2

บทที่ 2


ตอนที่ 2

“ฟังคำพูดของคุณแล้วผมตื้นตันมาก ได้ยินมาว่าคุณบรรยายสรรพคุณตัวเองว่าหล่อเหลา งามสง่า กิริยางดงามและมีเสน่ห์ที่สุด คิดไม่ถึงว่าเพื่อผมแล้ว คุณถึงกับใส่ร้ายป้ายสีตัวเองอย่างกับโคลนตมเน่าเหม็นบนพื้น น้ำจิตน้ำใจยากกระทำได้ครั้งนี้ ผมรับไว้แล้ว”

วังไห่กล่าวอย่างซาบซึ้ง

“ไม่ต้องเกรงใจ ฉันแค่เวทนาไม่อยากเห็นคนหนุ่มซึ่งดีมากอย่างนายเดินในทางที่ไม่อาจหันหลังกลับ”

หม่าเจามองวังไห่พลางตีสีหน้าเหมือนวังไห่เป็น ‘เยาวชนพอสั่งสอนได้’

“ก็แบบนี้แหละ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ถือว่าเป็นหมอกควันบางเบาซ่านสลายไปพร้อมสายลม นายก็อย่าคิดมาก ตอนแรกใครจะคิดว่าการพบกันอย่างผิดพลาดโดยบังเอิญเพียงครั้งเดียวจะบ่มเพาะจนกลายเป็นผลลัพธ์ในตอนนี้วันนี้ นี่เป็นเพราะพระเจ้าลิขิตชะตากรรมผิดพลาด ในเมื่อพวกเราค้นพบแล้ว ก็สมควรรีบแก้ไขให้ถูกต้องทันกาล นับจากนี้ไปนายเดินบนหนทางแห่งอนาคตอันรุ่งโรจน์ของนาย ฉันเดินบนสะพานไม้อันโดดเดี่ยวของฉัน เราต่างคนต่างเดิน เจอะเจอกันที่อื่นก็ถือเสียว่าไม่รู้จักกัน”

“ได้ลุง ผมก็ไม่ฝืนใจคุณ ประตูอยู่ทางนั้น”

“อย่างงั้น พวกเราก็บอกลากันตรงนี้” หม่าเจาว่าพลางกระถดถอยหลังไปพลาง

วังไห่ยิ้มขณะโบกมือให้หม่าเจา

“มีวาสนาค่อยพบกันใหม่!”

หม่าเจาพุ่งตัวออกจากห้องราวไฟลนก้น เข้ามาอยู่ในลิฟต์ ลงมาจนถึงชั้นช่าง พอประตูลิฟต์เปิดก็พุ่งตัวออกจากโรงแรม วิ่งหัวซุกหัวซุนอยู่ห้านาทีกว่า ถึงได้หยุดหอบแฮกๆ

แฮกๆๆ...เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว พวกนักวิ่งมาราธอนวิ่งกันเป็นชั่วโมงได้อย่างไรนะ

พักอยู่เนิ่นนานถึงได้หายใจทัน แต่ขายังสั่นอยู่เล็กน้อย ได้แต่พักอยู่ใต้ร่มไม้ต่อไป คนเราแก่แล้ว ไม่อยากยอมรับก็ไม่ได้

ตอนเขายังหนุ่มยังแน่น อย่าว่าแต่วิ่งหนึ่งพันแปดร้อยเมตรเลย แปดพันหนึ่งร้อยเมตรก็ไม่ใช่ปัญหา

“ท้องร้องแล้วนิดหน่อย มีร้านอาหารพอดี เข้าไปกินสเต๊ก ดื่มไวน์แดง ฉลองที่หลุดพ้นจากทะเลระทมหลังถูกตามตื๊อมาสองเดือนดีกว่า”

หม่าเจาตบปัดกางเกง จัดกระชับเสื้อผ้า เงยหน้ายืดอกเดินอย่างองอาจห้าวหาญเข้าไปในร้านอาหาร

บรรยากาศภายในร้านดีมาก ประดับประดาตกแต่งอย่างหรูหราพิถีพิถัน บริเวณโดยรอบอวลด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ เคล้าเสียงเพลงไพเราะแผ่วเบาขณะรับประทานอาหาร

ไม่เพียงเท่านี้ รสชาติอาหารก็ไม่เลวอย่างแท้จริง หม่าเจาที่ไม่ได้หิวมากนักยังกินชุดอาหารคู่รักจนเกลี้ยง อิ่มจนเรอ

หลังอิ่มหมีพีมันแล้ว หม่าเจาก็นั่งอยู่สักครู่ ตากเครื่องปรับอากาศเย็นๆ ก่อนเรียกบริกรมาเช็กบิล

“คุณครับ เพราะวันนี้คุณเป็นลูกค้าคนที่หนึ่งร้อยของเรา จึงลดค่าอาหารให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ทั้งหมด 898 หยวนครับ”

“โอเค”

หม่าเจาควานหากระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง

ว่างเปล่า?

ลูบๆ กระเป๋ากางเกงสองข้างด้านหน้า ก็ว่างเปล่าเหมือนกัน!

“ถ้าไม่ได้พกเงินสด ร้านเรามีบริการรูดบัตรเครดิตด้วยนะครับ”

“ฉันลืมพกกระเป๋าสตางค์มาด้วย บัตรกับเงินสดอยู่ในนั้นหมด”

“จ่ายด้วยมือถือก็ได้ครับ จ่ายด้วยอาลีเพย์ก็สะดวกดีครับ”

จริงสิ มือถือ จ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือก็หมดเรื่อง ทำไมเขาจึงนึกไม่ถึง ร้านนี้ไม่เลวเลยจริงๆ พรักพร้อมทุกอย่าง

ห้าวินาทีหลังจากนั้น หม่าเจาก็ยิ้มแหย ถามว่า

“ขอยืมโทรศัพท์โทร.ออกสักครั้งได้ไหม”

เมื่อครู่ออกมาอย่างรีบร้อนเกินไป กระเป๋าสตางค์เอย มือถือเอย นาฬิกาข้อมือเอย ของมีค่าสักชิ้นไม่ได้ติดมือมาเลย ไม่มีสิ่งของเป็นค้ำประกันได้ ได้แต่โทรศัพท์ให้คนนำเงินสดมาให้ จากนั้นค่อยรับตัวเขากลับไป

ยืนอยู่ตรงหน้าโทรศัพท์ หม่าเจาคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่รู้ว่าจะโทร.หาใครดี

เวินเหวิน?

เขาก็อยากโทร.หาอยู่หรอก น่าเสียดายที่เขาไม่ได้จำหมายเลขโทรศัพท์ของเวินเหวินไว้ หากรู้แต่เนิ่นๆ ว่าจะมีวันนี้ ตอนแรกเขาน่าจะท่องจำให้ขึ้นใจ

“คุณครับ คุณค่อยๆ คิด ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องรีบร้อน”

บริกรยิ้มพลางจ้องเขาเขม็งอยู่ข้างๆ

หม่าเจาถูกจ้องจนอับอายเป็นที่สุด มากินข้าวในร้านอาหารถึงกับไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร เรื่องน่าอายขายขี้หน้าแบบนี้ โตจนป่านนี้เขาเพิ่งเคยพบเจอเป็นหนแรก หากให้เมิ่งฉินเหยียนและต้วนเจ๋อรู้เข้า ไม่รู้จะหัวเราะขบขันเขาอย่างไรแล้ว

“บริกร ขอสั่งอาหาร”

ทันใดนั้น เสียงทุ้มเซ็กซี่เปี่ยมแรงดึงดูดก็แว่วมาเข้าหูโดยไม่ทันตั้งตัว ทะลุทะลวงไปถึงหัวใจ

“ฉันรู้จักคนนั้น รอก่อน ฉันไปขอยืนเงินจากเขา”

หม่าเจาวางหูโทรศัพท์ลง สาวเท้ายาวเร็วรี่ไปทางคนที่นั่งอยู่ตรงมุม

“วังไห่ พอดีเลย นายก็มากินข้าวที่นี่หรือ”

หม่าเจาไม่ทักไม่ทายสักคำ นั่งแหมะลงตรงกันข้ามกับวังไห่

“ขอชุด A หนึ่งชุด”

วังไห่สั่งอาหารแล้วเสร็จถึงได้มองมาที่หม่าเจา แววตาออกจะแปลกชอบกล

“สวัสดีครับ ขอถามว่าคุณคือ?”

หม่าเจาตะลึงงัน ยกมือขวาขึ้นโบกตรงหน้าวังไห่สองครั้ง

“นายบ้าไปแล้วรึ”

“ช่วยเคารพกันด้วย พวกเราไม่รู้จักกัน” วังไห่เอ่ยเตือนด้วยสีหน้าเย็นชา

“ไม่ใช่ว่าความจำเสื่อมจริงๆ หรอกนะ เมื่อกี้หกล้มในห้องหรือหัวไปกระแทกอะไรเข้า หรือว่านายดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง (เชิงอรรถ 3) ลืมเรื่องในอดีตจนเกลี้ยงแล้ว” หม่าเจาถามแล้วหัวเราะ

(เชิงอรรถ 3 ยายเมิ่งเป็นผู้ดูแลให้วิญญาณในนรกภูมิดื่มน้ำแกงลืมชาติลืมภพ ก่อนไปเกิดใหม่)

“ผมไม่ให้ร่วมโต๊ะ เชิญคุณไปได้แล้ว”

วังไห่ยกแก้วน้ำขึ้น จิบไปหนึ่งอึก มองหม่าเจาด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน

การปฏิเสธติดๆ กันของวังไห่ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของหม่าเจาแขวนไว้ไม่อยู่แล้ว หนึ่งชั่วโมงก่อนยังตามตื๊อเอาเป็นเอาตาย ทำไมเพียงพริบตาถึงได้กลายเป็นคนละคนแบบนี้

แม่ง! นอนกับเขามาหลายร้อยครั้ง กระทั่งข้างล่างมีขนกี่เส้นยังรู้กระจ่างชัดแจ้ง ถึงกับกล้าบอกว่าไม่รู้จักกันหรือ

ก็ได้ ไม่รู้จักก็ไม่รู้จัก อย่างกับว่าอยากให้ช่วยนัก ถ้าเขาไม่มีเงินจ่ายค่าอาหาร ทั้งยังจำหมายเลขโทรศัพท์ของเวินเหวิน เมิ่งฉินเหยียน ต้วนเจ๋อ กระทั่งของพ่อแม่ตนเองไม่ได้ เขาคงสะบัดหน้าจากไปแล้ว ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวแบบนี้ด้วยหรือ

“โลกหล้ากว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ได้พบเจอกันโดยไม่คาดคิดก็เป็นวาสนาอย่างหนึ่ง โบราณว่าไว้ดีเหลือเกิน ครั้งแรกแปลกหน้า ครั้งต่อมาคุ้นเคยไงล่ะ!”

“มีอะไรก็รีบพูด”

“ฉันอยากขอยืมเงินนาย 900 หยวน”

“ยืมเงิน?”

“อืม”

“ไม่ให้ยืม”

“แค่ไม่กี่ร้อยหยวนสำหรับท่านประธานผู้ยิ่งใหญ่แบบนาย ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกมั้ง! อีกอย่าง...ใช่ว่าฉันยืมแล้วจะไม่คืน”

“ผมไม่เคยให้คนแปลกหน้ายืมเงิน”

“แม่ง! ดีร้ายพวกเราก็เคยถึงเนื้อถึงตัวกันมาก่อน ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วย บอกว่าแปลกหน้าก็เกินไปหน่อย!”

มือขวาของวังไห่ยกขึ้นเท้าคาง มองใบหน้าหม่าเจาซึ่งเต็มไปด้วยความอกไหม้ไส้ขมและไม่ได้รับความเป็นธรรม

“หนึ่งชั่วโมงก่อน จำได้ว่าใครบางคนบอกผมว่า นับจากนี้ไป เจอกันที่อื่นก็ถือเสียว่าไม่รู้จักกัน”

“แม่ง! ที่แท้นายปั่นหัวฉันอยู่ตลอดหรอกรึ” หม่าเจาชี้หน้าวังไห่อย่างฉุนเฉียว

วังไห่เอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จา เมื่อครู่ตอนหม่าเจาหนีออกจากโรงแรม เขาก็เห็นกระเป๋าสตางค์และมือถือที่ถูกลืมทิ้งไว้บนโต๊ะ ในเมืองต่างถิ่นแห่งนี้ ไม่มีเงินยากย่างก้าวแม้เพียงนิ้ว ด้วยกังวลว่าหม่าเจาจะเกิดอุบัติเหตุ ได้แต่ขับรถตามคนที่วิ่งอย่างบ้าคลั่งบนท้องถนน

หม่าเจาเข้าร้านอาหาร เขาก็ลอบตามเข้ามา เพียงแต่นั่งในที่ลับตา ทุกขั้นทุกตอน หม่าเจาไม่ได้สังเกตถึงการดำรงอยู่ของเขาเลย แต่เขากลับเก็บทุกอิริยาบถทุกวาจาของหม่าเจาเข้าสู่สายตา

“ผมก็แค่ทำตามที่คุณขอร้อง” วังไห่มองหม่าเจาอย่างยั่วเย้า

“ตัดเรื่องส่วนตัวไม่พูดถึง เห็นแก่สัญญาความร่วมมือของสองบริษัทเรา ให้ฉันยืม 900 หยวนก็ไม่เกินเลยไปนัก” หม่าเจาเอ่ยอย่างมีน้ำโห

“วันนี้ผมพกบัตรออกมาแค่ใบเดียว” วังไห่ล้วงบัตรเครดิตสีทองออกมา โบกต่อหน้าหม่าเจา “บัตรใบนี้มีเพียงสองคนที่ใช้ได้ หนึ่งคือผม อีกหนึ่งคือคนรักของผม”

วังไห่วางท่ายียวนกวนประสาทเสียจนน่าอัด หม่าเจากระฟัดกระเฟียด ขอยืม 900หยวนต้องขายตัวให้เลยหรือ เขาราคาถูกขนาดนั้นเชียว? ล้อเล่นเว่อร์วังอะไรกัน

“นายไม่ต้องให้ยืมแล้ว ฉันหาทางเอง” ชายชาติอาชาไนย ยืดได้หดได้ เขาไม่เชื่อหรอกว่าวันนี้จะจัดการเงินค่าอาหารมื้อนี้ไม่ได้

หม่าเจาขอบริกรใช้โทรศัพท์ ถือปากกาและกระดาษไปนั่งอีกฟาก เขาไม่เชื่อหรอกว่าวันนี้จะโทรศัพท์ไม่สำเร็จสักสาย

วังไห่ดื่มด่ำกับกุ้งมังกรสดใหม่นุ่มลิ้นรสโอชา พลางมองหม่าเจากัดปลายปากกาหน้าดำคร่ำเคร่ง ครุ่นคิดอย่างหนักถึงหมายเลขโทรศัพท์ของเพื่อนฝูงและคนในครอบครัว ขีดเขียนแก้ไปแก้มา หลังจากเขียนเสร็จก็ยกหูโทรศัพท์ไล่โทร.ไปทีละหมายเลข ทว่าไม่มีสายไหนคุยได้นานติดต่อกันถึงสามสิบวินาที

ท่าเกาหัวเกาหูมืดแปดด้านของหม่าเจาช่างน่ารักอย่างยิ่ง เป็นลุงอายุเกือบสี่สิบแล้ว ยังคล้ายเด็กไม่รู้จักโต ความหนักแน่นที่คนวัยนี้สมควรมีก็ไม่มีสักนิด แต่เขาดันถูกลุงที่เป็นแบบนี้ล่อลวงวิญญาณเข้าให้

วังไห่ไม่มีวันลืมความรู้สึกที่ได้เห็นหม่าเจาเป็นครั้งแรก

วันนั้นเป็นวันเกิดเพื่อนของเขา สถานที่จัดปาร์ตี้อยู่ในบาร์ชื่อ Catwalk ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดในเมือง C ที่นั่นเป็นแหล่งรวมของสาวสวยหนุ่มหล่อจากทั่วทุกสารทิศ ดีเจเลื่องชื่อ แด๊นเซอร์สาวเซ็กซี่เร่าร้อน อีกทั้งสาวเอวบางร่างน้อยสวมบิกินี่เต้นบิดส่ายอย่างยั่วยวนท่ามกลางผู้คนและเสียงดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แด๊นซ์อึกทึกคึกคักเขย่าอารมณ์

ไม่ต้องเอ่ยถึงบรรดาผู้หญิงในสถานบันเทิงเหล่านี้ ที่มาร่วมงานปาร์ตี้แต่ละคนก็สวยงามน่าดูชม รูปร่างกะทัดรัดทรงเสน่ห์อกตูมก้นงอน ท่อนขาเรียวยาวที่ปรากฏนอกกระโปรงมินิและกางเกงฮอตแพนท์ทำเอาผู้ชายที่อยู่ในงานเหลียวหลัง

แต่เขาไม่สนใจเลยสักนิดเดียว เผชิญหน้ากับบรรดาสาวสวยที่เข้ามาตีสนิท ก็ทักทายปราศรัยอย่างขอไปที น้อยนักที่พบของแข็งแล้วยังคงหน้าทนต่อไปได้ อย่างไรเสียผู้ชายในงานนี้ไม่ใช่หล่อเหลาก็ร่ำรวย ชื่นชอบคนหล่อก็เข้าหาคนหล่อ โปรดปรานเงินตราก็เข้าหาทายาทเศรษฐี เร่งทำเวลาล่าเหยื่อ ดีกว่าเสียเวลากับก้อนหินแข็งที่จมในหลุมส้วมมาสิบปี (เชิงอรรถ 4)

(เชิงอรรถ 4 ก้อนหินที่ตกหลุมส้วมมักเปรอะอาจมจนเหม็น เปรียบเหมือนผู้ที่มีท่าทีเลวร้ายและดื้อรั้น)

ไม่มีคนกวนใจ เขาเองก็ผ่อนคลายสำราญอุราดี

ในตอนนี้เอง ผู้ชายร่างสูงโปร่ง บ่ากว้างเอวคอด ก็แล่นเข้ามาอยู่ในสายตา

ภายใต้แสงไฟกะพริบระยิบระยับหลากสีสันในบาร์ ใบหน้าหล่อเหลาของคนผู้นั้นเห็นได้รำไร ผิวพรรณขาวผ่อง เบ้าตาลึก สันจมูกโด่ง ริมฝีปากบางสีอ่อนราวกับดอกท้อเดือนสาม ชุ่มชื่นเป็นประกาย ยามเม้มแก้วเหล้าเบาๆ ทิ้งรอยคราบเลือนราง วังไห่กลืนน้ำลายเอื๊อกฉับพลัน อยากพุ่งปราดเข้าไปแล้วใช้ปากตนเองทดแทนแก้วเหล้าใบนั้นนัก

เมื่อรู้ตัวว่ามีความคิดเช่นนี้ เขาก็ตะลึงงัน นั่นมันผู้ชาย สาวสวยตั้งมากมายในงาน ทำไมเขาไม่เกิดอารมณ์หุนหันพลันแล่นอยากแนบชิดสนิทใกล้ มีเพียงเห็นผู้ชายคนนี้ ช่วงล่างก็คึกคัก

ไม่รอให้ครุ่นคิดกระจ่างว่าเป็นผู้ชายทั้งแท่งมาตลอดยี่สิบกว่าปี ไฉนจู่ๆ ถึงเบี่ยงเบน ก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินด้วยฝีเท้าไม่มั่นคงมุ่งตรงมาทางเขา

เมื่อผู้ชายคนนั้นยิ่งเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของเขาก็เต้นระส่ำรัวเร็วขึ้นทุกที บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบในบัดดล ประหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกี่ยวข้องกับเขา มีเพียงผู้ชายคนนี้เท่านั้น ผู้ชายที่มุ่งเข้าใกล้เขาทีละก้าว ภายในหูเป็นเสียงหายใจที่ออกจะหอบกระชั้น ภายในจมูกเป็นกลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้นและกลิ่นโคโลญอ่อนๆ ภายในสายตาเป็นห้าองคาพยพบนใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของบุรุษเพศ...

ความรู้สึกระทึกเร้าใจไม่ได้บังเกิดขึ้นมาเนิ่นนานแล้ว

อวัยวะที่อ่อนหยุ่นเป็นฟองน้ำใต้ท้องน้อยไปสามนิ้วเป่งพองขึ้นทันที เร็วจนทำให้เขาคาดไม่ถึง ด้วยถือคติว่าทรมานตนเองก็ไม่อาจทรมานน้องชายตัวเองได้ เขาลองเสนอให้ไปคุยกันต่อในโรงแรม ผู้ชายคนนั้นอึ้งงันไป ก่อนพยักหน้าตกลง

ผู้ชายที่หื่นกระหายมาเนิ่นนานสองคน เมื่อเข้าห้องในโรงแรมแล้วก็เหมือนท่อนฟืนแห้งพบเจอกับเปลวเพลิงร้อนแรง กระทั่งน้ำท่ายังไม่ทันอาบก็กอดจูบกันกลม เทคนิคการจูบของผู้ชายคนนี้ดีมาก เขาเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทุ่มสุดตัวเข้าโรมรัน ยิ่งจูบยิ่งหนักหน่วง ยิ่งดูดขบนัวเนีย เมื่อเดินมาถึงข้างเตียง เสื้อผ้าของทั้งคู่ก็ปลดเปลื้องไปพอประมาณแล้ว

เมื่อผู้ชายคนนั้นกดเขาลงกับเตียง กระตุ้นยอดถันและท่อนสวาทของเขา เขายังนึกยินดีว่าผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายเริ่มก่อน คิดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนั้นสลับตำแหน่งกลับตาลปัตร เห็นว่าใกล้ถูกชำแรกแล้ว เขาจึงเกี่ยวคว้าบั้นเอวผู้ชายคนนั้น อีกมือยันเตียง ออกแรงพลิกสลับตำแหน่งกลับมา

จับสองขายาวเย้ายวนที่เขาโหยหามาตลอดทั้งคืนแยกออก มองเห็นปากทางยับย่นน่ารักที่ซุกตัวอยู่กลางแก้มก้นหนั่นแน่น ลมหายใจหยุดชะงัก ปากโพรงลับของผู้ชายดึงดูดเขาได้มากกว่ากลีบผกาของผู้หญิง ทำให้เขาเกิดอารมณ์พลุ่งพล่าน ประคองน้องชายที่แน่นแข็งจนน้ำซึมจ่อเข้ากับปากโพรงที่ขมิบตัวแล้วออกแรงตอกอัดเข้าไป...

ช่วงล่างของผู้ชายคนนั้นทั้งร้อนทั้งรัดแน่น ทำเอาเขาสุขเสียวจนไม่เป็นตัวของตัวเอง ทุกครั้งที่สาวกระแทกล้วนผสมผสานไปด้วยเสียงโหยครางยวนใจและเสียงสะอึกสะอื้นของผู้ชายคนนั้น มองเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้า เขาไม่เพียงไม่ถนอมอ่อนโยน กลับยิ่งสำแดงความเป็นสัตว์ป่า ขย่มอย่างเมามันจนผู้ชายคนนั้นร้องหาพ่อหาแม่ สองขาสั่นสะท้าน ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นเทิ้ม ร้องครวญครางอย่างทั้งเจ็บทั้งถึงใจ

หลังผ่านการโรมรันกันหนึ่งคืน เหลือทิ้งไว้เพียงความระเกะระกะและกลิ่นอายของน้ำรักผสมกลิ่นเหงื่ออวลตลบไปทั้งห้อง ในฐานะผู้ชายแท้ๆ ทั้งแท่งร่วมอภิรมย์กับผู้ชายทั้งคืนเดิมทีก็เป็นเรื่องเหลวไหล หลังตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นผู้ชายคนนั้น เขาได้แต่เสียใจไปพักหนึ่ง อย่างนี้ก็ดี ไม่ต้องตะขิดตะขวงใจ

คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะได้พบกันอีก ถูกผู้หญิงคนหนึ่งตามตื๊ออยู่สองเดือนกว่า ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหว นัดเธอออกมาพูดคุยให้กระจ่าง แต่เขาประเมินความไม่มีเหตุผลของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป ในขณะที่เขารำคาญจนคิดใช้ไม้แข็ง เงาร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏตรงหน้า

ความรู้สึกว่าสรรพสิ่งบนโลกมลายหายไป ในสายตาเหลือเพียงผู้ชายในชุดสูทยืนหลังตรงอยู่เบื้องหน้าบังเกิดขึ้นอีกครั้ง เขากลั้นหายใจรอให้ผู้ชายคนนั้นเข้าใกล้เขาทีละก้าว ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นจะเฉียดไหล่ผ่านไป เขาก็คว้าตัวไว้ ประกบจูบบนริมฝีปากสีอ่อนที่เวียนวนอยู่ในฝันของเขามายาวนานคู่นั้น

รสชาติยังดีเลิศสมบูรณ์แบบเหมือนคืนนั้น!

หลังจุมพิตแล้วรู้สึกเลื่อนลอย ไม่ระวังปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นหนีไป วังไห่นึกเสียใจอย่างยิ่ง ได้แต่เอ่ยปลอบตนเองในใจว่า หากพวกเขามีวาสนาต่อกัน ย่อมได้พบเจอกันอีกแน่ หากได้พบเจอกันอีกหน เขาจะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด

หนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์...

ชั่วพริบตา หนึ่งเดือนผ่านพ้น วังไห่ไม่พบผู้ชายคนนั้นอีกเลย ขณะที่เขาคิดยอมแพ้ ผู้ชายคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น แม้ปรากฏตัวในฐานะคู่สัญญาความร่วมมือ แต่ก็เป็นสิ่งพิสูจน์อย่างดีว่าระหว่างพวกเขามีวาสนาที่ตัดไม่ขาด หั่นไม่สะบั้น

วาสนาหรืออุจจาระลิง (เชิงอรรถ 5) กันแน่!

(เชิงอรรถ 5 คำว่า ‘วาสนา’ และ ‘อุจจาระลิง’ ในภาษาจีนออกเสียงเหมือนกัน)

หม่าเจากำลังหน้าดำคร่ำเครียดนึกหมายเลขโทรศัพท์ของบรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตร พลันรู้สึกถึงลมหนาววาบผ่านด้านหลัง ด้านนอกดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดกล้าเหนือหัว แต่เขากลับหนาวยะเยือกจนตัวสั่น

หลังถูกคนที่สามสิบเก้าด่าว่าประสาท หม่าเจาก็ห่อเหี่ยวโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาต้องเค้นสมองขนาดนี้เพื่อเงินค่าอาหารเพียงแค่ 900 หยวน ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาต้องเสียงอ่อนเจียมตัวขอร้องให้คนช่วย ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาต้องถูกคนจดจ้องด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลนเขม็งแบบนี้ ต้องโทษเจ้าบ้าคนทรยศหักหลัง เห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย เสร็จกิจแล้วไร้น้ำใจ

หม่าเจาเงยหน้า สาดสายตาดุร้ายใส่วังไห่ที่กำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารเลิศรสแวบหนึ่ง ประจวบเหมาะกับวังไห่ก็เงยหน้าขึ้น มองเขาอย่างรู้กัน สองสายตาสบประสาน ประกายไฟแห่งความโกรธเคืองและประกายไฟแห่งความยียวนกวนประสาทแลบแปลบปลาบใส่กันกลางอากาศ

‘เด็กน้อย คิดเล่นกับผมรึ ล้างก้นให้สะอาดรอผมบนเตียงจะดีกว่า’ วังไห่คิดในใจ

เฮ้อ! ตั้งแต่ชอบลุงขี้เหนียม ปากอย่างใจอย่าง ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง ทั้งชอบพูดคำหยาบ เรื่องที่เขาต้องเป็นกังวลก็มีมากขึ้นไม่น้อย ลุงผู้น่ารักไม่เพียงดื้อรั้น ยังหยาบกระด้างเป็นพิเศษ ไม่ได้อยู่ใกล้เพียงแค่วันเดียวก็ไม่ได้ ทางที่ดีต้องตามติดข้างตัวทุกวัน ไม่ให้ห่างกันแม้แต่ก้าวเดียวถึงจะวางใจ

‘นายยิ้มอะไรอยู่’ หม่าเจาใช้สายตาสอบถามวังไห่

วังไห่ยิ้มระรื่นเจ้าชู้ยักษ์ ‘ยิ้มเพราะคุณน่าหลงใหล!’

ร่างของหม่าเจาสั่นสะท้าน ขนลุกซู่ชูชัน เก็บสายตากลับมาดังคาด

แม่ง! อย่ายิ้มจนน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้ได้ไหม ใครกันนะบอกเขาว่าโรงแรมหวงเทียนมีท่านประธานที่เย็นชา แววตาหนาวยะเยือก โหดเหี้ยมมากเล่ห์เหลี่ยม ทำไมที่เขาเห็นถึงได้แตกต่างโดยสิ้นเชิง เป็นสายตาเขามีปัญหาหรือวังไห่วิปลาสไปแล้วกันแน่ อย่าได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับวังไห่ให้มากจะดีกว่า คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าเขาสองคนรู้จักกัน

“ประสาท นายโทร.มาครั้งที่สามแล้ว โทร.มาอีกจะแจ้งตำรวจ!”

เสียงแหลมเล็กของผู้หญิงดังแว่วมาจากหูโทรศัพท์ แก้วหูบอบบางของหม่าเจาถูกทำร้ายสาหัส จึงเอามือลูบหู มองเลขหมายสะเปะสะปะบนกระดาษอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เขาไม่ฉับไวต่อสิ่งเหล่านี้จริงๆ เสียด้วย

ในตอนนี้เอง บริกรเปล่งเสียงที่ไม่ใคร่น่าฟังออกมาราวเสียงสวรรค์

“คุณครับ มีคนช่วยจ่ายเงินให้คุณแล้ว”

“อะไรนะ! จริงหรือ ใครกัน” หม่าเจาเงยหน้าอย่างประหลาดใจ

“คุณผู้ชายที่เมื่อครู่นั่งตรงนั้น” บริกรตอบอย่างมีมารยาท

เมื่อครู่? หม่าเจาเงยหน้า กวาดตามองโดยรอบแวบหนึ่ง

ไม่ใช่หรอกกระมัง ทั้งร้านเหลือเพียงเขาเพียงคนเดียว

“เจ้าบ้า…เอ่อ ผู้ชายคนนั้นล่ะ”

“ออกไปเมื่อห้านาทีก่อนแล้ว”

 

หม่าเจาอึดอัดคับข้องแทบกระอักโลหิต

ห้านาทีก่อนเพิ่งออกไป ทำไมไม่บอกเขาแต่เนิ่นๆ ให้เขาต้องต่อสู้ชี้ชะตากับบรรดาตัวเลขน่าปวดเศียรเวียนเกล้าเหล่านี้ ทรมาทรกรรมจนบาดแผลเต็มตัว แรงกายแรงใจอ่อนล้า

วันฤดูร้อนอันอบอ้าว รู้สึกทุกข์ทรมานที่สุดไม่มีใดเกิน วินาทีก่อนยังนั่งตากแอร์เย็นฉ่ำอยู่ในห้องปรับอากาศ วินาทีถัดมาก็ถูกบีบให้ยืนใต้ดวงตะวันรับแสงแดดแผดเผาอย่างไร้ความปรานี

ทั้งเนื้อทั้งตัวจนกรอบกระทั่งเงินสักแดงยังเขย่าออกมาไม่ได้ หนทางต่อไป เขาควรจะไปทางไหนดี

เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ทำไมเขาถึงต้องหนีออกมาด้วยเล่า ไม่ใช่ว่าวังไห่ควรออกไปหรอกหรือ นั่นมันห้องของเขาต่างหาก!

ทอดตามองถนนขามา เบื้องหน้าสายตาหม่าเจามืดมน เมื่อครู่เขาวิ่งมาได้อย่างไรกันนะ ไกลถึงขนาดนั้น มองไม่เห็นประตูสีทองอร่ามตาของโรงแรมเลยสักนิด

“ผู้จัดการหม่า?”

ขณะที่หม่าเจาอับจนหนทางอยู่นั่นเอง เวินเหวินก็ปรากฏตัว

หม่าเจาไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่า ใบหน้าราวกับโลงศพของเวินเหวินจะน่ารักน่าใคร่ถึงขนาดนี้ ความรู้สึกที่ได้พบสหายในต่างถิ่นช่างบีบคั้นหัวใจ มีความน้อยเนื้อต่ำใจนับไม่ถ้วนอยากระบายให้ฟัง แต่ฉุกคิดได้ว่าตนเองต้องคงท่าทีน่าเกรงขามในฐานะหัวหน้าสายงาน ดังนั้นจึงสะกดกลั้นความคิดวู่วามอยากกระโจนเข้าโอบกอดเวินเหวินแน่นๆ เอาไว้ กระแอมไอล้างลูกคอแรงๆ จากนั้นแสร้งทำท่าเศร้าสร้อยปลดปลง

“สังคมนี้หนอ นับวันมีแต่เลวร้ายลง คิดไม่ถึงว่าในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ ยังมีโจรลักเล็กขโมยน้อย ถูไถเอาตัวรอดไปวันๆ”

“คุณไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” เวินเหวินถามอย่างเอาใจใส่

แม้เป็นถ้อยคำเอาใจใส่ แต่น้ำเสียงราบเรียบ คลื่นเสียงไม่มีสูงไม่มีต่ำเลยสักนิด ช่างไม่มีเทคนิคเอาเสียเลย หม่าเจาคิดอย่างผิดหวัง

“แค่โจรกระจอก ทำร้ายอะไรฉันไม่ได้หรอก ตอนนี้นายเตรียมจะไปไหน”

“กลับโรงแรม”

“พอดีเลย ฉันก็คิดจะกลับไป มีเงินติดตัวไหม”

“อืม” เวินเหวินพยักหน้า

หม่าเจารีบไปโบกเรียกรถแท็กซี่ริมทาง โชคของเขาค่อนข้างดี เพิ่งยื่นมือออกไป รถแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดลง หม่าเจาผลุบเข้าไปนั่งยังเบาะหลัง พอปิดประตูแล้วก็กวักมือเรียกเวินเหวิน

“ยังมัวยืนอยู่ทำไม ขึ้นรถเร็วสิ!”

เวินเหวินยืนอึ้ง ระยะทางแค่เดินไม่กี่นาที ถึงกับต้องโดยสารรถหรือ เป็นสไตล์ของนายทุนโดยแท้ เขารู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็เข้าไปนั่งเบาะข้างคนขับ

ตากแอร์เย็นทะลุเข้าไปถึงขั้วดวงใจ หม่าเจาคิดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ประเดี๋ยวเอากระเป๋าสตางค์คืนได้แล้ว จะเอาธนบัตรมีรูปท่านประธานเหมาปึกใหญ่ๆ ฟาดหน้าวังไห่เข้าให้ แล้วบอกหมอนั่นว่า

ลุงมีเงินถมเถ!

 

ฝันนั้นช่างหอมหวาน แต่ความเป็นจริงช่างลมๆ แล้งๆ อยู่บนรถคิดอย่างอาจหาญน่ายำเกรง แต่พอมายืนหน้าประตูกลับปอดแหกเสียแล้ว หรือจะไปขออาศัยนอนในห้องของเวินเหวินสักคืนดี ห้องชุดหรูหรา โซฟาก็น่าจะใหญ่มาก เขาเองไม่อยากได้เตียงใหญ่อ่อนนุ่มหลังนั้น ขอยืมโซฟาก็เพียงพอแล้ว

คลิก!

“ผู้จัดการหม่า ทำไมถึงมาอยู่หน้าประตูห้องผมล่ะ”

วังไห่ถามยิ้มๆ ขณะยืนพิงขอบประตูด้วยมาดเท่

“นี่คือห้องของฉัน!” หม่าเจากัดฟันกรอดตอบไป

วังไห่ทำตัวเหมือนเจ้าของห้อง ช่างน่าชกนัก นกเขายึดรังนกสาลิกา ครองห้องคนอื่นโดยพลการ ไม่ต้องวางท่าเกินเลยขนาดนั้นได้หรือไม่

“อ้อ...” วังไห่ลากยาวเสียงท้าย ยิ่งน่าซัดมากขึ้นไปอีก “คุณมีอะไรยืนยันไหม”

“หลักฐานเรอะ ฮ่าๆ ห้องนี้ใช้บัตรประชาชนฉันเปิด นายว่าฉันมีหลักฐานยืนยันไหมล่ะ”

หม่าเจามองวังไห่ด้วยท่าที ‘นายมันโง่จริงเสียด้วย’

สีหน้าวังไห่ไม่ผกผัน ยังคงสุขุมไม่สะทกสะท้าน

“คุณลองให้พนักงานเช็กดูก็ได้ ว่าห้องนี้เปิดในนามใครกันแน่”

“นายหมายความว่ายังไง”

หม่าเจามีลางสังหรณ์ไม่ดี แต่ไม่น่าเป็นไปได้ ตั๋วเครื่องบินและโรงแรมเป็นทางบริษัทจองให้ นอกจากเขาแล้วจะใช้ชื่อใครจองได้อีก

“หมายความว่าชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร” วังไห่ยังคงตอบด้วยท่าทีสุขุมนุ่มลึกต่อไป

“อย่างนั้นก็ให้ความจริงเป็นฝ่ายพูด รีบเก็บของเร็วๆ เลย ระวังเถอะ ประเดี๋ยวกระทั่งเผ่นก็ยังไม่ทัน” หม่าเจาตบบ่าวังไห่ แล้วพูดสำทับด้วยเสียงหนักแน่นมั่นใจ “อย่าหาว่าลุงไม่เตือน”

วังไห่เอาแต่ยิ้มไม่พูดไม่จา ยืนอยู่หน้าประตูราวกับหินนางคอยมองส่งหม่าเจาเข้าลิฟต์

หม่าเจากระหืดกระหอบถ่อลงมาถึงหน้าเคาน์เตอร์ แจ้งหมายเลขบัตรประชาชนของตน ให้พนักงานต้อนรับช่วยตรวจสอบว่าเขาได้เปิดห้องที่นี่หรือไม่

ครึ่งนาทีต่อมา พนักงานต้อนรับบอกเขาอย่างเสียใจว่า หมายเลขบัตรประชาชนนี้ไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน

การจู่โจมครั้งนี้หนักหน่วงเหลือเกิน หม่าเจาไม่อาจแบกรับได้ในชั่วขณะ รีบโดยสารลิฟต์ขึ้นมายังชั้นบนสุด ห้องชุดเพรสซิเด็นท์ของเวินเหวินอยู่ตรงมุมด้านในสุด นี่สินะที่เรียกว่าการปฏิบัติที่แตกต่าง ผืนพรม แชนเดอเลียร์ แจกันดอกไม้ ประตูหน้าต่างนี่อีก ช่างหรูหราฟุ่มเฟือยโดยแท้!

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เวินเหวินกำลังเตรียมตัวอาบน้ำ ได้ยินเสียงเคาะประตู จึงหยิบชุดคลุมอาบน้ำมาสวมแล้วเดินไปเปิดประตู ไม่ผิดจากที่คาด ที่ยืนหน้าประตูเป็นหม่าเจา

“ผู้จัดการหม่า มีธุระอะไรหรือครับ”

“เอามือถือให้ฉัน” หม่าเจาพูดเสียงลอดไรฟัน

แม้เขาไม่อยากแยแสหม่าเจานัก แต่ไม่ว่าอย่างไรหม่าเจาก็เป็นหัวหน้าสายงาน ไม่อาจเมินเฉย เวินเหวินเบี่ยงตัวให้หม่าเจาเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์มือถือให้หม่าเจา

หม่าเจาถือโทรศัพท์โนเกีย 225 ของเวินเหวิน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถาม

“นายรู้เบอร์ของเมิ่งฉินเหยียนไหม”

เวินเหวินมองหม่าเจาแวบหนึ่ง ไม่ตอบอะไร รับโทรศัพท์มือถือไปกดเลขหมายสิบเอ็ดหลักโดยตรง แล้วยัดโทรศัพท์มือถือกลับใส่มือหม่าเจา

“ผมไปอาบน้ำก่อน เชิญคุณตามสบาย”

มองน่องขาที่โผล่ใต้ชายเสื้อคลุมอาบน้ำ หม่าเจาเดาะลิ้น ขาวดีเหมือนกันนี่! ทำเรื่องหลักก่อน หม่าเจาหรี่ตาเพ่งมองเลขหมายสิบเอ็ดหลักบนหน้าจอที่เล็กจนไม่อาจเล็กไปกว่านี้ได้แล้ว

แม่ง! วันนี้เขาเกือบเรียงลำดับถูกแล้วเชียว ผิดไปแค่สามหลัก!

ด้วยความคุมแค้นเต็มอกและเสียดายอย่างลึกล้ำ ไม่นานโทรศัพท์ที่หม่าเจาต่อสายถึงเพื่อนสนิทที่อยู่แดนไกลก็มีคนรับสาย

“ฮัลโหล”

“ฉินเหยียน นายทำอะไรอยู่”

เสียงแหบพร่าและลมหายใจถี่หอบของเมิ่งฉินเหยียน อีกทั้งเสียงครางที่ลอดมาตามสาย ทำเอาหม่าเจาราวกับถูกฟ้าผ่ากระนั้น

สัตว์ป่าชัดๆ ถึงกับกล้าทำประเจิดประเจ้อกลางวันแสกๆ!

“เดี๋ยวค่อยคุย”

พูดจบ เมิ่งฉินเหยียนก็วางสายแล้วโยนโทรศัพท์มือถือไปอีกฟาก จากนั้นแสดงความรักต่อคู่รักที่อยู่ใต้ร่างเขาต่อไป

เห็นความใคร่ดีกว่าเพื่อน หม่าเจาลอบดูแคลนเมิ่งฉินเหยียนในใจหนึ่งยก แล้วโทร.ต่อไป วันนี้ไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง เขาไม่ยอมรามือเด็ดขาด

ตู๊ดๆๆ...ตู๊ดๆๆๆ...

จนกระทั่งเวินเหวินอาบน้ำแล้วเสร็จ ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เช็ดผมออกจากห้องน้ำ หม่าเจาก็ยังโทร.ติดต่อเมิ่งฉินเหยียนไม่ได้

“ผมพักผ่อนก่อนนะครับ เชิญคุณตามสบาย”

“ได้ เดี๋ยวฉันช่วยปิดไฟให้”

ไม่รอให้หม่าเจาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังปัง ช่างไม่น่ารักเลยแม้แต่น้อย!

สวรรค์ไม่รังแกคนมีความตั้งใจ เมื่อโทรศัพท์มือถือเหลือแบตเตอรี่เพียงขีดสุดท้าย ในที่สุดก็โทร.ติด

“นายจะเอาไงแน่” เมิ่งฉินเหยียนถามเสียงเย็นชา

แม้มีสายโทรศัพท์กางกั้น หม่าเจาก็ยังรู้สึกได้ถึงไอเย็นวาบผ่านสันหลัง ผู้ชายที่ยังไม่สุขสมในกามตัณหาห้ามแหย่จริงเสียด้วย ต่อหน้าคู่รัก ความเป็นเพื่อนความเป็นพี่น้องยังต้องยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างๆ

“ถ้าไม่พูดฉันจะวางสาย!”

ขณะกำลังพัวพันกับหลินโม่ โทรศัพท์ก็ดังไม่หยุด เสียงกริ่งดังกลบเสียงครางกระเส่าเย้ายวนของหลินโม่จนมิด เมิ่งฉินเหยียนโมโหจนชักเข้าชักออกอย่างรวดเร็วหลายสิบครั้ง หลังถึงจุดสุดยอดไปพร้อมๆ กับหลินโม่ถึงได้เก็บโทรศัพท์บนพื้นขึ้น คิดในใจว่าหากหม่าเจาไม่มีธุระสำคัญ เขาจะไม่ปล่อยหม่าเจาไปง่ายๆ เด็ดขาด

“ทำไมเอกสารที่ใช้จองห้องในโรงแรมไม่ใช่ของฉัน” หม่าเจาถาม “อีกอย่าง...ระยะนี้การเงินของบริษัทเราฝืดเคืองหรือ ทำไมฉันถึงต้องอยู่ห้องเดียวกับเลขาฯ”

“เรื่องพวกนี้นายต้องถามหลิงเซียว” รังสีเผด็จการของเมิ่งฉินเหยียนแผ่ซ่านออกมาเตือนหม่าเจา “ไม่มีธุระอย่าโทร.มาหาฉัน”

จ้องหน้าจอที่มืดดับลง หม่าเจาสับสนว้าวุ่น หลิงเซียว? หมายเลขโทรศัพท์เลขาฯของท่านประธานเมิ่ง เขาจะไปหาที่ไหนได้ ถามเวินเหวินหรือ พอนึกถึงใบหน้าเย็นชาเฉยเมยของเวินเหวิน หม่าเจาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างรู้สถานการณ์

ตบๆ เบาะโซฟาใต้บั้นท้าย ลูบๆ ผืนพรมใต้เท้า คืนนี้ไม่ว่านอนบนโซฟาหรือนอนบนพื้นพรม ล้วนสบายกว่านอนห้องเดียวกับวังไห่

หม่าเจาตัดสินใจแล้ว คืนนี้ขออาศัยนอนที่นี่สักคืน

เวินเหวินนอนเก่งมาก นอนจนพระอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาถึงได้ตื่นขึ้น เห็นหม่าเจานั่งดูโทรทัศน์พลางกินขนมบนโซฟา ออกจะจนใจ อยากไล่หม่าเจาออกไป แต่ติดที่ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ช่างเถอะ ใครใช้ให้เขาทำผิดต่อหม่าเจาก่อน ให้หม่าเจายืมสถานที่ซุกตัวสักครึ่งวันก็แล้วกัน

“กินอะไรครับ” เวินเหวินยกหูโทรศัพท์เตรียมสั่งอาหาร

“ฉันไม่เลือกกิน กินอะไรก็ได้” หม่าเจาโบกมือครั้งหนึ่ง

“บนเมนูไม่มีรายการอะไรก็ได้” เวินเหวินเตือนอย่างสุขุม

“อย่างนั้นก็กุ้งมังกรอบชีส ปลาไหลน้ำแดง ลูกชิ้นกุ้งผัดเนย พิราบรมควัน ปูขนนึ่ง เนื้อสเต๊กพริกไทยดำ เนื้อสะเต๊ะ ปลาเทร้าต์นึ่ง ไก่ซีอิ๊วกุหลาบ เป๋าฮื้อม้วน น้ำแกงเนื้อท้องวัว ยำหน่อไม้ เป๋าฮื้อผัดบร็อกโคลี่” หม่าเจาสั่งยาวเป็นพรวน “จริงสิ ขอแกงเนื้องูด้วย บำรุงร่างกายหน่อย”

เวินเหวินกดหมายเลขฝ่ายบริการของโรงแรมอย่างใจเย็น “ขอชุดอาหารปลาไหลสองชุด ส่งห้อง 1805”

“กุ้งมังกร เป๋าฮื้อปลาเทร้าต์ล่ะ” หม่าเจารู้สึกว่าตนเองถูกละเลย จึงออกจะไม่พอใจ

เวินเหวินวางสายลง เปรยตามองหม่าเจานิ่งๆ

หม่าเจารีบเงียบเสียง อยู่ใต้ชายคาคนอื่น มิอาจไม่ค้อมหัว


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น