7

อีผีพราย

บทที่ ๗

อีผีพราย

 

เมื่อดาวเหนือล้างจานชามเสร็จ จึงเดินมาหาเดือนเด่นที่กำลังตั้งใจย่ำเท้านวดหลังให้บุญคงซึ่งผล็อยหลับไปนานแล้ว

“ตา ข้าจะให้อีเดือนมันขึ้นไปนอนก่อนนะ” เธอกระซิบ บุญคงพยักหน้า ดาวเหนือจึงบอกให้น้องสาวรีบอาบน้ำและเตรียมตัวเข้านอนเสีย

แม้ว่าบุญคงจะโชคร้ายขาหัก เดินไม่ได้เป็นปกติเหมือนเดิม แต่ดาวเหนือกลับคิดว่าเป็นโชคดีของเธอและน้องสาว เพราะบุญคงเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด น้อยมากที่จะดุด่าว่ากล่าว จะมีเรื่องอารมณ์ไม่ดีก็หากได้ยินใครเอ่ยชื่อแสงหล้าเท่านั้น

ดาวเหนือเริ่มไม่อยากให้แม่มาหาที่นี่ ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี เธอมีหน้าที่เตรียมข้าวปลาอาหาร ดูแลบ้านช่องให้เรียบร้อย ส่วนเดือนเด่นก็คอยช่วยนวดให้บุญคงหายปวดเมื่อย อีกไม่กี่สัปดาห์จะถึงงานบุญปอยหลวง ถ้าบุญคงอารมณ์ดีเช่นนี้ เธอกับน้องคงขออนุญาตออกไปเที่ยวงานที่วัดได้

เมื่อเดือนเด่นเข้านอน ดาวเหนือก็หยิบถังน้ำมาที่ท่าน้ำตามภารกิจที่ต้องทำ 

อากาศเย็น เดือนสว่างแจ้งรอบตัวเป็นสีหม่นจนไม่ต้องพึ่งแสงตะเกียง สาวน้อยชะเง้อมองไปที่บ้านของดาหวันที่มืดมิด ช่วงนี้เห็นว่าดาหวันได้งานใหม่ในโรงบ่มยาสูบ เพราะต้องเร่งเก็บเงินพาแม่ไปพบหมอในตัวอำเภอ ดาวเหนือเอาใจช่วย อย่างน้อยการที่ดาหวันเป็นคนดีก็คงจะทำให้ทองใบหายป่วยในเร็ววัน 

ตักน้ำได้เต็มถัง กำลังจะหมุนตัวกลับ ดาวเหนือก็ตกใจเมื่อใครคนหนึ่งยืนขวางหน้า ไม่ทันได้เอ่ยทักทายใดๆ เขาก็ยกมือขึ้นมาจุปาก

“ไม่เจอกันนานเลยนะ ยายขี้แย” 

“พี่ดาวโจร” สาวน้อยมองไปในแววตาที่ซ่อนความลับ

“ขอบคุณที่จำได้” เขายิ้มหวานจนเห็นลักยิ้ม “มา ฉันช่วย” ร่างใหญ่ไม่รีรอที่จะยกถังน้ำไปเติมในโอ่ง

“แล้วพี่หายไปไหนมา” ดาวเหนือสงสัย

“บอกแล้วไงว่าฉันเป็นโจร จะออกมาก็ต่อเมื่อมาปล้นเท่านั้น”

ในใจสาวน้อยไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ “แล้ววันนี้ไปปล้นมาแล้วเหรอ”

เขาหันมามองหน้าแล้วยิ้มเป็นประกาย “นี่ไง”

เขายื่นอะไรบางอย่างยื่นให้และบอกให้เธอรีบรับไว้ ดาวเหนือคลี่มันออกมาดู เป็นผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็ก 

“ผ้าเช็ดหน้า สวยใช่มั้ยล่า” 

“เอามาให้ฉันทำไม”

“ก็...เธอขี้แย ฉันจึงเอามาให้ไว้ซับน้ำตาไงเล่า” เขาเอ่ยยียวน ก่อนจะหยิบถังไปตักน้ำเหมือนรู้หน้าที่ 

ดาวเหนือมองค้อน “ฉันไม่ได้ขี้แยเหมือนแต่ก่อนแล้ว”

“จริงเหรอ ไม่อยากเชื่อเลยนะเนี่ย”

ดาวเหนือค่อยยิ้มออกมาได้ ทันใดนั้นเอง สายตาของเด็กหนุ่มก็สะดุดกับอะไรบางอย่างที่กำลังข้ามสะพาน ดาวเหนือรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงหันไปมองตามเขา

 

ไก่ตัวแรกยังไม่ทันขัน ดาหวันก็ลืมตาตื่นแล้ว

ล้างหน้าล้างตา ทำธุระเสร็จสรรพ เตรียมของกินให้แม่ทั้งข้าวเช้าและข้าวเที่ยง จะออกบ้านก็ล่ำลากันตามประสา เพราะกว่าจะกลับมาก็คงหลังตะวันตกดิน

โรงบ่มยาสูบอยู่ไม่ไกลจากบ้านเธอเท่าไร ออกจากซอย เลี้ยวขวาไปตามถนน ก่อนถึงวัดจะพบโรงบ่มยาสูบตั้งเรียงรายอยู่ทางซ้ายมือเป็นที่สะดุดตา ช่วงนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยวใบยาสูบเพื่อนำมาเข้าเตาบ่ม จึงเป็นช่วงเวลาทองที่เธอต้องหาเงินพาแม่ไปหาหมอให้เร็วที่สุด

นางสาวดาหวันตั้งใจทำงาน เถ้าแก่เองยังชื่นชมว่าเธอมีความอดทน ตรงเวลา ใบยาสูบปลูกเสร็จก็จะนำมาเสียบไม้ แล้วนำเข้าไปอบในโรงบ่มเพื่อทำให้ใบแห้งเป็นเวลาหลายวัน หญิงสาวมีหน้าที่ถอดมันออกจากไม้เพื่อบรรจุลงในกระสอบ แล้วส่งไปยังขั้นตอนต่อไปเพื่อผลิตเป็นยามวน

เวลาพักกลางวัน คนอื่นๆ ชวนกันล้อมวงกินข้าว แต่ดาหวันต้องแกะห่อข้าวมากินเพียงคนเดียวในมุมเงียบๆ 

ทุกคนรังเกียจลูกอีผีพราย หากเข้าใกล้ เชื้อผีอาจจะติดต่อ ดาหวันไม่สน แม่เธอไม่ใช่ผี เป็นแค่โรคบางอย่างที่ต้องรอให้หมอในเมืองพิสูจน์

กำลังจะแกะห่อข้าวก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองมาแต่ไกล ทุกคนในโรงบ่มต่างหันไปมอง เห็นเด็กหญิงร่างเล็กวิ่งลัดทุ่งหญ้ามาหา

“อีดาว” ดาหวันแปลกใจที่เห็นเด็กน้อยข้างบ้านมาหาถึงที่นี่ “มึงมาทำไม”

ดาวเหนือหยุดพักเหนื่อยหอบ พอปรับลมหายใจได้ก็เข้าไปดึงแขนน้าสาว แล้วกระซิบบอกเรื่องสำคัญ

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

ดาหวันยังไม่เข้าใจ “เรื่องอะไร”

“พ่อหลวงพาคนมาหาที่บ้าน บอกว่าเมื่อคืนยายทองใบไปขโมยกินไก่ของพ่อหลวง”

หัวใจดาหวันร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม หูอื้อ เริ่มตาลาย “มึงว่ายังไงนะ”

“รีบกลับบ้านก่อนเถอะ” ดาวเหนือรีบคว้าข้อมือดาหวันให้รีบวิ่ง

แต่ละก้าวของหญิงสาวช่างแสนยาวนาน เป็นไปไม่ได้ เมื่อคืนแม่ของเธอหลับสนิท มั่นใจว่าไม่ได้ออกไปไหน

พ่อหลวงสุชาติยืนเท้าสะเอวอยู่หน้าบันได ตรงหน้าเป็นซากสัตว์ปีกสามตัวที่ถูกหักคอ ไก่ชนทั้งหมดรักเหมือนลูก ทำเงินให้เขาได้เป็นหมื่นเป็นแสน ไม่นึกเลยว่าเพราะมีผีพรายในหมู่บ้าน จะทำให้ไก่ราคาแพงของตนพบกับความฉิบหาย

คิดแล้วก็โมโห ตื่นเช้ามาวันนี้ตั้งใจจะไปให้ข้าวให้น้ำไก่ชนแสนรัก กลับพบแต่ความว่างเปล่า สุชาติใจหาย แรกทีเดียวคิดว่าจะเป็นเสือจากเชิงดอยออกมาขโมยกิน แต่ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะไม่เห็นรอยเท้าสัตว์ แต่กลับมีรอยเท้าคน!

หรือจะเป็นอย่างที่ลูกบ้านลือกัน บ้านสันทรายมีผีพรายออกอาละวาด รู้อย่างนี้เขาควรเชื่อคำที่นังแสงหล้าบอกไว้บ้างก็ดี...

ถึงไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องพิสูจน์ กินข้าวเช้าเสร็จจึงพาลูกน้องบุกมาที่บ้านของหญิงชราขี้โรคเพื่อไปตรวจดูความผิดปกติ 

บ้านของนางทองใบเงียบเชียบ เห็นคนอื่นบอกว่าลูกสาวมันออกไปทำงานที่โรงบ่มยาสูบตั้งแต่เช้า ส่วนอีขี้โรคคงนอนซมอยู่บนบ้าน สุชาติและลูกน้องแยกย้ายกันสำรวจรอบๆ กระทั่งเห็นรอยเลือดเป็นทางยาวไปที่เล้าไก่ เดินตามไปจึงพบซากไก่ชนของตนนอนเรียงราย สภาพถูกหักคอ เด็ดปีก ดึงขา น่าสยดสยอง พ่อหลวงบ้านน้ำตาตก ทั้งเสียใจและเสียดาย ความโกรธแค้นทำให้เขาต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด

สุชาติบุกขึ้นเรือน พบนางทองใบนอนนิ่ง หลับเหมือนคนตาย เรียกตั้งนานกว่ามันจะยอมตื่น พูดจาก็บอกเพียงว่าไม่รู้เรื่อง เขาจึงลากนางผีพรายออกมาดูซากไก่หน้าบันได

“ข้าสาบานพ่อหลวง ว่าข้าไม่ได้ทำ” ทองใบยกมือเหี่ยวๆ ร้องขอ 

“ไก่ของข้าหาเงินได้เป็นแสน มีค่ากว่าชีวิตของสูด้วยซ้ำ” ยิ่งพูดยิ่งเจ็บใจ เคยมีนายตำรวจมาขอซื้อ ให้ราคาเกือบหมื่นห้า แต่เขาไม่ขาย เพราะเชื่อว่ามันยังหาเงินได้มากกว่านี้ แต่ทุกอย่างก็ต้องพังทลายเพราะอีผีพรายในหมู่บ้าน

“พ่อหลวง มีอะไรกันคะ” ในที่สุดดาหวันก็มาถึง 

สุชาติหันไปมองหน้าอย่างไม่สบอารมณ์

“เมื่อคืนแม่มึงไปขโมยไก่ชนกูมากิน” ผู้นำหมู่บ้านพูดพร้อมกับชี้ให้ดูซากไก่

ดาหวันขมวดคิ้ว “แม่ข้าจะไปบ้านพ่อหลวงได้ยังไง”

“หึ...อีดาหวัน มึงลืมไปแล้วเหรอว่าทุ่งนาริมน้ำฝาง แม่มึงยังไปจับเขียดกินเลย” คำพูดพ่อหลวงทำให้คนที่ได้ยินเห็นด้วย “แล้วแค่บ้านกู ทำไมอีผีทองใบจะไปไม่ได้ กูอยากจะเอามีดฟันคอมึงนักอีทองใบ” ไม่พูดเปล่า สุชาติยังชูมีดขู่ 

ทองใบหลับตาปี๋ ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว ดาหวันรีบเอาตัวเข้าไปป้อง

“พ่อหลวง ไก่สามตัวแม่ข้าจะหอบมาที่บ้านทำไม เหตุใดไม่กินที่บ้านพ่อหลวงเลย” ลูกสาวพยายามแย้ง “ต้องมีคนใส่ร้ายแม่ข้าแน่ๆ”

“ใครอยากจะมายุ่งกับมึงและแม่ ยอมรับความจริงเถอะอีดาหวันว่าผีในร่างแม่มึงมันห้ามความหิวไม่ได้” ไอ้อิ่นลูกน้องผู้ใหญ่บ้านโวยวาย

คนละแวกนั้นที่ได้ยินเสียงเอะอะต่างพากันมามุงดู สายตาที่จ้องมองสองแม่ลูกมีแต่ความรังเกียจ ความจริงเป็นเช่นไรยังไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนตัดสินไปแล้วว่าพวกเธอเป็นตัวอัปมงคล

อาจจะผิดที่น่ารังเกียจ หรือไม่ก็ผิดที่เกิดมาเป็นคนจน

“ข้ายืนยัน แม่ข้านอนกับข้าทั้งคืน ไม่ได้ออกไปไหน” ดาหวันเถียง “ตื่นเช้ามาแม่ข้าก็ยังอยู่ข้างๆ”

“มึงเป็นลูกก็ต้องเข้าข้างมันอยู่แล้ว” พ่อหลวงเสียงดังขึ้นอีก 

“ต้องมีคนแกล้งไปจับไก่พ่อหลวงมา แล้วมาโยนความผิดให้แม่ข้า”

เกิดเสียงฮือฮาเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเริ่มเห็นด้วย แต่อีกฝ่ายก็ว่าอีดาหวันปากแข็ง หลักฐานอยู่ตรงหน้ายังไม่ยอมรับผิด ดาวเหนือซึ่งนั่งเงียบอยู่นาน เมื่อได้ยินสิ่งที่ดาหวันเอ่ยก็เริ่มนึกอะไรออก

เมื่อคืนเธอเห็นใครบางคนเดินเข้าบ้านดาหวัน

“พ่อหลวง เมื่อคืนข้าเห็น...” เด็กน้อยเอ่ยด้วยความตื่นเต้น

“มันไม่ใช่เรื่องของเด็ก อีดาว” สุชาติส่งสายตาตำหนิ

“แต่ข้าเห็นจริงๆ ว่ามีคนเข้าไปที่บ้านน้าดาหวัน”

เสียงฮือฮาดังขึ้น ต่างจับกลุ่มถกเถียงกัน 

“มันก็เป็นอีทองใบนั่นแหละที่จับไก่ข้ากลับมา” พ่อหลวงยังไม่เชื่อคำพูดของเด็ก

“ไม่ใช่ยายทองใบแน่นอน เพราะที่ข้าเห็นเป็นผู้ชาย”

“อีดาว มึงเป็นเด็กเป็นเล็ก อย่าสร้างเรื่องโกหกมาแก้ตัวให้มัน” ชาวบ้านเริ่มเถียงแทนพ่อหลวง คิดว่าเด็กน้อยโกหกเพื่อช่วยดาหวัน

“ข้าไม่ได้โกหก มีคนเห็นกับข้าด้วย คือ...” เธออ้าปากจะพูด แต่ก็นึกได้ว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ ‘ดาวโจร’ คนนั้นเลย

“อย่าไปฟังคำพูดอีดาว หากมันเห็นว่ามีผู้ชายเข้าไปบ้านอีดาหวันจริงๆ ก็เป็นไอ้สมบัติผัวมันนั่นแหละ” สุชาติเอ่ย

“พ่อหลวง เป็นผู้ใหญ่อย่าพูดไปเรื่อย ข้ากับสมบัติไม่ได้เป็นอะไรกัน” ดาหวันไม่พอใจ 

“ก็เห็นอยู่ว่าไปไหนด้วยกันตลอด นึกว่าพวกมึงได้เสียเป็นเมียผัวกันแล้ว” พ่อหลวงยิ้มเยาะ

“ถ้าเป็นลูกสาวของพ่อหลวงก่อนนะ ค่อยคิดแบบนั้น” 

ดาหวันสวนกลับจนผู้ใหญ่บ้านต้องหุบยิ้ม “อีดาหวัน!”

“จะหาคนขโมยไก่ แล้วทำไมถึงมาหาเรื่องข้ากับอีดาหวัน”

ดาหวันยิ้มดีใจ เพราะเสียงที่เข้ามาแทรกบทสนทนาคือผู้ชายที่อยู่ข้างเธอเสมอ

“ถ้าเกิดข้ากับมันยังไม่ได้เป็นเมียผัว แล้วพ่อหลวงมาหมิ่นประมาทแบบนี้ ข้าเอาเรื่องได้หรือเปล่า”

สุชาติเมื่อเจอสมบัติย้อนก็เริ่มสงวนท่าที “ถ้างั้นข้าไม่พูดถึงเรื่องพวกมึงแล้วก็ได้ แต่เรื่องอีทองใบ พวกมึงต้องรับผิดชอบไก่ชนของข้า”

“ในเมื่อดาหวันมันยืนยันว่ามันนอนกับแม่ทั้งคืน พ่อหลวงลองจับมือป้าทองใบดูหรือยังว่ามีเลือดไก่ติดหรือเปล่า”

ดาหวันรีบจับแขนมารดายื่นให้ทุกคนดู มือที่ผอมกะหร่องมีเพียงสีซีดเซียว ไม่มีเลือดหรือดินโคลนเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย

พ่อหลวงหัวเสีย “เอาเถอะ ครั้งนี้ยังจับมึงไม่ได้ แต่คราวหน้าถ้ากูเห็นกับตา กูจะเอาปืนมายิงมึงทิ้งเลยอีทองใบ”

ทองใบร้องไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว 

“และเพื่อความสบายใจของทุกคน เจ้าพ่อคำสะหลีเคยบอกผ่านเมียข้ามาว่า ท่านสามารถตัดพรายให้แม่มึงได้ มึงควรพาแม่มึงไปเสีย” ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยคำขาด

“เจ้าพ่อมันก็ผีเหมือนกัน จะพาป้าทองใบไปตัดผีด้วยกันทำไม” สมบัติจ้องจะเถียงเพราะไม่เชื่อร่างทรงเป็นทุนเดิม แต่ดาหวันส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม

“พ่อหลวง ข้าเข้าใจที่ท่านต้องเสียไก่ราคาแพง ในครัวข้ายังพอมีข้าวสาร อาจจะไม่ถึงกระสอบ แต่ข้ายินดีชดใช้แทนไก่ให้ท่าน”

สมบัติกำลังจะอ้าปาก แต่หญิงสาวยกมือห้ามไว้

“ส่วนเรื่องแม่ข้า ข้าขอรับประกันว่า ถ้ามีเรื่องไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับแม่ข้าอีก ข้าจะพาแม่ข้าไปหาเจ้าพ่อคำสะหลีเอง”

“ดี ถ้ามึงไม่ทำตามที่พูด รับรองมึงจะอยู่สันทรายไม่ได้แน่” พ่อหลวงกำชับ แล้วจึงหันไปสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับ

ดาหวันพาทองใบกลับเข้าห้อง หญิงชราร้องไห้ไม่หยุด คร่ำครวญว่าเธอน่าจะตายไปเสีย เพราะโรคเวรโรคกรรมนี้กำลังทำลายทุกอย่าง 

“ข้าไม่เชื่อหรอกแม่ ว่าแม่จะเป็นคนทำ” แม้หลายครั้งจะคลางแคลงใจในพฤติกรรมของมารดา แต่ครั้งนี้เธอกลับไม่เชื่อว่าจะเป็นฝีมือของแม่ตัวเอง

ดาหวันเดินลงจากเรือน สมบัติและดาวเหนือยังนั่งรออยู่ที่แคร่ใต้ต้นไม้

“ขอบคุณนะสมบัติที่มาช่วยข้า” เธอสบตาชายหนุ่ม

“ขอโทษ...ที่ข้ามาช้า” เขาเอ่ยเสียงเบา เพราะกำลังทำงานอยู่กลางทุ่งนา กว่าจะรู้ข่าวก็รีบวิ่งมาเกือบไม่ทัน

“ความจริงสูไม่น่าไปยอมเสียข้าวสารให้พ่อหลวงเลย” เขาเอ่ยต่อ

“ไก่พ่อหลวงมาตายที่บ้านข้า ข้าต้องแสดงความรับผิดชอบ” เธอเอ่ยพร้อมกับหันไปทางดาวเหนือ “มึงก็เหมือนกัน คราวหลังไม่ต้องสร้างเรื่องช่วยข้านะ”

เด็กหญิงขมวดคิ้ว “น้าดาไม่เชื่อข้าเหรอ ข้าเห็นจริงๆ นะ เมื่อคืนมีคนเข้าไปที่บ้านน้า เป็นผู้ชายตัวสูงๆ ข้าเห็นหน้าไม่ชัด”

“ข้าเชื่ออีดาวนะ มันเคยโกหกเสียที่ไหน” สมบัติเข้าข้างคนตัวเล็ก “มันเข้าไปบ้านสูคงไม่ใช่เรื่องดี บางทีมันอาจจะขโมยไก่พ่อหลวงมาทิ้งไว้ แล้วโทษว่าป้าทองใบไปขโมยมา”

ดาหวันฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ “คงเหลือแต่สูสองคนที่ยังเชื่อข้า”

เสียงสั่นเครือของน้าสาวทำให้ดาวเหนือเข้าไปกอดให้กำลังใจ “น้าดาเป็นคนดี ยังไงคุณพระคุณเจ้าก็ต้องเชื่อเรา”

สองสาวกอดกันกลม สมบัติได้แต่มองด้วยความห่วงใย ในใจอยากจะอ้าแขนเข้าไปกอดให้เธอได้ระบายด้วยซ้ำ

“สูต้องระวังตัวให้มากขึ้น ข้าเกรงว่าจะมีคนไม่หวังดี ทำให้ทุกคนกลัวป้าทองใบ” ชายหนุ่มเอ่ยสิ่งที่แอบคิดในใจ

“หมายความว่ายังไง” หญิงสาวสงสัย

“เขาอาจจะต้องการให้คนในหมู่บ้านรังเกียจ จนพ่อหลวงบ้านต้องไล่สูออกไปอยู่ที่ไกลๆ” สมบัติทำหน้าเครียด

“ข้าไม่เคยมีศัตรูที่ไหน” ดาหวันยืนยัน

“มีสิ คนที่อิจฉาสูมาตลอด แม้ว่าสูจะด้อยกว่าเขาแค่ไหน เขาก็ไม่อยากให้สูได้ดีไปกว่านี้”

ดาหวันพยายามคิด กระทั่งใครคนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ 

แสงหล้า...จะเอ่ยชื่อนั้นออกมาก็เกรงว่าจะทำให้ดาวเหนือรู้สึกไม่ดี และน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ชายหนุ่มคิดไว้เช่นเดียวกัน

“ทำไมเขาถึงคิดแบบนี้กับข้าได้ ข้าไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลยสักนิด” ดาหวันมองว่าแสงหล้าคือคนบ้านเดียวกัน แม้จะไม่ได้สนิทกันมาก เคยถูกแย่งคนรักไป แต่ดาหวันก็ยังไม่คิดแค้น อโหสิกรรมให้ทุกอย่าง 

“ใจนารียากแท้หยั่งถึง อาจจะริษยาที่สูงามกว่าและใครๆ ก็รัก” สมบัติเดาตามที่คิด 

แสงหล้าและดาหวัน สองสาวแห่งบ้านสันทราย งามทั้งคู่ ดาหวันปากนิดจมูกหน่อย พูดจาไพเราะอ่อนหวาน ส่วนแสงหล้านั้นคมเข้ม พูดจามีเสน่ห์ แต่เชื่อเถอะ ที่ผ่านมาร้อยทั้งร้อยก็ต้องบอกว่าดาหวันเป็นคนที่น่าคบหามากกว่า เพราะเป็นคนเจียมตัว ผิดกับแสงหล้าที่มั่นใจในตัวเอง จริตจะก้านจึงไม่ถูกใจใครมากนัก

“คนคนนั้นอาจจะร่วมมือกับอีอัมพร สร้างเรื่องให้ทุกคนเข้าใจผิดได้” สมบัติเดาตามรูปการณ์

“ถ้าเป็นอย่างที่คิด อีกไม่นานพวกนั้นอาจจะเล่นของดำใส่ข้า” ดาหวันหวั่นใจ ถ้าเรื่องไสยศาสตร์เธอคงสู้ไม่ไหว

“หึ...ไม่ต้องห่วงหรอกดาหวัน อีอัมพรไม่มีฝีมือขนาดนั้นหรอก อย่างมากก็แค่ทำให้ทุกคนเชื่อว่าแม่สูเป็นผีพรายจริงๆ ข้าถึงอยากให้สูรู้ไว้ ว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าผีตนไหน ก็คือใจคนนั่นแหละ”

บ่ายวันนั้นดาหวันจำเป็นต้องลางานเพื่อดูแลเรื่องมารดาให้เสร็จ สมบัติยังสบโอกาสพาหมอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่อนามัยบ้านสองแควให้ลองมาตรวจดูอาการของแม่เสียก่อน

“น่าจะเป็นโรคไทรอยด์จริงๆ ครับ โรคนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการหิวบ่อยๆ ส่วนอาการอ่อนเพลียคงทำให้สะลึมสะลือ พอหิวเจออะไรก็คงอยากกินขึ้นมา” หมออนามัยอธิบายไปตามที่เคยพบผู้ป่วยลักษณะนี้ “แต่ยังไงผมว่าพาคนป่วยไปพบหมอที่โรงพยาบาลดีกว่า จะได้วินิจฉัยโรคที่ถูกต้องกว่า”

ดาหวันโล่งอก เธอรับปากว่าอีกวันสองวันจะพาทองใบไปพบหมอที่โรงพยาบาลให้ได้ อย่างน้อยค่าแรงของเธอคงออกพอดี และสมบัติยังคงมีเงินให้ยืมอีกจำนวนหนึ่ง

เมฆดำก่อตัวตั้งแต่หัวค่ำ พอตะวันตกดินก็ทำให้คืนนี้มืดมิดกว่าที่เคย ลมพัดเย็นยะเยือก พ้นออกพรรษาแล้ว แต่ยังมีพายุพัดส่งทิ้งท้ายก่อนจะเข้าสู่ฤดูหนาว

แสงสีขาวพุ่งทะยานเป็นแนวยาว ตามด้วยเสียงดังก้องกัมปนาท ทำให้เรือนไม้หลังเล็กสั่นสะเทือน นางทองใบห่อไหล่ขณะไหว้พระก่อนนอน ส่วนดาหวันพออาบน้ำเสร็จก็มานั่งผัดแป้งหน้าคันฉ่อง อายุของลูกสาวมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะปลงใจกับชายหนุ่มคนไหน

ใช่ว่าไม่มีใครหมายปอง ไอ้เมืองบ้านเหนือ ไอ้แก่นบ้านใต้เคยมาเทียวจีบ แต่ดาหวันก็ไม่สน ราวกับไม่ต้องการผู้ชายคนใดมาเป็นคู่ชีวิต คงมีแต่ไอ้สมบัติกระมังที่ทองใบเห็นว่าดาหวันไว้วางใจที่สุด แต่เคยคาดคั้นถามอยู่หลายครั้งว่าคิดจะตกลงร่วมหอลงโรงกับหนุ่มกล้ามใหญ่หรือไม่ ลูกสาวก็ยืนยันว่าคิดกับสมบัติได้แค่เพื่อน

“กูขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะ มึงควรออกเรือนกับไอ้สมบัติเสีย”

คำพูดของแม่ทำเธอชะงักต่อหน้ากระจก 

“แม่...ข้าก็เคยบอกแล้วว่าข้าไม่ได้รักไอ้สมบัติมัน”

“มึงเป็นผู้หญิง จะมาถามหาอะไรกับความรัก แค่เอาตัวให้รอด มีผัวเลี้ยง มึงก็ไม่ลำบากเหมือนกูแล้ว” 

ทองใบนัยน์ตาสั่นระริก รู้ดีว่าการเป็นผู้หญิงเลี้ยงลูกตัวคนเดียวเหนื่อยแค่ไหน ร่างเหมือนจะแหลก ดวงใจเหมือนแตกร้าว และเธอเองก็ไม่อยากให้ลูกสาวต้องมาเผชิญชะตากรรมเดียวกัน

“สมบัติมันเป็นคนดี มันทำเพื่อเราแค่ไหน แม่ซึ้งน้ำใจมันนัก” พูดแล้วน้ำตาก็พานจะไหล “ใครรักเราก็ให้ดูเอาตอนที่ลำบากนี่แหละลูกเอ๋ย”

ดาหวันนิ่งคิด แม่พูดไม่ผิดหรอก...แต่เธอยังอยากต่อเวลาอีกนิด

“ข้ารู้แล้วน่าแม่ ถ้าข้าเป็นสาวเฒ่าไป ก็คงไม่พ้นไอ้สมบัติมันหรอก”

“เกิดกูตายวันตายพรุ่ง กูจะได้สบายใจว่ามึงยังมีคนดูแล” คนเป็นแม่เสียงขาดหาย

“พอแล้วแม่ อย่าพูดแบบนั้น นอนได้แล้ว” ดาหวันเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน ทองใบหยิบอะไรบางอย่างออกมาให้ มองอย่างไรมันก็คือเชือกป่าน

“อะไรแม่” ลูกสาวขมวดคิ้ว

“มัดกูไว้ มึงจะได้มั่นใจว่าคืนนี้กูจะไม่ออกไปไหน”

ดาหวันชะงัก ทำอะไรไม่ถูก “แม่...”

“กูรู้ว่ามึงเองก็ไม่แน่ใจว่าทุกอย่างเป็นฝีมือกู เพราะขนาดกูก็ยังตอบไม่ได้” ทองใบไม่ไว้ใจตัวเอง แม้ว่าหมออนามัยจะบอกว่าเธอเป็นโรคปัจจุบัน แต่ที่ผ่านมาล่ะ มันคืออะไร

คนปกติที่ไหนจะกินไก่ กินปลาร้าดิบๆ ดึกดื่นค่อนคืน เดินออกจากบ้านไปหากบเขียดกินถึงกลางทุ่ง หรือล่าสุดยังไปหักคอไก่บ้านคนอื่นอีก

‘ถ้าอีผีพรายมันอยู่ในตัวกูจริง ก็อย่าให้มันได้ออกไปไหน’

“เชื่อกู บางทีมึงก็ทำงานมาเหนื่อยอ่อน หลับเป็นตาย ไม่ได้ยิน ไม่เห็นหรอกว่ากูไปไหนบ้าง”

ดาหวันมองเชือกก่อนตัดสินใจรับมันมา ขณะมัดมือเหี่ยวๆ ของมารดา น้ำตาก็ไหลออกมาเสียดื้อๆ

“ข้าสัญญานะแม่ แม่จะหาย และเราจะได้นอนกอดกันอีก” 

เห็นลูกสาวหลั่งน้ำตา คนเป็นแม่ก็อดร้องตามไม่ได้ ห้องนอนของนางขี้โรคจึงดังระงมไปด้วยเสียงสะอื้น

 

พ่อหลวงสุชาตินั่งเคี้ยวเมี่ยงอยู่ที่เฉลียงบ้าน กะว่าอีกสักพักจะสูบยามวนอีกสักมวนแล้วเข้าไปนอนกอดเมียรัก เห็นฟ้าแลบไกลๆ ที่มาพร้อมสายลมเย็น จึงคิดว่าคืนนี้คงหลับสบายแน่

ยังไม่ทันได้คายเมี่ยงออกจากปาก ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น

“กรี๊ด!”

สัญชาตญาณของผู้นำหมู่บ้านทำให้รีบลุกขึ้นเงี่ยหูฟัง เสียงมันดังอยู่ไม่ไกล

“อีเพ็ญ มึงได้ยินเหมือนกันไหม” เขาหันไปถามเมียรักที่กำลังเดินขึ้นเรือนมา

“ได้ยิน ข้ากลัวเลยรีบมาหาสู” ‘จันทร์เพ็ญ’ หน้าตาตื่น

มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกหลายครั้ง ผู้ใหญ่สุชาติร้อนใจ รีบลงบันได ทันใดนั้นก็เห็นแสงไฟจากตะเกียงฝ่าลมแรงเข้ามาหา

“พ่อหลวง ช่วยข้าด้วย”

เขาหรี่ตาเพ่งมอง แสงสีส้มทำให้เห็นว่า ผู้มาเยือนยามวิกาลคือสาวเฒ่าที่อยู่บ้านคนเดียวบนทางไปหอทรงเจ้าพ่อคำสะหลี

“มีอะไร อีสมทรง” เขาถาม 

หญิงวัยสี่สิบเนื้อตัวสั่นเทา สีหน้าเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง 

“ขะ...ข้าโดนผีอีทองใบหลอก เมื่อกี้มันบุกเข้ามาถึงในบ้านข้า” 

พ่อหลวงขนลุก ยังไม่ได้พูดอะไร ที่ประตูรั้วบ้านก็มีเสียงร้องไห้ดังเข้ามา

“พ่อหลวง ช่วยลูกข้าด้วย ลูกข้าบอกว่ามีคนเฒ่ามาดมหัวมันที่หน้าต่าง ข้าทันเห็นหลังแวบๆ มันเหมือนย่าทองใบผีพรายขนาด”

ระหว่างนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นอีก พร้อมกับเสียงหมาเห่าขรมไปทั่วหมู่บ้านสันทราย 

“เราจะทำอย่างไงกันดี” เมียรักถาม

สุชาติตัดสินใจเรียกไอ้อิ่นลูกน้องคนสนิทให้มาหา แล้วบอกชาวบ้านที่มาร้องทุกข์

“ทุกคนกลับบ้านไปแล้วปิดประตูให้มิดชิด ส่วนข้ากับลูกน้องจะลาดตระเวนไปทั่วหมู่บ้าน ไม่ต้องกลัว คืนนี้มีผีห่าตนใดออกมา ข้าจะยิงมันให้ดู”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น