7

บทที่ 7


   

 

เมื่อมีภาระต้องเลี้ยงดูเจ้าดาร์ลิง ธารธาราก็ตื่นเช้ากว่าปกติ เธอพาลูกแมวน้อยออกไปยืดเส้นยืดสายนอกบ้านราวครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะกลับไปอาบน้ำและแต่งตัวไปทำงาน โดยเธอไม่ลืมที่จะพามันไปเก็บไว้ในห้องนอน เพราะกลัวว่าหากปล่อยให้มันออกมาเดินเพ่นพ่าน อาจจะออกมานอกบ้านและถูกสุนัขหรือแมวที่ตัวใหญ่กว่าทำร้ายเอาได้

เมื่อมาถึงที่ทำงาน ภารกิจแรกของเธอในวันนี้ก็คือการหาตรวจยาเสพติดจากพลทหารที่เข้ามาใหม่ ซึ่งก็ทำให้เธอได้เจอกับต้นตระการแวบๆ เนื่องจากพลทหารทั้งหมดคือหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยอากาศโยธิน แต่เพราะงานค่อนข้างยุ่ง จึงไม่ได้คุยกัน เมื่อเสร็จงาน เธอก็กลับมายังโรงพยาบาลพร้อมกับผลตรวจทั้งหมด

กลับมาถึงก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี ซึ่งเธอก็ได้ฝากให้แม่บ้านของโรงพยาบาลซื้ออาหารเตรียมเอาไว้ให้แล้ว วันนี้เธอเลือกกินข้าวผัด เมนูง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน เมื่อไปถึงห้องอาหาร มันจึงถูกวางไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย

ทุกคนที่อยู่ด้านนอกยังคงยุ่ง จึงไม่มีใครเข้ามา ธารธารานั่งกินอาหารไปเงียบๆ ตามลำพัง พอเสร็จแล้วจะได้ไปเปลี่ยนให้คนข้างนอกเข้ามากินบ้าง แต่ยังไม่ทันกินเสร็จก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ปาริชาตนั่นเอง ฝ่ายนั้นมีปิ่นโตเถาใหญ่ในมือ

“กินอะไรน่ะน้ำ” ผู้เป็นรุ่นพี่ชะโงกหน้ามาดูจานอาหารของรุ่นน้อง

ธารธาราเงยหน้าขึ้น แล้วตอบด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้าวผัดค่ะพี่ปา”

“ซื้อมาจากไหน”

“ร้านอาหารตามสั่งค่ะพี่”

“มิน่าล่ะ สีจื๊ดจืด พี่ลืมไปว่าบ้านน้ำไม่มีครัว วันหลังพี่จะเอากับข้าวที่บ้านมาเผื่อน้ำด้วย จะได้กินด้วยกัน อาหารตามสั่ง เอาไว้กินวันที่พี่ไม่อยู่ดีกว่า”

ความเอื้ออารีนั้นทำให้ธารธารารู้สึกซึ้งใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ ปาริชาตก็คอยดูแลเธอทุกอย่าง เป็นห่วงเป็นใยไม่ต่างจากพี่น้องที่คลานตามกันมา และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอเกรงใจ จึงรีบปฏิเสธ เพราะคิดว่าเป็นการรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป

“ไม่เป็นไรค่ะพี่ปา น้ำกินได้ แค่ตอดพี่ปาเล็กๆ น้อยๆ ก็อร่อยลิ้นแล้วค่ะ ไม่ต้องทำมาเผื่อน้ำหรอก”

            ปาริชาตส่ายหน้าแล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู “ไม่ต้องเกรงใจ อาหารตามสั่งจะอร่อยกว่าที่พี่ทำได้ไง แล้วถ้าพี่ทำมาแล้วน้ำไม่กิน พี่จะหาว่าน้ำรังเกียจอาหารที่พี่ทำนะ”

            พอถูกไม้นี้เข้า ธารธาราก็ได้แต่มองรุ่นพี่อย่างซาบซึ้ง ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณ “งั้นน้ำขอบคุณพี่ปามากนะคะ ส่งปิ่นโตมาค่ะ เดี๋ยวน้ำจัดการให้”

ปาริชาตส่งปิ่นโตให้แต่โดยดี ธารธาราจึงนำกับข้าวทุกอย่างที่อยู่ในปิ่นโตมาเทใส่ถ้วยและจาน

            “น้ำ ตอนเป็นนักเรียนพยาบาลอยู่ฝ่ายอะไร” จู่ๆ ปาริชาตก็ถามถึงตำแหน่งในสมัยที่เธอยังเรียนอยู่ ซึ่งนักเรียนพยาบาลทหารอากาศทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบ โดยหลักๆ จะแบ่งออกเป็นสี่ฝ่าย ฝ่ายแรกคือปฏิคม หรือฝ่ายต้อนรับ ในแต่ละรุ่นจะมีปฏิคมทั้งหมดสิบคน โดยเลือกจากบุคลิกและหน้าตาเป็นหลัก ดังนั้นจึงต้องเป็นสาวงามเท่านั้น ถึงจะได้อยู่ฝ่ายนี้ ต่อมาคือฝ่ายอาหาร เหมาะสำหรับพวกแม่ศรีเรือน เพราะจะต้องดูแลเกี่ยวกับอาหารคาวหวาน การคำนวณปริมาณอาหารที่จะใช้ในงาน รวมถึงการส่งยอดอาหารประจำวันไปให้แม่ครัว นอกจากนี้ยังมีฝ่ายบันเทิง ที่คอยจัดการเรื่องการแสดง เครื่องเสียง เวที และฝ่ายสุดท้ายคือฝ่ายที่เหมาะสำหรับผู้หญิงแข็งแกร่งจากทั่วปฐพี งานแบก งานหาม งานตอก งานซ่อม จะอยู่กับฝ่ายนี้ ซึ่งแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นงานที่ผู้หญิงอย่างธารธาราถนัด

            “ฝ่ายสถานที่ค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

            ปาริชาตหัวเราะออกมาเบาๆ “ทำไมซื้อหวยไม่ถูกนะ แล้วอยากเป็นฝ่ายปฏิคมบ้างไหม”

            คำถามนั้นทำให้ธารธาราส่ายหน้ารัวๆ

            “ทำไมล่ะ” ปาริชาตถามอย่างแปลกใจ

            “อย่างน้ำ ไม่เหมาะกับปฏิคมหรอกค่ะ ซุ่มซ่ามออกจะขนาดนี้ ลองคิดดูสิคะว่าถ้าเกิดตอนเสิร์ฟน้ำแล้วน้ำไปทำน้ำหกใส่หัวผู้ใหญ่ มีหวังเดือดร้อนถึงท่านเจ้ากรมแพทย์แน่”

            “เราก็พูดเว่อร์ไป ไม่ได้ขี้เหร่ แล้วก็ซุ่มซ่ามขนาดนั้นสักหน่อย ความจริงน้ำน่ารักออกน้า พี่ว่าเป็นนางนพมาศยังได้เลย เอาไหม พี่ส่งเข้าประกวดให้ ผู้อำนวยการให้มาทาบทาม”

            นี่เองคือสาเหตุที่ปาริชาตถามเรื่องนี้ขึ้นมา คราวนี้ธารธาราจึงส่ายหน้าแรงขึ้นกว่าเดิม เธอจินตนาการไม่ออกเลยว่าหากต้องแต่งชุดไทยแล้วไปเดินเฉิดฉายอยู่บนเวที มันจะน่าขันสำหรับเธอขนาดไหน

            “ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนกำลังกลืนยาขมอย่างนั้นเลย ถ้าไม่เอาด้วย เดี๋ยวค่อยส่งส้มไปก็ได้” ปาริชาตหมายถึงผู้ช่วยพยาบาลคนงามที่ถูกส่งเข้าประกวดถึงสี่ปีติดๆ และหากปีนี้ไม่มีใครยอมเข้าประกวด ก็คงต้องส่งออกไปอีกเป็นปีที่ห้า

            “ถูกเลยค่ะ ส้มเหมาะสมที่สุด” ธารธาราพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในทันที

            “งั้นพี่จะให้น้ำอยู่ประจำซุ้มนะ เผื่อใครที่มาร่วมงานไม่สบาย น้ำจะได้ดูแลเขาไป”

            “ตกลงค่ะ นั่นแหละ เหมาะกับน้ำที่สุดแล้ว”

            “เรานี่น้า...พี่จะให้เอาความสวยไปโชว์ก็ไม่เอา แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะถูกสอยลงจากคานสักที เอ๊ะ แล้วข่าวที่เขาเมาท์กันว่าน้ำกับนนท์กิ๊กกันอยู่ จริงหรือเปล่า”

            ธารธาราแทบจะสำลักข้าวที่กินเข้าไป เมื่อได้ยินคำถามนี้จากปาริชาต ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนที่จะละล่ำละลักถาม จนเกือบจะไม่เป็นคำ “ปะ...ไปได้ข่าวมาจากไหนคะ”

            “ต้นตอมาจากไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่กลดได้ยินมา”

            อาการหิวจนตาลายเมื่อครู่หายไปซะเฉยๆ ถ้าข่าวนี้มาจากทรงกลด ก็แสดงว่าต้องมาจากฝูง ๗๐๑ และนั่นก็ทำให้ธารธารานึกถึงวันที่เธอไปกินผัดไทยกับปราณนต์ตอนพาดาร์ลิงไปหาหมอขึ้นมา

            “ตกใจอย่างนี้ แสดงว่าเรื่องจริงเหรอ” ปาริชาตถามซ้ำ สีหน้าแสดงอาการตื่นเต้น

            “ไม่ค่ะ ไม่จริง” ธารธาราปฏิเสธทันที

            “ไม่จริง แล้วทำไมต้องทำหน้าตกใจ”

“ก็มัน...มันไม่ใช่ความจริงไงคะ น้ำเลยตกใจ” ธารธาราบอกออกไป นึกกังวลอยู่ไม่น้อยว่าหากปราณนต์กลับมาแล้วได้ยินเรื่องนี้ เขาจะว่าอย่างไร

ปาริชาตมีสีหน้าผิดหวัง จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ว้า...เสียดายจัง นี่ถ้าเป็นเรื่องจริง จะจุดพลุฉลองที่น้องขายออก แต่ว่า ไม่มีอะไรจริงๆ เหรอ”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ” ธารธาราพยายามยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หากมีอะไรก็คือเธอที่หวั่นไหวไปเองข้างเดียวนั่นละ

“ฮื้อ...อดลุ้นเลย เออ...น้ำรู้หรือยังว่าบ้านน้ำจะมีคนมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วนะ”

นี่สิ ค่อยเป็นเรื่องที่น่าฟังหน่อย แม้จะอยู่บ้านนั้นมาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่ธารธาราก็ยังไม่ชินกับการอยู่คนเดียวอยู่ดี หากมีเพื่อนมาอยู่ด้วยก็น่าจะช่วยให้เธอหายเหงา ความตื่นเต้นในเรื่องนี้ทำให้เธอลืมเรื่องข่าวลือของตัวเองไปจนสิ้น

“แล้วพี่ปาพอทราบไหมคะว่าคนที่มาอยู่กับน้ำเป็นใคร มาจากหน่วยไหน” พยาบาลสาวเสาะหาข้อมูลของเพื่อนที่จะมาอยู่ร่วมบ้าน อย่างน้อยๆ ก็น่าจะรู้จักชื่อกันไว้ก่อนที่จะเจอหน้ากัน

“จำไม่ได้ แต่มีคนส่งเข้าไลน์กรุ๊ปมาแล้ว เดี๋ยวจะเปิดให้ดู” กล่าวจบปาริชาตก็ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วดาวน์โหลดไฟล์คำสั่งจากไลน์กรุ๊ปที่ส่งต่อๆ กัน ก่อนที่จะยื่นให้ธารธาราดู

เมื่อรับมา ธารธาราก็ไล่สายตาไปตามรายชื่อที่เรียงกันอยู่กว่ายี่สิบรายการ แล้วในที่สุดเธอก็เจอ

            “เรืออากาศตรีหญิง มนิสรณ์ เตชะวัฒนา แผนกกิจการพลเรือน เอ...เตชะวัฒนา เหมือนเคยได้ยินนามสกุลนี้จากที่ไหนนะคะ” ธารธาราตั้งข้อสังเกต เพราะรู้สึกคุ้นกับนามสกุลนี้อย่างประหลาด

            “นามสกุลของอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศคนก่อนไงล่ะ”

            “จริงด้วยค่ะ เป็นอะไรกับท่านเหรอคะ” พยาบาลสาวถามอย่างขลาดๆ พอรู้ว่าฝ่ายนั้นน่าจะเป็นญาติคนใหญ่คนโต ก็ทำให้เธออดเกร็งไม่ได้

            “ไม่รู้สิ คงต้องถามเอาเองละ แต่พี่ว่าไม่ต้องกลัวหรอก เท่าที่พี่เห็น พวกลูกผู้ใหญ่ก็น่ารักกันทั้งนั้น ดูอย่างนนท์สิ น่ารักจะตาย น้ำว่าไหม”

            ไม่รู้ปาริชาตจะวกกลับเข้ามาเรื่องปราณนต์ทำไม เธออุตส่าห์ลืมไปแล้วเชียว พอเห็นแววตาเย้าแหย่ของรุ่นพี่ ธารธาราก็ได้แต่หลบตา และพยายามทำหน้าให้นิ่งที่สุด หากอีกฝ่ายรู้ว่าเธอหวั่นไหว คงล้อกันไปไม่จบสิ้นแน่

           

รถเมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่น E Class Elegance E230 ค่อยๆ ขับเข้ามาช้าๆ และจอดยังหน้าทาวน์เฮาส์สองชั้น ที่มีร่องรอยของผู้อาศัยอยู่ครบทุกบ้าน แต่ตอนนี้กลับเงียบสงัดเพราะเป็นเวลาบ่ายสองโมง คาดว่าทุกคนน่าจะยังอยู่ตามหน่วยหรือที่ทำงาน เพราะยังเป็นเวลาราชการ

            ร่างโปร่งระหงในชุดเดรสสีขาวปักลายกุหลาบทั้งตัวค่อยๆ เยื้ยงย่างลงจากรถอย่างสง่า ก่อนจะถอดแว่นกันแดดที่ปกปิดความชัดเจนของสายตาออก แล้วมองไปยังที่พัก ซึ่งระบุเอาไว้ในเอกสารที่ได้รับมา       ทันทีที่เห็น คิ้วโก่งสวยก็ขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พึงประสงค์ เพราะคาดหวังว่าการได้ติดยศเป็นเรืออากาศตรี และมีนามสกุลเป็นที่รู้จัก จะได้รับอภิสิทธิ์เข้าพักยังบ้านพักเดี่ยว ไม่ใช่บ้านทาวน์เฮาส์อย่างนี้ แถมจากข้อมูลที่ได้มายังต้องมีเพื่อนร่วมบ้านอีก ซึ่งบ้านหลังเล็กขนาดนี้ คงหาความเป็นส่วนตัวไม่ได้

            แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว มนิสรณ์ เตชะวัฒนา ก็จำต้องยอมรับสภาพ อยู่ไปก่อน แล้วค่อยขอขยับขยายในภายภาคหน้าก็ได้

            หญิงสาวหยิบกุญแจบ้านที่เพิ่งได้รับมาแล้วไขประตูเข้าไป วันนี้เธอตั้งใจจะมาดูลาดเลาแล้วเอาของบางส่วนมาเก็บไว้ก่อน ส่วนการเข้ามาอยู่แบบจริงจัง คงเป็นพรุ่งนี้

            ที่เธอเห็นคือบ้านซึ่งมีร่องรอยของคนที่อยู่อาศัยมาก่อน พื้นที่ทั้งหมดค่อนข้างโล่ง ในห้องรับแขกมีเพียงโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก กับเบาะรองนั่งสีสันสวยงามสองอันวางอยู่ บนโต๊ะมีหนังสือการพยาบาลขั้นพื้นฐาน และหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์อีกสองสามเล่ม ซึ่งทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเพื่อนร่วมบ้านอยู่หน่วยไหน

            ‘ไร้รสนิยม’ นั่นคือสิ่งที่มนิสรณ์คิด เกี่ยวกับเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ก่อน ท่าทางน่าจะเป็นสาวทึนทึก แต่ก็อย่างว่า ติดยศเรืออากาศเอก อายุคงไม่ต่ำกว่ายี่สิบหกหรือยี่สิบเจ็ดปี และคงยังไม่มีสามี

            มนิสรณ์เดินเข้าไปในส่วนของห้องด้านหลังซึ่งเป็นพื้นที่ของห้องครัวและห้องน้ำรวมอยู่ด้วยกัน แล้วก็พบว่าบริเวณส่วนนั้นสะอาดสะอ้านดี จึงยิ้มออกมาอย่างพึงใจ ถึงจะทึนทึก แต่ก็รักความสะอาดตามมาตรฐานพยาบาลอย่างนี้ หากอยู่ด้วย เธอคงผลักภาระเรื่องทำความสะอาดบ้านไปให้ได้ไม่ยาก

            คราวนี้ก็ถึงเวลาสำรวจชั้นบน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ หญิงสาวจึงเดินกลับไปที่รถพร้อมกับยกกระเป๋าใบใหญ่ที่บรรจุเสื้อผ้าและเครื่องใช้ เพื่อขนขึ้นไปด้วยในคราวเดียว แต่เพราะความใหญ่โตของกระเป๋า ทำให้การนำขึ้นชั้นสองไม่ง่ายนัก ระหว่างที่เธอกำลังพยายามยกมันผ่านที่พักขั้นบันไดไป ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง

            “น้ำ”

            เสียงที่ตะโกนผ่านความเงียบมาทำให้มนิสรณ์ตกใจ เธอจึงทำกระเป๋าหลุดมือ ก่อนที่ตัวเองจะเสียหลักและหงายหลัง มนิสรณ์คิดว่าตัวเองคงได้รับบาดเจ็บแน่ ทว่าหลังจากนั้น เธอกลับสัมผัสถึงความอุ่นจากวงแขนของใครบางคน กลิ่นน้ำหอมแนวสปอร์ตโชยเข้าจมูก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่ช่วยเธอไว้เป็นผู้ชาย

            และก็พลันได้สบตากับเจ้าของดวงตาคมกริบ โลกของเธอคล้ายหยุดหมุนไปชั่วขณะ

            “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

            เสียงทุ้มกังวานชวนฟังฉุดรั้งสติมนิสรณ์ให้กลับเข้าสู่ความเป็นจริง ศีรษะเธอยังอิงแอบอยู่กับอกเขา เสียงเต้นของหัวใจที่ดังอยู่ข้างใน ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดในหัวใจ

            เขาประคองเธอให้ยืนขึ้น และนั่นก็ทำให้มนิสรณ์ได้มองเขาอย่างเต็มตา ผู้ชายคนนี้สูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ใบหน้ารูปไข่เรียวเล็ก และมีริมฝีปากที่แดงสดเหมือนผู้หญิง แต่กลับคมคายด้วยไรเคราเขียวครึ้มที่ล้อมกรอบแก้ม ดวงตาสีดำเหมือนถ่านแฝงไปด้วยความทันคนและเด็ดเดี่ยว

            หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงโดยไม่อาจระงับ ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะได้พบชายในฝันที่บ้านโกโรโกโสหลังนี้

            “ขอโทษครับ ผมนึกว่าคุณ...เอ่อ...เป็นน้ำ”

            คำขอโทษของชายหนุ่มและท่าทางอันเป็นสุภาพบุรุษของเขาตรึงใจเธออย่างบอกไม่ถูก มนิสรณ์รับรู้ถึงอาการเขินอายอย่างไม่ต้องเสแสร้งของตัวเอง ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก ดวงตาภายใต้อายไลเนอร์ที่กรีดมาอย่างประณีตช้อนมองชายหนุ่มอย่างมีจริต แล้วจึงกล่าวตอบไปด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย “เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ และก็ขอบคุณที่รับฉันไว้นะคะ คุณปราณนต์”

            ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “เอ๊ะ คุณรู้จักชื่อผมด้วย?”

            มนิสรณ์คลี่ยิ้มทันที ก่อนที่นิ้วเรียวจะจิ้มไปที่หน้าอกด้านขวาของเขา “ดูเอาจากป้ายชื่อที่เสื้อคุณ” จากนั้นเธอก็ย้ายนิ้วไปที่ปกเสื้อด้านขวาซึ่งมีเครื่องหมายยศติดอยู่ “เรืออากาศเอก ปราณนต์ อิสรบดินทร์”

            ปราณนต์ได้แต่ยิ้ม และถอยห่างออกมาอย่างละมุนละม่อม เพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป “ครับ จะเรียกสั้นๆ ว่านนท์ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

ความสุภาพอย่างคงเส้นคงวานั้นทำให้มนิสรณ์ยิ้มอย่างถูกใจ และกิริยาการไว้ตัวของเขา เธอถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ

            “ลูกศรค่ะ เรืออากาศตรีหญิง มนิสรณ์ เตชะวัฒนา ดูท่าพี่จะอายุมากกว่า งั้นขอเรียกว่าพี่นนท์แล้วกันนะคะ”

            “ครับ จะเรียกอย่างนั้นก็ได้” ปราณนต์รับ เพราะเขาคิดว่าเธอน่าจะมาเป็นเพื่อนบ้านในเร็วๆ นี้ ทำความรู้จักและสนิทสนมกันไว้ ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร “แล้วนี่จะขนของขึ้นข้างบนเหรอครับ” เขาถามเมื่อเห็นกระเป๋าใบใหญ่ ต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวเกือบล้มกลิ้งลงมา

            “ค่ะ”

            “เดี๋ยวพี่ช่วยก็แล้วกัน” เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้เธอตกใจ และอีกอย่าง ปราณนต์คิดว่านี่คือสิ่งที่สุภาพบุรุษควรทำ จึงอาสา

            มนิสรณ์ยิ้มกริ่ม ยอมรับการช่วยเหลือในทันที เธอหลีกทางให้ปราณนต์เดินมาหยิบกระเป๋า “งั้นลูกศรรบกวนพี่นนท์ด้วยนะคะ”

            ปราณนต์ยกกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านพัก ซึ่งมนิสรณ์เป็นผู้นำทาง ระหว่างนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ซึ่งก็พบว่าพื้นที่ส่วนใหญ่สะอาดสะอ้าน แน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือของธารธารา จึงยิ้มอย่างพึงใจในความเป็นแม่บ้านแม่เรือนของเธอ

            “ทางนี้ค่ะพี่นนท์” มนิสรณ์กวักมือเรียก และพาเขาไปยังห้องนอนใหญ่

            นั่นก็ทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมธารธาราถึงได้เลือกห้องเล็ก ทั้งที่มาอยู่ก่อน ‘สมถะแล้วก็เจียมตัวเหลือเกินแม่คุณ’

            “วางไว้ตรงนี้เลยค่ะพี่นนท์” เสียงเจื้อยแจ้วของมนิสรณ์ทำให้ปราณนต์ละสายตาไปจากประตูห้องที่มีรูปยีราฟติดอยู่ แล้วเดินไปอีกห้องหนึ่ง

            “ครับ” ปราณนต์วางกระเป๋าลงตรงที่มนิสรณ์บอก จากนั้นเขาก็ถอยห่างออกมา เพราะการอยู่ในห้องกับผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นอะไรกันสองต่อสอง ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

            “ขอบคุณมากนะคะ ถ้าไม่ได้พี่นนท์ ลูกศรคงลำบาก ป่านนี้คงยังเอากระเป๋าขึ้นมาไม่ได้”

            ปราณนต์ได้แต่ยิ้ม และหันหลังเดินลงบันไดไป เขาไม่อยากให้มีข้อครหา หากมีใครมาเห็นเข้า

            มนิสรณ์เดินตามมาด้วย “งั้นเดี๋ยวลูกศรขอเลี้ยงข้าวพี่นนท์สักมื้อนะคะ”

            “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ครับ พี่ช่วย เพราะเรากำลังจะเป็นเพื่อนบ้านกัน อีกอย่าง เดี๋ยวพี่ก็ต้องกลับกรุงเทพฯ แล้ว”

            “อ้าว อย่างนั้นเหรอคะ” มนิสรณ์ครางออกมาอย่างเสียดาย แต่เธอก็ยังไม่อยากให้เขาจากไป จึงรั้งเอาไว้ด้วยคำถาม “ก่อนหน้านี้ พี่นนท์เรียกลูกศรว่าอะไรนะคะ”

            “อ๋อ เรียกว่าน้ำครับ” ปราณนต์ตอบออกไป เพราะเมื่อครู่เขาเห็นแค่ด้านหลังของมนิสรณ์ และไม่ทันมองให้ดี จึงคิดว่าเธอคือธารธารา

            “ใครกันเหรอคะ”

            “เจ้าของห้องโน้น” ปราณนต์ชี้ขึ้นไปที่ประตูห้องซึ่งติดรูปยีราฟไว้

            เมื่อมองตาม มนิสรณ์ก็เข้าใจในทันที “อ๋อ...เพื่อนร่วมบ้านของลูกศรนั่นเอง ดูพี่สองคนสนิทกันนะคะ”

            คำพูดเหมือนแฝงความนัยนั้นทำเอาปราณนต์รู้สึกไม่ค่อยดีนัก และเพื่อไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียหรือเข้าใจผิดไปถึงธารธารา เขาจึงรีบอธิบาย “เอ่อ...ถ้าเรื่องเข้าออกบ้านโดยพลการแบบเมื่อกี้ พี่ต้องขอโทษด้วย พอดีพี่เพิ่งกลับมาจากฝึก แล้วก็ฝากของเอาไว้ที่น้ำ เลยว่าจะมาขอดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะเดี๋ยวพี่ก็ต้องเข้ากรุงเทพฯ แล้ว เลยใจร้อนไปหน่อย แต่ต่อไปพี่จะระวังครับ”

            “โธ่...ลูกศรไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย ถึงลูกศรจะมาอยู่เพิ่ม พี่นนท์ก็เข้าออกบ้านนี้เมื่อไหร่ก็ได้นะคะ ลูกศรไม่ถือ”

            ดวงตาคู่งามช้อนขึ้นมองอย่างมีความหมาย แต่ปราณนต์กลับทำเป็นมองไม่เห็นแล้วกล่าวเลี่ยง

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ ปกติพี่ก็ไม่ค่อยได้เข้ามาอยู่แล้ว งั้นพี่ไปก่อนนะครับ เดี๋ยวจะตกเครื่อง”

            “อ๋อ...ค่ะ” หญิงสาวตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ก่อนจะฝืนยิ้มกว้าง เพื่อกลบเกลื่อนความเสียดาย “ยังไงลูกศรก็ต้องขอบคุณพี่นนท์มากๆ นะคะ”

            “ครับ แล้วค่อยเจอกันนะครับ”

            เมื่อกล่าวจบ ปราณนต์ก็หันหลัง และรีบเดินออกจากบ้านไปทันที โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกคนที่อยู่เบื้องหลังแอบมองตามด้วยแววตาอันล้ำลึก และหลุดปากทวนชื่อเขาออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่มาดมั่น

            “ปราณนต์ อิสรบดินทร์”

           

เมื่อกลับบ้านมาธารธาราก็พบว่าภูผามารอเธออยู่ก่อนแล้ว วันนี้เป็นวันศุกร์ และช่วงวันเสาร์อาทิตย์นี้ เธอไม่ต้องเข้าเวร จึงให้น้องชายมารอรับกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่ หญิงสาวขึ้นไปเก็บของ ก่อนที่จะลงมาพร้อมกับเจ้าดาร์ลิง และเมื่อภูผาเห็น ก็ไม่รีรอที่จะถามออกมาทันที

“พี่น้ำ แมวใครอ้ะ”

            “ของเพื่อนน่ะ” ธารธาราเลี่ยงตอบ เพราะหากภูผารู้ว่าแมวตัวนี้เป็นของปราณนต์ อาจจะจุดประกายให้อีกฝ่ายคิดทำอะไรแผลงๆ อีกเป็นแน่

            “เพื่อนที่อยู่บ้านเดียวกันหรือเปล่า”

            “ไม่ใช่”

            “โธ่ นึกว่าใช่”

            สุ้มเสียงแสดงความผิดหวังอันเกินจำเป็นของน้องชายทำให้เธอสงสัย และตอนขึ้นไปเก็บของเธอก็เห็นร่องรอยของห้องตรงข้ามที่ถูกเปิดเข้าไป นั่นแสดงว่าวันนี้ เพื่อนร่วมบ้านของเธออาจจะเข้ามา และเจอกับภูผาพอดี

            “ทำไมล่ะ ไม่ใช่แล้วเป็นไง”

            “ก็อยากให้ใช่ เพราะถ้าใช่ จะช่วยเลี้ยงดูให้อย่างดี” พูดไปใบหน้าน้องชายก็มีรอยปื้นแดงตรงแก้มที่คล้ามแดด แม้จะมองไม่ชัด แต่ธารธาราก็เห็น และภูผามักจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอผู้หญิงในแบบที่ฝันถึง

            “ทำหน้าอย่างนี้ แสดงว่าเขาสวยละสิ” ธารธาราเปรยออกมาอย่างไม่สนใจนัก เพราะการที่ เรืออากาศตรีหญิง มนิสรณ์ เตชะวัฒนา จะสวย ก็ไม่ได้เกินความคาดหมายของเธอเลย

            “อ้าว นี่ยังไม่ได้เจอกันเหรอ”

            “ยังอะ เป็นไงบ้าง”

            “สเปกโคตรๆ เลยพี่น้ำ ขาว สูง สวย และก็หุ่นดี อกเป็นอก เอวเป็นเอว แถมยังดูแพงเพราะขับเบนซ์ นี่แหละสาวในฝันของไอ้หิน”

            มาอีกแล้ว อาการหมาวัดมองดอกฟ้า ธารธาราได้แต่ขำปนหมั่นไส้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาสเปกของภูผามักสูงเสียดฟ้า จะว่าไป ไอ้เรื่องขึ้นคานนี่ภูผาก็ไม่ได้น่าห่วงน้อยไปกว่าเธอนักหรอก เพราะช่างเลือกช่างเฟ้นเสียเหลือเกิน

            “ให้มันน้อยๆ หน่อย” ธารธาราปราม เมื่อเห็นอาการเพ้อเข้าขั้นวิกฤติของน้องชาย

            “ก็มันจริงนี่นา เฮ้อ...เข้าใจแล้วละว่าทำไมพี่น้ำไม่มีแฟน จะเอาอะไรไปสู้เขา สงสัยพี่นักบินคนนั้นจะโบยบินไปจริงๆ แล้วคราวนี้”

วกกลับเข้ามาหาปราณนต์อีกจนได้ ไม่รู้จะติดอกติดใจอะไรปราณนต์นักหนา ธารธาราไม่อยากพูดเรื่องนี้กับน้องอีก จึงเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งเป็นการตัดบท

แต่ยัง เจ้าน้องบ้ายังไม่หยุด หลังจากที่ตามขึ้นมานั่งตรงตำแหน่งคนขับก็ยังไม่ยอมจบ แถมยังยื่นข้อเสนออันสุดแสนจะใจป้ำให้อีก

“เอางี้ไหมพี่น้ำ ผมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ผมยกให้พี่ เอาไปแก้ไขความพิการ”

“พี่มีอะไรพิการ” ธารธาราถามกลับ เพราะตามน้องชายไม่ทัน และตั้งแต่จำความได้ ร่างกายของเธอก็ครบสามสิบสองทุกประการ

ภูผาชี้มาที่ตัวเธอ แล้วกล่าวคำพูดที่เสียดแทงหัวใจ “หน้าอกพี่ มันเป็นโปลิโอ”

            คำพูดของภูผาทำให้ธารธาราอดก้มลงมองหน้าอกของตัวเองไม่ได้ แล้วเธอก็หันกลับไปมองน้องชายด้วยตาลุกวาวและโตเกือบเท่าไข่ห่าน

            “ไอ้น้องบ้า ตายซะเถอะ” มือเล็กทุบไปตามตัวน้องอย่างไม่กลัวเจ็บมือ เพราะเจ็บใจมากกว่าที่ภูผาบังอาจมาจี้ใจดำ ซึ่งความจริงเธอก็มีหน้าอกอยู่ เพียงแต่เป็นคัป B ที่เป็นมาตรฐานของหญิงไทย แต่อาจจะไม่ตูมเท่า คัป C หรือ คัป D ตามความคาดหวังของผู้ชายทั่วไปเท่านั้น

            ผู้เป็นน้องชายพยายามหลบกำปั้นเล็กๆ นั่น พลางส่งเสียงร้องโอดโอย “โอ๊ย เจ็บ...พอแล้วพี่น้ำ...พอ”

            หญิงสาวทุบน้องจนเหนื่อย และคิดว่าน่าจะเป็นการสั่งสอนที่เพียงพอแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมองน้องชายตาเขียวและขู่สำทับ “ถ้าแกมาหาว่าหน้าอกฉันพิการอีก ฉันจะเผาสวนยางห้าสิบไร่ของแกให้ราบเป็นหน้ากลองเลยคอยดู” ธารธาราขู่ เพราะรู้ว่าภูผารักสวนยางที่เจ้าตัวเพิ่งปลูกใหม่ราวกับลูกในอุทร

            “ก็แค่หวังดี”

            คราวนี้น้องชายกล่าวเสียอ่อย แต่ธารธารายังไม่ยกโทษให้

            “ไม่ต้องมาหวังดีเลย ฉันทำจริงๆ แน่ ออกรถไปได้แล้ว”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น