1

บทที่ 1


ตอนที่ 1

“ลุง ทำไมผิวถึงดีแบบนี้ เวลาลูบไล้สัมผัสมือ มันช่าง...จุ๊ๆ เนียนยิ่งกว่าผิวผู้หญิงซะอีก”

“ไอ้ระยำ! จะทำอะไรก็เร็วหน่อย มัวพูดพล่ามอยู่ได้...อ๊า!”

หม่าเจายังพูดไม่จบ ก็ถูกท่อนลำแข็งขึงที่ฝังลึกในร่องบั้นท้ายเร่งเครื่องชนอย่างจัง ส่วนนูนที่ไวต่อความรู้สึกถูกกระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง ความรู้สึกชาวาบแล่นจากบั้นท้ายพุ่งถึงห้วงสมอง หม่าเจาเปล่งเสียงครางจนแม้แต่ตนเองยังรู้สึกอับอาย

“ลุง พูดคำหยาบไม่เพราะเลยนะ!”

วังไห่ลูบคลึงแก้มก้นเนียนนุ่มเด้งกระชับของหม่าเจาไปพลาง กระซิบเตือนข้างหูไปพลาง

“อา...ฉันอยากพูด...อา...อยากพูดอะไรก็พูดแบบนั้น...เกี่ยวห่าอะไรกับนาย...อุ๊บ!”

วังไห่ใช้จุมพิตอุดปากหม่าเจา บดเบียดเร่าร้อนจนหม่าเจาหอบกระชั้น อย่าว่าแต่พูดอะไรเลย กระทั่งหายใจยังลำบาก ช่องทางอันแห้งผากผ่านการเสียดสีจนค่อยๆ แฉะชื้น ท่อนกำยำถูกผนังร่องสวาทอบอุ่นลื่นปลาบบีบเค้นกระตุ้นประสาทในสมองวังไห่ไม่หยุด เขาไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป ยกสองขาของหม่าเจาขึ้นพาดบ่า สาวบั้นเอวรุนแรงไปที่ร่องหฤหรรษ์นั้น

“อูย...ช้าหน่อย...ไอ้ระยำ!...อาห์...”

“ช้าหน่อยจะทำให้ร่างกายที่หื่นกระหายของคุณพอใจได้ยังไงล่ะ”

วังไห่พูดจบก็เสือกแทงรุนแรงอีกครั้ง ต่อมลูกหมากอันไวต่อความรู้สึกถูกชนกระหน่ำจนหม่าเจาครางกระเส่าไม่หยุด สติว้าวุ่น อารมณ์ลอยละล่อง สายตาพร่าเลือน สองขาสั่นเทิ้มไม่หยุด บั้นท้ายให้ความร่วมมือปัดป่ายซ้ายขวากระดอนขึ้นลงตามจังหวะชักเข้าชักออกของวังไห่โดยไม่รู้ตัว

“ลุง บั้นท้ายคุณยั่วยวนดีจริง ทั้งแฉะทั้งร้อน มีน้ำหล่อลื่นเหมือนของผู้หญิงอีก ตอดผมจนเสียวจะตายอยู่แล้ว”

“อา...หุบปาก...นายจะ...นายจะเอาฉันให้ตายรึไง...ช้าหน่อย...อูย...ทนไม่ไหวแล้ว อ๊า!”

ความเสียวซ่านถึงขีดสุดส่งผ่านจากต่อมลูกหมากจนหม่าเจาสะกดกลั้นจุดสุขสมของตนเองไม่อยู่อีกต่อไป โอบกุมท่อนล่างที่ลุกชูชันสยิวสุดทานทน กระตุกรูดอย่างหยาบกร้านสองครั้ง ท้องน้อยหดเกร็ง บั้นท้ายขมิบสั่น พลันของเหลวสีขาวพุ่งออกจากมือ

“อ๊า!”

ช่องสวาทตอดรัดท่อนลำขนาดเขื่องในร่างไว้แน่น วังไห่ถูกบีบกระชับโดยไม่ทันตั้งตัว ขาหนีบชาวูบวาบ ทำนบพังทลายลง ของเหลวข้นฉีดทะลักในบั้นท้ายของหม่าเจาจนสิ้นไม่เหลือสักหยด

คืนนี้หลั่งเป็นครั้งที่สี่แล้ว หลังผ่อนคลายลง วังไห่ออกจะเหนื่อยล้าอยู่บ้าง จึงทาบทับบนร่างของหม่าเจา จูบไล้ไปตามผิวหนังราบเรียบเนียนลื่น ละเลียดเลียเม็ดเหงื่อเล็กละเอียดที่ผุดซึมบนร่างของหม่าเจา หอมบนร่องสะดือน่ารักฟอดหนึ่ง ยิ้มพลางบอกเสียงกระเส่า

“คุณยอดเยี่ยมจริงๆ เหมือนว่าผมจะยิ่งชอบคุณเข้าไปทุกทีแล้ว”

หม่าเจาจมอยู่ในห้วงแห่งความสุขสมกระทั่งแรงขยับนิ้วมือยังไม่มี ได้ยินดังนั้นได้แต่เบิกตาโพลง เปล่งเสียงแหบแห้งเพราะร้องครางมาทั้งคืนก่นด่า

“ไสหัวไป ฉันไม่สนนายสักนิด”

“หึๆ” วังไห่หัวเราะเบาๆ

ร่างของหม่าเจาแข็งขืนขึ้นฉับพลัน วินาทีต่อไปไม่แยแสความปวดเมื่อยของร่างกายและความระบมของบั้นท้าย กระเสือกกระสนลนลานลงจากเตียง อยู่มาเกือบสี่สิบปี ไม่เคยพบเคยเจอเสียงหัวเราะของใครน่าขนลุกขนพองแบบนี้ วังไห่เป็นคนแรก

น่าเสียดาย ขายังไม่ทันแตะพื้นก็ถูกลากกลับมาดื้อๆ

“ลุงจะหนีไปไหน”

“คืนนี้ทำสี่ครั้งแล้ว” หม่าเจาเอามือบังก้นขณะจ้องคนที่ยิ้มหน้าตาอ่อนโยนตรงหน้าอย่างโกรธขึ้ง “นายยังหนุ่มยังแน่น เรี่ยวแรงดีไม่มีตก แต่ฉันเข้าวัยกลางคนแล้ว เทียบนายไม่ได้ ปล่อยฉันไปเถอะ พรุ่งนี้ฉันยังต้องทำงาน!”

“เหนื่อยมากเหรอ”

วังไห่ถามพลางบีบนวดให้หม่าเจา ฝ่ามืออุ่นร้อนนวดด้วยแรงกำลังพอดีบนบั้นเอว

“พูดมาก”

ฝีมือนวดของวังไห่มีดีพอตัว ถูกเขานวดไม่กี่ที ทั้งเนื้อทั้งตัวรู้สึกสบายไปหมด

“ขึ้นมาอีกนิด อืม สบายจัง อา...”

วังไห่ขบเบาๆ ที่ติ่งหูสีชมพูซึ่งอยู่ใกล้เพียงลัดนิ้วมือ กระซิบเสียงทุ้มข้างหูหม่าเจาว่า

“อย่าครางยั่วแบบนี้สิ ผมกลัวว่าจะอดกลั้นไม่อยู่ อยากทำอีกครั้ง”

หม่าเจารีบหุบปาก ทำอีกครั้ง เขาคงตายคาเตียงหลังนี้เป็นแน่

“ว่าง่ายดีมากเลย ถ้าปกติว่าง่ายแบบนี้ ผมคงยิ่งรักยิ่งหลงคุณแน่”

วังไห่ยิ้มพลางจูบหม่าเจา จากนั้นก็ช้อนอุ้มตัวเขาขึ้น

“ไอ้บ้า ปล่อยฉันลงเลย เคารพผู้อาวุโสเมตตาเด็กเล็กน่ะรู้จักไหม นาย อ๊า!...”

“ลุง ถ้าไม่เชื่อฟัง ผมจะใช้ของที่คุณชอบที่สุดสั่งสอนนะ!”

วังไห่ดุนบั้นท้ายหม่าเจาด้วยช่วงล่างที่ผงาดผึงขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

หม่าเจาขมิบก้นแล้วรีบอุดปากแน่น สัตว์ป่าตัวนี้พูดได้ทำได้แน่

ทว่าคราวนี้วังไห่ถือว่ามีมนุษยธรรมอยู่บ้าง นอกจากแอบหาเศษหาเลยลูบไล้ช่วงขาแก้มก้นตอนอาบน้ำแล้ว ก็ไม่มีเรื่องเกินเลยอื่นใดอีก

ออกมาหลังอาบน้ำแล้วเสร็จ วังไห่ก็วางเขาลงบนเตียง ห่มผ้าห่มให้อย่างดี จากนั้นไปห้องรับแขก รินน้ำอุ่นแก้วหนึ่งมาป้อนเขา แล้วเริ่มสวมเสื้อผ้า

“ลุง ราตรีสวัสดิ์ รีบพักผ่อน ผมยังมีธุระ อยู่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้ อย่าให้ผมรู้นะว่าคุณเที่ยววิ่งมั่วไปทั่ว ไม่งั้นผมจะทำให้คุณวิ่งไม่ได้อีกเลย!”

การตอบสนองของหม่าเจาต่อคำพูดนี้คือ ดึงผ้าห่มมาคลุมโปงมิดหัว ตะแคงข้างหันหลังใส่วังไห่

วังไห่หัวเราะอย่างจนใจ ทำไมเขาถึงได้หลงรักลุงเอาใจยากขี้งอนแบบนี้ได้นะ

ได้ยินเสียงประตูถูกปิดลง หม่าเจาถึงได้ปล่อยผ้าห่มลง พอลืมตา ตรงหน้ามืดมิดเป็นแผ่นผืน ภายในห้องยังอวลตลบด้วยกลิ่นอายแห่งความอ่อนโยนละมุนละไม ความเจ็บแปลบด้านหลังและร่องรอยบนร่างกายพิสูจน์ถึงเรื่องพิศวาสอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่

แต่หลังจากอารมณ์พลุ่งพล่านผ่านพ้น เหลือเขาอยู่ภายในห้องตามลำพัง ความรู้สึกเหลื่อมล้ำประเภทนี้ยิ่งทำให้อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว บัดนี้ในที่สุดเขาก็รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของหญิงที่ถูกเขาทอดทิ้งหลังร่วมอภิรมย์สมรักเพียงหนเดียวแล้ว

เตียงกว้างขวางอ่อนนุ่มอุ่นสบายประดุจไม้กระดานแข็งทื่อก็ไม่ปาน พลิกตัวไปมาอยู่บนนั้นเนิ่นนานกลับไม่อาจเข้าสู่นิทรา

วันถัดมา ได้แต่ไปทำงานทั้งขอบตาดำเป็นวง จิตใจหงอยเหงาเศร้าซึม

“หม่าเจา มาที่ห้องทำงานฉันหน่อย”

นั่งบนเก้าอี้ยังไม่ทันก้นอุ่น ก็ได้รับสายจากเจ้านาย หม่าเจากินอาหารเช้าอย่างเอ้อระเหยเสร็จแล้ว ถึงไปห้องทำงานท่านประธาน

“ฉินเหยียน เรียกหาฉันแต่เช้ามีธุระอะไรหรือ” มาถึงห้องทำงานท่านประธาน ไม่รอให้เลขานุการหน้าห้องรายงานและไม่เคาะประตู เปิดประตูเข้าไปโดยตรง

เมิ่งฉินเหยียน (เชิงอรรถ 1) ผู้มีความรักหล่อเลี้ยงสีหน้าสดใสมีเลือดฝาด ลมวสันต์ฉาบทั่วหน้า ราวกับหนุ่มขึ้นมาสิบปี ช่างน่าอิจฉานัก ทำไมเขาไม่ยักเจอลูกเขยแบบนี้บ้าง คนเหมือนกันแต่ต่างบุญวาสนาโดยแท้!

(เชิงอรรถ 1 จากเรื่อง เยวี่ยฟู่โกวซั่งฉวง โดยผู้แต่งคนเดียวกัน เมิ่งฉินเหยียนเพิ่งได้หลินโม่ลูกเขยกำมะลอเป็นคู่รัก)

“นั่งสิ” เมิ่งฉินเหยียนวางเอกสารลง เงยหน้ามองหม่าเจาแวบหนึ่ง

ลากเก้าอี้ออกเพิ่งนั่งลง พลันนึกถึงแผลที่บั้นท้ายขึ้นมาได้ จึงโบกมือ

“ฉันยืนก็แล้วกัน นั่งนานเกินไปจะปวดหลังได้”

เมิ่งฉินเหยียนล้วงเอกสารชิ้นหนึ่งออกจากลิ้นชัก

“เมื่อคืนสิงเทียนเกิดอุบัติรถยนต์ โครงการบุกเบิกครั้งนี้มอบให้นายจัดการ”

“อะไรนะ เกิดอุบัติเหตุรึ ตายไหม”

“ไม่ตาย”

“ฉันต้องเป็นตัวแทนบริษัทไปเยี่ยมปลอบขวัญหมอนั่นหน่อยไหม”

“ถ้านายว่างขนาดนั้น ไม่สู้รีบกลับไปเก็บกระเป๋า ตั๋วเครื่องบินจองให้นายแล้ว ตอนบ่ายสองโมง”

“กระชั้นขนาดนั้นเลย?”

“สิงเทียนเกิดอุบัติเหตุตอนเดินทางไปสนามบิน”

“แล้วนายยังจะให้ฉันไปอีก ผลประโยชน์นำหน้าจริงๆ ด้วย พี่น้องมีไว้เพื่อหักหลัง”

เมิ่งฉินเหยียนเปิดเอกสารเมื่อสักครู่ พลิกอ่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เซ็นชื่อด้วยลายมือมังกรเหินหงส์ร่ายที่มุมขวาล่างของหน้าสุดท้าย ประทับตราเสียงดังตุบ แล้วหยิบเอกสารอีกฉบับมาเปิดอ่าน...

พอมีคู่ชู้ชื่นก็ลืมพี่ลืมน้อง ผู้ชายนี่นะ เห็นรักรัญจวนดีกว่าสหายจริงดังคาด

หม่าเจาหมุนตัวจากมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก ทำงานนอกสถานที่ก็ดีไปอย่าง จะได้ไม่ถูกวังไห่เด็กเหลือขอขนยังขึ้นไม่ครบนั่นตามเกาะแกะ

เมิ่งฉินเหยียนมองตามเงาหลังของหม่าเจาก่อนส่ายหน้า โตขนาดนี้แล้วยังมีพฤติกรรมแบบนี้อีก ทั้งวี่ทั้งวันแทบไม่มีอะไรน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างเลย

โครงการบุกเบิกครั้งนี้สิงเทียนรับผิดชอบมาตลอด จู่ๆ หม่าเจามารับเรื่องต่อย่อมมีบางแห่งไม่กระจ่างชัดแจ้ง ได้แต่พาเลขาฯของสิงเทียนไปด้วย ทั้งคู่เก็บสัมภาระเรียบร้อยก็นั่งเครื่องบินมุ่งสู่เมือง N โดยตรง

รสนิยมของสิงเทียนนั้นย่ำแย่พอๆ กับรูปลักษณ์ภายนอกของเขา เลขานุการ...อาชีพที่ต้องพาออกไปพบปะลูกค้าบ่อยครั้ง ที่จะช่วยสร้างเสริมบรรยากาศย่อมต้องเป็นสาวสวยทรงโต ก้นงอน หน้าตาจิ้มลิ้มงดงามราวบุปผาถึงจะถูก สิงเทียนดันเลือกผู้ชายที่แผงอกแบนราบตรงหว่างขาโป่งนูน เย็นชาเสียยิ่งกว่าเกล็ดน้ำค้างแข็ง

ว่ากันว่าตัวคนสมดั่งชื่อเสียงเรียงนาม แต่คนแซ่เวิน (อบอุ่น) ทำไมถึงได้เย็นชาขนาดนั้นเล่า

“ขอผ้าห่มให้ผมสักผืน หนาวนิดหน่อย”

“ได้ค่ะ กรุณารอสักครู่”

เด่นชัดว่าเป็นวันในเดือนพฤษภาคม ทว่าหม่าเจาสัมผัสได้ถึงแรงกดอากาศต่ำที่เวียนวนอยู่บริเวณโดยรอบ หนาวเหลือเกิน...

เขาไม่ใช่คนอยู่เงียบๆ คิดเอ่ยปากสนทนากับเวินเหวินหลายหน แต่พอเห็นใบหน้าด้านข้างที่เย็นชามึนตึงของเวินเหวินก็ได้แต่หุบปากโดยดี อย่างนั้นนอนดีกว่า เมื่อคืนไม่ได้หลับทั้งคืน นอนชดเชยให้เพียงพอจะได้มีแรงเจรจาธุรกิจ

นอนหลับไปหนึ่งตื่น เครื่องบินก็ลงจอดแล้ว หม่าเจารีบลากกระเป๋าสัมภาระลงจากเครื่อง เวินเหวินติดตามอยู่ด้านหลังห่างไปไม่ถึงสองก้าว

เคราะห์ดีมีเวินเหวินเป็นเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่อยู่ด้วย นอกสนามบินดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดกล้าส่องเหนือกระหม่อม หม่าเจากลับไม่รู้สึกร้อนสักนิด

รออยู่สักพักใหญ่ รถถึงเคลื่อนเข้ามา ทั้งสองคนนั่งในรถ แล่นตรงสู่โรงแรม

“ฉันกลับห้องไปพักผ่อนก่อน อาหารเย็นไม่ต้องเรียกฉัน นายไปกินเองก็แล้วกัน”

หม่าเจาพูดจบก็ปิดประตูดังปัง

เวินเหวินยืนนิ่ง จ้องมองประตูที่ปิดสนิทแน่นบานนั้น ผ่านไปเป็นครู่ถึงใช้คีย์การ์ดเปิดประตู

หม่าเจาเปลือยท่อนบน พันท่อนล่างด้วยผ้าเช็ดตัวออกจากห้องอาบน้ำ พอเงยหน้าก็เห็นเวินเหวินนั่งหลังตรงแน่วอยู่บนโซฟา ถือถ้วยชาเย็นชืดจิบอย่างใจเย็น อดสะดุ้งตกใจไม่ได้

“นายเข้ามาได้ไง”

“ที่นี่ก็เป็นห้องของผม” เวินเหวินวางถ้วยชาลง

“อะไรนะ บริษัทเราจนขนาดห้องในโรงแรมก็จองไม่ไหวแล้วหรือ” หม่าเจาแทบคลั่ง

“ห้องเต็มครับ” เวินเหวินตอบเสียงสุขุม

“เปลี่ยนไปโรงแรมอื่นไม่ได้หรือไง”

หม่าเจายกแขนก่ายหน้าผาก ให้เขาอยู่ห้องเดียวกับเวินเหวิน เขาจะถูกแช่แข็งจนกลายเป็นแท่งไอติมตอนดึกดื่นเที่ยงคืนหรือไม่

“ตาผมแล้ว”

เวินเหวินพูดจบก็ล้วงกางเกงในสะอาดตัวหนึ่งจากกระเป๋าเดินทาง เดินผ่านหม่าเจาไปเข้าห้องน้ำ

หม่าเจาประหลาดใจที่พบว่า แท้จริงแล้วบนโลกนี้ยังมีคนปากหนักเสียยิ่งกว่าเมิ่งฉินเหยียนอยู่อีก

ภายในห้องมีสองเตียง หม่าเจาเผด็จการครอบครองเตียงที่ชิดกระจกบานยาวเกือบระพื้น

พอแหงนหน้าก็มองเห็นนภากาศประดับด้วยดวงจันทร์สุกกระจ่างและหมู่ดาวระยิบระยับราวอณูเม็ดทรายดารดาษกลาดเกลื่อนบนท้องฟ้าที่ถูกย้อมด้วยหมึกสีนิล กะพริบวิบวับส่องประกายพร่างพราว

หม่าเจาชื่นชอบท้องฟ้าเช่นนี้ งดงามจนทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มมัวเมา

เมื่อเวินเหวินเช็ดผมเดินออกมา หม่าเจาก็หลับไปแล้ว จึงปิดไฟ นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือตรงข้างเตียง รอจนผมแห้งแล้วก็เข้านอน

กริ๊ง! กริ๊ง!

เสียงกริ่งนาฬิกาปลุกที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเปลี่ยนของหม่าเจาดังขึ้นตอนแปดโมงตรง ปลุกสองคนที่ยังหลับใหลให้ทยอยตื่นขึ้น

เมื่อคืนหลับผล็อยไป เอกสารอยู่ในกระเป๋าเดินทาง ไม่ได้แตะต้องแม้แต่น้อย หม่าเจาได้แต่ใช้เวลาอย่างเต็มที่ระหว่างเข้าห้องน้ำและรับประทานอาหารเช้าอ่านเอกสารข้อมูลอย่างละเอียดหนึ่งเที่ยว กระทั่งเครื่องหมายวรรคตอนก็ไม่ตกหล่น

เคราะห์ดีที่เขากอดขาพระพุทธเมื่อจวนตัว (เชิงอรรถ 2) ผนวกกับคารมเป็นเลิศ พูดเป็นน้ำไหลไฟดับของเวินเหวิน การเจรจานัดแรกจึงผ่านไปอย่างราบรื่น

(เชิงอรรถ 2 ปกติไม่เคยเตรียมตัว พอเวลากระชั้นชิดถึงได้เริ่มตระเตรียม)

หม่าเจายิ้มระรื่นหน้าบานกลับโรงแรม ทันทีที่เดินเข้าโถงรับรองก็ได้กลิ่นอายอันคุ้นเคย เสียงดังก้องในใจ หันขวับไปมองสี่ทิศอย่างตื่นตัว เคราะห์ดีที่ไม่เห็นเงาร่างน่ารังเกียจนั่น

อยากกินข้าวกลางวันพร้อมเวินเหวิน แต่หาเจ้าตัวไม่พบ หม่าเจาคร้านจะวิ่งออกไปสักเที่ยว จึงโทรศัพท์เรียกบริการลูกค้าของโรงแรม

ติ๊งต่อง!

ไม่ถึงห้านาที กริ่งประตูก็ดังขึ้น จะเร็วเกินไปหน่อยกระมัง

“ทำไมเป็นนายล่ะ”

พอเปิดประตูก็เห็นว่าไม่ใช่บริกร แต่เป็นวังไห่ที่ทำให้เขาหวาดกลัวจนหลบแทบไม่ทัน หม่าเจาสะดุ้งโหยง ถอยกรูดต่อเนื่อง กระทั่งประตูก็ลืมปิด

วังไห่ยิ้มเข้าประตูมา ยังไม่ลืมลงกลอนประตูเสียด้วย สาวเท้ายาวสองสามก้าวตามติดรวบหม่าเจาเข้าสู่อ้อมอก

หม่าเจาดิ้นรนสุดกำลังในแผงอกวังไห่

“อย่าคิดว่านายแรงเยอะแล้วฉันจะกลัวนายนะ ปล่อยฉัน”

“ไม่เจอกันสองวัน คุณไม่เชื่อฟังแล้ว” วังไห่ยิ้มพลางตบลูบบั้นท้ายหม่าเจา

“ไอ้อุบาทว์! ใครให้สิทธิ์นายแตะต้องฉัน” หม่าเจาน้ำตาตกใน ทำไมอายุมากกว่าวังไห่หนึ่งรอบ แต่พละกำลังดันน้อยกว่าหมอนี่ไม่ต่ำกว่าสองเท่า มักถูกกอดรัดเสียแน่นหนา ไม่มีแรงต้านทานสักนิด

“ผมแตะต้องคนของผมยังต้องขอคนอื่นให้สิทธิ์อีกหรือ” วังไห่ถามยิ้มๆ

“ใครเป็นคนของนายกัน”

“เราเปลือยกายเปลือยใจต่อกันบนเตียงตั้งหลายครั้ง คุณยังเหนียมอะไรกันอีก”

“เพราะนายบีบบังคับฉัน นี่...ปล่อยฉันลงนะ นายจะอุ้มฉันไปไหน”

“ยืนแล้วคุยไม่สะดวก ผมชอบคุยกับคุณบนเตียงมากกว่า”

วังไห่พูดแล้วโยนหม่าเจาลงบนเตียง จากนั้นจับขอบกางเกงตัวเองออกแรงดึงออก สองขาขาวโพลนตรงแน่วและแก้มก้นแน่นกระชับที่ห่อหุ้มอยู่ใต้กางเกงในสีเทารัดรึง บัดนี้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิด

ไม่สนใจแล้วว่าช่วงล่างไม่ได้สวมกางเกง หม่าเจาถลันลงจากเตียง ยังไม่ทันออกจากห้องก็ถูกรวบตัวกลับมา

วังไห่ปลดเน็กไทบนลำคอออก นำมามัดสองมือและหนีบตัวหม่าเจาไว้ตรงหว่างขา ควบคุมร่างกายท่อนล่างของหม่าเจาไว้อยู่หมัด มือหนึ่งกดทาบบนลำตัวทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่ได้ อีกมือหนึ่งลูบไล้อย่างเสน่หาบนต้นขาอันกระตุ้นอารมณ์กำหนัดของหม่าเจา รับรู้ถึงสัมผัสอันลื่นเรียบเนียนมือพลางทอดถอนใจ

“ไม่เจอคุณแค่วันเดียว ผมก็อยู่ไม่เป็นสุข งานการก็ทำไม่เสร็จ คุณว่าควรทำยังไงดี”

“ฉันจะไปรู้ได้ไงล่ะ รีบปล่อยฉันเร็วๆ เข้า!”

หม่าเจาดิ้นรนอย่างคลุ้มคลั่ง ปากก็แผดร้องไม่หยุด ราวปลาที่ถูกพันธนาการตรึงแน่น ดิ้นรนจนเฮือกสุดท้ายยามใกล้ตาย

วังไห่ถอดกางเกงในของหม่าเจาออก เผยให้เห็นเนื้อบั้นท้ายขาวโพลนสองข้าง หม่าเจาบิดตัวอยู่ตลอดเวลา ดิ้นขยุกขยิกไม่หยุด วังไห่หายใจฮึดฮัด ฟาดเพียะใส่แก้มก้นเขาหนึ่งฝ่ามือ

“นายถึงกับกล้าตีฉันเรอะ” จู่ๆ ก็ถูกฟาดก้น หม่าเจาตะลึงงัน จากนั้นก็ดิ้นรนหนักข้อขึ้น

“คุณว่าไม่ฟังจึงต้องถูกตี ไม่ตีก็ไม่จำ” เพิ่งสิ้นเสียง วังไห่ก็เงื้อมือฟาดเพียะใส่แก้มก้นอมชมพูอีกหนึ่งฝ่ามือ

“เหยด ใครแม่งว่าไม่ฟังฮึ! อา...ไอ้ระยำ! นายลองตีฉันอีกสิ”

ในฐานะชายอายุใกล้สี่สิบ การถูกไอ้หนุ่มวัยยี่สิบกว่าฟาดก้น ทำให้ศักดิ์ศรีของหม่าเจาถูกบั่นทอนอย่างสาหัส

เพียะ!

“เหยด นายแม่ง! ลองตีอีกครั้งสิ”

วังไห่ฟาดใส่อีกฝ่ามือ “พูดคำหยาบไม่ดีเลย!”

“ดีกับพ่อนายสิ!”

เพียะ!

“ฉันจะเอากับพ่อนาย! วังไห่ ปล่อยฉันโว้ย!”

“เอาผมให้ได้ก่อน ค่อยคิดเอากับพ่อผม”

วังไห่ไม่โกรธแต่กลับยิ้มในหน้า มือยังฟาดไม่หยุด เสียงเพียะๆ ที่เกิดเพราะฝ่ามือกระทบแก้มก้นช่างไพเราะจับใจนัก

เสียงสะท้อนกังวานใสดังขึ้นในห้องไม่หยุด เนื้อก้นขาวผ่องอมชมพูค่อยๆ แปรเป็นสีแดงเข้ม รอยนิ้วมือที่ปรากฏสลับทั้งแนวขวางและแนวตั้ง เปี่ยมไปด้วยการสบประมาท ความรู้สึกทั้งเจ็บทั้งชาส่งผ่านจากบั้นท้ายขึ้นสู่ห้วงสมอง หม่าเจาจากแหกปากบริภาษในตอนแรกกลายเป็นโอดโอยขอความเมตตา

“อย่าตีอีกเลย ก้นฉันเจ็บระบมเหลือเกินแล้ว!”

“ถ้าอย่างนั้นคุณสำนึกผิดหรือยัง”

“อืมๆ”

หม่าเจารีบพยักหน้า ผู้รู้สถานการณ์คือผู้เจริญด้วยปัญญา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี แม้หม่าเจาเองยังไม่รู้เลยว่าตนเองทำอะไรผิดกันแน่ แต่ตอนนี้เขาอยากลงจากหลังเสือ หากไม่พยักหน้า แก้มก้นได้แตกลายยับเยินเป็นแน่

พบพานวังไห่เป็นเคราะห์ร้ายครั้งมโหฬารที่สุดในชีวิต เอาชนะวังไห่ไม่ได้เป็นความอัปยศมากที่สุดในชีวิต สู้วังไห่ไม่ได้เป็นความเจ็บปวดสาหัสที่สุดในชีวิต สรุปแล้ว วังไห่เป็นหินขวางเท้าที่อัปลักษณ์ที่สุด แข็งกระด้างที่สุด ในหนทางแห่งชีวิตของเขา

เห็นขอบตาแดงก่ำของหม่าเจา สองแก้มเปรอะคราบน้ำตา ริมฝีปากบางที่ถูกกัดจนแตก วังไห่ก็รู้สึกปวดหนึบในใจ แต่คิดปราบพยศหม่าเจา จำเป็นต้องใช้วิธีการแข็งกร้าวทำให้เขาเข็ดหลาบ คนหลายใจเจ้าชู้อย่างคุณ ไม่จับตาดูแค่สามนาที เป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะคลานขึ้นเตียงผู้หญิงใจง่ายมั่วไปทั่ว เขาไม่อาจยอมให้คนของเขาพัวพันกับคนอื่นมากเกินไป เพราะว่าเขาจะรู้สึกโกรธ

เมื่อได้ยินหม่าเจาสะอึกสะอื้น ภายในใจของวังไห่ก็อ่อนยวบ ค่อยๆ ลูบก้นที่เขาตีจนบวมแดง ก้มหน้าลงจูบครั้งหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงอ่อนว่า

“ตีบนตัวคุณ แต่เจ็บที่ใจผม”

“ฮึ!”

หม่าเจาเบือนหน้าอย่างหยิ่งทะนง ตบหัวแล้วลูบหลัง เขาไม่เห็นแปลกหรอก

“อย่าโกรธเลย ขอเพียงคุณเชื่อฟัง ผมก็จะไม่ตีคุณอีก”

อุณหภูมิของแก้มก้นกลมกลึงที่ถูกเขาฟาดอยู่นานครึ่งค่อนวันสูงกว่าส่วนอื่นอยู่บ้าง สั่นระริกจากการจูบไล้ของวังไห่ เจ้าลูกชายช่วงล่างแน่นตึง ความรู้สึกพึงพอใจท่วมท้นในใจ ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าได้เซ็นสัญญาสิบล้าน

“อือ...อา...”

มือของวังไห่ราวกับมีประจุไฟฟ้า บริเวณที่ลูบไล้ทั้งชาทั้งคันยุบยิบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อช่องหฤหรรษ์ถูกปลายเล็บเขี่ยกระตุ้นแผ่วเบา ความปรารถนาที่พยายามสะกดกลั้นวิ่งพล่านออกมาเป็นระยะ น้องชายใต้หว่างขาเริ่มตื่นตัว

“คุณอยากแล้วหรือ” วังไห่สอดนิ้วชี้เข้าไปกดนวดส่วนลึกในร่องก้นของหม่าเจา

พรุ่งนี้ยังต้องทำงานและวังไห่เป็นสัตว์ป่า คิดถึงสองจุดนี้ เพลิงกำหนัดของหม่าเจาถูกราดรดจนดับมอด ยอมทนต่อความอดสูในใจ เอ่ยเสียงอ่อนว่า

“พรุ่งนี้ฉันยังต้องทำงาน ทำไม่ได้แล้วจริงๆ!”

โรมรันพันพัวกับหม่าเจามานานถึงเพียงนั้น แค่หม่าเจายกสะโพกขึ้น วังไห่ก็รู้ว่าบั้นท้ายหรือโพรงรักกันแน่ที่คัน

คลายมือออกจากหม่าเจาแล้วลุกขึ้นยืน ถอดกางเกงออก ให้ส่วนที่เหยียดขึงชูชันอยู่ตรงใบหน้าหม่าเจา แล้วแอ่นบั้นเอวครั้งหนึ่งอย่างหยาบโลน

“แต่ว่ามันแข็งนานขนาดนี้แล้ว คุณว่าจะทำยังไงดี”

กลิ่นกามรัญจวนเข้มข้นโชยแตะจมูก มองท่อนกำยำใหญ่โตที่ใกล้เพียงลัดนิ้วมือ หม่าเจากลืนน้ำลายเอื๊อก ความรู้สึกโหวงหวิวพุ่งขึ้นในร่าง แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองทางกายบอกเขาอย่างสัตย์ซื่อว่าเขากระหายใคร่อยากให้มือใหญ่ข้อนิ้วชัดเจนลูบไล้สัมผัส ให้แท่งเนื้อหยาบแข็งร้อนลวกเข้าไปในร่างกายตน

“นายพิการรึไง ไม่มีมือเหรอ” หม่าเจาเอ่ยน้ำเสียงสั่นพลางเบือนหน้าหนี

“ผมรักและทะนุถนอมถึงได้ยอมปล่อยบั้นท้ายคุณไป คุณควรใช้ของแบบเดียวกันมาชดเชยผมไหม” วังไห่จ้องริมฝีปากเล็กแดงระเรื่อของหม่าเจา

“อย่าเพ้อเจ้อน่า ไม่ได้เด็ดขาด”

หม่าเจาถูกสายตาโจ่งแจ้งโลมเลียจนขนลุกขนพอง ถอยกรูดต่อเนื่อง ให้ใช้ปากหรือ ล้อเล่นอะไรกัน ปากของเขามีไว้กินข้าว ไม่ได้มีไว้กินอวัยวะเพศที่สกปรกของผู้ชายสักหน่อย

เหมือนรู้ว่าหม่าเจากำลังคิดอะไรอยู่ วังไห่ก็ไม่บีบบังคับเขา มองมือที่กุมน้องชายแล้วเอ่ยว่า

“ผมให้สองทางเลือก ไม่ใช้ปากก็ใช้มือ”

“นายมันโรคจิต ตัวเองไม่มีมือรึไง”

หม่าเจาอายุปูนนี้แล้ว ยังไม่เคยใช้มือช่วยบำบัดความใคร่ให้ใครมาก่อน กระทั่งตัวเขาเองก็ทำน้อยนิด ปกติเมื่อเกิดอารมณ์ความต้องการก็ออกไปหาคู่ขาเสพสุขให้สมอุรากันสักครั้ง

ประหวัดถึงบรรดาสาวสวยที่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาหลายต่อหลายครั้ง จิตใจก็อ่อนล้าจนถอนหายใจเฮือก นับตั้งแต่ถูกวังไห่เกาะติดแล้ว เขาก็ไม่มีโอกาสสอดใส่ช่องหลืบอุ่นลื่นของผู้หญิงเหล่านั้นอีกเลย เจ้าลูกชายที่เคยผงาดในสนามรักมานานหลายปีก็ไม่มีโอกาสสำแดงความเป็นชายอีกต่อไป

จมูกแสบร้อน น้ำตาแทบหยดเผาะอยู่รอมร่อ

เห็นสีหน้าท่าทางจมในภวังค์ราวโคมไฟม้าหมุนของหม่าเจา วังไห่ยิ้มอย่างปลาบปลื้มยินดี ลุงช่างน่ารักเสียจริง โชคดีที่เขาตาแหลมในตอนแรก จึงไม่คลาดจากกันไป

“นายยิ้มอะไร”

หม่าเจาเย็นวาบกลางสันหลัง ขอเพียงวังไห่ยิ้ม เขาย่อมประสบหายนะแน่ เบาหน่อยก็เสียสติ หนักหน่อยก็บั้นท้ายบาดเจ็บฟกช้ำ

“มีใครเคยบอกไหมว่าคุณน่ารัก” วังไห่ถาม

หม่าเจาค้อนปะหลับปะเหลือก เลือกที่จะทำเป็นหูหนวกตาบอด ลอบดึงกางเกงขึ้นมาสวมจนเรียบร้อย “จะบอกให้นะ ทางที่ดีนายออกไปให้เร็วที่สุด ห้องนี้ไม่ใช่ฉันพักคนเดียว สักพักเขากลับมาเจอพวกเราในสภาพนี้ ถึงตอนนั้นโดดแม่น้ำเหลืองก็ล้างตัวไม่สะอาด”

“คุณหมายถึงคนที่ชื่อเวินเหวินน่ะหรือ” วังไห่ล้วงคีย์การ์ดใบหนึ่งออกจากกระเป๋าเสื้อ “เมื่อครู่ผมพบเขาที่โถงรับรอง เลยลองใช้คีย์การ์ดห้องชุดสุดหรูแลกกับคีย์การ์ดห้องเตียงคู่ธรรมดาห้องนี้”

“เฮอะ! เขาไม่มีทางตกลงกับนายแน่ นายคิดว่าคนทั้งโลกเห็นเงินแล้วตาโตรึไง” หากเวินเหวินแลกคีย์การ์ดกับวังไห่ เมื่อครู่วังไห่ก็คงไม่ต้องเคาะประตู เข้ามาโดยตรงก็ได้แล้ว

“เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็แลกกับผม”

“อะไรนะ เขาไม่รู้จักนายสักหน่อย แลกคีย์การ์ดกับนายได้ยังไง”

“เพราะผมบอกเขาว่าผมทำให้คุณโกรธ หลายวันมานี้คุณเอาแต่หลีกเลี่ยง ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่ตอบข้อความ ผมร้อนใจเหมือนถูกไฟลน จึงต้องบินมาเพื่อขอโทษคุณ เขาซึ้งในความจริงใจของผม ก็เลยแลกคีย์การ์ดกับผม”

“อะไรนะ” หม่าเจากระดอนขึ้นจากเตียง มองวังไห่จากที่สูง “นายถึงกับเล่าเรื่องของเราให้เวินเหวินฟังเหรอ แถมแต่งเสริมเติมเรื่องใส่น้ำมันเติมน้ำส้มอีก”

“ผมแค่พูดไปตามความจริง”

“พูดไปตามความจริงกับผีน่ะสิ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับนายสักหน่อย นายรีบไปอธิบายกับเวินเหวินให้ชัดเจนเลยนะ นายหน้าด้านหน้าไม่อาย แต่ฉันยังต้องรักษาหน้า”

“เขารับปากกับผมว่าจะเก็บเป็นความลับ”

“ผายลม! รับปากนี่กินได้ไหม ฉันสาบานแล้วยังบิดพลิ้วได้เลย นายรีบไปอธิบายกับเขาให้กระจ่างเลยนะว่าฉันกับนายอย่างมากก็แค่เป็นคู่นอนกัน ไม่ใช่คนรักกันเด็ดขาด”

วังไห่เลิกคิ้วจนหน้าผากย่นเป็นริ้ว “หรือคุณคิดว่า คำว่า ‘คู่นอน’ น่าฟังกว่า ‘คนรัก’ ”

“คู่นอนก็หมายความว่าเราแค่แสวงหาความสุขสมทางร่างกาย แต่คนรักไม่เพียงแสวงหาความสุขทางกาย ยังต้องการความสอดคล้องต้องกันทางจิตใจด้วย”

หม่าเจามองวังไห่ในสภาพเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยอย่างรังเกียจ ว่ากันตามจริง วังไห่มีรูปลักษณ์ที่ดูเป็นผู้เป็นคนทีเดียว รูปร่างตระหง่านสูงใหญ่ จมูกโด่งเป็นสัน โดยเฉพาะดวงตารียาวคู่นั้น เพียงขยิบตาเบาๆ ก็กระชากจิตวิญญาณผู้คนได้

แรกเริ่มเดิมที ก็เพราะดวงตาคู่นี้ ทำให้เขาประชิดใกล้อย่างหน้ามืดตามัวราวกับภูตผีครอบงำจิตใจ เขาซึ่งชื่นชอบผู้หญิงมาตลอด เมื่อฤทธิ์แอลกอฮอล์แล่นขึ้นสมองก็ถึงกับเกิดความสนใจในตัวผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกระดูกไหปลาร้าอันเย้ายวนใจที่โผล่พ้นคอเสื้อ หรือช่วงสะโพกกลมกลึงแน่นตึงและช่วงขายาวที่ห่อหุ้มด้วยเนื้อผ้าบางเบารัดรึง ไม่มีที่ใดไม่ทำให้หม่าเจาเลือดลมสูบฉีดพลุ่งพล่าน หายใจกระชั้น เขาเดินเข้าหาทักทายตีสนิทกับวังไห่อย่างมึนงงเลอะเลือน ไม่รู้ด้วยเหตุใด คุยไปคุยมาก็มาคุยถึงในโรงแรมกันเสียแล้ว

ปิดประตูห้องแล้ว ทั้งคู่กอดกันกลม จูบกันอย่างดูดดื่ม ต่างคนต่างปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอีกฝ่าย ตวัดลิ้นลิ้มรสน้ำลายในปากของกันและกันอย่างหื่นกระหายคลุ้มคลั่ง แลกลิ้นพลางเดินเข้าหาเตียง ท่อนล่างขยายตัวจนบวมแดงเหมือนท่อนเหล็กที่ถูกเผาอย่างไรอย่าง

นั้น อยากสอดใส่เข้าสู่ช่องทางอันอบอุ่นบีบรัด อดใจรอไม่ไหวกดวังไห่ลง จับสองขาวังไห่ไว้มั่นหวังแยกออก

วินาทีถัดมา เขารู้สึกว่าฟ้าพลิกแผ่นดินหมุน ตำแหน่งของทั้งคู่สลับผลัดเปลี่ยนอย่างน่าอัศจรรย์ วังไห่ซึ่งเมื่อครู่ยังน่าเอ็นดูพราวเสน่ห์ยั่วยวน ชั่วพริบตากลับยื่นกรงเล็บหมาป่าออกมาเสียแล้ว จ้องมองเขาพลางเลิกคิ้ว ยิ้มอย่างปีศาจชั่วร้าย

“ลุงต้องแยกแยะบนล่างให้กระจ่างหน่อยนะ!”

หลังจากนั้น ครั้งแรกของเขา--หมายถึงทางประตูหลังนั่นแหละ ก็ถูกเสือดาวล่าเหยื่อที่คลุมตัวด้วยหนังแกะปล้นชิงไป

คืนนั้น ร่วมรักกันถึงครั้งที่สาม ด้วยความเมามายผสมกับเหนื่อยล้าแทบตาย เขาก็สลบไป จึงไม่แน่ใจว่าวังไห่เอาเขาไปกี่รอบ เมื่อเขาฟื้นขึ้น วังไห่ยังคงจับต้นขาเขา ขะมักเขม้นชักเข้าชักออก ยัดเยียดความเป็นชายเข้าไปในบั้นท้ายเขาอย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะชอบผู้หญิงและร่วมสังวาสกับวังไห่เป็นหนแรก แต่ทำกับผู้ชายก็ช่างสบายเสียจริง ระดับความสบายไม่เป็นรองเหมือนขณะที่ทำกับผู้หญิง

เขาถูกกระแทกกระทั้นจนครางเสียงพร่า สองขาสั่นสะท้านไร้เรี่ยวแรง บั้นท้ายแผงอกเหนอะหนืดไปด้วยคราบน้ำรัก หลังจากเขาและวังไห่พุ่งทะลักพร้อมกันแล้ว เขาก็สลบไปอีกครั้ง

ตื่นขึ้นมาเป็นช่วงเที่ยงของอีกวัน วังไห่ยังคงหลับอยู่ เขาจำได้อย่างรางเลือนว่าตนเองเป็นฝ่ายเกาะแกะวังไห่ก่อน ถูกคร่อมก็ได้แต่โทษตนเองว่าสมน้ำหน้า ใครใช้ให้เขาไม่มองให้ชัดแจ้งเสียก่อนว่าอีกฝ่ายเป็นแกะหรือเป็นหมาป่า ช่างเถอะ ถือเสียว่าถูกหมากัด อย่างไรเสียเมื่อคืนเขาก็ถึงอกถึงใจดี เก็บเสื้อผ้าที่กระจายเรี่ยราดบนพื้นขึ้นมาสวมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินกระย่องกระแย่งจากมา

หม่าเจาคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจะได้พบวังไห่อีกเป็นครั้งที่สอง ที่ลานจอดรถของคลับ วังไห่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับผู้หญิงคนหนึ่ง รถของเขาจอดอยู่ตรงหน้านั่นเอง คิดจากไปต้องเดินผ่านพวกเขาเสียก่อน หม่าเจาเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันรุนแรง น่าจะไม่ทันสังเกตตนเองที่ยกกระเป๋าโน้ตบุ๊กขึ้นบังใบหน้าขณะสาวเท้ายาวๆ ก้าวไปเบื้องหน้า

เพิ่งเฉียดไหล่กับวังไห่ กำลังจะเดินผ่านไปก็ถูกคว้าหมับ วินาทีถัดมาถูกโอบกอดเข้าสู่อ้อมอกแข็งแรง อีกวินาทีถัดมาอีก--ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้หญิง ปากของหม่าเจาก็ถูกประกบแผ่วเบาด้วยริมฝีปากทั้งอุ่นทั้งเย็น

เด่นชัดว่าออกแรงสักเล็กน้อยก็ผลักออกได้ แต่เห็นดวงตาเรียวราวกับจันทร์เสี้ยวเปล่งกระแสไฟฟ้าหมื่นโวลต์ของวังไห่คู่นั้นแล้ว มือไม้ก็คล้ายถูกแช่แข็งไม่อาจขยับเขยื้อน จนได้สติก็เป็นเวลาห้านาทีให้หลังแล้ว เขาไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ขมิบก้นแน่นพลางตาลีตาเหลือกเผ่นแน่บ

กล่าวกันว่า สตรีเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ บุรุษก็ไม่นอกเหนือ เรียกหายนะก็ไม่เชิง เป็นภัยพิบัติโดยแท้ต่างหาก

จุมพิตราวกับแมลงปอแตะน้ำในลานจอดรถครั้งนั้น ก่อกวนสมองเขาอยู่หลายวัน ด้วยความโมโห เขาจึงมั่วอยู่กับสาวงามหลายคนในคลับถึงสองวัน พอออกมาก็อ่อนล้า ไม่มีเรี่ยวมีแรงหลงเหลือแม้แต่น้อย

สี่สิบปีก่อนหน้าผ่านพ้นมาได้อย่างราบรื่น นอกจากไม่ได้แต่งเมียมีลูก ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบดี ใช่ว่าเขาหาภรรยาไม่ได้ เป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาคงไว้เพียงท่าทีเล่นๆ เรื่องรัก ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก ไม่ควรเสียโอกาสแสวงหาความสำราญ ผูกมัดกักขังตนเองในสุสานแห่งการสมรสเสียเร็วขนาดนี้ สมองต้องมีปัญหาเป็นแน่

หม่าเจารู้สึกมาตลอดว่าตนเองเป็นคนปกติธรรมดาที่มีทัศนคติถูกต้อง เรื่องผิดปกติประเภทนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็กระทำออกมาไม่ได้ ดังนั้นฉายายอดหนุ่มโสดเนื้อทองคงอยู่คู่กับเขาตลอดเวลา สิบกว่าปีแล้ว เขายังคงไร้ห่วงไร้พะวงเป็นอิสรเสรี

แต่ความคิดเช่นนี้พังทลายลงเมื่อเห็นวังไห่นั่งในห้องทำงานท่านประธานของโรงแรมหวงเทียน

“เอากับแม่งสิ!”

“เอาอะไรนะ”

“เอากับเทวดาน่ะสิ ยังเอากับใครได้อีก”

“กระทั่งผมยังเอาไม่ได้ คิดจะเอากับเทวดารึ วันไหนสองขาของคุณขึ้นคร่อมผมได้ก่อน แล้วค่อยคิดเถอะ”

“นายยุ่งอะไรด้วย ไอ้นั่นของฉันอยู่บนตัวฉัน ฉันอยากจะเอาใครก็เอาคนนั้น นายเจ๋งมาจากไหน มีสิทธิ์อะไรมาแส่เรื่องของฉัน”

วังไห่ส่ายหน้า “ลุง เมื่อไหร่จะหลาบจำว่าอย่าพูดเอาแต่สะใจ”

“นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”

“แม้อยู่ไกลพันลี้ แต่ผมยังสัมผัสได้ถึงหัวใจอันเร่าร้อนที่อยากพบผม”

วังไห่ไม่มีวันบอกหม่าเจาเด็ดขาดว่าเมิ่งฉินเหยียนแพร่งพรายข่าวนี้ให้

“นายคิดว่าฉันโง่หรือไง”

“ในใจผม คุณเป็นเจ้าทึ่มน้อยตลอดกาล”

หม่าเจากุมปากพุ่งเข้าห้องน้ำ ก้มอาเจียนตรงชักโครกอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะออกมา สีหน้าระทมทุกข์ผนวกกลัดกลุ้ม

“ถือว่าฉันขอร้องละ ท่านประธานวังไห่ ผู้จัดการวังไห่ คุณชายใหญ่วังไห่ นายปล่อยฉันไปเถอะ ฉันสามสิบแปดแล้ว เกิดเร็วกว่านี้ไม่กี่ปีก็เป็นพ่อนายได้ ด้านนอกนั่นสาวสวยหนุ่มหล่อมากมี นายแค่กระดิกนิ้ว พวกนั้นก็รีบถอดเสื้อจนเกลี้ยงปีนขึ้นเตียงนาย ทำไมนายถึงคิดไม่ตก ทำไมต้องเอาฉันให้ได้แบบนี้ ฉันน่ะทั้งแก่และอัปลักษณ์ ทั้งเจ้าชู้หลายใจ ทั้งสำส่อน จำนวนผู้หญิงที่เคยคบมีนับไม่ถ้วน นายคนสะอาดแบบนี้อย่าเข้ามาคลุกคลีเลย ฉันจะทำให้นายแปดเปื้อน”

วังไห่จ้องหม่าเจาที่พยายามใส่ร้ายป้ายสีตัวเองสุดฤทธิ์ด้วยความสุขุมตั้งใจ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าลุงตรงหน้านี้ช่างน่ารักเหลือเกิน

หม่าเจาไม่ทันสังเกตเลยว่าวังไห่มองเขาอย่างขบขัน ยังคิดว่าคำพูดจากใจจริงทำให้วังไห่ซาบซึ้ง รีบจู่โจมตอนได้เปรียบ เอ่ยพลางน้ำหูน้ำตานองหน้าต่อไปว่า

“อีกไม่กี่ปี สมรรถภาพทางเพศของฉันก็จะลดลง เติมเต็มความปรารถนาอย่างหมาป่าอย่างเสือของนายไม่ได้ นายต้องสำนึกเสียใจแทบไม่ทัน ฉันไม่อยากทำร้ายนาย อย่ามาตามตื๊ออีกเลย ปล่อยฉันเถอะ ถือว่าปล่อยตัวนายเองด้วย ฟังคำเกลี้ยกล่อมของฉันสักครั้ง เหลือทางรอดให้ตัวเอง อย่าอุดอู้จนตายในตรอก ก้าวข้ามร่างกายแก่หง่อมเซ็กซ์เสื่อมของฉันไป นายจะพบว่าโลกภายนอกนี้หนอช่างหลากสีสัน สาวงามเหมือนเมฆ นายอยากได้ฝ่ายในสามพันก็ไม่ใช่ปัญหาเด็ดขาด...”

“พูดจบแล้ว?”

“อืม”

สีหน้าของวังไห่อึมครึมไม่กระจ่าง หม่าเจากลืนน้ำลายเอื๊อก และไม่รู้ว่าวังไห่หมายความว่าอย่างไร หม่าเจาใส่ร้ายตนเองแบบสาดเสียเทเสีย ทำลายภาพลักษณ์อันสูงส่ง

เลิศล้ำของตนโดยไม่อินังขังขอบ วังไห่มากน้อยก็น่าจะซาบซึ้งบ้าง นี่เป็นคำพูดจากใจจริงของเขาทีเดียว!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น