6

บทที่ 6


 

 

“ก้อยว่าเขาต้องคิดอะไรกับน้ำแน่ๆ” เสียงนั้นดังมาจากอนามิกา เพื่อนสนิทของธารธาราที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ซึ่งตอนนี้มีหน้าที่การงานเป็นถึงผู้บริหารโรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัด อันเป็นกิจการของครอบครัว

ผู้บริหารสาวอยู่ในชุดเสื้อแขนกุด มีระบายตรงช่วงอก ตัดจากผ้าชีฟองสีขาว และกระโปรงยาวทรงเอสีฟ้าน้ำทะเล แลดูสดใสและภูมิฐานสมฐานะ ในขณะที่ธารธาราเลือกสวมเสื้อยืดสีดำแขนสามส่วน แต่งลายตุ๊กตาตรงหน้าอก กับกางเกงยีนสีซีดตัวโปรด สำหรับการนัดพบกันในวันนี้

และทันที่ธารธาราได้ยินสิ่งที่เพื่อนพูดออกมา พยาบาลสาวก็เกือบสำลักกาแฟยี่ห้อดัง แต่เพราะความที่ราคาแพง เธอจึงฝืนกลืนลงคอไป ก่อนที่จะส่ายหน้าแรงๆ แล้วตบท้ายด้วยการปฏิเสธข้อสันนิษฐานนั้นด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ไม่มีทาง”

            “ทำไมล่ะ น้ำเพื่อนก้อยออกจะน่ารัก จะมีผู้ชายสักคนมาชอบก็ไม่แปลก”

            ธารธาราอยากไล่เพื่อนรักไปตัดแว่นเหลือเกิน เพราะตั้งแต่เกิดมาก็มีแต่อนามิกาเท่านั้นที่ชมว่าเธอน่ารัก ไม่สิ...มีพี่ป้อม ลูกน้องที่ฝูง ๗๐๑ อีกคน แต่ฝ่ายนั้นคงชมไปตามมารยาท

            “ไม่มีความเป็นไปได้เลยก้อย ผู้ชายคนนั้นทั้งหล่อ เรียนก็เก่ง พ่อก็เป็นถึงท่านนายพล แถมเรายังเคยได้ข่าวว่ามีดารามาชอบเขาด้วย ระดับนางเอกเชียวนะ แล้วเขาจะมาชอบผู้หญิงอย่างเราเหรอ โหย...ไม่มีทาง”

            “มันก็จริง น้ำเทียบอะไรเขาไม่ได้เลย” เมื่อเพื่อนชอบถล่มตัวเองนัก อนามิกาก็แสร้งทำเป็นคล้อยตามไปเสียเลย ทั้งที่ความจริงเธอคิดว่าธารธาราแม้จะไม่ได้สวยจัดจนต้องเหลียวมอง แต่ก็สวยเย็น ยิ่งมองก็ยิ่งสบายตา ไม่ต่างจากสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ นำพาความชุ่มฉ่ำมาสู่หัวใจไม่รู้จบ เพียงแต่บางครั้งมีมาดโตกว่าตัว มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เกินวัย เพราะมียศเป็นถึงเรืออากาศเอก จึงอาจทำให้ผู้ชายเกรง และไม่กล้าเข้ามาจีบ

            ได้ผล ธารธาราหันมาค้อนด้วยอาการแง่งอน “พูดอย่างงี้ กระทืบหน้ากันเลยดีกว่า”

            “โธ่เอ๊ย ก้อยพูดเล่น ยังไงก้อยก็เชื่อนะว่าถ้าผู้ชายคนไหนได้รู้จักน้ำจริงๆ จะต้องไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่ แต่ว่า ถ้าเขาคนนั้นไม่คิดอะไรกับน้ำ ก็อาจจะเป็นพวกขี้อ่อย ขี้หยอด อยู่บ้านใกล้ๆ กันต้องระวังตัวให้มากๆ นะน้ำ ก้อยชักเริ่มไม่ไว้ใจเขาเสียแล้ว”

            เมื่อเห็นเพื่อนรักท่าทางมีอคติกับปราณนต์ ธารธาราก็ชักไม่สบายใจ จึงรีบแก้ต่างให้บุคคลที่สาม ซึ่งเธอเอาเขามาพูดถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกก้อย เขาดูเป็นคนดี”

            “จริงเหรอ”

            “จริงสิ” ธารธารายืนยัน หลังจากที่รู้จักเขาได้พักใหญ่ๆ ปราณนต์ก็ไม่มีท่าทางรุ่มร่ามใดๆ ไม่เคยฉวยโอกาส แม้แต่จะจับมือก็ยังไม่เคย เธอจึงไว้ใจว่าเขาจะไม่ทำเรื่องเสียหายกับเธอ “ว่าแต่ก้อยเถอะ เมื่อไหร่จะมีข่าวดี” ธารธาราถามเรื่องของอีกฝ่ายบ้าง หลังจากที่เล่าเรื่องของตัวเองจนหมดสิ้น

            และข่าวดีที่ว่านั้นก็คือการแต่งงานระหว่างอนามิกากับอนุวัฒน์ แฟนหนุ่มลูกชายนักธุรกิจใหญ่ในท้องถิ่นที่คบหากันมาตั้งแต่ทั้งคู่เรียนมหาวิทยาลัย และได้หมั้นหมายกันทันทีหลังจากที่อนามิกาเรียนจบ

ใบหน้าของคนถูกถามมีรอยระเรื่อด้วยอาการเขินอาย ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าปกติ “ก็น่าจะราวๆ ต้นปีหน้า ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะ”

            “โหย อย่างงี้ก็อีกไม่กี่เดือนน่ะสิ ตื่นเต้นจัง เพื่อนจะขายออกอย่างเป็นทางการแล้ว” ธารธารายินดีจากใจจริง ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้ยินว่าเพื่อนจะแต่งงาน และยิ่งเป็นอนามิกาด้วยแล้ว ย่อมยินดีกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิท

            “ถ้าก้อยแต่งงาน น้ำต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ก้อยนะ แล้วต้องมารับช่อดอกไม้ด้วย ก้อยจะโยนไปที่น้ำคนเดียวเลย” อนามิกากล่าวด้วยรอยยิ้มพร่างพรายบนหน้า วาดหวังถึงอนาคตวันแต่งงาน ซึ่งเธอเชื่อว่าจะต้องเป็นวันที่ตัวเองมีความสุขที่สุด

            “จะดีเหรอ เดี๋ยวช่อดอกไม้ก็เป็นหมันกันพอดี”

            “เผื่อมีปาฏิหาริย์ไง จำอาจารย์ยุวดีได้ไหม แกเพิ่งแต่งงานไปนะ”

            “ยุวดี ป้าแว่นขาโหดน่ะเหรอ” ธารธาราหมายถึงอาจารย์สอนวิชาสังคมสมัยมัธยมปลาย ซึ่งเป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความดุ จนนักเรียนตั้งฉายาให้ และหากว่าเธอจบ ม. ปลายมาร่วมสิบปี ตอนนั้นอาจารย์ยุวดีอายุสามสิบกว่า อย่างงั้นตอนนี้...

            “อย่าบอกนะว่า แต่งงานตอนอายุสี่สิบ”

            “สี่สิบห้าต่างหาก”

            “แม่เจ้า...โอเค อย่างงี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย” ธารธารากล่าวอย่างอารมณ์ดี แต่ความจริงเธอไม่ได้ซีเรียสเรื่องนี้เลยสักนิด ชักเชื่อในคำแม่แล้วว่า บางทีเนื้อคู่ของเธออาจยังไม่เกิด

            แล้วจู่ๆ ธารธาราก็มองเห็นร่างสูงคุ้นตาของใครบางคนเดินเข้ามาในร้านกาแฟที่เธอนั่งอยู่กับอนามิกา และเมื่อมองจนแน่ใจว่าเป็นใคร เธอจึงตะโกนเรียกอีกฝ่ายทันที

            “ต้น”

            ชายหนุ่มหันมาตามเสียงเรียก วันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้กองหนุ่มแห่งอากาศโยธินจึงไม่ได้อยู่ในชุดพรางดิจิทัลสีเทาอย่างที่เห็นจนเจนตา แต่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนพอดีตัว กับกางเกงยีนสีเข้ม แต่ถึงอย่างนั้น ทรงผมของอีกฝ่ายก็บ่งบอกถึงหน้าที่การงาน

            “อ้าวน้ำ สวัสดีจ้ะก้อย”

            “เอ๊ะยังไง ไหงทักเราเสียงห้วน แต่ทักก้อยเสียงหวานเชียว” ธารธาราอดแซ็วไม่ได้ โดยที่ในใจไม่ได้คิดอะไร จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติ เพราะเพื่อนสนิทของเธอนั้นบอบบางเหมือนแก้วเจียระไน ส่วนเธอนั้นน่าจะเปรียบได้กับครกหิน ที่ทั้งทนทาน ตอนมัธยมเคยลงไปเตะบอลกับพวกผู้ชายก็หลายครั้ง ตบหัวเล่นกันก็มี จนบางทีพวกมันคิดว่าเธอเป็นทอม

            “แหม ก็เราทักน้ำแบบทักทหาร ส่วนก้อยเราก็ทักแบบพลเรือนไง” คำแก้ตัวนั้นก่อให้เกิดรอยยิ้มกับคนทั้งโต๊ะ

            “ไปไงมาไงล่ะนี่ ถึงโผล่มาที่นี่ได้” ธารธาราถามต่อ ไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอต้นตระการที่นี่

            “อ้าว แปลกตรงไหน วันหยุด ใครๆ เขาก็มาเดินห้างกันทั้งนั้น อยู่บ้านร้อนจะตายไป”

            ก็จริง สุราษฎร์ธานีเป็นจังหวัดที่ค่อนข้างเงียบในตอนกลางวัน แต่จะครึกครื้นในตอนกลางคืน จึงไม่แปลกหรอก ที่วันหยุดใครๆ ก็จะมุ่งไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของ และหาอะไรกิน

            “งั้นดื่มกาแฟด้วยกันไหม”

            “นึกว่าจะไม่ชวนซะแล้ว เดี๋ยวเราไปหยิบกาแฟที่เคาน์เตอร์ก่อนนะ” กล่าวจบชายหนุ่มก็เดินไปหยิบกาแฟตามที่บอกแล้วกลับมานั่งกับสองสาว รำลึกความหลังเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนมัธยม ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขช่วงหนึ่งของชีวิต

           

เมื่อต้นตระการไม่มีธุระไปไหนต่อ ธารธาราจึงติดรถเขากลับมาบ้านด้วย แทนที่เดิมนั้นอนามิกาจะเป็นคนมาส่ง เมื่อขึ้นรถ อาการรื่นเริงของต้นตระการก็หายไป เปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียด จนธารธารารู้สึกสงสัย

            “มีอะไรหรือเปล่าต้น” ธารธาราอดที่จะถามออกไปไม่ได้ เพราะเธอคิดว่าเรื่องที่ต้นตระการกังวลอยู่ น่าจะเป็นเรื่องของอนามิกา แต่ว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?

            ชายหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ เขาไม่ตอบในสิ่งที่เธอถาม แต่กลับถามคำถามหนึ่งกับเธอแทน “น้ำ ก้อยจะแต่งงานเมื่อไหร่”

            “เห็นว่าเป็นต้นปีหน้า รวมๆ แล้ว น่าจะอีกห้าหกเดือน มีอะไรเหรอต้น”

            ต้นตระการไม่ตอบ แต่สีหน้าของชายหนุ่มมีร่องรอยความกังวลมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็ทำให้ธารธาราร้อนใจตามไปด้วย และคิดว่าสิ่งที่อยู่ในใจของต้นตระการนั้นต้องมีความไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน

            เมื่อชายหนุ่มเงียบ ธารธาราก็ทนไม่ไหว เธอไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น แต่สำหรับเรื่องของอนามิกา เธอจะปล่อยผ่านไม่ได้

            “ต้น มีอะไร บอกเรามา” น้ำเสียงของธารธาราเต็มไปด้วยความคาดคั้น

            ต้นตระการถอนหายใจหนักๆ ออกมา คล้ายกับว่าลำบากใจในสิ่งที่ธารธาราอยากรู้ แต่สุดท้ายก็ยอมบอก “เราเคยเห็นแฟนก้อยอยู่กับผู้หญิงอื่น”

            คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกตกใจไม่น้อย เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับได้ หากผู้ชายของตัวเองไม่ซื่อสัตย์ “แน่ใจเหรอต้น” ธารธาราถามย้ำ อยากให้คำตอบที่ได้ยินเป็นคำว่าล้อเล่น

            ต้นตระการกลับหันมามองเธอด้วยแววตาจริงจัง แล้วกล่าวย้ำคำพูดของตัวเอง “แน่ใจสิ เรื่องอย่างนี้จะพูดเล่นได้ยังไง”

            “แล้วอยู่ด้วยกันแบบไหน แค่กิ๊ก หรือว่าจริงจัง” ธารธาราถามอีก เธอยังอยากให้โอกาสคนรักของเพื่อน แม้เธอจะไม่ใช่คนใจกว้าง แต่ก็พอเข้าใจว่าบางทีธรรมชาติของผู้ชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน อาจมีเผลอไผลไปบ้าง พอแต่งแล้ว คงตัดผู้หญิงอื่นออกไป และน่าจะทำให้อนามิกามีความสุขได้

            “เท่าที่เห็น น่าจะจริงจังนะ เห็นหลายครั้งแล้ว”

            พยาบาลสาวแทบจะกุมขมับ เจ็บปวดแทนเพื่อนเหลือเกิน และเธอเชื่อว่าหากอนามิการู้เรื่องนี้เข้า จะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

            “แล้วอย่างนี้จะทำไงดีล่ะ” เธอหันไปขอคำปรึกษาจากต้นตระการ แม้จะเป็นเรื่องสำคัญ แต่เรื่องแบบนี้พูดง่ายเสียที่ไหน ยิ่งทั้งคู่มีแพลนจะแต่งงานด้วยกันเร็วๆ นี้แล้ว

            “เราไม่กล้าบอกก้อย แต่เราก็ห่วง มันก็เลยรู้สึกเหมือนน้ำท่วมปากอยู่นี่” น้ำเสียงของต้นตระการเต็มไปด้วยความหนักใจ

            “แต่เราคิดว่าควรบอกให้ก้อยรู้ตัวว่าพี่วัฒน์ไม่ซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นก้อยจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แต่จะบอกยังไงดี ช่วยเราคิดหน่อยสิ”

            “มันก็พูดยากนะ เราคิดแล้วคิดอีก ก็ยังคิดไม่ออก”

            “บางทีแค่คำพูดอาจจะไม่พอ เราต้องมีหลักฐาน”

            “หมายความว่า...”

            “เราจะฟ้องด้วยภาพ” ธารธาราบอกแผนการ เพราะคิดว่าวิธีนี้น่าจะดีที่สุด อนามิกาจะรู้เรื่องนี้ได้โดยที่เธอไม่ต้องพูดอะไรเลยสักคำ แต่จะได้ภาพของอนุวัฒน์ที่นอกใจอนามิกามาได้อย่างไรนั้น คงต้องวางแผนกันอย่างละเอียดอีกที

            เพราะมัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมา กว่าจะรู้ตัวอีกทีธารธาราก็พบว่ารถของต้นตระการได้มาจอดหน้าบ้านพักเธอแล้ว จึงก้าวลงจากรถ พร้อมทั้งพยายามที่จะหอบข้าวของที่ซื้อมาเข้าบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งมีตั้งแต่ของใช้ประจำวันที่บรรจุอยู่ในแค็บตอนหน้าของรถ และของใช้ใหญ่ๆ จำพวกกะละมัง ถังน้ำ และชั้นวางของที่วางอยู่หลังกระบะ

            “เดี๋ยวเราขนของจากหลังรถลงให้ น้ำถืออย่างอื่นเข้าไปเถอะ” ต้นตระการอาสาอย่างมีน้ำใจ

            ธารธาราเกือบตอบไปว่าไม่เป็นไรตามนิสัย แต่คิดว่าอาจจะทำให้ต้นตระการเสียน้ำใจ เธอจึงพยักหน้า             ต้นตระการจึงขนชั้นวางของให้เธอเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นชั้นที่ธารธาราจะเอาไว้วางหนังสือที่ขนมาจากกรุงเทพฯ ซึ่งแต่เดิมมันอยู่ในลัง ทำให้การรื้อค้นเวลาหาอ่านเป็นเรื่องลำบาก ดังนั้นการเอามาเรียงไว้บนชั้นน่าจะหยิบจับได้สะดวกกว่า

            เมื่อผู้กองหนุ่มนำชั้นเข้ามาในบ้าน เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่วาง ธารธาราจึงชี้ไปยังมุมหนึ่งของบ้านเพื่อให้ต้นตระการวางไว้ก่อน แล้วเธอค่อยจัดการเองทีหลัง

“ตรงนั้นก็ได้ต้น”

ต้นตระการทำตามที่บอก แล้วค่อยๆ ทยอยขนของชิ้นอื่นเข้ามา จนกระทั่งชิ้นสุดท้ายถูกวางลงอย่างเรียบร้อย โดยที่เธอไม่ต้องลงมือขนเองสักอย่าง หญิงสาวหันไปมองเพื่อนด้วยความซาบซึ้ง

            “ขอบใจมากนะต้น”

            ต้นตระการยิ้มตอบด้วยความเต็มใจ “ไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรให้ช่วย เรียกเราได้ตลอดนะ ไม่ต้องเกรงใจ”

            “อืม” เธอตอบรับด้วยรอยยิ้ม นับว่าเป็นโชคดีของเธอที่มีเพื่อนดีๆ คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ

“งั้นเรากลับก่อนนะ” ต้นตระการก็เอ่ยลาเมื่อทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้น

            “จ้ะ แล้วเจอกันเมื่อชาติต้องการ” ธารธาราเดินออกไปส่งต้นตระการ แต่ก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้าน ก็เห็นใครบางคนมองอยู่ เธอจึงยิ้มให้เหมือนที่เคยยิ้มทุกวัน แต่เขากลับทำหน้างอ ก่อนจะเดินหันหลังเข้าบ้าน ทิ้งเธอให้งงอยู่ตามลำพัง วันนี้ปราณนต์เป็นอะไร โกรธใครมา ทำไมถึงมาหงุดหงิดใส่เธอ

            เมื่อไม่รู้จะหาคำตอบจากไหน และหากให้ไปถามเขา เธอคงไม่ทำ ธารธาราจึงตัดสินใจเดินเข้าบ้าน เพราะยังมีสิ่งที่ต้องสะสาง อย่างแรกเลยคือการรื้อหนังสือจัดขึ้นชั้นวาง ซึ่งน่าจะกินเวลานานพอสมควร

            แต่อาการของปราณนต์ก็เป็นสิ่งที่ค้างคาใจเธอไม่น้อย คนอะไรผีเข้าผีออก เมื่อวานยังพูดจาดีๆ กับเธออยู่เลย แต่วันนี้กลับมาทำหน้าบึ้งใส่ แถมตอนเธอไปขอเจ้าดาร์ลิงมาเล่น ยังอ้างว่ามันหลับอยู่ ทั้งๆ ที่ปกติ แม้มันจะหลับ เขาก็ยังปลุกมันให้มาเล่นกับเธอทุกที

            เมื่อคิดอยู่ตลอดจนปวดหัวก็ไม่พบคำตอบ สุดท้ายจึงบอกตัวเองว่าช่างเขาปะไร ทำไมเธอต้องไปสนใจด้วย ไม่ใช่เรื่องสำคัญเสียหน่อย

            หญิงสาวเก็บของที่ซื้อมาให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเธอก็พบว่าตนซื้อผ้าก๊อซชนิดแผ่นใหญ่มาด้วย ซึ่งเธอไม่ได้คิดจะซื้อมาทำแผลให้ใครหรอก แต่จะเอามันมาปิดท่อที่ต่อจากห้องน้ำลงท่อระบายน้ำด้านหลังบ้าน ประสบการณ์จากบ้านของปราณนต์วันนั้นทำให้เธอรู้สึกหวั่นๆ เพราะหากสิ่งที่เข้ามาไม่ใช่กบหรือเขียด แต่เป็นงู คงไม่เข้าท่าสักเท่าไร สำหรับธารธาราคิดว่าเรื่องความปลอดภัยนี้ ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน จึงหยิบของที่ซื้อมาแล้วตรงดิ่งไปจัดการในทันที

            เธอนั่งปิดท่อด้วยผ้าก๊อซอยู่เงียบๆ จากนั้นก็ใช้หนังยางรัดให้แน่ เธอย้ายไปทำอย่างเดิมกับท่อระบายน้ำที่บ้านปราณนต์บ้าง เหตุการณ์อย่างวันนั้นจะได้ไม่เกิดขึ้นอีก

            แต่ระหว่างที่เธอกำลังตั้งใจทำงานก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

            “ทำอะไรน่ะคุณ”

            ธารธาราสะดุ้งสุดตัวเพราะความตกใจ ที่จู่ๆ เขาก็โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง จึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็อดต่อว่าเขาไปเบาๆ ไม่ได้ “มาเงียบๆ ตกใจหมดเลย”

            เขานั่งยองๆ ลงข้างๆ สายตาจับจ้องไปยังสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ “ตกลงว่าคุณกำลังทำอะไร”

            “ฉันเอาผ้าก๊อซมาปิดท่อไว้ กบ เขียด หรือว่าตัวอะไรจะได้ไม่เข้าไปในห้องน้ำคุณอีก”

            “คงไม่อยากให้ผมไปใช้ห้องน้ำคุณสินะ” ในน้ำเสียงมีร่องรอยของความน้อยใจ เธอจึงอดหันไปจ้องหน้าเขาไม่ได้ วันนี้ปราณนต์เป็นอะไร เข้าสู่วัยทอง หรือว่ากินยาผิดสำแดง? ถึงได้มารวนเธออยู่เรื่อย แต่เธอไม่อยากให้เขาเข้าใจอะไรผิดๆ จึงอธิบายให้ฟัง “เปล่าสักหน่อย ฉันกลัวว่าวันไหนวันหนึ่งคุณจะโชคร้าย โดนงูกัดตาย”

            “อ๋อ...ห่วงผมเหมือนกันเหรอ...” เขาลากเสียงยาวเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูด

            ธารธารารู้สึกหมั่นไส้หนุ่มข้างๆ นิดๆ จึงกล่าวประชดไปบ้าง “อืม เกิดคุณตายในบ้านขึ้นมา และเป็นผีมาหลอกฉัน คราวนี้ฉันจะอยู่ยังไง คนยิ่งไม่มีที่ไปอยู่ด้วย”

            “แน่นอน ผมมาหลอกคุณแน่ คอยดูเถอะ” น้ำเสียงของเขาดูแจ่มใสขึ้นเล็กน้อย “วันนี้คุณนัดกับไอ้ต้นเหรอ”

            ไม่รู้ทำไมธารธาราถึงได้รู้สึกว่าปราณนต์เอ่ยชื่อต้นตระการเหมือนไม่พอใจอะไรสักอย่าง หรือว่าทั้งคู่มีเรื่องขุ่นเคืองต่อกัน ทำให้อดถามไม่ได้ “มีอะไรกับต้นหรือเปล่า”

            “เปล่านี่ จะมีอะไรได้ แล้วคุณล่ะ มีอะไรกับต้นหรือเปล่า”

คำถามเขาฟังดูยียวนวกวน และเมื่อหันไปมองในดวงตาของเขา เธอก็รู้ทันทีว่าเขากำลังคิดไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องของเธอกับต้นตระการอยู่ จึงแหวออกไป “จะบ้าเหรอ เราเป็นเพื่อนกัน จะมีอะไรได้ไงเล่า”

            “งั้นเหรอ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่เธอพูดสักนิด

            “ก็ใช่น่ะสิ ฉันกับต้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยม ก็เท่านั้นเอง” เธอรีบแจง ไม่อยากให้ปราณนต์เข้าใจอะไรผิดๆ เพราะหากเกิดไปพูดว่าเธอกับต้นตระการมีความสัมพันธ์กันแบบอื่น อาจทำให้เธอเสียเพื่อนได้

            “โอเค เพื่อนก็เพื่อน ไม่เห็นต้องทำหน้าจริงจังอย่างนั้นเลย ผมก็แค่อยากรู้เอาไว้ ต่อไปจะได้ทำตัวถูก”

ธารธาราไม่เข้าใจในสิ่งที่ปราณนต์พูดออกมา เขาพูดเหมือนว่าถ้าเธอเป็นแฟนกับต้นตระการ เขาจะไม่ยอมมาเป็นเพื่อนเธออย่างนั้นแหละ

หรือว่า...เธอหันไปมองหน้าเขาอย่างตกใจ

‘อย่าบอกนะว่า ปราณนต์มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน’

            “มองอย่างนี้ คุณกำลังคิดไม่ดีกับผมอยู่ใช่หรือเปล่า”

            แน้ รู้ใจเธออีก แต่เรื่องอะไรจะยอมรับ ธารธาราจึงปฏิเสธทันที

            “เปล๊า”

            “เปล่าเสียงสูงซะด้วย คุณคิดไม่ดีกับผมแน่ๆ เลย”

            “ฉันบอกว่าเปล่าก็เปล่าสิ” ปฏิเสธเสร็จเธอก็ลุกขึ้น เพราะปิดท่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะที่เธอหมุนตัวเพื่อจะเข้าบ้าน เพื่อนบ้านหนุ่มก็เดินมาดักหน้าเสียก่อน เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยสายตาระแวง แววตามีคำถาม

            “อย่ามองผมแบบนั้นสิ ผมกลัวนะ ก็แค่อยากถามว่าอาทิตย์หน้าคุณอยู่ที่กองบินหรือเปล่า”

คนอะไรผีเข้าผีออก ตอนบ่ายยังทำหน้าบึ้งใส่เธอ พอตอนเย็นกลับมายิ้มแป้นแล้น ตามไม่ทันเลยจริงๆ

            “อยู่สิ จะให้ไปไหนล่ะ”

            “ก็เผื่อจะมีประชุมที่กรุงเทพฯ อะไรประมาณนี้”

            “คงไม่มีหรอก ฉันเพิ่งมา พี่เขาคงให้เรียนรู้งานที่นี่ไปก่อน คงยังไม่ได้ออกนอกสถานที่” ธารธาราคาดการณ์ไปตามเนื้อผ้า เธอเพิ่งมาใหม่ ยังไม่รู้ระบบอะไรสักเท่าไร หากให้ไปประชุมคงยังไม่รู้เรื่อง

            “เหรอ งั้นฝากลูกสาวไปเลี้ยงที”

            “ดาร์ลิงน่ะเหรอ แล้วคุณจะไปไหน” เธอถามออกไปด้วยความสงสัย

            “ผมต้องไปฝึกที่อู่ตะเภาอาทิตย์หนึ่ง รบกวนคุณหรือเปล่า” ตอนท้ายน้ำเสียงของเขาแสดงถึงความเกรงอกเกรงใจอย่างเห็นได้ชัด

            “ไม่หรอก แต่ไม่รู้เจ้าดาร์ลิงจะยอมอยู่กับฉันหรือเปล่านะ” ธารธารากล่าวอย่างไม่มั่นใจ จริงอยู่ที่ตลอดทั้งสัปดาห์มานี้ เขามักจะพามันมาฝากเธอไว้ตอนช่วงเย็น ระหว่างที่เขาออกไปเตะฟุตบอล แต่นั่นก็เป็นช่วงสั้นๆ เพียงสองสามชั่วโมงเท่านั้น ไม่ใช่กินอยู่นอนหลับด้วยกันตลอดทั้งสัปดาห์แบบนี้

            “ได้สิ มันรักคุณจะตายไป”

            น่าจะเป็นคำปลอบเสียมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ธารธาราก็รู้สึกมีความมั่นใจขึ้นมาหน่อยหนึ่ง

            “แล้วคุณจะไปเมื่อไหร่”

            “เย็นนี้”

            พอเขาบอกแบบนั้น ใจเธอก็วูบโหวงแบบแปลกๆ ขึ้นมา นั่นอาจเป็นเพราะเธอเคยชินกับการเห็นหน้าเขาทุกวัน เมื่อเขาไม่อยู่ เธอก็เลยรู้สึกเหงา “งั้นพามันมาฝากฉันตอนนี้เลยก็ได้ คุณจะได้ไปเตรียมตัว”

            “ก็ดี” ชายหนุ่มเห็นด้วย ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปในบ้าน แล้วกลับออกมาพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ของเจ้าดาร์ลิง

            เขาขนส้วมแมวมาวางไว้หน้าห้องน้ำบ้านเธอ เป็นส้วมระบบปิดแบบอัตโนมัติที่มีราคาห้าหลัก นอกจากจะมีระบบระบายอากาศที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังมีฟิลเตอร์สำหรับฆ่าเชื้อโรค ซึ่งตอนที่ซื้อนั้นปราณนต์บอกว่าเขาอยากเลี้ยงเจ้าดาร์ลิงในระบบปิด เพราะนอกบ้านมีสุนัขอันธพาลอยู่ เกรงว่ามันจะได้รับอันตราย

            จากนั้นเขาก็ขนกล่องอาหารแมวกับที่นอนของมันมาให้เธอ ตบท้ายด้วยเจ้าแมวเหมียว ที่เริ่มจะตัวอ้วนกลมเป็นสิ่งสุดท้าย เพราะนอกจากจะกินแล้วนอน มันก็ไม่ทำอะไรอีกเลย

            “ผมเตรียมที่นอนมาให้ด้วย แต่ไม่รู้มันยอมนอนหรือเปล่า เพราะปกติมันชอบขึ้นไปนอนเตียงเดียวกับผม”

            “ดูแล้วก็ไม่น่ามีจะปัญหาอะไร เตียงฉันก็ออกกว้าง ถ้ามันอยากนอนด้วย ก็น่าจะนอนได้”

            “คุณแน่ใจนะว่า จะไม่นอนดิ้นจนทับมันตาย”

            เขากล่าวล้อ ซึ่งมันก็ทำให้ธารธาราอดไม่ได้ที่จะค้อนเขาไปทีหนึ่ง

            “ฉันไม่ได้นอนดิ้นขนาดนั้นสักหน่อย”

            “ผมล้อเล่น ยังไงก็ฝากคุณด้วยนะ” เขากล่าว ขณะที่มองเจ้าดาร์ลิงด้วยความอาวรณ์ และแววตาที่แสดงความรักใคร่ประดุจมันเป็นลูกในท้องก็ไม่ปาน...

            ผู้ชายทาสแมวช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน และเพื่อให้เขาไปฝึกได้อย่างสบายใจ เธอจึงตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่ “ค่ะ ฉันจะดูแลอย่างดี”

            “ขอบคุณ อยู่กับแม่เขาดีๆ ล่ะลูก อย่าดื้อ อย่าซน โดนแม่เขาตีมาพ่อไม่รู้ด้วยนะ” ปราณนต์สั่งลาแมวน้อยเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งก็ทำให้คนที่ถูกเรียกว่าแม่ถึงกับรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มที่ทั้งสองข้าง

            สุดท้ายปราณนต์ก็ตัดใจเดินเข้าบ้านเพื่อไปเตรียมตัว แต่แล้วธารธาราก็อดรั้งเขาเอาไว้ไม่ได้

            “คุณเองก็เดินทางดีๆ นะ ระหว่างฝึกก็ขอให้ปลอดภัย”

            เขายิ้มอวดฟันขาวที่เรียงตัวสวยราวไข่มุก แล้วตอบกลับคำอวยพรของเธอ “ผมจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

            เมื่อเขากล่าวจบก็ยิ้มให้เธอ ส่วนเธอก็ยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่แสดงถึงความห่วงใยซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง



 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น