3

บทที่ 3



 

เพราะเมื่อคืนนอนดึก เมื่อนาฬิกาปลุกเธอก็เลยยังรู้สึกว่านอนหลับไปอย่างไม่เต็มตาสักเท่าไร จึงตื่นเช้าขึ้นมาอย่างสะโหลสะเหล มองกระจกก็พบว่าขอบตาดำจนเกือบจะเหมือนหมีแพนด้า ทั้งหมดต้องโทษคนผีทะเลข้างบ้านคนเดียว

            บ้านพักทหารเป็นแปลนเดียวกันหมดทั่วประเทศหรือเปล่า เธอไม่แน่ใจ เพราะตอนประจำอยู่ที่ดอนเมือง เธออาศัยในแฟลต ซึ่งความจริงเขาก็ให้อยู่กับครอบครัวได้ครอบครัวละหนึ่งยูนิต แต่เพราะจำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีมาก คนโสดจึงต้องเข้าไปอยู่เฉลี่ยสามคน ทั้งที่มีเพียงแค่สองห้องนอน

            แล้วคนที่สามนอนที่ไหน...คำตอบก็คือห้องนั่งเล่น แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะชีวิตส่วนใหญ่คือที่ทำงาน

            แต่เช้านี้มันแปลกไป เธอได้อยู่บ้านหลังใหญ่ขึ้น มีพื้นที่กว้างขวาง แม้จะไม่ใช่บ้านเดี่ยว เป็นทาวน์เฮาส์กึ่งๆ ห้องแถว แต่เธอก็รู้สึกวังเวงและเหงาจับใจ

            เมื่อเลือกแล้วก็ต้องปรับตัว เดี๋ยวก็ชิน เธอบอกตัวเองอย่างนั้น

            หญิงสาวเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน ซึ่งเมื่อเปิดออกไปก็มองเห็นคลองขนาดเล็กที่ถูกขุดเอาไว้ระบายน้ำหน้าฝน คลองนี้จึงเชื่อมต่อกันทั้งกองบิน เมื่อวานตอนที่ขนของ เธอเห็นเจ้าหน้าที่บางคนมานั่งตกปลา ซึ่งเมื่อทักทายเขาไป จึงรู้ว่าในคลองนี้ปลาค่อนข้างชุม ส่วนใหญ่เป็นปลานิลและปลาช่อน ที่คนรุ่นก่อนเคยเอามาปล่อยไว้

            เมื่อคืนฝนตกลงมานิดหน่อย ดอกผักบุ้งสีม่วงจึงชุ่มไปด้วยหยดน้ำ ยามสะท้อนแสงแดดจึงดูสวยจับตา ธารธารายืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ หาวหนึ่งครั้งเพื่อไล่ความง่วง ก่อนจะสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด เธอพร้อมแล้วที่จะปรับตัวเข้าสู่ที่ทำงานใหม่ แต่เมื่อเธอยืดตัวขึ้น ก็มองเห็นอะไรแวบๆ ทางหางตา และเมื่อหันไปมอง เธอก็ต้องรีบเอามือลงในทันที

            ผีทะเลในชุดออกกำลังกายที่เหงื่อชุ่มตัว!

            เหมือนเขาก็มองเธออยู่เช่นกัน ในปากอมแปรงสีฟันเอาไว้ แต่แก้มสองข้างป่อง เขากำลังขำเธอ

            หน้าเธอร้อนวูบ ทั้งอาย ทั้งโกรธ อายน่ะอายเขาแน่ แต่ที่โกรธไม่รู้โกรธใคร ระหว่างตัวเองที่มาบิดขี้เกียจไม่ดูตาม้าตาเรือ กับเขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว แต่ไม่ให้สุ้มให้เสียงกันเลย

            เมื่อพลาดไปแล้ว เธอจะทำอย่างไรได้ นอกจากหนี เธอรีบผลุบเข้าบ้านในทันที ทั้งที่อยากจะแทรกแผ่นดินหายไปเลยด้วยซ้ำ

           

เมื่อเกิดความเครียด คนอื่นอาจจะระบายด้วยการกิน ดื่ม หรือว่าเที่ยว แต่คนที่เคยชินกับการมีเวลาจำกัดเพราะต้องทำงานตลอดอย่างธารธารา เลือกระบายความเครียดด้วยวิธีที่คิดว่ามีประโยชน์กับตัวเองมากที่สุด นั่นก็คือการทำความสะอาด เมื่อวานตอนย้ายเข้ามา เธอทำความสะอาดส่วนอื่นของบ้านเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ห้องน้ำที่คิดว่ามันยังสะอาดอยู่ จึงแค่ราดน้ำเปล่าล้างเฉยๆ

            แม้จะไม่มีคราบสกปรก แต่ในความเชื่อของเธอ ห้องน้ำก็คือแหล่งรวมของเชื้อโรคที่มากที่สุดของบ้าน เธอจึงราดน้ำแล้วเทน้ำยาล้างห้องน้ำลงไป ก่อนลงมือขัด ในใจก็จินตนาการว่าพื้นนั้นเป็นใบหน้าของหนุ่มข้างบ้าน ที่เธอเป็นต้องเผลอทำอะไรเปิ่นๆ ต่อหน้าเขาทุกที

            แต่ระหว่างที่ออกแรงขัด ประตูหลังบ้านก็ถูกเคาะ เธอจำต้องหยุดมือแล้วเดินไปเปิด “ใครคะ” เธอถามออกไป เพราะไม่ใช่วิสัยปกติ หากมีธุระปะปังกันก็ควรเคาะประตูหน้าบ้าน

            “ผมเอง”

            แม้คนหลังบานประตูจะไม่ได้บอกชื่อ แต่ธารธาราก็จำเสียงของเขาได้ เธอจึงเปิดประตูออกไป แล้วก็พบว่าปราณนต์ยังอยู่ในชุดเดิม และมีผ้าเช็ดตัวพาดอยู่ที่บ่า

            “มีอะไรเหรอคุณ”

            “ใน...ในห้องน้ำ” ชายหนุ่มชี้ไปทางห้องน้ำของตัวเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรแก่เธอเลยแม้แต่น้อย

            “อะไร” เธอถามอีกครั้งเพื่อขอความกระจ่าง แต่แล้วเขาก็ปรับสีหน้าเป็นปกติ ก่อนที่จะถามคำถาม ซึ่งเธอไม่คิดว่าเขาจะถาม

            “คุณอาบน้ำเสร็จหรือยัง”

            “ยังไม่ได้อาบ”

            “คุณต้องไปกี่โมง”

            เขาถามอีก และนั่นทำเธอต้องขมวดคิ้ว เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่ก็ยังยอมตอบ

            “ก่อนแปดโมง”

            “งั้นผมขออาบน้ำที่ห้องน้ำคุณหน่อยได้ไหม คือผมต้องไปให้ถึงฝูงตอนเจ็ดโมง

            “เฮ้ย...” เธอร้องออกมา เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอนี้ จริงอยู่ว่าห้องน้ำยืมใช้กันได้ แต่คงไม่ใช่สำหรับหนุ่มสาวที่เพิ่งพูดคุยกันแค่ครั้งสองครั้ง แม้จะเป็นเพื่อนบ้านกันก็เถอะ เธอจึงมองเขาอย่างหวาดระแวงว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

            “อย่ามองอย่างนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรไม่ดี ปกติเวลารีบเร่งอย่างนี้ ผมจะไปขออาบที่บ้านไอ้ติ แต่วันนี้ไอ้ติมันไปประชุมอยู่ที่กรุงเทพฯ”

            คำบอกเล่าของเขาทำให้เธองงไปกันใหญ่ เขาพูดเหมือนกับว่าต้องคอยไปใช้ห้องน้ำคนอื่นอยู่บ่อยๆ เพื่อความกระจ่าง เธอจึงต้องถาม “แล้วห้องน้ำคุณเป็นอะไร”

            “ท่อตัน...ใช่แล้ว...ท่อมันตัน พออาบแล้วน้ำมันก็เอ่อล้นขึ้นมา”

            คำตอบของเขาส่อพิรุธชัดเจน อีกทั้งท่าทางลนลานแบบแปลกๆ ทำให้ธารธาราเชื่อว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น เธอจึงยังคงเงียบ จนสุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายยอมจำนน

            “โอเค ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่สะดวกใจ ผมไม่รบกวนก็ได้”

            เขากล่าวแล้วทำท่าจะเดินหันหลังจากไป ซึ่งธารธาราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงแววตัดพ้อในน้ำเสียงนั้นอยู่นิดๆ ใจสองฝั่งตีกันในฉับพลัน มันคงดูไม่ดี หากใครรู้ว่าเธอปล่อยให้ผู้ชายเข้ามาในบ้านแล้วอยู่ด้วยกันสองต่อสอง แต่หากเธอปล่อยให้เขาไปทำงานโดยที่เหงื่อโซมกายหลังจากออกกำลังกายตอนเช้า ก็ดูจะใจดำเกินไปหน่อย ดังนั้นเธอจึงตัดความกังวลใจทั้งหมด เมื่อบริสุทธิ์ใจต่อกัน ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร

            “คุณมาอาบห้องน้ำฉันก็ได้ ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ถ้าแค่นี้ช่วยกันไม่ได้ ฉันก็คงไม่กล้าเรียกตัวเองว่าเพื่อนบ้านหรอก”

            “ใช่...ถูก...อย่างนั้นเลย”

            เขายิ้มแต้ ร่องรอยความน้อยใจเมื่อครู่มันหายไปไหนกัน

            “เข้าไปสิ”

            ธารธาราเบี่ยงตัวหลบให้ปราณนต์เข้าไป ซึ่งเขาก็แทรกตัวเข้ามาอย่างรีบเร่ง แต่ก่อนที่จะปิดประตูห้องน้ำ เขาก็ยื่นหน้ามาอีกครั้ง

            “ขอใช้สบู่คุณด้วยได้รึเปล่า”

            “ได้ เอาเลย” เธอเอ่ยอนุญาต เพราะของใช้แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องมาหวงกัน

            “ขอบคุณ” ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำแล้วปิดประตู

            เมื่อเธอได้ยินเสียงน้ำไหลจากฝักบัว จึงเลี่ยงไปอีกทางเพราะคิดว่าเขาคงต้องการความเป็นส่วนตัว

 

ธารธาราออกมาหลังบ้านอีกครั้ง เธอพบว่าประตูหลังบ้านของปราณนต์ยังเปิดอยู่ จึงเดินไปปิดให้ เธอไม่ได้กลัวคนจะเข้าไปหรอก แต่กลัวพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะเลื้อยเข้าไปมากกว่า เพราะบ้านพักติดกับคลองและมีหญ้าขึ้นค่อนข้างรก แต่ระหว่างที่จะงับประตู ความสงสัยในท่าทางของปราณนต์ก็เกิดขึ้นในใจ เธอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดความจริง แต่อะไรที่ทำให้เขาต้องโกหก ถ้าเข้าไปดูมันจะเหมาะสมไหม

            ทีเขายังเข้าบ้านเธอได้เลย แล้วทำไมเธอจะเข้าบ้านเขาบ้างไม่ได้...ธารธาราจึงเปลี่ยนจากปิดประตูเป็นเดินเข้าไปยังห้องน้ำแทน จากนั้นก็ลองเปิดน้ำ แล้วเธอก็พบว่าท่อระบายน้ำทำงานได้ดี ไม่ได้เป็นอย่างที่ชายหนุ่มกล่าวอ้างแต่อย่างใด เธอเริ่มไม่ไว้ใจเขาขึ้นมาทันที หรือว่า...บางทีปราณนต์จะมีแผนอะไรแกล้งเธออีก

            “อ้าว คุณเข้ามาทำอะไรในนี้”

            เสียงทักทายนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของบ้านที่กุเรื่องท่อตันไปขอใช้ห้องน้ำของเธอนั่นเอง ธารธาราเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเอาเรื่อง แต่เธอกลับเห็นว่าเขากำลังมองบางสิ่งด้วยสายตาพรั่นพรึง

            เธอมองตามสายตาเขาไปทันที แล้วเธอก็พบว่านอกจากเธอกับเขาแล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่อีกด้วย ความระแวงในตอนแรกจึงเปลี่ยนไป และเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น “คุณกลัวเขียดเหรอ” เธอถามออกไปตรงๆ

            “ไม่...ไม่ใช่”

            เสียงที่ปฏิเสธออกมาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็ทำให้ธารธารายิ้มเยือกเย็นออกมา

            “ไม่จริงม้าง...” เธอตั้งใจลากเสียงยาวเพื่อจะยียวน และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ถูกแกล้ง มันก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าจะเอาคืนเขาอย่างไร จึงก้าวเข้าไปหาสัตว์โลกผู้อาภัพนั้นอย่างช้าๆ ที่แค่เพียงมันมีผิวหนังตะปุ่มตะป่ำ ก็ทำให้คนบางคนไม่อยากมองแล้ว

            “คุณ...คุณจะทำอะไร”

            เขาถามเสียงสั่น และนั่นก็ยืนยันในสิ่งที่เธอคิด

            “ฉันว่ามันน่ารักดีออกนะ...ดูสิ มันน่ารักออกจะตายไป” เธอจับเขียดตัวนั้นขึ้นมาวางในอุ้งมือ ก่อนที่จะลุกขึ้น แล้วยื่นมันไปหาชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าเหลอหลาอยู่

            “อย่านะคุณ!” เขาร้องเสียงหลง ก่อนจะวิ่งหนีเข้าห้องรับแขกอย่างเร็วจี๋

            เรื่องอะไรเธอจะหยุด ธารธาราไม่ฟังคำห้ามของเขา เธออยากสั่งสอนเขาว่าไม่ควรเอาสิ่งที่คนอื่นกลัวมาล้อเล่นจากเหตุการณ์เมื่อคืน หญิงสาวจึงเดินเข้าไปใกล้ ยื่นมือที่มีสัตว์โลกผิวตะปุ่มตะป่ำเข้าไปใกล้เขายิ่งขึ้น        กระทั่งปราณนต์ถอยไปจนหลังชนผนัง และเขาก็ถอยไม่ได้อีกแล้ว เธอจึงยิ่งได้ใจ รู้สึกเหมือนเขาเป็นหมูที่อยู่ในอวย

            สำหรับปราณนต์ แม้ว่าเขาจะเป็นทหารนักบิน แต่เขาก็คือมนุษย์ปุถุชนทั่วไป ที่มีสิ่งชอบและไม่ชอบ ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่ไม่ชอบก็คือสัตว์ที่อยู่ในมือของผู้หญิงตรงหน้าตอนนี้ หากถามว่ามันเป็นอันตรายต่อหน้าที่การงานของเขาหรือไม่ เขาก็ตอบว่าไม่ เพราะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในล้านเท่านั้นที่จะมีเจ้าตัวนี้ขึ้นไปอยู่บนเครื่องบิน ดังนั้นการที่เขากลัวกบ เขียด หรืออะไรที่หน้าตาและลักษณะน่าเกลียดอย่างนี้ จึงไม่ใช่อุปสรรค แต่การเห็นมันใกล้ๆ อย่างนี้ ก็ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องอยู่เหมือนกัน

เพื่อยุติความขยะแขยงนี้ ปราณนต์จึงจับยึดข้อมือเพื่อนบ้านสาวเอาไว้ แล้วเบี่ยงตัวเธอให้เป็นฝ่ายไปติดผนังแทน จากนั้นก็บีบข้อมือเธอเบาๆ แต่มากพอที่จะทำให้อุ้งมือที่มีสิ่งที่เขากลัวอยู่แบออก แล้วเจ้าเขียดตัวนั้นก็กระโดดลงจากอุ้งมือเธอไป

            “ชิ่วๆ” นักบินหนุ่มไล่มันเหมือนไล่สุนัข และดูเหมือนมันจะฟังเขารู้เรื่อง เพราะมันรีบกระโดดออกไปทางประตูหลังบ้านทันที

            “มัน...มันไปแล้ว ปล่อยฉันได้รึยัง”

            เสียงนั้นทำให้ปราณนต์หันมามองเธออีกครั้ง ก่อนที่ทั้งห้องจะตกอยู่ในความเงียบงัน และเธอกับเขาก็อยู่ในสภาพที่ล่อแหลมเหลือเกิน

            เขาดันเธอติดผนัง ใบหน้าเธออยู่ในระดับอกที่เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ขวางกั้น จะว่าไป เหมือนกับอยู่ในอ้อมแขนของเขากลายๆ ความใกล้ชิดนั้นทำให้เขามองเห็นเธอชัดเจนขึ้น มองเห็นแพขนตาที่ยาวและหนา แก้มใสสีน้ำผึ้งมีรอยระเรื่อ ซึ่งมันตรึงตราเขาอย่างบอกไม่ถูก แต่เพราะความเป็นสุภาพบุรุษ ทำให้เขาต้องทำตามที่เธอบอก ปราณนต์ปล่อยมือเธอทั้งสองข้าง ก่อนจะถอยห่างออกมา

            ส่วนเธอก็ไม่พูดไม่จา เดินจ้ำออกจากห้องรับแขกไปทางหลังบ้าน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงประตูหลังบ้านปิดลงดังปัง

            ปราณนต์มองตาม ก่อนที่จะยิ้มออกมาบางๆ แล้วฮัมเพลง “คนมีเสน่ห์” พลางเดินขึ้นไปด้านบน

            นับวันผู้หญิงข้างบ้านยิ่งน่าสนใจ คงยากหน่อยนะที่เขาจะปล่อยให้เธอหลุดมือไปอีกครั้ง เมื่อเขาเริ่มอยากจะคิดจริงจังกับเธอเข้าเสียแล้ว

 

หลังหลุดจากวงแขนของปราณนต์ได้ ธารธาราก็วิ่งกลับเข้าบ้านทันที และเมื่อเห็นว่าปลอดจากเขาแน่แล้ว เธอก็แทบจะทรุดลงอย่างอ่อนแรง บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมหัวใจเธอถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ ราวกับว่ามันกำลังจะหลุดออกมานอกอก

            จะเรียกว่าเป็นการทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป หรือว่าถูกกรรมตามสนองดี...หรือบางทีมันอาจจะเป็นทั้งสองอย่างปะปนกัน

            “ใจเย็นไว้ยายน้ำ ไม่มีอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ธารธาราพยายามให้กำลังใจตัวเอง ก่อนที่จะยืนขึ้น ชีวิตเธอยังต้องเดินต่อไป และวันนี้เป็นวันแรกของการทำงาน ดังนั้นเธอจะไปสายไม่ได้

            ทว่าเมื่อไรที่เผลอใจ เธอก็ยังคงคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าอยู่ร่ำไป แม้กระทั่งในตอนนี้ที่รุ่นพี่พามาเลี้ยงกาแฟก่อนจะเข้าพบผู้ใหญ่เพื่อรายงานตัวก็ตาม

            “น้ำ ดื่มอะไรดี กาแฟ ชา หรือว่านม”

            “นมชมพูค่ะ”

            เธอตอบไปอย่างไม่รู้ตัว และนั่นก็ทำให้รุ่นพี่ต้องถามซ้ำอีกครั้ง

            “นมชมพู? หมายถึงนมเย็นที่ใส่น้ำแดงน่ะเหรอ นี่มันร้านอเมซอนนะ พี่ว่าไม่น่าจะมี”

            ธารธาราแทบจะเอาหัวโขกเก้าอี้ ‘โอ๊ย ขอสติฉันคืนมาจะได้ไหม’ โชคยังดีที่ปาริชาตเข้าใจไปอีกอย่าง หากรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ มีหวังเธอคงไม่กล้ามองหน้าใคร และเมื่อพลาดไปแล้ว เธอก็จำต้องแก้ไขสถานการณ์

            “เอ่อ...งั้นขอลาเต้หวานๆ ก็ได้ค่ะ”

            “ขอลาเต้หวานหนึ่ง ลาเต้ไม่หวานหนึ่งค่ะ”

            ปาริชาตหันไปสั่งกาแฟกับพนักงานที่เคาน์เตอร์ ส่วนธารธาราแยกออกมานั่งยังโต๊ะที่ว่างเพื่อรอเครื่องดื่ม

            “น้ำ เป็นอะไร ดูเหม่อๆ” ปาริชาตตั้งข้อสังเกต หลังจากเห็นว่ารุ่นน้องดูเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            ธารธาราหันมาทำหน้าเจื่อน อดนึกเคืองเพื่อนบ้านคนใหม่ไม่ได้ที่ทำให้เธอต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ แต่ถ้าบอกสาเหตุที่แท้จริงออกไป คิดว่ามันคงดูไม่ดี จึงหาข้ออ้างอื่น “อาจจะเป็นเพราะน้ำตื่นเต้นค่ะพี่ปา ไม่ค่อยได้พบผู้หลักผู้ใหญ่บ่อยเท่าไหร่”

            ปาริชาตยิ้มให้อย่างเอ็นดู ก่อนจะกล่าวปลอบ “ผู้การใจดี ไม่ดุหรอก อีกอย่าง แค่มารายงานตัวเอง”

            “แต่มันก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีค่ะ”

            “แล้วเมื่อคืนเป็นไง นอนหลับไหม”

            “หลับๆ ตื่นๆ ค่ะ” ธารธาราตอบไปตามความจริง และที่จริงยิ่งกว่าคือคนผีทะเลข้างบ้านยังมาหลอกมาหลอนเธอในฝันอีกต่างหาก

            “อยู่คนเดียว กลัวละสิ เดี๋ยวอีกไม่นานก็คงมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วละ อดทนนิดนะ”

            “แล้วมีบ้านหลังอื่นว่างไหมคะ” ธารธาราลองถามดู เผื่อว่าจะฟลุก และหากเป็นอย่างนั้น เธออาจจะหาข้ออ้างเพื่อขอย้าย

            “คิดว่าไม่น่าจะมีนะ ทำไมเหรอ มีปัญหาอะไรกับบ้านหลังนั้น”

            ธารธารานิ่งคิด เธอควรจะเล่าเรื่องปราณนต์ให้ปาริชาตฟังดีหรือไม่

            แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจไม่เล่า ข้อหนึ่ง เพราะเธอจะดูไร้เหตุผลทันทีที่จะขอย้ายบ้านหนีด้วยสาเหตุอึดอัดใจกับเพื่อนบ้าน ส่วนข้อสองนั้น บ้านหลังนี้ทรงกลดสามีของปาริชาตก็เป็นคนช่วยดำเนินการขอให้ เธอจึงเกรงใจอีกฝ่ายค่อนข้างมาก

            “ไม่มีหรอกค่ะ แค่ถามดูเฉยๆ”

            “ดีแล้ว งั้นพี่ว่า เราเตรียมตัวเข้าพบผู้การกันเถอะ”

            “ค่ะ”

 

หลังจากรายงานตัวกับผู้การกองบินแล้ว ธารธาราก็มารายงานตัวกับผู้อำนวยการของโรงพยาบาล และเมื่อได้ทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลแล้ว เธอก็ได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านเพื่อเริ่มงานในวันพรุ่งนี้

            เพราะเป็นช่วงใกล้เที่ยง เธอจึงเลือกไปกินอาหารที่ร้านอาหารตามสั่งในกองบิน ระหว่างที่กำลังรออาหารมาเสิร์ฟ ก็มีเสียงของใครบางคนทักขึ้น

            “เฮ้ยน้ำ นั่นน้ำใช่ไหม”

            ธารธาราเงยหน้าขึ้นมอง แล้วเธอก็พบชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดพรางดิจิทัลสีเทา รอยยิ้มยินดีปรากฏชัดอยู่บนใบหน้าคมเข้มแบบหนุ่มใต้ขนานแท้ และนั่นก็ทำให้เธอยิ้มออกมาด้วยเช่นกัน เพราะอีกฝ่ายนั้นคือคนที่เธอรู้จักดี

            “ต้น” เธอเรียกชื่อเล่นของอีกฝ่าย ซึ่งชื่อเต็มๆ และยศเต็มๆ ของเขาก็คือ เรืออากาศเอก ต้นตระการ วัฒนโยธิน เคยเป็นเพื่อนห้องเดียวกับเธอตอนมัธยมต้น และไปเจอกันอีกครั้งตอนที่เธอเป็นนักเรียนพยาบาลทหารอากาศ ส่วนเขาก็เป็นนักเรียนนายเรืออากาศในชั้นปีเดียวกัน

            “มาทำอะไรที่นี่” ผู้กองหนุ่มถาม ขณะที่ลากเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเธอออกมาแล้วนั่งลง

            “เราย้ายมาทำงานที่นี่ ต้นล่ะ”

            “เราย้ายมาเป็น ผบ. ร้อยของ อย.” ต้นตระการหมายถึงกองพันทหารอากาศโยธิน ซึ่งเป็นหน่วยทหารราบของกองทัพอากาศ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการต่อสู้ทางภาคพื้น เป็นอีกหน่วยที่สำคัญของกองทัพ

            “อ้าวเหรอ ย้ายมานานหรือยัง” ธารธารารู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่เธอไม่รู้เรื่องนี้เลย ทั้งที่เธอกับต้นตระการเคยสนิทกันเมื่อครั้งเป็นนักเรียนทหาร แต่พอคิดอีกทีก็ไม่แปลก หลังจากจบ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน เธอกับต้นตระการจึงน่าจะไม่เจอกันราวๆ ห้าปีได้

            “สักสามปีแล้วละ พอดีพ่อเราเสียน่ะ ก็เลยขอย้ายกลับมาอยู่เป็นเพื่อนแม่”

            “อ้าวเหรอ เสียใจด้วยนะ ขอโทษที่เราไม่รู้เรื่องเลย” ธารธารากล่าวอย่างรู้สึกผิด นั่นอาจจะเป็นเพราะเธองานยุ่ง จนลืมใส่ใจคนอื่น

            “ไม่ต้องขอโทษหรอก เราเองก็ไม่ได้บอกใคร พ่อไปแบบกะทันหันน่ะ ขอบใจมากนะ ว่าแต่น้ำจะย้ายมาอยู่ถาวรเลยหรือเปล่า”

            ธารธาราพยักหน้ารับ “ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากอยู่ใกล้บ้าน ที่นี่แทบไม่เปลี่ยนไปเลย แค่มีร้านอาหารแล้วก็ห้างใหญ่ๆ เพิ่มขึ้น เมื่อวันก่อนขับรถผ่านโรงเรียน ยังอดคิดถึงวันที่ใส่คอซอง กระโปรงบานไม่ได้”

            “ก็จริงนะ ใครจะไปคิดว่าเด็กหญิงธารธารา แล้วก็เด็กชายต้นตระการ จะกลายมานายทหารในวันนี้ได้”

            ธารธารายิ้มแล้วนึกภาพตาม เด็กชายเด็กหญิงสองคนหุ่นเก้งก้าง ที่ยืนคู่กันเกือบหน้าสุด ซึ่งดูเหมือนตอนนี้ความสูงของเธอจะไม่พัฒนาไปไหนเลย ผิดกับต้นตระการ ที่ตอนนี้น่าจะสูงเกือบหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร

“แล้วไปเดินห้างใหม่มาหรือยัง” ผู้กองหนุ่มถาม หมายถึงห้างสรรพสินค้าหรูที่เพิ่งมาเปิดใหม่เมื่อไม่นานนี้

            “นัดกับก้อยไว้แล้วว่าจะไปวันเสาร์นี้ มีของบางอย่างที่ยังต้องซื้อ ย้ายทีก็วุ่นวายที”

            “ก้อย?”

            “ก้อย อนามิกาไง จำได้ไหม” ธารธารากล่าวถึงเพื่อนสนิทสมัยมัธยมซึ่งตอนนี้เป็นผู้บริหารโรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัด

            “จำได้สิ” น้ำเสียงของต้นตระการมีความกระตือรือร้น “นัดกันวันเสาร์นี้เหรอ แล้วน้ำมีคนช่วยขนหรือยัง ถ้ายังไม่มี บอกเราได้นะ เดี๋ยวเราไปช่วย”

            “ไม่เป็นไรหรอก ของเล็กๆ น้อยๆ น่ะ” ธารธาราปฏิเสธน้ำใจเพื่อนเพราะไม่อยากรบกวนอีกฝ่าย ก่อนที่จะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ว่าแต่ต้นพักที่ไหนเหรอ นอกหรือในกองบิน”

            “เราพักที่บ้านเก่าพ่อแม่น่ะ ซอยสี่”

            “โหย ไกลกัน เราพักซอยสุดท้ายเลย อยู่ในหม้งมาก” คำว่าหม้ง เป็นศัพท์เฉพาะของทางใต้ ซึ่งหมายถึงทุรกันดาร

            ต้นตระการหัวเราะอย่างอารมณ์ดีแล้วแก้ต่างให้สถานที่ซึ่งธารธาราเรียกว่าในหม้ง

            “แต่บรรยากาศดีนะซอยนั้น ตื่นมาก็เจอดอกบัวบาน หลังบ้านก็เป็นคลอง ฟินสุดๆ”

            “ก็จริง” ธารธารายอมรับ ซึ่งพอดีกับที่เจ้าของร้านถือจานกะเพราไก่ไข่ดาว เมนูที่ใครต่างบอกว่าเป็นเมนูสิ้นคิดมาเสิร์ฟ ธารธาราจึงยุติการสนทนาแล้วหันมาสนใจอาหารตรงหน้าแทน เพราะเธอรู้สึกหิว ตั้งแต่เช้ามีเพียงกาแฟครึ่งแก้วตกถึงท้องเท่านั้น แต่ระหว่างที่เธอกำลังจะส่งช้อนเข้าปาก ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ขอโทษนะครับ นั่งด้วยคนได้หรือเปล่า”

            เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ธารธาราก็พบชายหนุ่มในชุดบิน แต่ก่อนที่เธอจะพูดอะไร เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอก็ขยับตัวชิดด้านใน แล้วตบมือลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่าง เชื้อเชิญอีกฝ่ายทันที

            “ได้สิ นั่งเลย”

            ปราณนต์นั่งลงตรงข้ามเธอ แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ธารธารก็ทำเป็นไม่สนใจ เธอนั่งกินอาหารไปเงียบๆ ฟังสองหนุ่มสนทนากัน

“ลมอะไรหอบมาถึงที่นี่”

ต้นตระการเป็นคนถาม และนั่นก็ทำให้ธารธารารู้ว่าปกติปราณนต์ไม่ใช่ลูกค้าประจำของร้านนี้

“ลมหึงมั้ง” ชายหนุ่มตอบทีเล่นทีจริง จึงทำให้ต้นตระการถึงกับหัวเราะก๊ากออกมา

“หึงข้าเนี่ยอะนะ” แล้วต้นตระการก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเพื่อนสาวทันที “แหม พี่นนท์ก็ ชอบน้องต้นก็ไม่บอก งั้นเดี๋ยวคืนนี้หอบผ้าหอบผ่อนไปนอนด้วยเลยดีไหม วันนี้คุณแม่น้องต้นไปถือศีลที่วัด อยู่คนเดียวแล้วมันเปลี่ยว” นอกจากทำเสียงชวนสยิวแล้ว ผบ. กองร้อยหนุ่ม ยังลูบแขนของเพื่อน พลางทำหน้าเสียวซ่าน ขบปากล่างเพื่อยั่วยวน แต่ทุกองค์ประกอบดูน่าสยองมากกว่า จนนักบินหนุ่มต้องรีบผลักไส

“ไอ้บ้า ไม่ต้องมายุ่งกะข้าเลย ถ้าเปลี่ยวนัก ก็ไปนอนกองร้อยโน่น ผู้ชายเป็นฝูง”

            “ไม่เอา ไม่ชอบ เป็นสมภารกินไก่วัด แล้วก็ไม่มีใครขาวน่ากินอย่างพี่นนท์ด้วย”

            ปราณนต์อดไม่ได้ที่จะปรายตามองธารธาราแวบหนึ่ง แล้วก็เห็นเธอทำหน้าตกตะลึงเหมือนกำลังคิดไปถึงไหนต่อไหน ดังนั้นเพื่อให้ทุกอย่างยุติ ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ จึงคว้าต้นคอต้นตระการมาล็อกไว้แล้วขู่ “จะหยุดหรือไม่หยุด ถ้าไม่หยุด คลิปที่เอ็งเมาแล้วรั่ววันนั้นได้ปลิวไปทั่วกองบินแน่”

            “แบล็กเมล์ข้าเหรอ”

            “เออ!” ปราณนต์เอ่ยเสียงเข้มด้วยท่าทางจริงจัง

            แน่นอนว่าต้นตระการเป็นฝ่ายยอมแพ้ ผู้กองหนุ่มยกมือสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนน “โอเค หยุดก็ได้ ปล่อยข้าได้แล้ว”

            เมื่อเป็นเช่นนั้น ปราณนต์จึงยอมปล่อยต้นตระการแต่โดยดี และหลังจากทักทายกันแบบแผลงๆ พอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ถึงเวลาสั่งอาหาร

            “เอ็งสั่งอะไรไป ขอลอกเมนูหน่อย” ปราณนต์ถาม เพราะเขาไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี อยู่ที่นี่มาสองปีก็ฟาดอาหารตามสั่งไปเกือบทุกเมนูแล้ว และคิดว่าคงต้องกินมันต่อไปเพราะยังหาใครมาทำกับข้าวอย่างอื่นให้กินไม่ได้

“เฮ้ย อะไรวะ เมื่อก่อนเอ็งยังไม่ให้ข้าลอกข้อสอบ ทีงี้จะมาลอกเมนู ไม่ให้โว้ย คิดเอาเองเลย” ต้นตระการกอดอก สะบัดหน้าหนีอย่างแสนงอนเพราะเพิ่งถูกฮุกด้วยไม้ตาย

“งก” นักบินหนุ่มบ่นออกมาอย่างไม่จริงจังนัก แล้วแวบหนึ่งเขาก็มองจานข้าวของธารธารา ก่อนที่จะตะโกนบอกป้าเจ้าของร้าน “ป้าครับ กะเพราไก่ไข่ดาวครับ”

“จ้ะ” เสียงคนขายตอบกลับมาแทบจะทันที

“ลอกจนได้นะเอ็ง”

“ก็มีเวลาไม่มาก เดี๋ยวมีบรีฟตอนบ่ายอีก เข้าไม่ทันมีหวังโดนพี่กลดเบิ๊ดกะโหลก” ปราณนต์อธิบายถึงเหตุผล สำหรับการบินของนักบินนั้น การตรงต่อเวลาเป็นเรื่องสำคัญมาก และการบินแต่ละครั้งจะต้องมีการพูดคุยกันกับทีมสนับสนุนก่อน อันได้แก่ หัวหน้าผู้ควบคุมการฝึกบิน หอบังคับการบิน ช่างเครื่อง และส่วนภาคพื้นก่อนว่าทุกอย่างพร้อม ถึงจะขึ้นบินได้

            “เออ...นี่รู้จักกันหรือยัง เรืออากาศเอกหญิงธารธารา หรือเอ็งจะเรียกว่าน้ำก็ได้ พยาบาลใหม่เพิ่งย้ายมา เป็นเพื่อนเก่าข้าสมัยมัธยม”

“เจอแล้ว บ้านอยู่ข้างกัน” นักบินหนุ่มตอบเสียงเรียบ ก่อนที่จะยกน้ำขึ้นดื่ม

“เอ้า จริงดิ แหม...เพื่อนบ้านกันนี่เอง ยังไงฝากดูแลด้วยนะ

            “ได้สิ จะดูแลให้เป็นอย่างดีเลย”

            คำตอบของปราณนต์ทำให้ธารธาราอดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นมาไปมอง แล้วเธอก็พบว่าเขากำลังมองเธออยู่เช่นกัน ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย

            หลังจากกินอาหารเสร็จ ก็ถึงเวลาที่ต่างคนต่างต้องแยกย้ายกันไปทำงาน แต่ก่อนที่เธอจะก้าวออกจากโต๊ะ ต้นตระการก็ถามขึ้นมา

            “น้ำต้องกลับไปทำงานเลยหรือเปล่า ถ้ากลับเลย เดี๋ยวเราไปส่ง ทางผ่านพอดี” ต้นตระการกล่าวอย่างมีน้ำใจ เพราะเขาต้องไปประชุมที่ตึกบัญชาการซึ่งอยู่หน้ากองบิน

            “เปล่า เราเสร็จงานแล้ว คงกลับบ้านเลย”

            “กลับยังไง น้ำไม่มีรถไม่ใช่เหรอ” ผู้กองหนุ่มกล่าวอย่างห่วงใย

            “ก็เดินไปเอา ใกล้ๆ แค่นี้เอง” นั่นคือสิ่งที่เธอคิด เพราะตอนนี้ยังไม่มียานพาหนะใด ต้องใช้สองเท้านี่ละในการขนส่งตัวเองสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องลำบากลำบนสำหรับเธอสักนิด สำหรับอาชีพพยาบาล เรื่องเดินนี่ขอให้บอก ถนัดนักเชียว

            “จากนี่เข้าบ้านอะนะ แล้วตอนเที่ยงที่แดดร้อนเปรี้ยงๆ อย่างนี้ด้วย เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไปหรอก” ต้นตระการกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย เพราะจากที่นี่ไปยังซอยสิบสอง ภาษาทหารราบให้คำจำกัดความว่า ‘ใกล้ตาแต่ไกลตีน’ คือมองเห็นเหมือนใกล้ แต่ถ้าให้เดินก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน

            ท่าทางห่วงใยของเพื่อนทำให้ธารธาราอดหัวเราะไม่ได้ สงสัยต้นตระการคงลืมไปแล้วว่า เธอเองก็เป็นทหาร ความอึด ความถึกมีมากกว่าผู้หญิงทั่วไปหลายเท่านัก

            “เราไม่เป็นไรหรอก แค่นี้จิ๊บๆ ถ้าเป็นลม เรายอมเลี้ยงข้าวต้นปีหนึ่งเลย” ธารธารากล่าวท้า แต่ใจจริงเธอไม่ได้อยากชนะ แค่อยากให้ผู้กองหนุ่มแห่งอากาศโยธินสบายใจ

            แต่ถึงอย่างนั้น ต้นตระการก็ยังไม่วางใจ ลุกขึ้นแล้วคว้ากุญแจรถออกมา “เราว่าเราไปส่งดีกว่า”

            “แต่ต้นต้องไปตึกบัญชาการไม่ใช่เหรอ ไปส่งเรา จะเสียเวลาไปอีก แล้วบ้านพักกับตึกบัญชาการก็คนละทางกัน ไม่เป็นไร เรากลับได้” ธารธารายังคงยืนกราน เพราะเธอไม่อยากเป็นภาระใคร

            ก่อนที่ต้นตระการจะได้พูดอะไรขึ้นมาอีก คนที่ยืนอยู่เงียบๆ มาตลอดก็เป็นคนอาสาขึ้น

            “เดี๋ยวผมไปส่งคุณเอง ทางไปฝูงพอดี แวะทางนั้นคงไม่เสียเวลามาก”

            ต้นตระการพยักหน้าเห็นด้วย รีบฝากฝังธารธารากับเพื่อนร่วมรุ่นนายเรืออากาศทันที “งั้นดีเลย ฝากด้วยนะไอ้นนท์ ไปกับนนท์นะน้ำ เราจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น