ทำแบบนี้ก็เพื่อให้เธอปลอดภัย

“ฮือๆ แม่ แล้วข้าจะอยู่กับใคร” 

แม้ว่าทองใบจะเป็นคนแก่ขี้โรค แต่ดาหวันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นภาระสักนิด ไม่มีอีกแล้ว คนที่คอยเป็นห่วง คอยพัดวี 

‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่เคยเมตตาข้าเลย’

“เอาละ ผีพรายมันจากหมู่บ้านเราไปแล้ว หวังว่าทุกคนคงสบายใจ” 

พ่อหลวงประกาศก้อง คนในศาลาโล่งใจ ต่างโห่ร้องหัวเราะดังกลบเสียงร้องไห้ของดาหวันผู้น่าสงสาร

 

ฝนหยุดตกแล้ว แต่เมฆดำยังไม่จางหาย บุญคงนั่งพิงหมอนอยู่ในบ้าน หยิบยาหม่องมาทานวดแขนขาให้สบายตัว

ดาวเหนือและเดือนเด่นไปช่วยงานศพทองใบตั้งแต่ช่วงบ่าย ชายชราสั่งเป็นนักเป็นหนาว่าให้ช่วยงานอย่างเต็มที่

นึกเห็นใจดาหวัน เพราะเขาเองก็เป็นเพื่อนบ้านกันมานาน และที่สำคัญตั้งแต่เดินเหินไปไหนไม่สะดวก ดาหวันก็คอยเป็นห่วงและคอยช่วยเหลือเป็นประจำ

ได้เห็นน้ำใจกันก็ตอนทุกข์ยาก พอรู้เรื่องว่าผีพรายปาดคอทองใบบนศาลาเจ้าพ่อ จึงสั่งให้หลานสาวทั้งสองไปช่วยงานกันอย่างเต็มที่

มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาในบ้าน บุญคงหันไปมองก็พบว่าเป็นสมบัติ สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก 

“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามถึงบรรยากาศที่งานศพ

“ไม่มีใครกล้ามาช่วยงานเลย คงกลัวจะติดเชื้อผีพราย” ชายหนุ่มเล่าตามจริง ทั้งงานมีแต่พี่น้องของทองใบไม่ถึงสิบคน ส่วนผู้ชายนั้นแทบไม่มี 

สมบัติเองก็เสียใจไม่น้อยที่ไปช่วยทองใบและดาหวันที่ศาลาเจ้าพ่อไม่ทัน พอไปถึงเขาก็ด่ากราดทุกคนที่มีส่วนให้ทองใบตาย ตั้งแต่ผู้ใหญ่สุชาติ หรือแม้แต่อัมพร

‘พ่อหลวงปล่อยให้ลูกบ้านตัวเองตายต่อหน้าต่อตาได้ยังไง’

‘ข้าไม่ได้ฆ่ามัน อีทองใบมันถูกผีพรายสิงเลยฆ่าตัวเอง’ พ่อหลวงเท้าสะเอวเถียง

‘แต่พ่อหลวงเป็นคนลากป้าทองใบออกมาจากบ้าน แถมอีอัมพรก็เป็นคนเอามีดมายื่นให้ เหมือนบังคับให้ป้าทองใบฆ่าตัวตาย’

“ไอ้สมบัติ มึงกำลังสบประมาทเจ้าพ่อ” น้อยโหน่งเถียง

‘เออ ข้าสบประมาท ถ้าเจ้าพ่อไม่พอใจ ก็ไปทรงร่างอีอัมพรแล้วมาต่อยกับข้าก็ได้ มาเลย!’ สมบัติถลกแขนเสื้อเดินเข้าหา แต่น้อยโหน่งและอัมพรกลับถอยหนี

‘พอ พอได้แล้ว เวลานี้พวกเราควรช่วยกันพาศพนังทองใบกลับไปที่เรือนมันดีกว่า’ พ่อหลวงรีบห้าม

สมบัติจึงได้สติ รีบช่วยกันนำศพกลับบ้าน ดาหวันร้องไห้เช่นคนบ้าจนเขาเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร

“หากงานศพขาดเหลืออะไรก็บอกข้านะ” บุญคงเอ่ยหลังเห็นสมบัติเอาแต่เหม่อ “เรียกไอ้วันและคนงานคนอื่นไปช่วยงานด้วย ส่วนวัวล้อของข้าจะเอาขนอะไรก็ตามใจ ข้ายินดี”

ชายชราหยิบซองบางอย่างออกมาจากใต้หมอน “เงินนี้ข้าฝากเอาไปร่วมทำบุญกับอีดาหวันมันด้วยนะ”

สมบัติรับมันมาด้วยความซึ้งใจ บุญคงผู้มีทิฐิสูงยังเห็นแก่ความเป็นคนมากกว่าคนในหมู่บ้านที่ดันเชื่อผีมากกว่าความเป็นธรรม

 

ดาหวันนั่งจ้องโลงไม้ตรงหน้า น้ำตาไหลแทบไม่เคยเหือดหาย ด้านในร่างแม่นอนยกมือไหว้ อุดอู้อยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม 

เป็นห่วงเหลือเกิน แม่จะร้อนไหมหนอ...จะหายใจออกหรือเปล่า แผลที่คอจะยังมีเลือดไหลอยู่ไหม

จะเปิดดูโลงบ่อยๆ ก็อาจจะเป็นที่อุจาดตาของคนอื่น จึงขอนั่งใกล้ๆ ไม่ยอมห่าง

“น้าดา กินข้าวก่อน ข้าเตรียมไว้ที่โรงครัวให้แล้ว” สาวน้อยดาวเหนือเดินมาบอก สีหน้าของน้าสาวซีดเซียวเพราะไม่มีอารมณ์อันใดจะมาแต่งแต้มตัวเองให้งามเด่น

“กูยังไม่หิว พวกมึงกินกันเถอะ” เธอบอก 

“น้าดา ไม่กินข้าวเดี๋ยวไม่มีแรงนะ”

เมื่อดาหวันไม่พูดต่อ เด็กน้อยจึงถอยลงเรือนมาเสีย สวนทางกับสมบัติที่กำลังขึ้นบันไดมา สบตากับเด็กน้อยก็รู้ว่าอาการของดาหวันไม่สู้ดีนัก

“อีดาวบอกว่าสูไม่ยอมกินข้าวตั้งแต่เช้าแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ 

“ข้ายังไม่หิว”

“กินเสียบ้าง คืนนี้สูต้องรับแขกอีกนะ” เขาพยายามเตือนสติ

ดาหวันเงียบ

“ความจริงป้าทองใบแกอาจกำลังยิ้มและมองสูอยู่ก็ได้นะ ดาหวัน”

มีเสียงสะอื้นไห้จากหญิงสาวอีกครา “แม่ข้าเจ็บปวด ทรมานขนาดนั้น จะยิ้มอยู่ได้ไง ฮือๆ”

“ข้าหมายถึงตอนนี้ป้าทองใบไม่เจ็บไม่ปวดอีกแล้ว คงกำลังลอยขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า สูคิดดู หากป้าทองใบยังอยู่ คงร้องโอดโอยเจ็บในข้อในกระดูก หรือไม่คืนนี้ก็อาจระแวงว่าตัวเองจะเป็นผีพรายเหมือนที่เขาลือกัน”

ดาหวันเช็ดน้ำตา ที่สมบัติพูดก็มีส่วนถูกไม่น้อย

“สูต้องเข้มแข็งเพื่อแม่สูสิ” 

เธอหันมายิ้มให้ชายหนุ่ม สมบัติยื่นซองเงินที่บุญคงฝากมามอบให้

“ลุงคงฝากมาทำบุญและบอกว่าขาดเหลืออะไรก็บอกมาได้เลย แกจะช่วยทุกอย่าง”

ดาหวันยกมือไหว้ อนุโมทนาบุญกับบุญคง ก่อนจะหันไปมองกรอบรูปของมารดา

“แม่จ๋า เอาทางข้างหน้าเป็นไปนะ ไม่ต้องห่วงข้า ข้าจะอยู่ให้ได้”

 

งานศพคืนแรก พ่อหลวงสุชาติจำเป็นต้องเกณฑ์ลูกบ้านมาร่วมงานเพื่อไม่ให้ถูกครหาว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทองใบตาย เขายังโพนทะนาไปทั่วว่านางทองใบหมดทุกข์หมดโศกเพราะการร่วมแรงร่วมใจของทุกคน จากนี้ไปบ้านสันทรายจะสงบสุข ไม่มีเรื่องผีเรื่องสางมากวนใจ 

ดาหวันและสมบัติไม่ยอมทักทายสุชาติ สร้างความไม่พอใจให้แก่คนร่วมงาน 

“จองหองนัก อยากรู้นักว่าต่อไปมันจะอยู่บ้านสันทรายได้ยังไง” ไอ้อิ่นแบะปากมองดาหวันที่ทำตัวหยิ่งใส่

“เฮ้อ! ข้าเป็นคนช่วยแม่มันให้ไปดีแท้ๆ แต่เหมือนทำคุณบูชาโทษ” พ่อหลวงเอ่ยสีหน้าเศร้าจนคนที่ได้ยินต่างเห็นใจ

“เอาไว้ข้าจะเตือนอีดาหวันให้เอง” บัวเรียวอาสา เธอกับดาหวันรู้จักกันตั้งแต่เล็ก คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำให้ดาหวันเข้าใจในตัวผู้ใหญ่บ้าน

หลังเสร็จพิธี แขกเหรื่อเริ่มพากันกลับ เหลือแต่ชาวบ้านที่ชวนกันตั้งวงเล่นไพ่ บัวเรียวถือโอกาสนี้เปิดอกคุยกับดาหวัน

“อย่างที่ข้าบอก มึงไม่ต้องโกรธพ่อหลวงหรอก ทุกอย่างที่เขาทำเพราะอยากแก้ปัญหาให้คนในหมู่บ้าน” 

“พี่บัวเรียว ข้าไม่ได้โกรธที่พ่อหลวงพาแม่ข้าไปตัดพราย แต่ข้าโกรธที่พ่อหลวงมาลักพาตัวแม่ข้าไปโดยไม่บอกข้า ตัวเองเป็นผู้นำหมู่บ้าน ทำตัวอย่างกับโจรป่าห้าร้อย”

“อีดาหวัน!” บัวเรียวเหลียวซ้ายแลขวา เกรงว่าจะมีคนได้ยิน “พูดจาแบบนี้มึงจะอยู่บ้านสันทรายลำบากนะ” 

“ดาหวันมันก็พูดถูกแล้วพี่บัวเรียว เป็นข้าข้าก็ไม่ยอม ป้าทองใบนอนอยู่ในบ้านดีๆ ก็ลากพาเขาไปตาย อีอัมพรอีกคน อีเจ้าเล่ห์ มันคงอยากได้เงินจากชาวบ้านจนตัวสั่น เพราะรอเงินจากดาหวันไม่ได้” ชายหนุ่มที่นั่งฟังด้วยเอ่ย

บัวเรียวอ้าปากค้าง “ไอ้สมบัติ พูดจาระวังปาก ระวังเจ้าพ่อท่านจะมาหักคอ”

“ข้าไม่กลัว ถ้ากลัวข้าไม่พูดหรอก”

คนแก่กว่าส่ายหน้า รีบขอตัวกลับ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวให้ปวดหัว

“ขอบคุณนะสมบัติที่คอยช่วยข้า” ดาหวันเอ่ย

“ข้ายินดี ไม่ว่าวันไหนที่สูสุขหรือเศร้า ข้าจะอยู่ข้างๆ เสมอ” เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง

“ตอนนี้ข้าก็ตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ไปคงต้องพึ่งสู” หญิงสาวเสียงสั่น

“สูต้องเข้มแข็ง นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าต้องการ”

ดาหวันผงกหัวเหมือนรับรู้

“ไปพักผ่อนเสีย ข้าจะไปเล่นไพ่กับเขาเสียหน่อย พรุ่งนี้เช้ามืดข้าจะมาช่วยนึ่งข้าว” เขาเอ่ย 

ดาหวันรับคำ มองหน้าสมบัติอีกครั้ง บางทีสิ่งที่แม่พูดไว้อาจจะจริง เธอควรตกลงปลงใจกับสมบัติเสีย เพราะไม่มีใครดีเท่าเขาอีกแล้ว

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น