บทที่ ๑๐
ภรรยาที่ไม่คู่ควร
นรีรัตน์ยืนกอดอกมองสีหน้านิ่งสนิทของราชนิกุลหนุ่มด้วยแววตาใคร่ครวญ ขณะที่อีกฝ่ายนั่งนิ่งมองจานข้าวเบื้องหน้าอย่างไม่คิดจะตักอาหารรับประทานแม้แต่น้อย ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายผ่านพี่ชายคนรองและคุณย่า ไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้เขาจะกลายมาเป็นคนในครอบครัวของเธอ
หม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล
ชายหนุ่มเจ้าของธุรกิจสัมปทานป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ผู้ต้องสงสัยหมายเลขหนึ่งในคดีลักลอบค้าฝิ่นเถื่อน คนที่เธอยอมแต่งงานด้วยเพียงเพราะต้องการสะสางงานราชการให้สำเร็จ
“อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะคุณหญิง ท่านชายกำลังรอคุณหญิงอยู่นะคะ”
คำพูดของศรีนวล บ่าวหญิงคนเก่าคนแก่แห่งวังณรังค์กูล ทำให้ความคิดทั้งหมดหยุดชะงัก เธอเบือนหน้ามามองสีหน้าขอร้องของอีกฝ่าย แล้วเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามชายหนุ่ม
“เมื่อคืนคงหลับสบายสินะ กว่าจะลงมาทานอาหารเช้าได้ ให้รอเสียนานเชียว”
“ถ้าคุณหิว ทำไมไม่ทานก่อนคะ”
ทว่าหม่อมเจ้าอธิธัชไม่ตอบคำถาม เขาตักอาหารใส่จานของตนเองแล้วลงมือรับประทานด้วยสีหน้าราบเรียบ ขณะที่นรีรัตน์ลอบมองสีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายด้วยแววตาเคร่งขรึม
การรับประทานอาหารเช้าของคู่ข้าวใหม่ปลามันเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ไม่มีบทสนทนาใดๆ ราวกับทั้งสองเป็นคนแปลกหน้ากัน สำหรับนรีรัตน์แล้ว นี่เป็นเหมือนการออกงานสังคมที่ต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน หม่อมเจ้าอธิธัชไม่ได้เป็นอะไรกับเธอมากไปกว่าคนรู้จัก
“เธอจะไม่ถามฉันสักคำเลยหรือว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม”
“เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ” หญิงสาวพูดตามอีกฝ่ายทันทีด้วยท่าทางเฉยชาก่อนจะหันไปตักกับข้าวใส่จานตัวเองอย่างไม่สนใจจะรอฟังคำตอบ
ชายหนุ่มทำหน้านิ่วน้อยๆ อย่างไม่ชอบใจ “คงจะสบายอยู่หรอก เธอทิ้งให้ฉันนอนหน้าห้องทั้งคืน ดูสิ ยุงกัดเต็มตัวเลย”
“ค่ะ” นรีรัตน์ตอบสั้นๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ราชนิกุลหนุ่มมองท่าทางเย็นชานั้นอย่างหงุดหงิดก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
“วันนี้เธอต้องไปทำงานใช่ไหม เดี๋ยวฉันไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันนั่งรถรางไปเองได้”
“ยังไงก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว เดี๋ยวฉันไปส่ง”
น้ำเสียงหนักแน่นของอีกฝ่ายทำให้นรีรัตน์เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เธอมองสีหน้ากึ่งขอร้องกึ่งบังคับของเขา ก่อนจะตัดสินใจพยักหน้ารับพร้อมกับลอบยิ้มมุมปาก
“งั้นเราก็ไปกันเลยไหมคะ เดี๋ยวจะสาย”
ชายหนุ่มมองท่าทางกระตือรือร้นของหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจก่อนจะรีบลุกตามอีกฝ่าย เขาเดาใจเธอไม่ถูกจริงๆ ตอนแรกก็นั่งนิ่งไม่อยากพูดกับเขา แต่มาตอนนี้กลับดีใจที่เขาจะไปส่ง ตกลงเธอต้องการสิ่งใดแน่
“รถอีกสองคัน กระหม่อมเอาไปให้ช่างที่บางลำพูซ่อมตามที่มีรับสั่งแล้วกระหม่อม เหลือแต่คันโปรดของท่านชายคันนี้”
“ขอบใจมากนายถนอม เดี๋ยววันนี้ฉันขับเองนะ จะไปส่งคุณหญิงก่อน”
“เดี๋ยวฉันขับให้ก็ได้ค่ะ แค่ต้องรบกวนใช้รถของคุณก็เกรงใจมากแล้ว” นรีรัตน์พูดด้วยสีหน้าที่ทำเป็นซาบซึ้งใจ ขณะที่ถนอมส่งกุญแจรถให้เจ้านายหนุ่มก่อนจะถอยไปยืนเคียงข้างสมร บ่าวหญิงที่ตามนรีรัตน์มาจากวังวโรรส
“แต่ฉันเป็นสามี จะให้ภรรยามาขับรถให้ได้อย่างไร”
“ฉันขับได้นะคะ แล้วก็ขับเก่งมากด้วย”
“จริงเพคะท่านชาย คุณชายนภยังเคยพูดเลยว่า เวลานั่งรถกับคุณหญิงนิด คุณเขาหลับตลอดทาง”
“หลับตานอนสบายหรือจ๊ะแม่สมร” ถนอมถามเสียงซื่อ ขณะที่สมรตอบทันทีด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า
“หลับตาปี๋เพราะกลัวจะไม่ถึงวังจ้ะ”
“หมอน!” นรีรัตน์ถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างเคืองๆ ขณะที่สองบ่าวประสานเสียงหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
“ฉันขับได้จริงๆ นะ” หม่อมราชวงศ์หญิงหันไปย้ำกับราชนิกุลหนุ่มอีกครั้ง
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองท่าทางมาดมั่นของหญิงสาวพร้อมกับซ่อนรอยยิ้มขบขันของตนเอง
“ฉันรู้ว่าเธอเก่ง แต่ผู้ชายที่ไหนให้ผู้หญิงมาขับรถให้เล่า”
“ก็คุณไงคะ” นรีรัตน์ตอบหน้าตาเฉย
หม่อมเจ้าอธิธัชชะงักไป เธอแบมือเพื่อขอกุญแจรถจากเขา ชายหนุ่มมองสีหน้าอ้อนวอนของคนตรงหน้าอย่างอ่อนใจ แล้วจึงตัดสินใจวางกุญแจรถลงบนมือบาง
“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มร่า เปิดประตูเข้าไปนั่งตรงตำแหน่งคนขับทันที ขณะที่ราชนิกุลหนุ่มมองท่าทางยินดีปรีดาของเจ้าหล่อนอย่างเอ็นดู
“เดินทางปลอดภัยนะครับ คุณ...”
“ตายแล้ว!” หม่อมราชวงศ์หญิงโพล่งขึ้นขัดจังหวะนายถนอม พร้อมกับมองซ้ายมองขวาราวกับหาอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ตกใจหมด มีอะไรหรือคะคุณหญิง” สมรถามอย่างงุนงง
นรีรัตน์แกล้งถอนหายใจยาวก่อนจะตอบ
“ฉันลืมเอกสารไว้บนห้องน่ะสิ ต้องนำไปให้ท่านอธิบดีวันนี้เสียด้วย”
“งั้นเดี๋ยวหมอนไปหยิบให้เองค่ะ”
“ไม่ได้นะ!” หญิงสาวตะโกนเสียงหลง ขณะที่คนทั้งสามมองท่าทางตกอกตกใจของเจ้าตัวอย่างงุนงง “ไม่...ไม่เป็นไรจ้ะหมอน ขอบใจมาก”
“แต่เธอต้องใช้มันวันนี้ไม่ใช่หรือ”
“ใช่ค่ะ แต่ว่า...” หญิงสาวตอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงหนักใจ กวักมือเรียกเขาเข้ามาใกล้แล้วตอบเสียงเบา “คุณช่วยไปหยิบเอกสารบนห้องให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ กลัวว่าถ้าให้สมรหยิบ เธอจะรื้อค้นแล้วทำให้เอกสารบางส่วนหายไป เอกสารสำคัญทางราชการทั้งนั้นเลยค่ะ”
สีหน้ากังวลใจของนรีรัตน์ทำให้หม่อมเจ้าอธิธัชพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในวังโดยไม่ทันเห็นรอยยิ้มพรายของเจ้าตัวแม้แต่น้อย
“เครื่องใหม่เชียว ดูท่าจะเพิ่งถอยมาไม่นาน” หญิงสาวพึมพำด้วยรอยยิ้มสมใจพร้อมกับตบพวงมาลัยเบาๆ ด้วยท่าทางมาดมั่น เมื่อคล้อยหลังอีกฝ่าย เธอจึงสตาร์ตรถแล้วแตะเท้าที่คันเร่งด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “เดี๋ยวแม่จะพาไปกินลมชมวิว เอาให้ลืมเจ้านายคนเก่าไปเลย”
บรืน!
“ว้าย! ตายแล้วคุณนิด!”
“เดี๋ยวครับ คุณหญิง!”
ถนอมกับสมรตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อนรีรัตน์เร่งเครื่องแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้ารื่นรมย์ ขณะที่ชายหนุ่มที่เดินหายเข้าไปในวังได้ยินเสียงเร่งเครื่องยนต์จึงรีบวิ่งออกมาหน้าวัง ทันเห็นผู้เป็นภรรยาโบกไม้โบกมือให้พวกเขาก่อนจะเลี้ยวรถออกจากรั้ววัง หายไปต่อหน้าต่อตา
“หน็อย! ยายกะโปโล!” ราชนิกุลหนุ่มพึมพำด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด หลักสูตรพิชิตนวลนางที่ภรพสอนใช้กับนรีรัตน์ไม่ได้เลยสักนิด เจ้าหล่อนร้ายเสียขนาดนี้ แล้วเขาจะทำให้เธออยู่ด้วยกันภายในเวลาหกเดือนได้อย่างไร ยิ่งทำให้มารัก ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้
ไว้กลับมาเมื่อไร ต้องลงโทษยายกะโปโลลิงหลอกเจ้าเสียให้เข็ด!
ร่างเล็กที่นั่งคุดคู้อยู่บนเตียงนอนมีสีหน้าหวาดกลัวระคนเศร้าโศก มือทั้งสองที่กำแน่นเข้าหาตัวสั่นระริก น้ำตาไหลรินอาบแก้ม
นับตั้งแต่ช่วยชีวิตเด็กหญิงจากการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับพรรคพวกของเสือบาง เด็กน้อยถูกนำมารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะตามร่างกายได้รับบาดเจ็บจากลูกหลงจากการปะทะ อีกทั้งยังมีอาการหวาดผวาและไม่ยอมพูดคุยกับใคร จนถึงตอนนี้ก็ล่วงเลยมาถึงสามสัปดาห์แล้ว แต่เธอยังหาผู้ปกครองของอีกฝ่ายไม่พบ
“ไม่ยอมพูดอะไรเลยครับ”
นรีรัตน์พยักหน้ารับแล้วส่งสัญญาณให้นายตำรวจทั้งหลายถอยห่างออกไป จากนั้นจึงเดินด้วยจังหวะเนิบนาบเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเด็กหญิง
“สวัสดีจ้ะ จำพี่ได้ไหม”
ความเงียบคือคำตอบ หางตาเหลือบมองเธอเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เสียงร้องโครกครากพร้อมกับที่มือเล็กเลื่อนมาทาบทับที่ท้องทำให้หญิงสาวแย้มยิ้มน้อยๆ อย่างเอ็นดู
“พี่มัวแต่ยุ่ง เลยไม่ได้แวะมาเยี่ยมหนูเลย ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะ” หญิงสาวพูดเสียงนุ่มแล้วหยิบกระปุกขนมไทยออกมาจากกระเป๋า “พี่มีขนมมาฝากหนูด้วยนะ คุณย่าพี่ทำเอง ลองทานดูสิจ๊ะ”
ร่างเล็กเหลือบตามองอีกครั้ง ทว่าก็ยังไม่ยอมหยิบขนมที่เธอส่งให้เข้าปาก นรีรัตน์จึงต้องใช้ส้อมจิ้มแล้วยื่นใส่มืออีกฝ่าย
“ไม่ทานหรือจ๊ะ อร่อยมากเลยนะ” พูดจบก็จิ้มใส่ปากตัวเองบ้างและเคี้ยวอย่างภูมิใจ ขนมทองเอกฝีมือคุณย่าเธออร่อยเลื่องชื่อไม่แพ้ใคร ขณะที่เด็กหญิงมองขนมในมืออย่างลังเล ทว่าสุดท้ายก็ยอมจิ้มขนมเข้าปาก
นรีรัตน์ปล่อยให้เด็กน้อยเพลิดเพลินกับขนมฝีมือคุณย่าจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายผ่อนคลายลงบ้างแล้วจึงเอ่ยต่อ
“อยากเจอพ่อกับแม่ไหมจ๊ะ”
“พ่อ...พ่อจ๋า แม่จ๋าอยู่ไหน”
“ถ้าหนูอยากเจอพ่อกับแม่ พี่จะช่วยตามหาให้เองนะจ๊ะ” หม่อมราชวงศ์หญิงพูดเสียงนุ่มพร้อมกับลูบหัวอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน “บอกพี่ได้ไหมจ๊ะว่าหนูชื่ออะไร”
“มา...นี”
“มานี” นรีรัตน์เอ่ยทวน “ยินดีที่ได้รู้จักนะมานี พี่ชื่อนิดนะจ๊ะ เรียกพี่ว่าพี่นิดก็ได้”
“พี่...นิด”
“ใช่จ้ะ มานีเก่งมาก” หญิงสาวชมพร้อมกับยิ้มหวาน ขณะที่เด็กหญิงยิ้มน้อยๆ “จนกว่าพ่อจ๋าแม่จ๋าของมานีจะมารับ มานีไปอยู่กับพี่นิดก่อนนะจ๊ะ”
ร่างเล็กของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาในห้องรับแขกทำให้นรีรัตน์หรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด ก่อนจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายคือหม่อมเจ้าแก้วกัลยา ณรังค์กูล พระมารดาของหม่อมเจ้าอธิธัช ณรังค์กูล หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ เพราะหม่อมเจ้าอธิธัชบอกเธอว่าท่านแม่ของเขาติดภารกิจสำคัญที่ต่างประเทศ และจะกลับมาเดือนหน้า
หม่อมราชวงศ์หญิงวางกระเป๋าเอกสารก่อนจะเดินอย่างเรียบร้อยเข้าไปยืนตรงหน้าหญิงสูงวัยกว่า พร้อมกับที่อีกฝ่ายเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมามองเธอ
“สวัสดีค่ะ” นรีรัตน์ยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าอย่างนอบน้อม ขณะที่อีกฝ่ายมองเธอด้วยสีหน้านิ่งสนิทก่อนจะเอ่ยถามศรีนวล บ่าวหญิงที่อยู่ใกล้กันว่า
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
“คุณหญิงนรีรัตน์ วโรรส ภริยาของท่านชายเพคะ”
“อะไรนะ!”
น้ำเสียงที่ตะโกนอย่างไม่พอใจทำให้นรีรัตน์ชะงัก เธอลอบมองสีหน้าไม่สู้ดีของศรีนวล แล้วมาหยุดที่สีหน้าโกรธจัดของหญิงวัยกลางคนอย่างไม่เข้าใจ
“สกุลวโรรส! สกุลของพวกโกงชาติ!”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้นรีรัตน์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่ร่างเล็กลุกจากโซฟาแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้เธอ
“สกุลวโรรสชั้นต่ำอย่างหล่อนไม่คู่ควรกับราชสกุลสูงศักดิ์อย่างณรังค์กูล!”
“สกุลของหม่อมฉันไม่ใช่พวกชั้นต่ำ” หญิงสาวโต้กลับเสียงแข็ง ขณะที่อีกฝ่ายเชิดหน้ามองเธอด้วยสายตารังเกียจ ก่อนที่ดวงตาของหม่อมราชวงศ์หญิงจะเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าใครก้าวมายืนเคียงข้างอีกฝ่าย
“ทำไมจะไม่ใช่ ตระกูลของเธอมันชั่วช้า พ่อของเธอเข้าร่วมกับพวกญี่ปุ่น โกงน้ำมันและกักตุนสินค้าให้พวกมัน ทำให้คนไทยต้องอดตาย คนที่ควรจะเป็นลูกสะใภ้ของฉันไม่ใช่ลูกหลานคนโกงชาติอย่างเธอ แต่เป็นหม่อมเจ้าขวัญฤทัย ทรรศณา คนนี้ต่างหาก”
หญิงสาวที่ถูกพูดถึงจ้องเธอพร้อมกับยิ้มเหยียด สีหน้าและแววตาเย่อหยิ่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อสิบปีก่อน คำพูดร้ายกาจมากมายฉายชัดเข้ามาในหัวอีกครั้ง
‘แล้วเธอยุ่งอะไรด้วย ฉันเป็นท่านหญิง ฉันจะทำอะไรก็ได้’
‘นรีรัตน์เป็นคนผลักหนูแดงตกน้ำค่ะ!’
‘ยายขี้โกหก’
หญิงสาวกำมือแน่นเพื่อระงับอารมณ์โกรธ ความทรงจำเลวร้ายในวัยเด็กโลดแล่นอยู่ภายในหัวโดยมีตัวละครเอกคือเธอกับหม่อมเจ้าหญิงตรงหน้า ขณะที่อีกฝ่ายก้าวมาประจันหน้ากับเธอแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะคุณหญิงนรีรัตน์ ยังน่ารังเกียจเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“เพคะ ท่านหญิงก็ยังดูเสแสร้งเก่งไม่เปลี่ยน”
ดวงตาคู่โตของอีกฝ่ายฉายแววมาดร้ายทันที ขณะที่หม่อมเจ้าแก้วกัลยาหันไปหาศรีนวลแล้วถามเสียงแข็ง
“แล้วนี่ชายธัชไปไหน ทำไมยอมให้แม่นี่เข้ามาอยู่ในวัง ไปเก็บข้าวของของแม่นี่ซะ ฉันจะไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในวังเป็นอันขาด”
“แต่ว่า...”
“หล่อนจะขัดคำสั่งฉันหรือ! ไปเก็บข้าวของของแม่นี่แล้วโยนออกไปเสีย!”
ศรีนวลชะงักแล้วเหลือบมองนรีรัตน์ที่พยักหน้าให้อีกฝ่ายทำตามคำสั่งของท่านหญิงแก้ว บ่าวหญิงมองสีหน้าโกรธจัดของผู้เป็นนายแล้วรีบกระวีกระวาดขึ้นไปที่ชั้นสองทันที
“ทรงทำแบบนี้ทำไมเพคะ”
“ฉันไม่ยอมรับผู้หญิงจากสกุลวโรรสอย่างหล่อน ชายธัชมีคู่หมั้นอยู่แล้วคือหญิงขวัญ หล่อนไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในตัวลูกชายฉัน”
แล้วคิดว่าเธออยากได้ลูกชายของท่านหญิงหรืออย่างไร
ถ้าให้เลือกระหว่างท่านชายกับกระสอบทรายเก่าๆ เธอขอเลือกกระสอบทรายดีกว่า เพราะดูท่าแล้วคงมีประโยชน์ต่อเธอมากกว่าไอ้ท่านชายโรคจิตนั่นแน่นอน เธอเตะต่อยกระสอบทรายระบายความเครียดได้ แต่ถ้าเตะหม่อมเจ้าอธิธัช ไม่แคล้วคงได้ติดคุกติดตะราง ต้องกินผัดกะเพรากับโอเลี้ยงประทังชีวิตอีก
“ไสหัวออกไป! แกมันไม่คู่ควรกับพี่ชายธัช!”
เป็นคำพูดที่ทำให้นรีรัตน์กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนฉากนางร้ายปะทะนางเอกในละครช่องบางขุนพรหมที่สมรดูเมื่อคืนไม่ผิด แล้วอีกประเดี๋ยวพระเอกก็จะต้องเข้ามาห้าม หลังจากที่นางเอกโดนทำร้ายจนสะบักสะบอม
แต่ถ้าให้เธอเป็นนางเอกผู้บอบบาง ต้องโดนทำร้ายจนเจ็บหนัก เธอขอเป็นนางร้ายดีกว่า
“พี่ชายธัชมีฉันเป็นคู่หมายอยู่แล้ว เธอไม่มีสิทธิ์เสนอหน้าอยู่ที่นี่ เธอเป็นแค่คนชั้นต่ำที่ไม่มีค่าพอจะคบค้าสมาคมด้วย ตระกูลของคนโกงชาติ!”
คำพูดร้ายกาจที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากสีแดงสดทำให้นรีรัตน์ตวัดสายตามาจ้องใบหน้าของขวัญฤทัยด้วยดวงตาวาวโรจน์ แล้วตอบเสียงกร้าว
“คุณไม่มีสิทธิ์มาดูถูกตระกูลของฉัน คนที่ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่นต่างหากที่ควรจะเรียกว่าคนชั้นต่ำ”
“นี่แก!”
นรีรัตน์จ้องสีหน้าแค้นเคืองของขวัญฤทัยด้วยสีหน้านิ่งสนิท แต่นัยน์ตาฉายประกายเอาเรื่อง ก่อนที่ราชนิกุลหญิงจะดึงกระเป๋ามาจากมือของศรีนวล แล้วเทเสื้อผ้าข้าวของทั้งหมดของเธอลงบนพื้นจนกระจัดกระจาย
“ท่านหญิง!” นรีรัตน์มองการกระทำของราชนิกุลหญิงอย่างโกรธเคือง แล้วตรงเข้าไปแย่งกระเป๋าจากอีกฝ่าย แต่กลับถูกขวัญฤทัยผลักกระเด็นไปกระแทกโต๊ะจนแจกันที่ตั้งอยู่หล่นลงมาแตกกระจาย
เพล้ง!
“ตายแล้ว! นั่นแจกันลายครามจากจีนของฉัน” หม่อมเจ้าแก้วกัลยาตะโกนเสียงเขียว
หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นยืน ทว่ามือกลับพลาดไปวางทับเศษแจกันจนเป็นรอยบาดยาวที่ฝ่ามือ เธอกล้ำกลืนความเจ็บปวด แล้วเดินไปก้มเก็บเสื้อผ้าข้าวของของตนเองที่หล่นอยู่บนพื้นเงียบๆ
“ออกไปจากที่นี่เสีย! หล่อนไม่มีสิทธิ์ใดๆ ในวังณรังค์กูล”
“หม่อมฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของท่านชายแล้ว หม่อมฉันมีสิทธิ์อยู่ที่นี่เพคะ”
“แก!”
ขวัญฤทัยถลาเข้ามาหมายจะตบหน้านรีรัตน์ ทว่าหญิงสาวเอี้ยวตัวหลบ ทำให้อีกฝ่ายเซถลาไปชนขอบตู้ทรุดลงกับพื้น หน้าผากที่เริ่มมีเลือดไหลทำให้นัยน์ตาของนรีรัตน์เบิกกว้างอย่างตื่นตะลึง
“หน็อย!” ขวัญฤทัยตะโกนอย่างอาฆาต ก่อนจะค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนโดยมีแก้วกัลยาคอยช่วย เธอตรงเข้ามากระชากตัวนรีรัตน์แล้วดึงสร้อยพระที่ห้อยคอหญิงสาวหลุดติดมือไป
“ปล่อย!” หญิงสาวพยายามผลักอีกฝ่ายออกห่างพร้อมกับแย่งสร้อยคืนมา ขณะที่ขวัญฤทัยก็ออกแรงดึงกลับอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน การยื้อยุดฉุดกระชากของสองสาวดำเนินต่อไปอย่างไม่มีใครยอมใคร ทว่าการกระทำทั้งหมดก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจดังขัดจังหวะว่า
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
นั่นปะไร...พระเอกมาแล้ว
มาตอนที่เธอกำลังกำคอเสื้อของท่านหญิงขวัญฤทัยแน่นเชียว แววตาของเธอในตอนนี้คงดูโมโหโกรธเกรี้ยวมากทีเดียว แถมสีหน้าของราชนิกุลหญิงก็แปรเปลี่ยนเป็นละห้อย น่าสงสารแล้วเสียด้วย
เฮ้อ...นี่เธอกำลังเป็นนางร้ายอยู่ชัดๆ
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
ถามเหมือนพระเอกในละครไม่มีผิด จะเข้ามาเร็วกว่านี้สักนาทีก็ไม่ได้ มัวแต่เดินเนิบนาบสง่างามเหมือนที่คนเขียนบทละครว่าไว้หรืออย่างไร คิดแล้วน่าหงุดหงิดเหลือเกิน
“พี่ชายธัชคะ ช่วยขวัญด้วยค่ะ”
โถ...แม่นางเอกละคร น่าสงสาร...น่าสงสารที่สุด แล้วนั่น! น้ำตาที่ไหลอาบแก้มในตอนนี้ของเจ้าหล่อนคืออะไร ให้ตายสิ! นี่มันฉากในละครชัดๆ
นรีรัตน์มองหม่อมเจ้าขวัญฤทัยที่ทำเป็นเดินขากะเผลกทั้งที่มีแผลที่หน้าผากไปหาชายหนุ่มอย่างชื่นชม เธอนึกอยากปรบมือให้ความทุ่มเทของอีกฝ่ายเหลือเกิน ขณะที่ราชนิกุลหนุ่มกวาดตามองผู้เป็นแม่ที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน ก่อนจะมาหยุดที่สีหน้าราบเรียบของผู้เป็นภรรยา แล้วเอ่ยถามเสียงนิ่งว่า
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นครับ”
“ชายธัชต้องจัดการให้แม่นะ แม่ไม่ยอม!”
“ขวัญแค่ทักทายหญิงนิดดีๆ แต่เธอกลับคิดว่าขวัญหาเรื่องเธอ แล้วก็ตรงเข้ามาทำร้ายขวัญเลยค่ะ พี่ชายธัช”
เป็นประโยคที่ทำให้นรีรัตน์ถอนหายใจเสียงดังด้วยความเอือมระอาอย่างจงใจให้คนพูดได้ยิน จะว่าไปแล้วเธอไม่เคยเห็นใครแสดงละครได้เก่งเท่าท่านหญิงขวัญฤทัยเลย บางทีช่องโทรทัศน์บางขุนพรหมควรทาบทามท่านหญิงไปเล่นละครดูบ้าง เพราะหล่อนคงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนการแสดงมากนัก และบางทีเธออาจมีโอกาสได้เห็นเจ้าหล่อนได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมด้วย
“เงียบไปเลยนะหญิงนิด ทำไมล่ะ กลัวว่าถ้าอธิบายแล้วจะฟังไม่ขึ้นเหมือนเมื่อสิบปีก่อนงั้นหรือ”
“ก็คงจะอย่างนั้นกระมังคะ เพราะถ้าจะให้หม่อมฉันโกหกคนอื่นได้หน้าระรื่นเหมือนท่านหญิง หม่อมฉันคงทำไม่ได้”
ขวัญฤทัยตวัดสายตาแค้นเคืองมาให้เธอ นรีรัตน์เองก็จ้องกลับอย่างเอาเรื่องไม่แพ้กัน หญิงสาวกำสร้อยพระที่ได้รับจากผู้เป็นแม่แน่น ขณะที่ราชนิกุลหญิงเอนหัวซบไหล่หม่อมเจ้าอธิธัชแล้วพูดเสียงออดอ้อนว่า
“พี่ชายธัชคะ ขวัญเจ็บเหลือเกินค่ะ”
สายตาเย้ยหยันที่ทอดมองมาทำให้นรีรัตน์กำมือที่เต็มไปด้วยคราบเลือดอย่างเจ็บใจ เธอเงยหน้ามองราชนิกุลหนุ่มด้วยแววตาแข็งกร้าว แล้วสาวเท้าออกจากห้องโถงทันที
ความคิดเห็น |
---|