5

บทที่ 5


 

 

หลังธารธารากลับมาจากซื้ออาหารสำหรับแมวหลงทางเสร็จ ฝนก็ยังคงตกอยู่ แต่ไม่ได้หนักมาก ซึ่งจากการรายงานสภาพอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาบอกว่า ฝนจะตกต่อไปอีกสองถึงสามวัน เป็นเรื่องปกติของภาคใต้ยามหน้ามรสุม

            หญิงสาวเคาะประตูบ้าน แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป ปราณนต์ดูเหมือนเพิ่งอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จ เขาอยู่ในชุดกางเกงฟุตบอลสีขาว กับเสื้อกล้ามผ้าร่มสีแดง ผมที่ตัดสั้นยังคงเปียกชุ่ม ซึ่งตอนนี้ถูกเสยขึ้นอย่างลวกๆ เผยให้เห็นดวงหน้ากระจ่างใส ดูเยาว์วัยเหมือนหนุ่มน้อย ไม่ใช่นักบินผู้ทรงภูมิ

            เมื่อเข้าไปข้างนั้นเธอก็มองไม่เห็นเจ้าแมวเหมียวตัวต้นเรื่อง จึงกวาดตามองหา แต่ก่อนที่เธอจะหาเจอ ผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ชี้มือไปยังลังเล็กๆ ที่วางอยู่หน้าโซฟา

            “นั่นไง มันอยู่นั่น”

            ธารธาราชะโงกหน้ามองเข้าไปในลังใบนั้นทันที แล้วเธอก็เห็นว่ามันกำลังขดตัวหลับอยู่ในกองผ้าที่ปราณนต์เอาไปปูไว้ให้ ลูกแมวมอมแมมเมื่อครู่ พอถูกอาบน้ำล้างโคลนออก มันก็กลายเป็นลูกแมวที่น่ารักไม่หยอกเลยทีเดียว พยาบาลสาวคุกเข่าลงตรงหน้ามัน ลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู “อาบน้ำแล้ว น่าดูขึ้นเป็นกองเลย”

            “แล้วอาหารล่ะ” 

            ปราณนต์ถามถึงสิ่งที่เขามอบหมายให้เธอไปซื้อมา ธารธาราจึงยื่นถุงของร้านสะดวกซื้อมาให้ ซึ่งในนั้นก็มีอาหารแมวอยู่หลายซอง แต่ละซองมีรสชาติแตกต่างกันไป

            “ฉันไม่รู้ว่ามันชอบกินรสไหน เลยเหมาซื้อมาหมดเลย”

            “งั้นลองรสทูน่าดูนะ” เขาคว้าถุงจากมือเธอ จากนั้นก็ใช้กรรไกรตัดซองอาหารออกแล้วเทลงในจานขนาดเล็ก ก่อนจะอุ้มแมวน้อยออกมากินอาหารที่เพิ่งเตรียมเสร็จ

            ธารธารามองเขาอย่างเพลิดเพลิน แม้เขาจะเป็นผู้ชาย แต่ท่วงท่าในการจับการอุ้มลูกแมวนั้นเต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว อีกทั้งยังมีความอ่อนโยนและทะนุถนอม จนเธออดที่จะเอ่ยชมไม่ได้ “คุณดูคล่องจัง”

            “แม่ผมเป็นทาสแมว บ้านผมเลี้ยงแมวมาตั้งแต่ผมจำความได้” เขากล่าวพลางลูบหัวเจ้าแมวสีขาวอย่างทะนุถนอม

            “อ๋อ...” เธอตอบรับและเฝ้ามองเจ้าแมวน้อยที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นมาละเลียดอาหารเปียก ซึ่งก็น่าดีใจที่มันยอมกินอาหารที่เธอซื้อมา และดูเหมือนว่ามันจะหิวมาก เพียงไม่กี่นาทีมันก็จัดการอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยงจาน ก่อนจะเดินเอาคางมาถูเธอที ถูชายหนุ่มที คล้ายจะฝากเนื้อฝากตัว

            “เลี้ยงง่ายจัง” ธารธาราอดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมาด้วยความเอ็นดู

            “ผมว่ามันน่าจะมีเจ้าของแล้วพลัดหลงมา เพราะมันดูคุ้นกับคน”

            “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะลองถามดูว่า มีแมวใครหายไปบ้าง”

            “อืม ดี ช่วยกันสองแรง จะได้หาเจอเร็วขึ้น”

            ธารธารากับปราณนต์นั่งมองลูกแมวน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มก็เป็นคนช้อนร่างเล็กๆ ที่มีขนปุกปุยกลับเข้าสู่ที่นอนอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่าตรงข้อศอกของเขามีแผลถลอก จึงชี้ให้เขาดู

            “เอ๊ะ คุณมีแผลนี่ เลือดยังไหลอยู่เลย”

            ชายหนุ่มยกแขนขึ้นมาดู และเมื่อเห็นแผล เขาก็วางแขนลงอย่างเดิมแล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “อ๋อ นี่เหรอ คงเป็นตอนล้มในสนามบอล ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

            ธารธาราไม่อาจปล่อยผ่าน ในฐานะพยาบาล เธอจึงให้คำแนะนำ “คุณควรใส่ยาสักหน่อย”

            “ผมไม่มีเตรียมไว้น่ะสิ”

            “แต่ฉันมี รอแป๊บนะ”

            กล่าวจบเธอก็ลุกขึ้น แล้ววิ่งออกไปทางประตูบ้านเขา กลับเข้าบ้านของตัวเองเพื่อไปหยิบอุปกรณ์ทำแผล ซึ่งเธอมีเตรียมเอาไว้เสมอยามฉุกเฉิน เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง ธารธาราก็พบว่าปราณนต์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ส่วนเจ้าแมวน้อยตอนนี้หลับปุ๋ยไปแล้ว

            “มานั่งตรงนี้ดีกว่า สว่างหน่อย จะได้มองเห็นง่าย” เธอเรียกเขามานั่งบนโซฟาที่มีแสงไฟสว่างกว่า แล้วเริ่มเตรียมอุปกรณ์ทำแผลให้เขา

            ปราณนต์ให้ความร่วมมือแต่โดยดี เขามานั่งข้างๆ ซึ่งก็ทำให้ธารธารารู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก หากคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ มันคงเป็นเรื่องเคมีระหว่างชายกับหญิง หรือที่เรียกให้เข้าใจง่ายว่า เป็นเรื่องของฮอร์โมน ดังนั้นก่อนที่จะสูญเสียความเป็นตัวเอง เธอต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเบี่ยงเบนจากรูปและกลิ่นตรงหน้า สิ่งที่เธอคิดออกในตอนนี้คือการชวนเขาคุย เรื่องอะไรก็ได้

            “ดูเหมือนคุณจะชอบเล่นฟุตบอลมาก” เรื่องฟุตบอลนี่น่าจะดีที่สุด เพราะมันดูกลางๆ ดี อีกทั้งตอนที่เธอเจอเขาที่กรุงเทพฯ เขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการเล่นฟุตบอลมาเหมือนกัน

            “ใช่ ตอนเด็กๆ ผมเคยฝันว่าจะเป็นนักบอลอาชีพ”

            “แล้วทำไมถึงเลือกมาเรียนทหารอากาศ เพราะพ่อแม่เหรอ?” เธอเดาสุ่ม ด้วยรู้ว่าเขาเป็นลูกผู้ใหญ่ในกองทัพ อาจจะมีบุพการีเป็นแรงบันดาลใจ

            “ก็ส่วนหนึ่ง อีกอย่าง เรื่องฟุตบอลผมก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร แค่ถูๆ ไถๆ เล่นได้เท่านั้นเอง แล้วผมก็คงเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ชอบความเร็ว ชอบเครื่องบิน พอโตขึ้นมาก็ยังไม่เลิกชอบ เลยสมัครเข้าเตรียมทหารเหล่า ทอ. ถ้าตอนนั้นไม่ได้ ทอ. ก็คงไปเรียนต่อ ม. ปลาย แล้วค่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าไปอยู่มหาวิทยาลัยจะเป็นยังไง”

            ‘ก็คงมีสาวๆ มาติดตรึม’ นั่นคือสิ่งที่ธารธาราคิดในใจ

“แล้วคุณล่ะ คิดยังไงถึงมาเป็นพยาบาลทหารอากาศ” จู่ๆ เขาก็ถามเธอกลับบ้าง

            “เป็นความหวังของพ่อแม่มั้ง พ่อแม่อยากให้ลูกรับราชการ ฉันก็คิดว่านี่คือคำตอบ” นั่นคือคำตอบแบบสรุปที่น่าจะทำให้เขาเข้าใจได้ง่ายที่สุด เพราะเธอไม่เคยคิดปิดบัง ไม่ว่าใครถาม เธอก็ตอบแบบนี้

            “ก็ดีนะ เพราะมันทำให้เราได้มาพบกัน”

            แม้น้ำเสียงของเขาจะราบเรียบ แต่ก็กระตุกใจคนฟัง ธารธารารู้สึกว่าหัวใจเธอเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย แต่แล้วเธอก็รีบสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป ก็แค่คำพูดธรรมดา ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาว่า หากเธอไม่ใช่พยาบาลทหารอากาศ ก็คงไม่ได้เจอเขาในวันนี้

            “เสร็จแล้ว ฉันขอปิดแผลเอาไว้ก่อนนะ เพราะกลัวว่าเวลาคุณนอน แผลจะไปเสียดสีกับที่นอน แล้วจะหายช้า” เธอบอกเขาแล้วปิดปลาสเตอร์ให้อย่างเบามือ

            “ขอบคุณ”

            “ไม่เป็นไร งั้นฉันกลับก่อนนะ” เธอบอกลา เมื่อคิดว่าสมควรแก่เวลาที่จะกลับบ้านตัวเองแล้ว

            ปราณนต์เป็นเจ้าบ้านที่ดี ช่วยเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงกล่อง แล้วเดินออกไปส่งเธอที่หน้าประตู

            แต่ก่อนที่จะก้าวไป เขาก็เอ่ยลาเธอเบาๆ ด้วยคำว่า

            “ฝันดีนะ”

 

การเริ่มงานวันแรกของธารธาราผ่านไปด้วยดี แม้ว่าจะมีระบบงานที่แปลกใหม่เข้ามาเนื่องจากที่นี่เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ไม่ใช่ขนาดใหญ่อย่างที่เธอเคยทำงานมา ที่นี่จะเน้นการส่งเสริมสุขภาพ และรักษาโรคที่ไม่ได้ซับซ้อน มีการออกนอกพื้นที่แบบหน่วยต่างๆ ในกองทัพ อย่างหน่วยของอากาศโยธินที่ออกไปตรวจสุขภาพพลทหาร หรือโรงเรียนอนุบาลของกองบินที่ออกไปตรวจสุขภาพ และให้วัคซีนแก่เด็กๆ รวมถึงออกหน่อยนอกกองบินเพื่อให้บริการแก่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ซึ่งงานเดิมของเธอนั้นจะเป็นการตั้งรับในโรงพยาบาล เธอจึงต้องค้นตำราออกมาอ่านเพื่อทบทวนความรู้ จะได้ไม่เป็นภาระกับผู้ร่วมงานมากนัก

            ระหว่างที่กำลังอ่านหนังสืออยู่เพลินๆ ตรงห้องรับแขกที่มีเพียงโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็กกับเบาะรองนั่งที่เธอนั่งอยู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา หญิงสาวจึงวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นไปเปิด พบว่าเป็นหนุ่มนักบินข้างบ้านนั่นเอง

            “พาลูกไปโรงพยาบาลกัน”

            เขากล่าวกับเธอทันทีที่เจอหน้า และนั่นทำให้ธารธาราอึ้งไปหลายวินาที ก่อนที่จะครางออกมาเบาๆ

            “ลูก...”

            “อืม ลูกแมวนี่ไง” เขาเปิดกล่องที่ถืออยู่ให้เธอดู

            ธารธาราเกือบค้อนเขาที่ไม่พูดให้ครบ แต่เธอไม่ใช่ผู้หญิงสายหวาน ที่จะมีจริตจะก้านกับใครเขา จึงชะโงกหน้าไปมองอย่างเป็นกังวล “ทำไมต้องพาไปโรงพยาบาลสัตว์ด้วย มันป่วยเหรอ”

“พาไปตรวจสุขภาพ เราคงต้องรับเลี้ยงมันแล้ว”

นั่นคือคำตอบที่เธอได้จากปากเขา และก็ทำให้เธอประหลาดใจไม่น้อย จึงชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “เรา?”

            “ใช่” เขายืนยัน “อย่ามาปัดความรับผิดชอบนะ เพราะวันนั้นเราเจอมันด้วยกัน ดังนั้น คุณกับผมต้องช่วยกันเลี้ยงดูมัน หรือมีอะไรจะค้าน”

            “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย” เธอกล่าวอุบอิบ จะค้านอะไรได้ล่ะ ในเมื่อถูกเขามัดมือชกขนาดนี้ ถ้าปฏิเสธก็คงกลายเป็นแม่ที่ไม่ดี ทอดทิ้งลูกไปในทันที

            “งั้นไปเถอะ เดี๋ยวมืดแล้วโรงพยาบาลจะปิดเสียก่อน”

            “ขอฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสักเดี๋ยวได้ไหม” เธอกล่าวกับเขา เพราะตอนนี้อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้นที่เอาไว้สวมเวลาอยู่บ้าน ไม่เหมาะแก่การออกไปพบหน้าประชาชนสักเท่าไร

            “ได้สิ เดี๋ยวผมไปรอที่รถนะ”

           

เมื่อประตูบ้านปิดลง ธารธาราก็วิ่งขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองอย่างด่วนจี๋ สิ่งแรกที่ทำคือส่องกระจก เงาที่สะท้อนออกมาคือหญิงสาวหน้าตาธรรมดา ติดจะจืดชืด แป้งที่ผัดไว้ตั้งแต่ตอนเช้าเลือนไปหมดแล้ว เหลือแต่หน้าสด ดีหน่อยที่ตั้งแต่โตมาก็ไม่เคยมีสิวฝ้ามากล้ำกราย ทำให้ใบหน้าเธอค่อนข้างเนียนใส แต่ส่วนประกอบอย่างอื่น เฮ้อ...เธอได้แต่ถอนหายใจเบาๆ กับสารรูปของตัวเองในตอนนี้

            นี่เธอเอาหน้าที่มันแผล็บ และผมที่ยุ่งรุงรังไปปะหน้ากับหนุ่มสุดฮอตของกองบินหรือนี่ คิดแล้วก็อยากมุดกำแพงหนีตายเสียเหลือเกิน

            แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ก็เธอเป็นของเธออย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ตอนจบมาใหม่ๆ คิดอยากจะสวยกับใครเขาเหมือนกัน จึงลองซื้อเครื่องสำอางมาแต่งหน้า แต่นั่งประดิดประดอยอยู่ได้สองสามวัน เธอก็พบว่ามันทำให้เธอเสียเวลาไปร่วมครึ่งชั่วโมง ซึ่งก็มากพอที่จะทำให้เธออดอาหารเช้า และหากจะตื่นให้เร็วกว่านี้อีก ก็ทำไม่ไหว ท้ายที่สุดจึงเหลือแค่แป้งตลับกับลิปสติก ที่ปาดๆ ถูๆ สองสามทีบนใบหน้าแล้วส่องกระจก พอเห็นว่าตนเองพอดูได้แล้ว จึงออกไปข้างนอกแบบนี้ทุกครั้ง

            พยาบาลสาวเหลือบมองเครื่องสำอางบนโต๊ะเครื่องแป้ง เธอไม่ได้คิดจะแต่งไปอวดใคร แต่คิดถึงความเหมาะสมเป็นอันดับแรก การเข้าเมืองก็ควรจะออกไปอย่างถูกกาลเทศะ แต่งตัวแต่งหน้าไปบ้าง ไม่ใช่ปล่อยตัวเองไปแบบโทรมๆ จะพลอยทำให้คนที่ไปด้วยเกิดความอับอาย

            บนโต๊ะที่มีเพียงแป้งกับลิปสติกสองอย่างนี้ หากจะวัดความเป็นกุลสตรีธารธาราคิดว่าตัวเองคงห่างชั้นจากคำนั้นมาก แต่ช่างปะไร เอาแค่พอดูได้ก็น่าจะเพียงพอ จึงยกตลับแป้งขึ้นมาผัดหน้า ก่อนที่จะหยิบลิปสติกสีกุหลาบมาทาที่เรียวปาก หยิบแปรงขึ้นมาแปรงผมแล้วมัดรวบใหม่ เป็นอันว่าเรียบร้อย

            หญิงสำรวจตัวเองหน้ากระจกอีกครั้ง เมื่อพบว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็หยิบกระเป๋าถือออกจากห้องนอนไป เพราะไม่อยากให้เขารอนาน

            เมื่อออกมาหน้าบ้านเธอก็พบว่าปราณนต์กำลังหยอกล้อกับลูกแมวอยู่ภายใต้แสงตะวันยามเย็น ทำให้ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์ขึ้นอีกหลายเท่า แม้เขาจะเป็นทหาร แต่ผิวก็ขาวจนเธอยังรู้สึกอาย ตัดกับคิ้วที่เข้มเหนือดวงตาชั้นครึ่ง จมูกโด่งยังกับผู้หญิง ส่วนริมฝีปากบางนั้นก็เป็นสีชมพูระเรื่อโดยไม่ต้องพึ่งลิปสติก

            พระเจ้าช่างใจร้าย ทำไมถึงสร้างผู้ชายคนนี้ออกมาได้สวยนัก ในขณะที่เธอ...เฮ้อ นี่ถ้าตัดผมสั้นแบบทอมบอย ผู้คนคงคิดว่าเป็นผู้ชาย

            แล้วจู่ๆ เขาก็หันมา เป็นเหตุให้เธอได้สบตาเขากับอีกครั้ง และแน่นอนว่า เขาต้องรู้แล้วว่าเธอแอบมองเขาอยู่

            เลือดฝาดร้อนๆ พวยพุ่งขึ้นสู่ผิวหน้า และก็ทำให้เธออึกอักด้วยความประหม่า ยืนเก้ๆ กังๆ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป

            แต่ปราณนต์กลับไม่มีปฏิกิริยาผิดปกติใดๆ หันมาถามเธอด้วยน้ำเสียงธรรมดา “คุณเสร็จแล้วใช่ไหม งั้นก็ไปกันเถอะ”

            เขาทำหน้าที่สุภาพบุรุษ เดินมาเปิดประตูรถข้างคนขับให้เธอขึ้นไปนั่ง และทันทีที่รัดเข็มขัดเรียบร้อย บางอย่างก็ถูกวางลงบนตักของเธอ

            “ดาร์ลิง”

เสียงทุ้มกังวานดังอยู่ข้างหู หวานละมุนจนทำให้ใจเธอเตลิด หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาโดยอัตโนมัติ แล้วก็พบว่าเขามองเธออยู่ก่อนแล้ว ด้วยดวงตาที่สุกสกาวพร่างพราว

            ‘เอายาดมยาหอมไหม’ นั่นคือสิ่งที่เธอถามตัวเองในใจ เมื่อสายตาคู่นั้นกำลังทำให้ใจเธอหวิวคล้ายจะเป็นลม แต่แล้วเขาก็ดับฝันเธอด้วยคำพูดแค่ประโยคเดียว

            “ดาร์ลิง ไปอยู่กับแม่ก่อนนะลูกนะ” ธารธาราก้มลงมองลูกแมวสีขาวบนตักทันที

            คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อตีความหมายในคำพูดของเขาอย่างกระจ่างว่า ดาร์ลิงไม่ได้หมายถึงเธอ แต่หมายถึง...

            “คุณตั้งชื่อมันว่าดาร์ลิงเหรอ”

            “ใช่ มันชอบด้วยนะ ไม่เชื่อคุณลองเรียกดูก็ได้”

            เพล้ง! เธอรับรู้ถึงอาการแหลกละเอียดของใบหน้าตัวเอง ที่เขาบอกกันว่าหน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บนี่มันเป็นอย่างนี้เองสินะ แต่จะโทษใครได้นอกจากตัวเองที่เผลอมโนไปไกล ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าคนที่เพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบเขา ไม่มีวันที่จะเรียกเธออย่างนั้นแน่

            “ฉันไม่ใช่แม่มันสักหน่อย” เธอบ่นอุบอิบเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย นี่เธอกำลังคิดว่าตัวเองเป็นนางซิน ที่มีเจ้าชายมาสวมรองเท้าแก้วให้อย่างนั้นเหรอ เพ้อไปไกลเหลือเกิน

            ปราณนต์ยักคิ้วให้เธอครั้งหนึ่งคล้ายกับล้อเลียน ก่อนจะปิดประตูรถ แล้วอ้อมไปยังฝั่งคนขับเพื่อสตาร์ตรถออกจากเขตบ้านพัก มุ่งเข้าสู่ตัวเมือง

            เพราะเพิ่งรู้จักกัน ความสัมพันธ์จึงยังค่อนข้างก้ำกึ่ง ดังนั้นระหว่างการเดินทาง ทั้งคู่ต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกัน มีเพียงเพลงสากลยุค ๒๐๐๐ ที่ดังออกจากเครื่องเสียงติดรถยนต์ชั้นดีเป็นตัวขับกล่อม ซึ่งมันก็ทำให้ธารธารารู้สึกผ่อนคลายและแอบครวญเพลง “I miss you like crazy” ของสี่พี่น้องตระกูล The Moffatts ในใจพลางนึกถึงวันวานที่ผ่านมาเป็นสิบปี

            “โรงพยาบาลมันอยู่ตรงไหนนะคุณ”

            เสียงของคนข้างกายดึงให้เธอตื่นจากภวังค์เพลงหวาน เมื่อมองไปนอกหน้าต่างก็พบว่าเขาเลี้ยวรถเข้าสู่ตัวเมืองแล้ว นี่ที่เขาชวนเธอมาด้วย คงไม่ได้คิดว่าเธอรู้ทางหรอกนะ

            สาวหันไปทางเขา แล้วสายตาที่ประสานกลับมาคือ เขาต้องการคำตอบจากเธอจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น ธารธาราจึงยิ้มอย่างจืดเจื่อน ก่อนจะสารภาพ “จะว่าอะไรไหม ถ้าฉันจะตอบว่าไม่รู้”

            “อ้าว?!” น้ำเสียงของเขามีทั้งความประหลาดใจระคนสงสัย “คุณเป็นคนที่นี่ไม่ใช่เหรอ”

            ‘คนที่นี่ ก็ไม่ได้หมายความว่ารู้จักไปทุกซอกทุกมุมของเมืองเมื่อไร’ แต่จะตอบอย่างนั้นมันก็กระไรอยู่ และตอนนี้เธอก็อยู่บนรถของเขา ดังนั้นจึงต้องสงบเสงี่ยมนิดหนึ่ง ไม่งั้นอาจถูกเขาเตะกระเด็นออกจากรถได้ง่ายๆ เพราะตอนนี้เธอกลายเป็นคนไร้ประโยชน์สำหรับเขาไปเสียแล้ว

            “ฉันไม่รู้ ฉันไม่ค่อยได้เข้าเมือง ครั้งสุดท้ายก็น่าจะราวสี่ถึงห้าปีมาแล้ว” เธอไม่ได้อ้าง แต่มันคือเรื่องจริง ตั้งแต่จบมัธยมศึกษาปีที่หกแล้วไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เธอก็เข้ามาในตัวเมืองน้อยมาก เนื่องจากระบบขนส่งที่สะดวกสบาย อยากได้อะไร ตลาดแถวบ้านเธอก็มีพร้อมทุกอย่าง

            “บ้านคุณไม่ได้อยู่ในเมืองเหรอ”

            เขาถามต่อ ไม่มีร่องรอยความไม่พอใจอย่างที่เธอนึกกลัว อาการเกร็งจึงลดลงไปโดยอัตโนมัติ

            “เปล่า อยู่อีกอำเภอ กลับมาทีไรฉันก็อยู่แต่ที่บ้านน่ะ”

            “อยากรู้จังว่าบ้านคุณมีอะไรดี ถึงไม่ยอมออกไปไหน”

            ธารธาราไม่รู้ว่าปราณนต์อยากรู้เรื่องบ้านเธอจริงหรือเปล่า แต่เธอก็อยากเล่า เพราะครอบครัวเป็นสิ่งที่เธอภูมิใจมากที่สุดในชีวิต พ่อแม่ของเธอเป็นคนธรรมดา ไม่ได้เรียนสูง แต่ก็สอนให้เธอกับน้องเป็นคนดี ท่านทั้งคู่ทำให้เธอมีวันนี้ พอคิดถึงทีไร เธอก็มีความสุขทุกที

            “บ้านฉันเหรอ ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก มีพ่อ มีแม่ แล้วก็น้อง แค่นี้ก็ทำให้ฉันอยากอยู่ติดบ้านตลอดเวลาแล้ว” พอพูดออกไปแล้วเธอก็คิดถึงบ้าน อีกตั้งสองสัปดาห์กว่าจะได้กลับ เพราะเสาร์นี้เธอมีนัดกับเพื่อน เพื่อซื้อของบางอย่างที่ยังไม่มีเข้าบ้านพักในกองบิน

            “ดูคุณมีความสุขนะ เวลาพูดถึงครอบครัว”

            ธารธาราเพิ่งรู้ว่าตัวเองยิ้ม แต่ก็ช่างปะไร ในเมื่อคนมันมีความสุข “ฉันย้ายมาที่นี่เพราะครอบครัว ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็ไม่อยากย้ายไปไหนเลย อยากอยู่ที่นี่นานๆ”

            “งั้นผมคงต้องหาครอบครัวที่นี่ เพราะผมก็อยากอยู่ที่นี่นานๆ เหมือนกัน”

            จู่ๆ เขาก็กล่าวออกมา ซึ่งก็ทำให้ธารธาราหันไปมองอย่างสงสัยว่าเขาหมายถึงอะไร แต่สิ่งที่เห็นคือสีหน้าปกติของเขา ปราณนต์ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขับรถ หรือบางทีเธออาจจะหูฝาดไป เพราะเธอไม่คิดว่าคนอย่างเขาอยากจะมาอยู่ในจังหวัดที่เงียบๆ อย่างนี้ ผู้ชายอนาคตดี ต่อไปก็มักเป็นใหญ่เป็นโตในกองทัพ เมื่อถึงเวลาคงจะขยับขยายไปรับตำแหน่งในกรุงเทพฯ

            ในที่สุดทั้งเธอและเขาก็วนหาโรงพยาบาลสัตว์จนเจอ โรงพยาบาลนี้มีขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เมื่อเข้าไปก็พบว่าสะอาดสะอ้าน บรรยากาศปลอดโปร่ง ดังนั้นจึงมีคนพาสัตว์มาใช้บริการหลายคน

            ดาร์ลิงถูกนำไปใส่ไว้กรงเพื่อรอตรวจ ในขณะนั้นแพทย์กำลังผ่าตัดทำหมันให้สุนัขตัวหนึ่งอยู่ ผู้ช่วยจึงบอกว่าอาจจะต้องรอนานสักนิด ซึ่งทั้งปราณนต์และธารธาราก็ไม่มีปัญหา แต่จะรออยู่เฉยๆ ก็เหมือนเป็นการใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มจึงหันมาสะกิดหญิงสาว

            “คุณกินข้าวเย็นมาหรือยัง”

            “ยัง”

            ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเขากะเวลาไปเรียกเธออย่างพอเหมาะพอเจาะในตอนสี่โมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาที่เร็วเกินไปในการกินอาหารเย็น เพื่อว่าจะได้กินด้วยกัน เข้าแผน!

            “งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีไหม ฝากเจ้าตัวยุ่งไว้ที่นี่ก่อน”

            “ก็ดีนะ ฉันชักหิวแล้วเหมือนกัน” ธารธาราลูบท้องตัวเองเบาๆ เมื่อมองนาฬิกาข้อมือเธอก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว พยาธิในท้องเธอเลยดิ้นพล่าน ร้องขออาหาร อีกทั้งเธอไม่รู้ว่าจะต้องรอสัตวแพทย์อีกนานแค่ไหน เมื่อกลับไปถึงกองบิน ร้านอาหารคงปิดหมดแล้ว ดังนั้นควรจัดการให้เสร็จเสียตั้งแต่ที่นี่ จะได้ไม่เป็นภาระของมาม่าในตู้กับข้าว ที่ควรเอาไว้กินในเวลาจำเป็นเท่านั้น

            “ว่าแต่ แถวนี้มีอะไรกินบ้าง” ปราณนต์เปรยขึ้น พร้อมกับกวาดตามองไปด้านนอก ซึ่งบริเวณนี้เขาไม่คุ้นเคยเลย แต่คนข้างตัวกลับตอบเสียงใสด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ ผิดกับตอนที่วนหาโรงพยาบาลสัตว์ราวกับคนละคน

            “มีหลายอย่างเลย เดี๋ยวฉันพาไป”

            “จริงงะ ทีเมื่อกี้ยังไม่เห็นรู้ทางเลย” เขาถามด้วยท่าทางไม่ไว้วางใจ

            ธารธาราอดค้อนเขาไม่ได้ ก่อนจะยิ้มกว้าง “ก็ฉันไม่ใช่แมว เลยไม่รู้ว่าต้องไปหาหมอที่ไหน แต่ฉันเป็นมนุษย์สายกิน ถ้าถามว่าร้านอาหารตรงไหนอร่อย ฉันตอบได้หมดแหละ ไม่เชื่อก็ตามมา”

            ธารธารากล่าวพร้อมกับลุกขึ้นอย่างเริงร่า และนั่นก็ทำให้ปราณนต์ยิ้มออกมาแล้วลุกตามไป

            “โอเค ผมเชื่อคุณ”

           

สถานที่ที่ธารธาราพาปราณนต์ไปคือตลาดโต้รุ่งชื่อดังของจังหวัดสุราษฎร์ธานี มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า ‘ตลาดศาลเจ้า’ ซึ่งจะเปิดขายในช่วงเวลากลางคืนเท่านั้น ส่วนตอนกลางวันจะเป็นถนนให้รถสัญจรผ่านตามปกติ ตลาดแห่งนี้มีมาตั้งแต่เธอจำความได้ จะว่าไป มันก็คล้ายกับถนนคนเดินที่มีการขายของแบกะดินในราคาย่อมเยา มีตั้งแต่ของกระจุกกระจิกเล็กๆ ยันเสื้อผ้า สลับไปกับมีร้านอาหารหลากหลายชนิดให้เลือกสรร

            ร้านอาหารขึ้นชื่อก็มีอยู่หลายร้านอย่างเช่น ผัดไทยไชยา ผัดไทยท่าฉาง หอยทอด ก๋วยเตี๋ยวหมูเจ้าดัง ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวราดแกง หรือว่ากระเพาะปลา ล้วนแล้วแต่มีให้เลือกตามรสนิยม

            “คุณเคยมาที่นี่หรือเปล่า” ธารธาราหันไปถามคนที่เดินตามหลัง ตอนแรกเธออดหวั่นใจไม่ได้ว่าเขาอาจจะไม่ชินกับสถานที่ที่เธอพามา เพราะค่อนข้างพลุกพล่าน แต่เมื่อเห็นท่าทางตื่นตาตื่นใจของเขา เธอก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

            “ไม่เคย” เขาตอบ ในขณะเดียวกันก็กวาดตามองร้านรวงข้างทาง

            “เกือบมาไม่ถึงสุราษฎร์แล้วรู้ไหม ถ้าถามฉัน บอกเลยที่นี่เด็ดสุด ของกินอร่อยๆ เพียบ โดยเฉพาะทับทิมกรอบร้านนั้น กินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่าที่นี่” หญิงสาวถือโอกาสโฆษณาของดีตามที่ตนเองชื่นชอบด้วยน้ำเสียงสดใส

            ปราณนต์ยิ้มกับท่าทางร่าเริงเหมือนนกน้อยที่หลุดออกจากกรงของหญิงสาวตรงหน้า คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เลือกตามใจเธอ แทนที่จะพาไปเลี้ยงข้าวในห้าง และเมื่อเลือกให้เธอเป็นไกด์แล้ว เขาก็ไว้ใจเธออีกครั้ง “งั้นคุณเจ้าบ้านก็เลือกมาว่าของคาวอะไรอร่อยที่สุด เราจะได้มากินทับทิมกรอบกัน จะได้รู้ว่าอร่อยสมกับที่คุณบอกว่าเด็ดหรือเปล่า”

            “งั้นเอาผัดไทยไชยาไหม คุณเคยลองกินหรือยัง”

            “ยัง มันต่างกับผัดไทยธรรมดายังไง”

            “ต้องลองเองถึงจะรู้ ตามมาค่ะ” เธอชี้ชวน ก่อนจะเดินตัวปลิวไปยังร้านผัดไทย แล้วสั่งผัดไทยไชยามาสองจาน สำหรับเธอและเขา

            ปราณนต์มองตาม ยังคงยิ้มอย่างสุขใจ

            แล้วปราณนต์ก็ได้รู้ว่าผัดไทยไชยากับผัดไทยธรรมดาต่างกันอย่างไร ผัดไทยไชยาจะมีสีที่แตกต่างจากผัดไทยปกติอย่างชัดเจน เพราะเส้นเป็นสีส้ม แถมยังค่อนข้างแฉะ ในขณะที่ผัดไทยปกติจะมีเส้นเป็นสีเหลืองจนเกือบขาว และร่วนกว่ามาก ส่วนรสชาติก็แตกต่างกัน ผัดไทยไชยาจะออกรสหวานนำเปรี้ยว ในขณะที่ผัดไทยธรรมดาจะไม่มีรสเปรี้ยวอยู่ เว้นแต่จะบีบมะนาวใส่ลงไปเอง ซึ่งเมื่อได้ชิม เขาก็พบว่ามันอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

            ระหว่างที่กำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ก็มีสาวใหญ่ในชุดออกกำลังกายเดินเข้ามาที่โต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และกล่าวทักทายปราณนต์ด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

            “สวัสดีค่ะหัวหน้านนท์ บังเอิญจัง มาเจอกันที่นี่”

ชายหนุ่มหันไปทางเสียงทัก ก่อนจะวางช้อนส้อมลงแล้วยกมือขึ้นรับไหว้ ก่อนจะทักกลับ “สวัสดีครับพี่ป้อม มาทำอะไรแถวนี้ครับนี่”

“พอดีพี่ไปออกกำลังกายที่เกาะลำพูมา เลยแวะซื้อกับข้าวที่นี่ระหว่างรอลูกเรียนพิเศษค่ะ เด็กสมัยนี้ไม่รู้ว่าเรียนอะไรกันนักกันหนา บางทีสองทุ่มแล้วก็ยังไม่ได้กลับบ้านเลย”

            จากการทักทายนั้น ธารธาราเดาได้รางๆ ว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะน่าจะทำงานอยู่ที่กองบิน และน่าจะอยู่ในฝูงบินด้วย แต่เมื่อเห็นว่าสองคนพูดคุยกันอยู่ เธอจึงไม่อยากขัดจังหวะ ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารในจานตัวเองไป ทว่าดูเหมือนเธอจะคิดผิด เพราะสุดท้ายการสนทนาก็วกกลับมาที่เธอ

            “จะไม่แนะนำให้พี่ป้อมรู้จักหน่อยเหรอคะ ว่าสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้เป็นใคร” สาวใหญ่หันมาทางธารธาราแล้วหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ปราณนต์

            “ก็ว่าจะแนะนำอยู่ครับ เพราะต่อไปพี่ป้อมคงได้เจอเธอบ่อยๆ”

            “เจอบ่อยๆ เอ๊ะ ยังไงกันคะนี่?”

            “ผู้กองน้ำครับ ที่บอกว่าจะได้เจอกันบ่อยๆ ก็เพราะว่าเธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลกองบิน น้ำ...นี่พี่ป้อม เป็นลูกจ้างฝ่ายยุทธการของฝูง” ปราณนต์ทำหน้าที่ตัวกลาง แนะนำให้เธอกับลูกน้องของเขารู้จักกัน

            “สวัสดีค่ะ” ธารธารารีบยกมือไหว้ แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงลูกจ้าง แต่ก็อายุมากกว่าเธอหลายปี และตอนนี้ไม่ได้อยู่ในเขตกองทัพ จึงไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องยศและตำแหน่ง กลายเป็นพี่เป็นน้องกันตามลำดับอายุ

            ผู้สูงวัยรีบรับไหว้ทันทีเช่นกัน แล้วยิ้มอย่างชื่นชม “ผู้กองน้ำน่ารักจังเลยค่ะ ว่าแต่ มากินข้าวกันถึงที่นี่ ไม่เหนื่อยขับรถมาเหรอคะ ไปกลับตั้งห้าหกสิบกิโล”

ลูกจ้างสาวใหญ่ยังคงตั้งข้อสังเกต แต่ปราณนต์ก็ยังคงตอบด้วยรอยยิ้มสบายๆ ในขณะที่ธารธาราเริ่มหวาดหวั่นกับสายตาแพรวพราวของอีกฝ่าย ที่ยังจับจ้องเธออย่างไม่วางตา

            “ผมพาลูกแมวมาหาหมอน่ะครับ ระหว่างรอ ก็เลยมาหาอะไรกินกัน”

            “ลูก...ลูกกับผู้กองน้ำนี่เหรอคะ” เสียงนั้นแสดงอาการตื่น จนคนโต๊ะอื่นๆ เริ่มหันมามอง

            ‘งานเข้า’ นั่นคือสิ่งที่ธารธาราแอบบ่นเบาๆ ในใจ จึงรีบชี้แจง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้

            “เอ่อ...ไม่ใช่ค่ะ ลูกแมวนี่ ไม่ใช่ลูกของน้ำกับคุณนนท์ พอดีเราเจอแมวพลัดหลงมา ก็เลยพามันมาตรวจสุขภาพค่ะ”

            “อ้าว เหรอคะ แหม...แก่แล้วก็อย่างงี้แหละค่ะ ฟังอะไรไม่ค่อยถนัด ขอโทษด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” ปราณนต์ยังคงตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ

“อุ๊ย งั้นพี่ไม่กวนแล้วดีกว่า กินผัดไทยกันให้อร่อยกันนะคะ ไปละค่ะ”

แม้ปากจะบอกว่าไป แต่ตาก็ยังมองมาอย่างไม่กะพริบ และนั่นก็ทำให้ธารธารามองตามไปอย่างไม่สบายใจเอาเสียเลย เพราะเธอทำงานกับผู้หญิงเป็นหลัก จึงได้กลิ่นตุๆ จากสายตาคู่นั้น เหมือนงานจะเข้าเธออย่างไรก็ไม่รู้

            “เป็นอะไร”

            เสียงของเขาเรียกให้เธอดึงสายตากลับมา ซึ่งก็ดูเหมือนว่าปราณนต์จะไม่วิตกกังวลอะไรเลย หนำซ้ำสีหน้าของเขายังดูมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

            “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” เธอตัดสินใจกล่าวปด เพราะคิดว่าความกังวลใจที่เกิดขึ้นนี้ ควรเก็บไว้คนเดียว มันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรรู้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะหาว่าเธอตีตนไปก่อนไข้ หรือเป็นพวกหลงตัวเองก็เป็นได้

            “หรือคุณกลัวว่าพี่ป้อมจะเอาเรื่องที่เรามากินผัดไทยด้วยกันไปพูด แล้วทำให้คุณเสียหาย”

            เขารู้ แต่ไม่รู้จริง เพราะสิ่งที่เธอกังวลนั้นกลับกัน “ใครบอกล่ะ ฉันกลัวทำคุณเสียหายต่างหาก” ธารธาราโพล่งออกไปอย่างลืมตัว และกว่าจะรู้ว่าหลุดพูดออกไปแล้ว ก็ตอนที่เห็นหน้าเหลอหลาของชายหนุ่มตรงหน้า...โอ๊ย อยากตบปากตัวเองนัก พูดอะไรไม่คิด แต่ทำไงได้ เมื่อพูดไปแล้ว ก็ต้องปล่อยให้เลยตามเลย

            “งั้นผมก็สบายใจแล้ว...ส่วนเรื่องที่ว่าผมจะเสียหายเพราะมากินข้าวกับคุณ ไม่ต้องกลัว ผมเต็มใจ”

            กล่าวจบเขาก็ก้มหน้าก้มตากินผัดไทยในจานคล้ายกับจะตัดบท โดยที่เธอยังอดสงสัยไม่ได้ ว่าหากเขาต้องมาเป็นข่าวกับเธอจริงๆ เขาจะยอมรับได้แน่หรือ
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น