2

บทที่ 2


 

เมื่อตอนบ่ายเธอฝันไปใช่ไหม...ธารธาราเอาหัวโขกกับม้าหินอ่อนใต้ต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวอย่างอ่อนใจ โดยไม่สนใจว่าเกสรของมันจะติดผม ติดหน้าผาก หรือว่าส่วนไหนๆ ของร่างกาย เพราะตอนนี้สิ่งที่เธอกังวลคือสายตาคู่นั้นของเขา ซึ่งถ้าทุกอย่างคือเรื่องจริง ก็แปลว่าโลกมันกลมจนน่าชังนัก

            แล้วเธอจะทำอย่างไรดี...จะให้ขับรถกลับบ้านพ่อแม่ ก็คงไม่ไหว เพราะเป็นระยะทางเป็นร้อยกิโลเมตร ดังนั้นเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น คงต้องทำใจแฝงตัวอยู่เงียบๆ หากไม่มีใครรื้อฟื้น เรื่องทั้งหมดก็น่าจะจบลงไปแล้ว

            “พี่น้ำ กินข้าว”

            น้องตัวดีเรียกเธอจากหน้าประตูบ้าน แต่ตอนนี้ท้องของเธออิ่มตื้อไปหมด จึงบอกปัดไปก่อน

            “กินก่อนเลย เดี๋ยวพี่ค่อยกินทีหลัง”

            เมื่อตอบน้องชายไปอย่างนั้น ธารธาราก็นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อ แม้จะพยายามทำจิตใจให้สงบ แต่มันก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ดี โดยเฉพาะสายตาของเขาตอนที่สบตาเธอ มันทำให้เธอรู้สึกหวั่นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเขาจำเธอได้ ซึ่งเธอก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลย

            “แฮ่”

            น้องชายตัวดีโผล่เข้ามาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง และนั่นก็ทำให้ธารธาราถึงกับสะดุ้งสุดตัว

            “ไอ้บ้า ตกใจหมด” เธอเอ็ดอึงน้องชายเสียงดัง ส่งสายตาคาดโทษให้ ถ้าเมื่อกี้เธอหัวใจวายตายไป จะเป็นผีมาหลอกเช้าหลอกเย็นเลยคอยดู

            “เป็นอะไร คิดถึงหนุ่มข้างบ้านอยู่ใช่ไหมล่ะ”

            การถูกพูดจี้ใจดำทำให้ธารธาราอดใจเต้นตึกตักไม่ได้ แต่เธอก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยการแหวเสียงดังขึ้นอีกยี่สิบเดซิเบล เพราะหากยอมรับเรื่องนี้ จะต้องถูกล้อไปจนตายแน่ “ไอ้บ้า จะไปคิดถึงทำไม”

            “ก็เขาหล่อนี่”

            “ก็แค่หล่อ ไม่เห็นจะมีอะไรดี” เธอแสร้งตอบไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีว่าเขาครบเครื่องขนาดไหน รูปหล่อ พ่อรวย การศึกษาดี หน้าที่การงานเยี่ยม ทางเดียวที่ภูผาจะจะได้เขาเป็นพี่เขย ก็คงต้องตีหัวแล้วลากเข้าถ้ำเท่านั้น

            “เห็นไหม พี่น้ำยอมรับว่าเขาหล่อ”

            ธารธาราหันไปมองน้องชายอย่างขุ่นเคือง เรื่องต้อนคนอื่นให้จนมุมไม่มีใครเก่งเท่าภูผาอีกแล้ว และเพื่อเป็นการตัดบท จึงต้องย้ำชัดในจุดยืน “เลิกคิดอะไรบ้าๆ ซะที ฉันไม่ได้สนใจเขา ฉันจะอยู่บนคาน ได้ยินไหม”

            “จริงหรา...แล้วทำไมถึงใจลอยตั้งแต่เจอหน้า จนกลับมาถึงบ้าน”

            นาทีนี้เธออยากย้อนเวลากลับไปได้จริงๆ ถ้ารู้ว่าน้องชายโตมาจะกวนใจเธอขนาดนี้ คงเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่ฝ่ายนั้นแบเบาะไปแล้ว แต่เมื่อย้อนกลับไปไม่ได้ ก็ทำได้เพียงแค่ปฏิเสธแล้วเฉไฉไปเรื่องอื่น

            “เปล่าสักหน่อย ฉันแค่กังวลเรื่องงาน เห็นไหม ที่โรงพยาบาลกองบินต่างจากโรงพยาบาลที่ฉันเคยอยู่ขนาดไหน คงต้องปรับตัวยกใหญ่แน่ๆ”

            “อย่าหลบตา”

            เธอชักหมดความอดทน จึงส่งตาขุ่นเขียวให้น้องชาย พลางเอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิมอีกเท่าตัว “จะไปไหนก็ไป ไอ้น้องเวร ก่อนที่ฉันจะหักคอแกจิ้มน้ำพริกกิน”

            “ไปก็ได้ แต่ว่าแม่ให้มาตามไปกินข้าว เตือนก่อนเลยว่า ถ้าช้าไข่ปลาริวกิวจะหมด เหลือแต่น้ำแกง” ภูผาคงสนุกจนสาแก่ใจแล้ว จึงยอมปล่อยเรื่องนี้ไป แต่ก็ไม่วายวางระเบิดให้เธอขุ่นเคืองเล่น

            พอได้ยินอย่างนั้น ธารธาราก็ลืมเรื่องของปราณนต์ไปชั่วขณะหนึ่ง คิดถึงแต่แกงส้มไข่ปลาริวกิวของโปรดที่กำลังจะถูกน้องชายแย่งปาดหน้าไป

            คิดได้อย่างนั้นเธอก็ดึงคอเสื้อน้องชายเอาไว้แล้ววิ่งเข้าไปในบ้านก่อน อย่างไรไข่ปลาริวกิวก็ต้องเป็นของเธอ

           

ในที่สุดวันย้ายเข้าบ้านพักจริงๆ ก็มาถึง ธารธาราใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายเก็บข้าวของที่ขนมาให้เข้าที่เข้าทาง ซึ่งเธอจะอาศัยอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว น่าจะราวๆ สามถึงสี่เดือนเท่านั้น จึงเอาของเข้ามาเฉพาะที่จำเป็น แต่ถึงอย่างนั้น ก็ใช้เวลามากอยู่พอสมควร

            ภูผาได้ทำหน้าที่น้องชายเป็นอย่างดีในวันนี้ นอกจากจะช่วยขนของแล้ว ยังช่วยต่อตู้เสื้อผ้าและราวตากผ้าให้อย่างเรียบร้อย จนกระทั่งสี่โมงเย็นเธอจึงให้กลับไป เพราะไม่อยากให้น้องชายถึงบ้านมืดค่ำ

            ในที่สุดเธอก็ได้อยู่บ้านหลังใหม่คนเดียว ซึ่งแม้ว่ามันจะเป็นบ้านแถวหรือจะเรียกแบบสมัยนิยมว่าทาวน์เฮาส์ แต่มันก็เงียบมาก อาจจะเป็นเพราะเหล่าหนุ่มโสดไม่ค่อยอยู่ติดบ้านกัน

            เมื่อไม่รู้จะทำอะไร ธารธาราจึงเดินไปปิดประตูบ้านแล้วล็อก แม้ที่นี่จะเป็นเขตทหารซึ่งมีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม แต่เธอก็ไม่ประมาท จากนั้นก็เดินไปอาบน้ำ เพราะตอนขนของนั้นเหงื่อออกพอดู

            หลังออกจากห้องน้ำเธอก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนข้อความสนทนาออนไลน์ดังขึ้น จึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู แล้วก็พบว่าเป็นข้อความที่ส่งมาจากรุ่นพี่นั่นเอง

            พี่เอาห่อหมกกับข้าวเปล่าไปแขวนไว้ให้ที่หน้าประตูนะ...พี่ปา

            พอได้อ่านข้อความ หญิงสาวก็ไปหน้าประตู ห่อหมกของปาริชาตคือสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ ทำให้เธอไม่ต้องเดินไปไกลถึงซอยแปดเพื่อหาข้าวกิน

            เมื่อไปถึงประตูก็มองเห็นถุงห่อหมกแขวนเอาไว้ เธอจึงหยิบออกมา แต่พบว่ายังมีถุงอีกใบแขวนอยู่ด้วยกัน “อะไรนี่”

            เมื่อหยิบออกมาดู ธารธาราก็พบว่ามันเป็นเบียร์ยี่ห้อดังสองกระป๋อง ซึ่งก็ทำให้อดยิ้มออกมาไม่ได้ ดูท่าทางรุ่นพี่คงกลัวว่าเธอจะนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ เลยพ่วงเบียร์มาให้ย้อมใจด้วย เธอจึงฉวยถุงทั้งคู่เดินเข้าบ้าน   

            หลังจากกินข้าวเสร็จ ธารธาราก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ เพราะเธอไม่ได้ขนโทรทัศน์มาด้วย ครั้นจะนอนตอนนี้ ก็เพิ่งจะเป็นเวลาทุ่มครึ่งเท่านั้น มันยังเร็วเกินไป จะโทร. หาเพื่อนคนไหน ก็กลัวว่าจะรบกวนเวลาพักผ่อน เธอจึงเดินออกมานอกบ้านพร้อมกับถือเบียร์ที่ปาริชาตให้มาเพื่อสูดอากาศ

            ความจริงเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบพึ่งแอลกอฮอล์ มีดื่มบ้างสมัยเรียนตอนที่ออกไปเที่ยวต่างสถานที่ตามประสาวัยรุ่นทั่วไป แต่หลังจากเรียนจบและทำงาน เธอก็ลาขาด นั่นเป็นเพราะเธอเห็นว่ามันให้ผลเสียมากกว่าผลดี แต่สำหรับคืนนี้ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เธออาจจะต้องพึ่งมันสักเล็กน้อยเพื่อให้คลายความกังวล จะได้หลับและตื่นไปรายงานตัวอย่างสดชื่นในวันพรุ่งนี้

            ระหว่างที่เดินทอดน่องดูหมู่ดาวสุกสกาวบนฟ้า ซึ่งเธอพบว่าท้องฟ้าที่นี่สวยเหลือเกิน เธอมองเห็นกลุ่มดวงกลุ่มหนึ่งคล้ายทางช้างเผือกอยู่ไกลๆ ซึ่งคืนนี้จะต้องท้องฟ้าใสจริงๆ เท่านั้น จึงจะมองเห็นได้

ธารธาราอดคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้ จะว่าไป คนเราก็แปลก การเดินมาถึงจุดนี้ได้ถือว่าเป็นโชคชะตาชักนำมาล้วนๆ

            เธอเป็นเพียงเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่มีพ่อแม่เป็นชาวสวน พวกพ้องวงศาคณาญาติ ล้วนห่างจากคำว่าข้าราชการหรือเจ้าคนนายคน แต่อาจจะมีโชคหน่อยที่เป็นคนใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาตั้งแต่เด็ก ชั้นประถมจึงได้ที่หนึ่งในโรงเรียนวัดใกล้บ้านเสมอ พอมัธยม ก็ลองเข้ามาสอบโรงเรียนประจำจังหวัด และนั่นก็เริ่มทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป

            การเข้ามาในเมืองจึงเหมือนกับเป็นการเปิดโลกให้กว้างขึ้น เพราะเป็นโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียง เพื่อนในห้องจึงมาจากหลากหลายชนชั้น ตั้งแต่เจ้าของรีสอร์ตสุดหรูบนเกาะชื่อดังของประเทศ จนกระทั่งบุตรของลูกจ้างร้านก่อสร้าง ที่บางวันไม่มีเงินค่าขนมมาโรงเรียน และนั่นก็ทำให้เธอมองเห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก

            เธอไม่ได้เก็บเรื่องนั้นมาเป็นปัญหาให้ปวดหัว ไม่คิดจะเปรียบเทียบตัวเองกับใคร แต่มันทำให้เธอรู้ว่า เมื่อมีต้นทุนน้อยกว่าก็ต้องขวนขวาย จึงตั้งหน้าตั้งตาเรียน จนมัธยมปลายก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หลายที่ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ เพราะฟรีทุกอย่าง แถมยังมีเงินเดือนให้อีกเดือนละหลายพัน ซึ่งมันก็ทำให้พ่อแม่แทบไม่ต้องลำบากส่งเธอเรียนเลย

            ถามว่าชอบการเป็นพยาบาลไหม ตอนนั้นตอบได้ว่าไม่รู้ แต่เธอรู้ว่าการเป็นทหารทำให้พ่อแม่ปลื้มใจ ตอนที่เธอแต่งชุดทหารในเครื่องแบบแขนยาวกลับบ้านเป็นครั้งแรก เธอเห็นแม่น้ำตาไหล ส่วนพ่อนั้นก็ไปยืมกล้องถ่ายรูปจากน้าชายมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้ และอัดใส่กรอบขนาดใหญ่เพื่อติดฝาบ้าน เวลาใครไปใครมาก็จะบอกว่า ‘นี่ลูกสาวผม’

            สี่ปีในรั้ววิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศให้อะไรเธอมากมาย คติประจำใจของนักเรียนพยาบาลทหารอากาศคือ ไม่มีอะไรที่นักเรียนพยาบาลทหารอากาศทำไม่ได้ ทำไม่ไหว ทำไม่ทัน ฟังดูเหมือนซูเปอร์วูเมน แต่บอกเลยว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ที่ผ่านมาเธอทำได้อย่างไร

            “คนอะไรยิ้มคนเดียวก็ได้”

            เสียงของใครบางคนดึงเธอออกจากความทรงจำในอดีต แม้ตรงถนนด้านหน้าจะเปิดไฟ แต่ด้านในก็ค่อนข้างมืด เมื่อเขม้นมอง เธอก็เห็นร่างสูงของคนที่ทักยืนพิงเสาอย่างสบายๆ ในมือของเขามีหนังสือเล่มหนา

            รอยยิ้มของธารธาราหายไปทันที กลายเป็นตระหนกแทน ก่อนที่จะรีบเอากระป๋องเบียร์ที่ยังไม่ได้เปิดในมือไปซ่อนไว้ด้านหลัง แม้ว่ามันจะไม่ทันแล้วก็ตาม

            ชายหนุ่มก้าวออกมา พอพ้นเงาหลังคา ธารธาราก็มองเห็นดวงหน้ากระจ่างใสแบบชายไทยที่มีเชื้อสายจีนปนอยู่นิดๆ

            ชัดเจน...วันนั้นที่มองสบตากันเธอไม่ได้ตาฝาด ยามนี้อดีตหนุ่มสุดฮอตของโรงเรียนนายเรืออากาศ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

            “มีอะไรติดอยู่ที่หน้าผมเหรอ”

            “เปล่า...คือ...ฉันสายตาสั้นน่ะ เลยต้องมองนานหน่อย” เธออ้างไป ทั้งที่จริงตอนนี้กำลังล่วงเข้าสู่วัยสายตายาว และมันก็เริ่มยาวแล้วจริงๆ

            “ยินดีต้อนรับคุณเพื่อนบ้าน” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ยิ้มแค่ปากเท่านั้น

            ธารธารากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างไม่รู้ตัว เธออดไม่ได้ที่จะมองหัวเขา แม้ตอนนี้ผมของผมจะขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังมีรอยแหว่งอยู่

            เขาคงจำเธอไม่ได้หรอก หญิงสาวปลอบตัวเองในใจ จึงฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไปด้วยแววตาที่พยายามให้มันดูใสซื่อที่สุด “อ๋อ...เอ่อ...ขอบคุณ” แต่แล้วรอยยิ้มของเธอก็หายไปทันที เมื่อได้ยินประโยคถัดมา

            “ผมจำชื่อคุณได้นะ” เขากล่าวพร้อมกับก้าวเข้ามาใกล้ สายตาของเขาจ้องไปที่หน้าเธอ

            และนั่นก็ทำให้เธอแทบจะหยุดหายใจ ก่อนที่เขาจะกล่าวประโยคที่เธอไม่อยากได้ยินออกมา

            “ธารธารา วงศ์เกิด เราเคยเจอกันที่โรงพยาบาลเมื่อครึ่งเดือนก่อน”

            เธออยากมีเวทมนตร์หายตัวไปได้ก็ตอนนี้ละ แต่เมื่อความเป็นจริงหายตัวไปไหนไม่ได้ เธอจึงต้องเอาตัวรอด และทางรอดที่ดีที่สุดก็คือ ทำเป็นจำไม่ได้ว่าไปทำอะไรกับเขาไว้

            “เอ่อ...ต้องขอโทษด้วยที่จำคุณไม่ได้ พอดีคนไข้ฉันเยอะไปหมด เป็นอะไรถึงต้องไปโรงพยาบาลเหรอคะตอนนั้น”

            เมื่อเธอถามไป แววตาของเขาก็เปลี่ยน ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยเสียงยานคาง คล้ายกับจะกวนประสาทนิดๆ

            “อ้อ...งั้นเหรอ แหม...แต่ผมกลับจำคุณได้แม่นทีเดียว คุณเป็นคนโกนหัวผม”

            ‘จำแม่นจริงพ่อคุณ สมกับที่เป็นนักบินอันดับหนึ่งของกองทัพ’ แต่เมื่อเธอมองเข้าไปในดวงตาของเขา ก็พบว่าไม่มีร่องรอยความไม่พอใจ บางทีเธออาจจะคิดมากไปเองก็เป็นได้ และไหนๆ ก็มาเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว เธอคิดว่าน่าจะทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการไว้สักหน่อย แม้เธอจะรู้จักเขาอยู่แล้วก็เถอะ

            “เสียใจจริงๆ ค่ะ ที่ฉันจำไม่ได้ อย่างที่บอก คนไข้ฉันเยอะมาก ว่าแต่คุณชื่ออะไร เป็นนักเรียนนายเรืออากาศรุ่นไหนเหรอคะ” ธารธาราเกริ่นด้วยการแกล้งถาม วางฟอร์มทำเป็นเนียนว่าจำไม่ได้จริงๆ

            เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็แอบคิดไปว่า ถึงอย่างไร การที่บอกว่าจำเขาไม่ได้น่าจะดีกว่า และหากเป็นไปตามนั้น เธอก็จะสื่อเจตนาไปว่า วันนั้นเธอทำไปตามหน้าที่จริงจริ๊ง...

            “ผมปราณนต์ เรียกนนท์ก็ได้ เรียนจบมาพร้อมคุณ”

            คำตอบของเขาทำเอาเธออึ้ง พยาบาลทหารที่ติดยศเรืออากาศเอกตอนนี้มีห้าถึงหกรุ่น แล้วเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอจบมาปีไหน จึงโพล่งถามออกไปด้วยความหวาดระแวง “คุณรู้ได้ไงว่าฉันเรียนจบมาพร้อมคุณ”

            “เพื่อนคุณโทร. มาฝากฝังคุณอยู่ ชนิดาน่ะ ที่เคยเป็นคู่ลีลาศให้ผม”

            “อ๋อ...” เธอเกือบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จำได้อยู่รางๆ เหมือนกันว่า ตอนปีหนึ่ง ชนิดาเพื่อนเธอซึ่งเป็นมิสสวีแด หรือหากอยู่ในมหา’ลัยก็คือดาวมหาวิทยาลัย เป็นคู่ลีลาศของเขา ซึ่งการลีลาศนี้เป็นหนึ่งในวิชาของนักเรียนนายเรืออากาศชั้นปีที่หนึ่ง สอง และสาม แม้จะไม่มีเกรด แต่ก็มีเกณฑ์ว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ซึ่งหากไม่ผ่าน ก็จะสร้างปัญหาให้เหล่านักเรียนนายเรืออากาศมากอยู่เหมือนกัน

            และเนื่องจากโรงเรียนนายเรืออากาศเป็นสถาบันอุดมศึกษาชายล้วน ดังนั้นจึงต้องขอความร่วมมือจากวิทยาลัยพยาบาลทหารอากาศ สถาบันบ้านใกล้เรือนเคียง ที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาหญิงล้วนให้ไปเป็นคู่ลีลาศให้ จึงก่อเกิดตำนานรักนักเรียนนายเรืออากาศกับนักเรียนพยาบาลทหารอากาศหลายต่อหลายคู่ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มีโชคในเรื่องนี้ เพราะยังเป็นโสดมาจนปัจจุบัน

            ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมพื้นที่ เหมือนต่างคนเริ่มต่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ธารธาราจึงคิดจะหลบเลี่ยงสถานการณ์อันชวนอึดอัดนี้ด้วยการแกล้งหาว ทำเป็นง่วงงุนเต็มที

            “งั้น ฉันเข้าบ้านก่อนนะ”

            เมื่อเขาไม่พูดอะไรอีก เธอก็หมุนตัวเข้าบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปก็ได้ยินเสียงเรียก

            “เดี๋ยว! นั่น” เขาชี้มายังกระป๋องเบียร์ในมือเธอ

            ธารธารารู้สึกเคืองตัวเองเหลือเกินที่เผลอเอากระป๋องเบียร์ออกมาให้เขาเห็น ครั้นจะหลบก็ไม่ทันแล้ว จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ แล้วยกมันขึ้นมาให้เขาเห็นจะจะไปเลย

            “อะไรเหรอ...อ๋อ...เบียร์นี่น่ะหรือ ความจริงฉันไม่ใช่พวกเมรีขี้เมาหรอกนะ นี่ไง ยังไม่ได้เปิดเลย” เมื่อพูดไปแล้วธารธาราก็ได้แต่งงตัวเอง เธอจะแก้ตัวไปทำไม ในเมื่อเธอไม่ใช่เด็กอายุสิบสี่สิบห้า ตอนนี้เธออายุยี่สิบแปดปีแล้ว ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นิดหน่อยก็ไม่เป็นไรนี่นา

            “คุณไปเอามาจากไหน ที่แขวนอยู่ตรงประตูนั่นหรือเปล่า”

            “ชะ...ใช่ ทำไมเหรอ” เธอมองเขาอย่างหวาดระแวง รู้สึกแปลกๆ กับน้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมา

            “ตายแน่”

            เขาร้องลั่น และนั่นก็ทำให้เธอตกใจ

            “อะไร ใครตาย ฉันแค่จะดื่มเบียร์เองนะ แล้วฉันก็ไม่ได้อยู่ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ด้วย” เธอเถียง เพราะไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แม้มันจะผิดกับภาพลักษณ์พยาบาล แต่เธอก็เป็นทหาร ถือว่าหยวนๆ กันไปได้ ไม่เห็นเขาจะต้องทำหน้าตกอกตกใจขนาดนี้เลย

            “แล้วคุณไม่เห็นกระดาษโน๊ตที่อยู่ในถุงเหรอ”

            “กระดาษโน๊ตอะไร” เธอถามกลับทันที

            “ช่างมันเถอะ ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน”

            จู่ๆ เขาก็ถอดใจเดินหันหลังหนีไปเฉยๆ ทิ้งความค้างคาใจเอาไว้ให้ ตอนแรกธารธาราคิดจะปล่อยไป แต่ว่า...สีหน้าเขา แววตาเขา มันทำให้เธอคลางแคลงใจอย่างบอกไม่ถูก จึงวิ่งไปดักหน้า

            “พูดออกมาแล้ว ก็พูดมาให้จบสิ”

            “แน่ใจนะว่า คุณจะไม่กลัว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทางค่อนข้างจริงจัง

            “อื้ม” ธารธาราตอบรับ ทั้งที่ไม่แน่ใจเลย แต่ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว รู้ก็น่าจะดีกว่าไม่รู้

            “ก็เบียร์กระป๋องนี้ ผมจะฝากคุณไปไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ก่อนหน้าที่คุณจะมานี่ผมได้ยินเสียงแปลกๆ จากบ้านคุณตลอดเลย แต่ผมไม่มีกุญแจไขเข้าไป ทีนี้พอเห็นคุณเข้ามาอยู่ ก็เลยว่าจะฝากไว้ เผื่อท่านเจ้าที่จะพอใจ ไม่มารบกวนกันดึกๆ ดื่นๆ อีก แต่ว่าถ้าคุณอยากดื่มมันแทน เอาเป็นว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมไปซื้อมาไหว้ใหม่ ผมรบกวนคุณได้ใช่ไหม”

            “ดะ...ได้สิ” ธารธาราตอบไปโดยที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไร

            ชายหนุ่มตรงหน้ายิ้มออกมาแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบถามด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “ว่าแต่ ที่ผมพูดมา คุณไม่กลัวใช่ไหม”

 

ไม่กลัวกับผีน่ะสิ! ธารธาราจำไม่ได้แล้วว่าเธอสวดมนต์ไปกี่บท ตั้งแต่แยกจากเขาข้างล่างเธอก็พยายามไม่คิดอะไรมาก แต่สิ่งที่เขาพูดมันก็เข้าเค้าอยู่ไม่น้อย ที่นี่ บ้านพักหลังนี้ เป็นบ้านของนักบินไฟต์เตอร์ หรือเครื่องบินรบ ซึ่งตอนที่เธอเป็นนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ เธอก็ต้องร้องเพลง “แด่เธอ ผู้ปกป้องฟ้าไทย เพื่อไว้อาลัยให้พวกเขาทุกปี จนกระทั่งเรียนจบและทำงาน ข่าวการสูญเสียนักบินแบบนี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่ เธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กประวัติของกองบินแห่งนี้ทางอินเทอร์เน็ต

            แน่นอนว่าทุกกองบินต้องมีประวัติของนักบินรบที่เสียสละชีวิตเพื่อชาติ และที่นี่ก็เช่นกัน แต่เมื่อเธอไล่อ่านไปจนจบ ความกลัวก็เปลี่ยนเป็นความเศร้ามาแทนที่ จึงถามตัวเองอีกทีว่า ทำไมเธอต้องกลัว ในเมื่อคนเหล่านั้นต่างเสียชีวิตในหน้าที่ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง พวกเขาคือคนดีที่ควรให้การเคารพและสดุดี

            ใจของธารธาราสงบลงมาก แต่เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม เสียงแมลงขยับปีกข้างนอกที่ดังระงมทำให้เธอเพลิดเพลินอยู่ไม่น้อย จนเกือบจะเคลิ้มหลับ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดนตรีดังขึ้น...ขนของเธอลุกชันขึ้นมาทันที

            เสียงดนตรียังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเสียงผู้ชายร้องเพลง...โอ๊ย! หรือว่าเธอจะเจอดีเข้าให้แล้ว

            “พี่คะ เดี๋ยวหนูซื้อที่อัดเสียงอุทิศไปให้ พี่จะได้ร้องแล้วอัดไว้ฟังคนเดียวนะคะ แต่คืนนี้พี่ให้หนูนอนหน่อยได้ไหมคะ พรุ่งนี้หนูมีรายงานตัวเข้าทำงานแต่เช้า”

            เมื่อสุดจะทน เธอก็พยายามต่อรองกับสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นวิญญาณ แต่เสียงดนตรีก็ยังไม่หยุด อีกทั้งยังเหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็สะดุดกับท่อนเพลงที่ว่า

            “เฮ้...เธอ ทำไมตัวเธอถึงด๊ำดำ...โอ้แม่งามขำ ดำเป็นดินสอขนาดสองบี หน้าอกหน้าใจก็ดูเหมือนจะไม่มี จอแบนอย่างนี้ หมอเกาหลีคงไม่รับทำ

            ‘เอ๊ะ ทำไมเพลงนี้มันคุ้นๆ คนที่ตายไปแล้วเกือบสิบปี จะมาร้องเพลงที่เพิ่งมาดังในปีนี้ได้อย่างไรกัน’ ธารธาราเงี่ยหูฟังต่อไป แล้วก็มีเสียงลอยตามลมมาอีก

            “ท่อนแขนก็จัดว่าใหญ่ ผู้หญิงอะไรขาโต ใครทำให้เธอโมโหต้องคอหักตาย...ไม่รู้น้ำหนักเท่าไร กล้าชั่งให้ดูไหมนี่ จะเอาเธอมาแยกมองแต่ละที่ ไม่เห็นจะมีอะไรสวยเลย...”

            ชัดเลย นี่ไม่ใช่ผีหรอก แต่เป็นไอ้คนผีทะเลข้างบ้าน ที่นึกครึ้มอกครึ้มใจมาแหกปากในยามวิกาลอย่างนี้ จะว่าไปเสียงเขาก็เพราะดี เธอจึงรอฟังท่อนต่อไป

            “มันทำไม มันทำไม มันทำไมด๊ำดำ ทำไมแบ๊น แบน ทำไมแขนใหญ่ คนอะไรขาโต...มันทำไมด๊ำดำ ทำไมแบ๊น แบน ทำไมแขนใหญ่ คนอะไรขาโต มันทำไมด๊ำดำ ทำไม แบ๊น แบน ทำไมแขนใหญ่ คนอะไรขาโต มันทำไม มันทำไม มันทำไม มันทำไม แล้วทำไม แล้วทำไม...”

            เฮ้ย ทำไมเขาร้องท่อนนี้ เขาร้องข้าม ลืมเนื้อ หรือว่า...

            ธารธาราก้มมองตัวเองทันที ใช่เลย ทุกอย่างในเพลงมันคือเธอ ด๊ำ ดำ แบ๊น แบน แขนใหญ่ ขาโต ไอ้ผีทะเลข้างบ้านกำลังร้องเพลงแซ็วเธอ

            “โอ๊ย ฉันจะไม่ทนแล้วนะ” เธอร้องออกมา แต่สุดท้ายก็ได้แต่เอาหน้าเกลือกกลิ้งไปกับหมอน ถ้าไม่ทนแล้วจะทำไง นี่เพิ่งย้ายมายังไม่ทันได้รายงานตัวเลย จะขอย้ายกลับอย่างนั้นเหรอ แล้วที่เธอทนเขียนขอย้ายทุกปีล่ะ ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายน่ะสิ
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น