4

บทที่ 4


 

หลังจากขึ้นรถมากับปราณนต์ ธารธาราก็เห็นว่าเขามีสีหน้าเรียบเฉย ติดจะมึนตึงเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมันก็ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ปฏิกิริยาของเขาทำให้เธอคิดกังวลไปต่างๆ นานา ว่าหากเขาไม่อยากให้เธอมาเป็นภาระ ไม่เห็นต้องอาสามาส่งกันเลย

            แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกอีกฝ่ายออกฤทธิ์ใส่ เขาตั้งแง่กับเธอตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้ากัน หรือว่าเขาจะยังเคืองเธอเรื่องที่ไปโกนผมเขาวันนั้น ซึ่งความจริงเธอก็แค่ทำไปตามหน้าที่เท่านั้น

            เธอควรจะเคลียร์กับเขาไหม หรือว่าควรปล่อยไว้อย่างนี้ เพราะเธอไม่ได้ทำความผิดอะไรเลย

            แต่สุดท้ายธารธาราก็ยอมลดทิฐิในใจลง หากยังต้องเจอเขาทั้งในตอนเช้า สาย บ่าย และเย็นด้วยอาการมึนตึงใส่กันอย่างนี้ เธอคงไม่ไหวแน่ เพราะเธอคงต้องอยู่บ้านพักข้างๆ เขาอีกหลายเดือน

            หญิงสาวหลับตากลั้นหายใจ และในที่สุดเธอก็พูดคำที่ไม่คิดว่าตัวเองต้องพูดออกไป

            “คุณ ฉันขอโทษ”

            เมื่อสิ้นเสียงเธอ เขาก็หันมาหาเธอทันที มองด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์

            “ขอโทษผมเรื่องอะไร” เขาถามด้วยใบหน้าและแววตาอันใสซื่อ เหมือนไม่รู้จริงๆ ว่าเธอพูดเรื่องอะไร

            “ก็เรื่อง...” ธารธาราอ้ำอึ้ง ตอนนี้เธอชักลังเลที่จะรื้อฟื้นเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ เคลียร์ให้มันหายคาใจไปเลยดีกว่า “เรื่องที่ฉันโกนผมคุณที่โรงพยาบาลวันนั้น”

            “อ้าว ไหนว่าจำไม่ได้ไง” เขาย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นมากขึ้นไปอีก

            ใช่แน่ๆ เขาคงโกรธเธอเรื่องนี้จริงๆ ใจของเธอยิ่งฝ่อ หรือว่าเขาจะจับได้แล้วว่าเธอโกหก จึงยอมสารภาพความจริง “ใช่ จริงๆ แล้วฉันจำได้ แต่ฉันไม่กล้ายอมรับ กลัวคุณโกรธ” เธอตอบเสียงเบา ก้มหน้างุด เมื่อตอนนี้กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะไปเสียแล้ว

            “แล้วคุณผิดเหรอ เลยต้องขอโทษ?” เขาย้อนถาม แต่เสียงที่ถามนั้นดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมมาก

            “ไม่ผิด ฉันทำไปตามหน้าที่ แต่หน้าที่ของฉันมันทำให้คุณไม่พอใจ”

            “ผมเนี่ยนะ ไม่พอใจคุณ? ตั้งแต่ตอนไหน ทำไมไม่เห็นรู้เรื่อง”

            “ก็คุณแกล้งฉัน คุณบอกฉันว่าบ้านที่ฉันพักอยู่มีผี ต่อมาคุณก็ร้องเพลงแซ็วฉัน ฉันรู้นะว่าคุณไม่อยากให้ฉันอยู่ใกล้ๆ แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันเองก็ไม่มีทางเลือก

            เมื่อเธอตอบไปแล้ว บรรยากาศในรถก็ตกอยู่ในสภาวะเงียบงันอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายหัวเราะออกมา ซึ่งธารธาราไม่เข้าใจเลยว่าเขาขำอะไร

            “มีอะไรน่าขำไม่ทราบ” เธอถามเสียงขุ่น สีหน้ายุ่งเหยิง มองเขาอย่างไม่เข้าใจ

            “ผมกำลังคิดว่าในสายตาคุณ ผมเป็นเด็กน้อยขนาดนั้นเชียวเหรอ เรื่องโกนผมน่ะ ผมรู้ว่าคุณทำไปตามหน้าที่ แล้วความจริงผมก็ไม่ได้ห่วงหล่อ แต่ผมมีงานพิธีกรที่ต้องไปทำ แล้วมันก็เป็นงานคอนเสิร์ต ทัพฟ้าคู่ไทยด้วย ไปแบบผมแหว่งๆ ผมคงโดนผู้ใหญ่จัดการแน่ ผมเลยคัดค้านคุณตอนนั้น แต่ในเมื่อมันจำเป็นผมก็เข้าใจ ส่วนเรื่องเบียร์กับเจ้าที่ ผมหวังดีจริงๆ แล้วเพลงที่ร้องเมื่อคืน ผมก็ร้องไปอย่างนั้นเอง หากมันทำให้คุณไม่พอใจ ผมก็ขอโทษด้วย ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมอยากทำความรู้จักคุณ แต่ผมเป็นทหาร ไม่ค่อยรู้จักการเข้าหาผู้หญิง ก็เลยเล่นแรงไปแบบแมนๆ ไม่คิดเลยว่าคุณจะเก็บเอาไปคิดมาก”

            หลังจากฟังประโยคยาวๆ ของเขา ธารธาราก็ถึงกับเหวอ...เขาบอกว่าที่ทำมาทั้งหมดเพราะอยากรู้จัก ด้วยเป็นทหาร จึงไม่รู้จักวิธีเข้าหาผู้หญิง ‘ฮึ...อย่าง ปราณนต์ อิสรบดินทร์ นี่อะนะ นักบินที่มีข่าวแม้กระทั่งกับนางเอกสาวชื่อดัง ใครเชื่อก็ออกลูกเป็นลิงแล้ว’

            “คุณไม่เชื่อเหรอ ว่าผมอยากรู้จักคุณ” เขาหันมาถาม คงเดาได้จากแววตา

            “เปล่าสักหน่อย” เธอตอบในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ เพราะจะต่อความยาวสาวความยืดไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อเรื่องมันจบแบบนี้ก็ดีแล้ว ต่อไปเธอจะได้ไม่ต้องคิดมาก แต่ก็ยังมีปัญหาอีกข้อที่สงสัย

            “แล้วทำไมเมื่อกี้คุณทำหน้าบึ้งใส่ฉันล่ะ หรือว่าคุณไม่อยากมาส่งฉัน จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากรบกวนคุณเลย”

            คำถามนั้นทำให้ปราณนต์อึ้งไปชั่วอึดใจ เขาไม่รู้เลยว่าเขาไปทำหน้าบึ้งใส่หญิงสาวเมื่อไร และก็ยอมรับว่าอารมณ์เขาไม่สู้ปกตินัก ตั้งแต่เห็นเธอนั่งกินข้าวกับต้นตระการ ธรรมดาเขาไม่ได้กินข้าวที่ร้านนั้นหรอก พอดีขับรถผ่านมาแล้วเห็นทั้งคู่นั่งอยู่ด้วยกัน รู้ตัวอีกทีก็ขอเข้าไปนั่งเป็นหมาหวงก้างเรียบร้อยแล้ว แต่จะบอกไปแบบนั้น มันก็ทำให้เขารู้สึกกึ่งๆ เสียฟอร์ม เพราะตอนนี้ดูเธอไม่คิดจะสนใจเขาเลย

            เมื่อไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงต้องแก้ตัวไปก่อน “หน้าปกติของผมเป็นแบบนั้น โอเค ตอนนี้ยิ้มแล้ว ใช้ได้หรือยัง” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็หันมายิ้มทะเล้นใส่

ธารธาราได้แต่งงกับอาการผีเข้าผีออกของคนข้างๆ เธอตามอารมณ์เขาไม่ทันเลยจริงๆ

และเมื่อเห็นเธออึ้ง ปราณนต์ก็รีบอธิบาย “ผมบริสุทธิ์ใจ สาบานเลยก็ได้ แล้วก็ยินดีมากที่คุณมาเป็นเพื่อนบ้าน และเต็มใจที่จะขับรถมาส่งคุณด้วย”

พอเขายืนยันแบบนั้น เธอก็รู้สึกอายนิดๆ เหมือนกัน ที่ทำตัวเวิ่นเว้อ คิดมากทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเลยสักนิด จึงตอบแก้เก้อไป “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”

            ชายหนุ่มยิ้มให้ แต่ยังคงล้อเลียน “จริงเหรอที่ไม่ได้ว่าอะไร เขาว่ากันว่าผู้หญิงถ้าพูดแบบนี้ จะต้องมีอะไรสักอย่าง”

            “ไหนคุณบอกว่าไม่ค่อยรู้จักผู้หญิงไง แล้วทำไมทำเหมือนรู้จิตใจของผู้หญิงดี”

            ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะทันทีเมื่อได้ฟังคำยอกย้อน พลางยกมือขึ้นอย่างยอมจำนน ก่อนที่มันจะเข้าตัวไปมากกว่านี้ “โอเค ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร”

            ธารธาราที่ได้แต่นั่งเฉยๆ ถึงอย่างนั้นเธอก็สัมผัสได้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ ดูเหมือนการอยู่ใกล้เขาจะอันตรายกว่าที่คิด เห็นทีคงต้องหลีกหนีให้ไกล เพราะเธอไม่อยากใจแตกตอนอายุเกือบจะสามสิบ

            ปราณนต์ขับรถไปส่งเธอถึงหน้าบ้าน แต่เมื่อไปถึง เธอกลับพบว่าน้องชายร่างยักษ์ของเธอยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงท้ายรถกระบะของตัวเอง หญิงสาวตกใจเพราะเธอกังวลว่าพ่อแม่อาจจะเป็นอะไรหรือเปล่า ภูผาจึงมาหาเธอโดยที่ไม่บอกกล่าวก่อนเช่นนี้ เธอจึงเปิดประตูรถของปราณนต์แล้วลงไปหาน้องชายทันที

            “ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์” ภูผาถามด้วยน้ำเสียงห้วนสนิทเมื่อเห็นหน้าเธอ

            “โทร. มาเหรอ?” มือเล็กล้วงเข้าไปในกระเป๋าเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วหน้าก็เหลือแค่สองนิ้ว เมื่อพบว่าตัวเองปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้

            “ก็เออน่ะสิ ร้อยสายได้แล้วมั้ง”

            ธารธาราได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อมองหน้าจอ แม้ภูผาจะพูดเว่อร์ไป เพราะจริงๆ แล้วแค่สี่สิบสองสายเท่านั้น แต่ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติที่ใครจะโทร. หากันหลายครั้งขนาดนี้อยู่ดี “ขอโทษที พอดีเข้าไปรายงานตัวที่ห้องผู้การ ก็เลยปิดเสียงเอาไว้น่ะ”

            “เกือบจะกลับไปอยู่แล้วนะนี่”

            “ขอโทษจริงๆ” เธอขอโทษขอโพยน้องชายอีกครั้ง เพราะรู้ว่าตัวเองผิดจริง “ว่าแต่มาหาพี่ มีอะไร”

            “แม่ให้เอารถมอเตอร์ไซค์มาให้”

            พอน้องบอก ธารธาราก็เพิ่งสังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าของตัวเองที่ซื้อไว้ตั้งแต่สมัยมัธยมเพื่อขับไปโรงเรียนที่บรรทุกอยู่บนรถกระบะของน้อง ซึ่งตอนที่จอดอยู่ที่บ้าน มันแทบจะไม่ถูกใช้งาน เพราะพ่อกับแม่ต่างก็มีกันคนละคัน ส่วนน้องชายเธอก็ขับรถกระบะเป็นหลัก ดังนั้นทางบ้านจึงลงความเห็นว่า เธอควรเอารถคันนี้มาใช้ เพื่อให้สะดวกสำหรับการเดินทางไปไหนมาไหนในกองบิน

            “แม่น่ารักจัง งั้นก็เอาลงมาเลยสิ”

            “สองคนน่ะนะ บ้าเหรอ ไปหาใครมาช่วยหน่อยสิ” ภูผาโวยเสียงดัง เพราะแม้ตัวเองจะร่างใหญ่ แต่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็หนักเป็นร้อยกิโลกรัม ดังนั้นจึงคิดว่าไม่น่าจะยกกันกับพี่สาวซึ่งมีรูปร่างบอบบางคนนี้ไหวแน่

            แล้วอัศวินขี่ม้าขาวก็ก้าวเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่เพิ่งอาสาพาธารธารามาส่งที่บ้านนั่นเอง

            “พี่ช่วยเอง”

            ธารธาราหันไปมองเขา รู้สึกเกรงใจเขาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเธอรบกวนเขาถึงสองครั้งติดแล้ว จึงพยายามเลี่ยงการแสดงน้ำใจของเขา เกรงว่าเขาจะต้องมาเสียหน้าที่การงานเพราะเธอ “แต่คุณจะไปฝูงไม่ใช่เหรอ ฉันว่าคุณไปเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันกับน้องจัดการกันเอง”

            “ยังมีเวลาอีกประมาณห้านาที” เขายังคงยืนกรานเจตนารมณ์ความเป็นคนมีน้ำใจ

            แน่นอนว่าภูผาไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอย น้องชายของธารธาราขานรับการช่วยเหลือจากหนุ่มแปลกหน้าในทันที “งั้นรบกวนด้วยนะครับพี่”

            “ได้ครับ” ปราณนต์กล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะขยับตัวเข้ามาใกล้รถกระบะเพื่อช่วยภูผายกรถมอเตอร์ไซค์ลงมา

            ธารธาราเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะเข้าไปช่วยยกที่มุมไหนดี เมื่อสองหนุ่มเข้ามายืนกันจนเต็มพื้นที่ แล้วสุดท้ายเธอก็ถูกบั้นท้ายของน้องชายเบียดจนกระเด็นออกไป

            “หลบไปสิ”

            “ก็จะช่วยไง” เธอยังคงเดินเข้ามา ไม่อยากยืนดูอยู่เฉยๆ

            ภูผารีบแทรกตัวแล้วกระซิบเสียงเข้ม “อย่ามาโชว์ความถึกแถวนี้ได้ไหม ผู้หญิงมันต้องบอบบางบ้าง ไม่งั้นจะหาผัวได้ไง ผู้ชายที่ไหนจะชอบผู้หญิงถึกๆ”

            ธารธาราหน้าแดงก่ำ เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองโกรธหรืออาย และอดเหลือบมองหน้าหนุ่มข้างบ้านไม่ได้ ภาวนาว่าเขาจะไม่ได้ยินในสิ่งที่น้องชายตัวดีพูด

            แล้วเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าสีหน้าเขายังคงปกติ

            “ไอ้น้องบ้า” ธารธาราทุบบ่าล่ำสันของน้องชาย โทษฐานที่ทำให้เธอใจหายใจคว่ำ แต่ยักษ์อย่างภูผาหรือจะสะทกสะท้าน ฝ่ายนั้นหันมาปรายตามองแล้วกล่าวไล่

            “หลีก...”

            ธารธาราจำต้องถอยออกมา เธอไม่อยากต่อปากต่อคำกับภูผาให้อายคนอื่น

            ชายหนุ่มร่างยักษ์โหนตัวขึ้นไปบนรถกระบะแล้วปลดเชือกที่มัดล้ออยู่ จากนั้นก็ส่งสัญญาณกับหนุ่มนักบินที่จับล้อหลังของรถเอาไว้ เพียงแค่พริบตา รถมอเตอร์ไซค์เกือบหนึ่งร้อยกิโลกรัมก็ถูกยกลงมาจอดนิ่งอยู่ตรงพื้นซีเมนต์ด้านล่าง

            “ขอบคุณมากนะครับพี่” ภูผาหันไปพูดกับผู้มีจิตอาสาด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากการพูดกับพี่สาวราวฟ้ากับเหว

            ปราณนต์ยิ้มตอบ กล่าวด้วยกิริยาแบบพระเอ๊กพระเอก “ไม่เป็นไรครับ พี่ยินดี”

            ภูผารู้สึกถูกชะตากับเพื่อนบ้านของพี่สาว หนุ่มหน้ามนคนนี้ตรงสเปกไปเสียทุกอย่าง เหมาะอย่างยิ่งที่จะตีหัวแล้วลากเข้าบ้านให้พี่สาวไปทำมิดีมิร้าย...แต่นั่นมันคงทำได้แค่ในยุคหิน เพราะหากทำอย่างนั้นจริงคงถูกจับเข้าซังเต ดังนั้นจึงเริ่มแผนด้วยวิธีซิวิไลซ์ นั่นก็คือใช้การผูกมิตรนำทาง “พี่อยู่บ้านข้างๆ นี้ใช่ไหมครับ”

            “ครับ”

            “ผมฝากพี่สาวผมด้วยนะครับ พี่สาวผมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ บอบบาง อ่อนแอ ขี้กลัว กลัวแม้กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ อย่าง จิ้งจก กบ เขียด ปลิง และก็แมลง พี่ผมกลัวหมดเลยครับ ถ้าพี่ว่างยังไง ก็ช่วยโผล่หน้ามาดูให้หน่อย เดี๋ยวจะตายอยู่ในบ้านคนเดียวแล้วกลายเป็นผีขี้เหงา น่าสงสารได้อีก”

            ธารธาราหันไปมองน้องอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะหันไปมองปราณนต์ด้วยอาการตื่นตะลึงยิ่งกว่า ซึ่งเธอก็คิดว่าไม่ควรหันไปมองเขาเลย เมื่อเขาส่งยิ้มแบบแปลกๆ มาให้

            “เพิ่งรู้ว่าคุณกลัวกบ กลัวเขียด”

            “กลัวครับ กลัวมาก แหม...ก็มันหน้าตาน่าเกลียดขนาดนั้น ผู้หญิงคนไหนก็ต้องกลัว ใช่ไหมพี่น้ำ”

            แน่นอนว่าคนตอบไม่ใช่ธารธารา แต่เป็นน้องชายผู้หวังดี ซึ่งกลายเป็นประสงค์ร้ายต่อพี่สาว ธารธาราได้แต่ยืนอึ้ง คิดถึงเรื่องเมื่อเช้ากับคำพูดของน้องชายในตอนนี้แล้วอยากผูกคอตายใต้ต้นหญ้าที่เธอเหยียบเดี๋ยวนี้เลย

            ปราณนต์หันมายิ้มให้ธารธาราอีกครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มที่ปนเปความขบขันมากกว่าอย่างอื่น ก่อนจะหันไปบอกกับภูผา “ครับ ไม่ต้องห่วง พี่จะช่วยดูให้อย่างดี แต่ตอนนี้คงต้องขอตัวก่อนนะครับ”

            “ได้ครับ ขอบคุณพี่มากๆ อีกครั้งนะครับ”

            ร่างสูงหันหลังกลับไปยังรถเอสยูวีของตัวเอง ก้าวขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับแล้วเลี้ยวรถออกไปทางที่มุ่งสู่ฝูงบิน

            เมื่อคล้อยหลังปราณนต์ ธารธาราก็หันมามองหน้าน้องด้วยตาลุกวาวอย่างขุ่นเคืองหนัก ที่น้องชายตัวดีเอาเธอไปขาย โดยที่ไม่รู้เลยว่าเธอทำอะไรเอาไว้แล้วบ้าง

            “ไปบอกเขาอย่างนั้นได้ไง ฉันเคยกลัวที่ไหนไอ้สัตว์พวกนั้น” หญิงสาวหันไปแหวน้องชายตัวดี

            ภูผาหันมามองพี่สาวทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ทำไม หรือพี่ไปโชว์ความถึกอะไรให้เขาเห็นแล้ว”

            “ก็เออสิ เพิ่งไปจับเขียดมือเปล่าต่อหน้าเขามาเมื่อเช้านี้เอง” เมื่อพูดถึงเหตุการณ์นั้นก็ทำให้หน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ภาพความแนบชิดนั้นยังคงติดตา ทั้งที่เธอตั้งใจว่าจะลืมมันให้หมดไปจากใจ

            ภูผามองพี่สาวตัวเองด้วยอาการตื่นๆ จนตาแทบจะถลนออกจากเบ้า แล้วเอามือขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง ก่อนจะรูดลงมาอย่างช้าๆ เหมือนคนที่กำลังอยู่ในอาการสิ้นหวัง โลกที่วาดฝันไว้ทลายลงต่อหน้าต่อตา

            “โอ๊ย อะไรนี่ ปล่อยไว้แค่วันเดียว พี่ก่อเรื่องแล้วเหรอ โหย...ว่าที่พี่เขยสุดเพอร์เฟกต์หลุดลอยไปจากมือไอ้หินแล้ว ทำไมนะทำไม มีพี่สาวกับเขาคนหนึ่ง ดันไม่เหมือนผู้หญิงสักกระติ๊ด”

            “พี่ขงพี่เขยอะไร พูดจาน่าเกลียด”

            “ก็ผมชอบเขาอะ หรือพี่ไม่ชอบ”

ธารธารารีบเอามือตะครุบปากมอมๆ ของน้องชายตัวเองทันที กลัวเหลือเกินว่าใครจะมาได้ยิน เพราะไม่ใช่เรื่องดีงามเอาเสียเลย “ไอ้บ้า อย่าพูดอย่างนี้อีก ถ้าไม่อยากตาย”

            ภูผาแกะมือของพี่สาวจากปาก ทำหน้าปูเลี่ยนๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงรสชาติแปลกๆ ที่ปาก “ไปจับอะไรมานี่ มือเค็มปี๋เลย โอ๊ย ผู้หญิงอะไรมือเค็ม เขามีแต่มือหอมๆ ไม่ได้ดั่งใจสักอย่างเลยพี่น้ำนี่”

            “แอลกอฮอล์เจลไง ที่เขาเอาไว้ล้างมือ กินเข้าไปเลย กินเข้าไป จะได้ฆ่าเชื้อในปาก” ผู้เป็นพี่พยายามจะเอามือไปอุดปากน้องชายอีกครั้ง แต่ภูผาก็พยายามหนี และแน่นอนว่าด้วยส่วนสูงของน้องที่มากกว่าเกือบหนึ่งไม้บรรทัด ทำให้เธอเสียเปรียบ น้องชายจึงสะบัดหลุดจนหนีห่างออกไปยืนทำท่าพะอืดพะอมอยู่ข้างรถกระบะ

            เมื่อทำอะไรไม่ได้ ธารธาราได้แต่พ่นลมหายใจออกมาเพื่อระบายอารมณ์ “ไปๆ กลับไปได้แล้ว ไม่อยากเห็นหน้าแล้ว” หญิงสาวเอ่ยปากไล่

            “ไม่อยากเห็นหน้าพี่น้ำแล้วเหมือนกัน อารมณ์เสีย” แต่ก่อนที่จะไป ภูผาก็แผลงฤทธิ์อีกครั้ง “เจ้าข้าเอ๊ย...ใครสอยผู้หญิงคนนี้ลงจากคานได้ ไอ้หินแถมข้าวให้ร้อยกระสอบเลยเจ้าข้า”

            สุดจะทนแล้ว ธารธาราถึงขั้นชี้หน้าน้องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน “ไอ้หิน จะกลับดีๆ หรือว่ากลับทั้งน้ำตา”

แต่สิ่งที่น้องชายทำคือย่นหน้าล้อเลียนอย่างไม่เกรงกลัวผู้เป็นพี่สักนิด ก่อนจะสะบัดหน้าพรืด เดินไปขึ้นรถกระบะของตัวเองแล้วขับรถตามปราณนต์ไปโดยไม่ร่ำลา

            ธารธาราได้แต่ยืนเต้นแร้งเต้นกาตามลำพัง ปวดหัวจี๊ดๆ ขึ้นมา แล้วจากนี้เธอจะมองหน้าเพื่อนบ้านได้อย่างไร ไอ้น้องชายบ้า จะขายกันทั้งที ทำไมไม่ปรึกษา จะได้ให้ขายอะไรที่มันดีๆ หน่อย

            แต่พอคิดอีกที เธอจะมีอะไรดีๆ ที่พอพรีเซนต์ได้บ้าง เฮ้อ...เหมือนว่าจะไม่มีเลย

            ไม่รู้แล้วเว้ย...ปวดหัว เข้าบ้านนอนดีกว่า เผื่อตื่นขึ้นมาเหตุการณ์นี้อาจจะกลายเป็นแค่เพียงฝันร้ายเท่านั้น

 

เพราะฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงเย็น แล้วมาหยุดเอาตอนเกือบค่ำ ทำให้แผนที่จะไปวิ่งออกกำลังกายรอบบึงบัวของธารธาราเป็นอันต้องยุติ หญิงสาวกลับมานั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่ในบ้านอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ จนกระทั่งเห็นว่าเกือบหนึ่งทุ่ม เธอจึงลุกขึ้นจากที่นอนอย่างเกียจคร้านเพื่อลงมาอาบน้ำที่ห้องน้ำชั้นล่าง เพราะเกรงว่าหากอาบค่ำกว่านี้ อุณหภูมิน้ำจะเย็นเกินไปแล้วอาจทำให้ไม่สบายเอาได้

แต่ก่อนที่จะเข้าห้องน้ำ เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น ตอนแรกเสียงนั้นไม่ชัดเท่าไรนัก จนต้องเงี่ยหูฟัง แล้วเธอก็พบว่ามันน่าจะดังมาจากข้างนอก

            เมี้ยว...เมี้ยว...เมี้ยว

            เสียงลูกแมว บางทีมันอาจจะพลัดหลงกับแม่ ความกังวลใจนั้นทำให้ธารธาราเปิดประตูหลังบ้านเพื่อออกไปตามหา เพราะหากฝนเทลงมาอีกครั้ง มันต้องลำบากแน่

            เสียงร้องของลูกแมวยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่พอพ้นรัศมีของบ้านเธอก็มีแต่ความมืด เพราะไม่มีบ้านหลังไหนเปิดไฟหลังบ้านเอาไว้ เธอจึงคิดจะกลับไปเอาไฟฉาย แล้วค่อยกลับมาหามันใหม่

            เท้าหมุนกลับเร็วอย่างใจคิด แต่เมื่อหมุนเท้าไปแล้วเธอก็พบบางอย่างตรงหน้า และสิ่งนั้นอยู่ห่างจากเธอแค่คืบเดียว

            “อุ๊ย ตาเถร!” เธออุทานออกมาอย่างอดไม่อยู่ พร้อมทั้งถอยไปสองก้าวโดยอัตโนมัติ แต่เพราะพื้นเปียกจากฝนที่ตกลงมาทำให้เธอลื่นและเสียการทรงตัว เดชะบุญที่มีบางอย่างมาดึงเธอเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงได้ล้มก้นกระแทกพื้นเป็นแน่

            แต่พอตั้งสติได้ เธอก็ชักไม่แน่ใจว่าเป็นบุญหรือเปล่า เมื่อพบว่าคนที่ช่วยเธอเอาไว้คือเพื่อนบ้านที่น้องชายเพิ่งก่อเรื่องขายหน้าเขาไปเมื่อตอนกลางวัน

            “เป็นอะไรหรือเปล่า”

            “ปละ...เปล่า” เธอบอกพร้อมกับขืนตัวออกห่างจากอ้อมแขนของเขา ใจเต้นแรงเหมือนมีกลองรบอยู่ภายใน

            ปราณนต์ปล่อยเธอแต่โดยดี ก่อนที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะดุ “ออกมาทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ”

            ‘ดุทำไม’ นั่นคือสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยอมตอบคำถามเขา เพราะอาจจะขอให้เขาช่วยตามหาอีกแรงหนึ่ง

            “ฉันได้ยินเสียงแมวร้อง ก็เลยออกมาดู”

            “ลูกแมวน่ะ มันตกอยู่ในท่อ ผมเลยจะช่วยมัน แต่ว่ามองไม่เห็น เลยว่าจะไปหาที่วางไฟฉาย”

            คำตอบของเขาทำให้เธอรู้ว่าปราณนต์ได้พบกับสิ่งที่เธอกำลังหาก่อนหน้าแล้ว และเมื่อได้รับการยืนยันว่ามันเป็นลูกแมวจริงๆ เธอก็ไม่ลังเลเลยที่จะอาสาช่วยเหลือ “ไหน อยู่ตรงไหน เดี๋ยวฉันถือไฟฉายส่องให้คุณเอง”

            “ตรงโน้น ตามมาสิ”

            ธารธาราเดินตามปราณนต์ไปทันที และอดรู้สึกแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเชื่อเขาง่ายๆ ยอมเดินตามไปยังทางที่มืดและเปลี่ยว ทั้งที่เขาเป็นเพียงผู้ชายซึ่งเพิ่งจะรู้จักกันอย่างจริงจังได้ไม่กี่วัน

            ปราณนต์หย่อนตัวลงไปในหลุมซึ่งเป็นทางเปิดด้านบนของท่อระบายน้ำโดยไม่กังวลว่าตัวเองจะเปื้อนสักนิด ส่วนธารธาราก็ทำหน้าที่ส่องไฟฉายให้ ในขณะเดียวกันก็อดชะโงกหน้าลงไปมองไม่ได้

            “เห็นอะไรบ้างไหมคุณ”

            เธอร้องถามด้วยความใจร้อน แล้วเขาก็ตอบกลับมาด้วยการยื่นบางอย่างมาให้ดู เมื่อมองชัดๆ ก็เห็นว่าเป็นลูกแมวขะมุกขะมอมตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาดเล็กมาก นั่นเพราะขนของมันเปียกจนลู่แนบไปกับตัว

            “ลูกแมว อายุได้สักเดือนหรือยังนี่”

            “น่าจะได้นะ”

            คำตอบของเขาทำให้เธอกังวล ลูกแมวตัวนี้อายุน้อยมาก ซึ่งจากเสียงร้องของมันฟังดูอ่อนแรงมาก มันอดอาหารมานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้

            “แล้วแม่มันล่ะ”

            “ไม่รู้สิ ไม่เห็นเลย” เขาตอบพลางปีนขึ้นมาจากท่อ ซึ่งธารธาราก็พบว่าเนื้อตัวของเขาเปื้อนไปหมด แต่ตอนนี้เธอไม่มีเวลาสนใจเขาหรอก เพราะที่น่ากังวลกว่าคือลูกแมวตัวนี้

            “แล้วจะทำยังไงดี” เธอขอคำปรึกษา

            “คงต้องเอาไปล้างตัวก่อน แล้วหาที่นอนอุ่น ๆ ให้มัน ดูสิ หนาวจนตัวสั่นเลย”

            จริงอย่างเขาว่า เธอจึงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วรีบเดินตามเขาเข้าสู่เขตบ้านพัก

            เพราะความเป็นห่วงลูกแมวที่น่าสงสาร ทำให้ธารธาราไม่ได้เลี้ยวกลับเข้าบ้านตัวเอง แต่ตามไปสังเกตการณ์ เผื่อว่าเขาจะขอความช่วยเหลือ

            แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านพักเขา ปราณนต์ก็ร้องขอให้เธอทำอะไรบางอย่างให้

            “กุญแจอยู่ในกระเป๋ากางเกงผม ล้วงหยิบให้หน่อยสิ”

            คำขอนั้นทำให้เธอตาโต ทำไมเขาถึงกล้าบอกให้เธอทำอะไรแบบนั้น จึงรีบปฏิเสธ “คุณก็ล้วงเอาเองสิ”

            “มือผมเปื้อน แล้วก็เปียกด้วย ในนั้นมีโทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวจะโดนน้ำ ถ้าเกิดเสียขึ้นมาก็ต้องไปเสียเงินซื้อเครื่องใหม่อีก”

            เหตุผลของเขาฟังขึ้นทีเดียว ธารธารามองมือเขาสลับกับกระเป๋ากางเกงเขาอย่างลังเล ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจทำตามที่เขาบอก ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขา ซึ่งแม้กางเกงฟุตบอลจะมีเนื้อกระเป๋าที่ให้ล้วงค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับกางเกงยีนหรือกางเกงเครื่องแบบแล้วผ้ามันก็บาง ล้วงเข้าไปแล้วจึงโดนต้นขาของเขา ใจเธอเต้นจึงระส่ำอย่างบอกไม่ถูก

            ฝั่งเขาก็ใช่ย่อย เมื่อเธอล้วง เขาก็ขยุกขยิกตัว จนเธอไม่สามารถหยิบของที่เขาต้องการขึ้นมาได้ จึงเอ็ดไปเบาๆ ทีหนึ่ง

            “อยู่นิ่งๆ สิ”

            “ก็มันจักจี้” เขาแก้ตัว

            “ถ้าคุณขยับ ฉันก็หยิบไม่ได้”

            “งั้นเอามือออกมาก่อน เดี๋ยวขอผมทำใจแป๊บหนึ่ง”

            ธารธาราจึงเอามือออกจากกระเป๋ากางเกงเขา เธอเห็นเขาหลับตาพึมพำบางอย่างนิดหนึ่ง ก่อนที่จะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

            “โอเค ล้วงได้”

            เมื่อเขาอนุญาต เธอก็ล้วงเข้าไปอีกครั้ง และครั้งนี้เขายืนนิ่งเป็นรูปปั้น แต่เธอแอบเห็นว่าขนของเขาลุกชันขึ้นมา แต่คนอย่างเธอไม่คิดอะไรไปมากกว่าว่าเขาน่าจะหนาว เพราะยืนอยู่ข้างนอกนี้นานแล้ว จึงรีบล้วงหยิบกุญแจให้เสร็จสิ้นไป “ได้แล้ว” เธอร้องบอก เมื่อมือสัมผัสกับกุญแจ

            “หยิบออกมาเลย”

            เธอทำตามที่เขาบอก มันเป็นพวงกุญแจรูปเครื่องบินกริพเพน ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำตำแหน่งของเขา

            “นั่นแหละ ไขเข้าไปเลย”

            เมื่อเขาบอกอย่างนั้นเธอก็ไขลูกกุญแจเข้าไปในลูกบิด จากนั้นเธอจึงหมุนลูกบิดเข้าไป ทำให้มองเห็นห้องของหนุ่มโสดเป็นครั้งแรก

            แม้เธอจะเคยเข้ามาในห้องรับแขกบ้านเขาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ในวันนั้นเป็นการรีบมาและรีบไป จึงไม่ได้สังเกตอะไรนัก พอมาเห็นอีกครั้ง จึงอดที่จะมองสำรวจไม่ได้

            เนื่องจากบ้านเป็นแปลนเดียวกัน ห้องแรกที่เจอก็คือห้องรับแขก ซึ่งแม้จะเป็นบ้านพักชั่วคราว แต่ก็ดูหรูสมฐานะนักบิน ที่เป็นถึงลูกชายคนเดียวของผู้หลักผู้ใหญ่ในกองทัพ ชุดรับแขกเป็นชุดโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้ม ตรงผนังมีโทรทัศน์จอโค้งรุ่นใหม่ล่าสุด ขนาดห้าสิบห้านิ้ว พร้อมเครื่องเสียงยี่ห้อดัง ซึ่งนี่กระมังคือเครื่องมือที่เขาใช้ร้องเพลงแกล้งเธอในวันนั้น

            “เดี๋ยวไปอาบน้ำที่ห้องน้ำกันนะ แมวน้อย”

            เสียงของเขาดึงความสนใจเธอจากเฟอร์นิเจอร์หรูหราในบ้าน และความใกล้ของเสียงก็ทำให้เธอหันไปมองเขาอีกครั้ง แล้วเธอก็พบว่าเขาอยู่ใกล้เธอ ชนิดที่เรียกว่าแขนเธอกับแขนเขาเกือบจะทับซ้อนกัน เธอจึงขยับออกมานิดหนึ่ง

            “ดูเหมือนมันจะหิวนะ” เธอกล่าวแก้เก้อ รู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวทั้งที่ไม่ได้เป็นไข้

            “มันคงไม่ได้กินอะไรเลย คุณพอจะมีอะไรให้มันกินบ้างหรือเปล่า”

            ธารธาราส่ายหน้า เพราะบ้านพักเธอไม่มีครัว จึงไม่ได้ซื้อของสดตุนเอาไว้เพื่อทำอาหาร อาศัยกินที่ร้านอาหารแทน อีกอย่าง เธอคิดว่ามันไม่น่าจะกินอาหารแบบที่เธอกินได้ เนื่องจากมันยังเล็กเกินไป และเคยเห็นเพื่อนที่เลี้ยงแมวซื้ออาหารเปียกแบบซองมาให้ตอนที่มันยังเล็ก จึงคิดว่าแมวตัวนี้ก็น่าจะกินอาหารแบบนั้นมากกว่า

            “เดี๋ยวฉันไปซื้อที่เซเว่นให้ ฉันเคยเห็นมีอาหารแมวขายที่นั่น” ธารธารากล่าวอาสา เมื่อเห็นว่าเขารับหน้าที่ทำความสะอาดมันไปแล้ว

            “แล้วคุณจะไปยังไง” เขาถามกลับ แววตามีความห่วงใย

            “ก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันที่คุณช่วยยกลงมาไง”

            “งั้นเอารถผมไปดีกว่า นี่กุญแจ”

            นักบินหนุ่มกล่าวพร้อมกับยื่นกุญแจรถให้เธอ แต่ธารธาราไม่กล้ารับ เพราะแม้เธอจะขับรถเป็น แต่ก็ไม่เคยขับรถคนอื่น นอกจากคนในครอบครัว จึงกลัวว่าหากเอาไปขับแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา จะรับผิดชอบไม่ไหว

            “ฉันขี่มอเตอร์ไซค์ไปได้จริงๆ นะ”

            เธอยังคงยืนยัน แต่คราวนี้เขากลับยัดกุญแจรถใส่มือของเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

            “ตอนนี้มันมืดมาก แล้วฝนก็ตกอยู่ด้วย ถึงจะเป็นเขตกองทัพ ผมก็เป็นห่วง”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น