4

ภารกิจสำเร็จ


4

ภารกิจสำเร็จ

 

โชติกาชะเง้อมองไปทางโค้งเพื่อดูลาดเลาว่าเป้าหมายที่รออยู่ใกล้จะมาถึงแล้วหรือยัง มีหลายคนที่วิ่งผ่านและมองมาด้วยความสนใจ คงเพราะจำได้ว่าเธอเป็นนักแสดง เธอก็เพียงส่งยิ้มให้

“มาแล้วๆ” โชติกาหยิบหูฟังขึ้นเสียบหูแล้วออกวิ่งเหยาะๆ สวนทางกับเลนที่พีรภัทรกำลังวิ่งมา มองตรงไปข้างหน้า ทำเป็นไม่สนใจร่างสูงที่วิ่งสวนกันไป

พีรภัทรมาวิ่งออกกำลังกายอยู่ที่สวนสาธารณะแห่งนี้เป็นประจำ เนื่องจากคอนโดชายหนุ่มอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงกิโลเมตร ทั้งใกล้และเดินทางสะดวก ทำให้เขาเลือกมาที่นี่แทนที่จะเป็นยิมหรือห้องฟิตเนสในคอนโด

วันนี้เป็นอีกวันที่เขามาวิ่งเป็นปกติ เมื่อวิ่งเข้าสู่รอบที่สองกลับเห็นหญิงสาวคุ้นตาคนหนึ่งวิ่งสวนไป เธอแต่งกายเรียบง่าย ทว่าใบหน้ากลับโดดเด่นยามที่รวบผมเป็นหางม้า แม้สาวเจ้าจะไม่ได้แต่งหน้าจัดเต็มเหมือนวันแรกที่พบกัน แต่เขาก็จำเธอได้ติดตา

พีรภัทรผ่อนฝีเท้าลงแล้วมองไปทางที่โชติกาวิ่งไป หากจะวิ่งตามไปก็คงไม่ทันเสียแล้ว จึงออกวิ่งต่อไป เพราะถึงอย่างไรก็ต้องสวนกันที่ทางด้านหน้าอยู่ดี

ทางด้านโชติกาที่แสดงบทบาททำเป็นมองไม่เห็นเป้าหมายกำลังเกาะต้นไม้เพื่อพยุงตัวด้วยความเหนื่อยหอบ โดยมีติณณภพที่นั่งหยิบขนมในมือกินอยู่บนจักรยานมองดูด้วยความขบขัน

“วิ่งยังไม่ถึงร้อยเมตรก็หอบกินแล้วเหรอคุณ”

“คะ...ใครบอกร้อยเมตร แฮกๆ” โชติกาเถียงทั้งที่หายใจยังแทบจะไม่ทัน “ฉันดูเส้นทางแล้วเกือบสี่ร้อยเมตรย่ะ โอ๊ย...ทำไมมันเหนื่อยอย่างนี้เนี่ย”

“ที่เห็นไปฟิตเนสวันนั้นก็หลอกตานี่คุณ”

“ฉันไปจริงย่ะ แต่ไม่ได้วิ่งจนเหนื่อยแบบนี้”

“ผมก็ลืมไปว่าคุณอยู่ในช่วงวัยทองแล้ว ทำอะไรนิดหน่อยก็เหนื่อยง่าย” ชายหนุ่มแสร้งพยักหน้าเข้าใจ “นี่ถ้าวิ่งเป็นกิโลคงไม่ได้มายืนหอบหายใจแบบนี้”

“พูดมาก!” เมื่อรู้สึกดีขึ้นจึงก้าวขาขึ้นนั่งซ้อนท้ายจักรยาน ก่อนจะบอกให้เขาออกรถไปยังที่ที่คิดว่าจะสวนทางกับพีรภัทรได้ไม่เป็นที่สงสัย “ออกรถได้แล้วคุณผู้ช่วย”

“คร้าบเจ้านาย...ย” ติณณภพลากเสียงยาวติดประชด แต่ก็ออกแรงปั่นพาเจ้านายสาวไปยังที่ที่ต้องการ “คุณชอบคุณพีรภัทรมากจนยอมทำอะไรบ้าๆ แบบนี้เลยเหรอ”

“อย่างแรกนะคุณผู้ช่วย ฉันไม่ได้อยากทำอะไรบ้าๆ แบบนี้หรอก ฉันคงนั่งสวยๆ รอผู้ชายดีๆ เข้ามาจีบ ไม่ต้องมาลงทุนลงแรงแบบนี้ ถ้าหมอเทพผู้หยั่งรู้รู้ลึกรู้จริงไม่ทักว่าฉันจะขึ้นไปโหนคานทองนิเวศน์เล่นถ้าหาเนื้อคู่ไม่เจอก่อนอายุสามสิบห้า ซึ่งมันอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว” โชติกาอธิบายยืดยาว นึกถึงสิ่งที่หมอเทพทำนายไว้แล้วก็สงสารตัวเอง “อย่างที่สอง คุณพีเขามีทุกอย่างที่ฉันต้องการ ชื่อเสียง เงินทอง หน้าที่การงานที่ดี เขาสามารถทำให้ชีวิตฉันสุขสบายได้ มันก็สมควรแล้วนี่ที่ฉันจะชอบเขา”

“คุณพีเขาให้ชื่อเสียง เงินทอง และความสุขสบายคุณได้ก็จริง แล้วคุณไม่ต้องการความสุขในชีวิตเหรอ”

โชติกาชะงักเพราะคำพูดของติณณภพ ‘ความสุขในชีวิตอย่างนั้นเหรอ...’

“คุณคิดว่ามันมีอยู่จริงๆ เหรอ”

“คนเราก็ต้องมีสักครั้งที่มีความสุขสิ พูดอย่างกับตัวเองไม่เคยมีความสุขในชีวิตอย่างนั้นแหละ”

“คงงั้นมั้ง”

ติณณภพหยุดรถแล้วหันมาถามหญิงสาวจริงจัง “จริงดิ”

“ฉันก็คงมีความสุขในชีวิตเหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่ความสุขของฉันอาจจะแปลกหน่อย” หญิงสาวยิ้ม “แค่มีชีวิตรอดถึงพรุ่งนี้ได้ฉันก็มีความสุขแล้วละ และสิ่งที่จะทำให้ฉันรอดได้...ก็คือคุณพี”

“ซึ่งก็คือชื่อเสียงเงินทอง”

“มันคือสิ่งที่คนตกอับอย่างฉันต้องการ” โชติกายอมรับโดยไม่คิดอาย แม้จะละอายใจอยู่ลึกๆ แต่เธอไม่มีทางเลือก หรืออาจจะมี แต่วิธีนี้ทำให้เธอไปถึงเป้าหมายได้เร็ว จึงเลือกทำมัน

“เป้าหมายคุณจะมาถึงแล้ว ลงไปเตรียมตัวสิ”

“นายไปรอฉันที่รถเลยก็ได้นะ” เพราะรอบนี้เธอจะเข้าไปทักพีรภัทร และหาเรื่องอยู่คุยกับเขาต่อ

“ผมจะรอแถวนี้นี่แหละ เสร็จแล้วก็โทร. หาแล้วกัน” หลังจากที่ตัดสินใจจะช่วยหญิงสาวอย่างจริงจัง ก่อนมาถึงที่นี่เธอจ่ายเงินค่าจ้างเขาเรียบร้อยตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ พร้อมกับแลกเบอร์กันเพื่อใช้ติดต่อเรื่องงาน จึงไม่ต้องห่วงเรื่องการติดต่อสื่อสาร

“โอเค” โชติกาเตรียมตัวก่อนจะออกวิ่งพร้อมนึกถึงคำพูดของติณณภพก่อนหน้านี้ ‘ความสุขในชีวิต’ นั่นสินะ ความสุขในชีวิตจริงๆ ของเธอคืออะไรกันแน่ ความสุขที่ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ชื่อเสียง หวังว่าในชีวิตนี้เธอจะหามันเจอในสักวัน

“อ๊ะ!” โชติกาตกใจเพราะมัวแต่ใจลอยจนเกือบวิ่งชนคนอื่นเข้า “ขอโทษค่ะ”

เธอค้อมศีรษะขอโทษอีกฝ่ายโดยไม่ได้ดูว่าเขาเป็นใคร เมื่อจะเดินหลบ เจ้าทุกข์ก็ขยับตามมาขวางทางไว้

“คุณโชครับ นี่ผมเอง”

เสียงคุ้นหูทำให้โชติกาเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นพีรภัทร นี่เธอใจลอยจนลืมแผนการและเป้าหมายเลยเหรอเนี่ย “คุณพีนี่เอง โชขอโทษนะคะที่วิ่งชนคุณพี” เธอกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิดจริงๆ

“ผมเรียกคุณโชตั้งหลายรอบ แต่คุณโชคงไม่ได้ยิน ผมเลยเอาตัวเองมาขวางทางซะเลย นั่นหมายความว่าเป็นผมต่างหากที่ต้องขอโทษคุณโช”

“สงสัยมัวแต่ฟังเพลงแน่เลยค่ะ เลยไม่ได้ยินคุณพีเรียก” โชติกาหยิบหูฟังที่เสียบหูออก ทั้งที่ความจริงไม่ได้เปิดเพลงอะไรเลยด้วยซ้ำ แถมเป้าหมายยังเข้ามาติดกับโดยที่เธอไม่ต้องแสดงละคร ดูแล้วภารกิจมีโอกาสสำเร็จสูงทีเดียว

“คุณโชมาวิ่งที่นี่บ่อยหรือครับ ผมไม่เคยเห็นคุณโชมาก่อนเลย” พีรภัทรชวนคุยระหว่างเดิน และสายตาของเขาก็จ้องที่หน้าสวยของคนที่ตัวเล็กกว่าตลอดเวลา ไม่ว่าจะมองมุมไหน โชติกาก็สวยไปหมด

“ก็ไม่บ่อยค่ะ ว่างๆ ถึงมาที” หญิงสาวปด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาวิ่งที่สวนสาธารณะแห่งนี้ “ที่คุณพีไม่เห็นคงไม่รู้จักโชมากกว่าค่ะ บางทีเราอาจจะวิ่งสวนทางกันบ่อยๆ ก็ได้นะคะ”

“นั่นสิครับ” พีรภัทรเห็นด้วย แต่ก็ไม่ลืมแก้ต่างไม่ให้หญิงสาวเสียความรู้สึก ทั้งที่เธอเป็นดาราดัง แต่เขากลับไม่รู้จัก “อาจจะเพราะผมเพิ่งย้ายมาอยู่ไทยได้ไม่กี่ปี เลยไม่ค่อยรู้จักดารานักแสดงของเมืองไทยนัก หวังว่าคุณโชจะไม่โกรธนะครับ”

“ไม่เลยค่ะคุณพี อย่าคิดมากเลยค่ะ”

“แต่ไม่สายไปใช่ไหมครับ...ถ้าผมอยากจะรู้จักคุณโช”

“ตอนนี้เราก็รู้จักกันแล้วนี่คะ” พีรภัทรพูดอย่างมีความหมายแอบแฝง ไม่ใช่แค่อยากทำความรู้จักกันทั่วไป และใช่ว่าเธอจะไม่รู้ แต่เพราะตัวเองเล่นบทนางเอกอยู่จึงตอบอะไรไปอย่างที่ใจคิดไม่ได้

“นั่นน่ะสิครับ”

เป็นงั้นไป...ตามหลักการแล้วพระเอกต้องพูดว่า ‘คุณโชน่าจะรู้ว่าผมหมายความถึงอะไร’ ไม่ใช่เหรอ

“ใช่ค่ะ” เธอจำต้องไหลตามน้ำไป “แล้วคุณพีมาที่นี่บ่อยหรือคะ”

“ใช่ครับ ถ้าวันหลังคุณโชจะมาที่นี่อีก อย่าลืมบอกผมนะครับ”

“ทำไมคะ คุณพีจะมาวิ่งเป็นเพื่อนโชเหรอ” เธอทำทีพูดทีเล่นทีจริง ทั้งที่ในใจอยากได้คำตอบ ‘ใช่ครับ’ จากพีรภัทร และตอนนี้หูของเธอก็ตั้งตรงรอฟังคำตอบจากเขา

“ถ้าคุณโชไม่รังเกียจเพื่อนวิ่งอย่างผม”

เป็นไปตามคาด!

“ใครจะกล้ารังเกียจคุณพีล่ะคะ ออกจะเกรงใจด้วยซ้ำเพราะกลัวรบกวนเวลางานคุณพีเข้า”

“สำหรับคุณโชผมว่างเสมอครับ และไม่ต้องเกรงใจผมด้วย ผมยินดี”

ครืด ครืด เสียงสั่นเตือนว่ามีสายเข้าจากโทรศัพท์ของพีรภัทรทำให้โชติกาเงียบเสียงและปล่อยให้เขารับสาย

“ขอตัวสักครู่นะครับคุณโช”

“ตามสบายค่ะ” โชติกายิ้มให้อย่างไม่ถือสาเมื่อเขาต้องการความเป็นส่วนตัวระหว่างคุยสาย เธอมองตามร่างสูงที่เดินออกไปคุยธุระอย่างเป็นการเป็นงาน

ถึงแม้พีรภัทรจะอายุน้อยกว่าเธอ แต่ชายหนุ่มกลับมีความเป็นผู้ใหญ่สูง คงเป็นเพราะงานที่เขาทำและตำแหน่งอันน่าเกรงขามที่ต้องรับผิดชอบ พีรภัทรเป็นผู้ชายในแบบที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ใฝ่ฝันถึง อยากฝากฝังชีวิตไว้ในมือให้เขาดูแล และหนึ่งในนั้นก็มีเธอรวมอยู่ด้วย

“เอ่อ...คุณโชครับ”

“คะ?” โชติกาหันไปมองต้นเสียงเพราะมัวแต่มองฝูงกระรอกกำลังปีนป่ายอยู่บนต้นไม้ จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคุยธุระเรียบร้อยแล้ว “ว่าไงคะคุณพี”

“พอดีมีงานด่วนเข้ามา ผมต้องเข้าบริษัทตอนนี้ คงอยู่คุยกับคุณโชต่อไม่ได้แล้ว”

เมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกผิดของพีรภัทร โชติกาก็รีบโบกมือ เพราะมันไม่ใช่ความผิดอะไรของเขาเลย ที่สำคัญนั่นเพราะว่าผู้ชายชอบผู้หญิงที่เข้าใจง่าย ไม่งอแงยามที่เขาไม่มีเวลาให้ และพร้อมเข้าใจเขาทุกเมื่อ และเธอกำลังทำตัวแบบนั้นอยู่

“ไม่ใช่ความผิดของคุณพีเลยค่ะ คุณพีไปทำงานเถอะ”

“ขอบคุณที่คุณโชเข้าใจผมนะครับ”

ทำไมเธอถึงรู้สึกเหมือนว่าแฟนหนุ่มกำลังขอบคุณแฟนของเขาที่เข้าใจ เมื่อต้องไปทำงานด่วนระหว่างที่กำลังเดตกันอยู่ นี่ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งที่สองที่เจอกัน เธอคงคิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วว่าพีรภัทรกำลังจีบเธออยู่

“เดี๋ยวผมโทร. หานะครับ”

“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ “คุณพีมีเบอร์โชด้วยเหรอคะ”

“ผมขอจากผู้จัดการคุณโชมาน่ะครับ หวังว่าคุณโชจะไม่ว่าอะไร” ชายหนุ่มพูดเสียงอ้อน นั่นยิ่งทำให้โชติกาเขินเข้าไปใหญ่ ทว่าท่าทางที่แสดงออกมาคือยืนนิ่ง มีเพียงแค่ปากที่แย้มยิ้ม

“จะว่าอะไรล่ะคะ ในเมื่อคุณพีขอมาแล้วนี่”

“ถ้าผมนัดคุณโชไปทานข้าวเป็นเพื่อน หวังว่าคุณโชจะไม่ปฏิเสธนะครับ”

“แน่นอนค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”

“ค่ะ” โชติกายกมือโบกตอบคนตัวสูงที่วิ่งถอยหลังโบกมือให้เธออยู่ด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่ชายหนุ่มจะหมุนตัววิ่งไปพร้อมกับหัวใจของเธอที่เขาหยิบติดมือไปด้วย

“ผู้ชายอะไรน่ารักเป็นบ้า”

“ผู้ชายอย่างผมไงครับ”

เสียงที่ดังอยู่เบื้องหลังทำให้เธอหันขวับไปมอง ก่อนจะเบ้หน้าด้วยความไม่เชื่อคำพูด เพราะหลักฐานก็เห็นทนโท่ “เว้นนายไว้คนหนึ่งก็แล้วกันนะคุณผู้ช่วย”

โชติกาเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่อยู่ริมสระด้วยใบหน้าเปื้อนสุข อีกไม่นานสิ่งที่เธอรอคอยคงสมหวัง

“คุณพีเขาทำให้ฉันตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

“ไม่เห็นจะหล่อตรงไหน หน้าตาก็ผู้ชายธรรมดาทั่วไป ผมยังสงสัยว่าตาเล็กๆ แบบนั้นต้องพกแว่นขยายเวลาเดินด้วยหรือเปล่า” ติณณภพจิกกัดเป้าหมายของเธอด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆ พีรภัทรก็ถือว่าดูดีในระดับหนึ่งค่อนไปทางมาก (มากๆ เลยละ) ประกอบกับคุณสมบัติอย่างอื่นที่มีมากกว่าคนทั่วไปทำให้เป็นที่จับตามอง แต่หากเทียบกับเขาแล้ว ลูกชายเจ้าสัวธนินทร์เทียบไม่ติดเลยละ นี่ไม่ได้โม้นะ แต่เรียกว่าโอ้อวดสรรพคุณที่ตัวเองมี

“ปากคอเราะราย”

“พูดตามที่เห็น” ชายหนุ่มไหวไหล่

“ก็เหมือนนายนั่นแหละ เวลาเดินต้องเขียนป้ายห้อยคอด้วยรึเปล่าว่าเป็นประชาชนคนธรรมดา ไม่ใช่โจรเพิ่งแหกคุกมา ไม่งั้นเดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดเวลาเห็นผมเผ้ารุงรังกับหนวดรกๆ ของนาย” โชติกาปกป้องพีรภัทรอย่างเต็มที่ “ไม่รู้รึไงว่าตาเล็กๆ ของเขานั่นแหละคือเสน่ห์ของคุณพี”

“ปกป้องกันเหลือเกินนะแม่คุณ” ติณณภพเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ “แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลยนะ”

“ฉันก็ต้องปกป้องว่าที่สามีในอนาคตของฉันน่ะสิ”

“นี่ถ้ามีตำรวจมาจับผมเพราะคิดว่าเป็นโจรแหกคุก คุณจะปกป้องผมรึเปล่า”

“เรื่องอะไร ฉันก็จะให้การกับตำรวจว่าคุณไม่ใช่โจรแหกคุกมาอย่างเดียว แต่เป็นพวกโรคจิตชอบคุยกับผู้หญิงสวยๆ อย่างฉันเป็นต้น แล้วเอาไปจินตนาการต่อในทางที่ไม่ดี”

“ให้การเท็จติดคุกนะคุณ ที่สำคัญผมไม่ได้เอาไปจินตนาการในทางไม่ดีสักหน่อย”

“หมายความว่ายังไง!” โชติกามองอีกฝ่ายด้วยความระแวง หรือที่บอกว่าเขาให้เธอไว้ใจนั้นเป็นเรื่องโกหก แท้จริงแล้วเขาก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น

“คิดเอาเองสิคุณคนสวย”

“อย่าบอกนะว่านาย...”

“เฮ้ย!”

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ จะร้องทำไม” โชติกาถึงกับสะดุ้งเพราะเสียงร้องของติณณภพ เพราะอยู่ๆ เขาก็ร้องขึ้นมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง “อยู่กันสองคนจะพูดเสียงดังเพื่อ...”

“ข้างหลังคุณ!”

“ไม่ต้องมาหลอกให้ฉันกลัวเลยนะ ข้างหลังฉันมันทำไม!”

ถึงปากจะบอกว่าไม่กลัว แต่ใจก็เริ่มหวิวๆ ขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าของผู้ช่วยเฉพาะกิจไม่มีแววล้อเล่น ยังจ้องไปที่อะไรสักอย่างเบื้องหลังเธอเขม็ง แถมไม่บอกเสียอีกว่าเป็นอะไร เอาแต่นั่งอึ้งไม่พูดไม่จา

โชติกาเริ่มระแวงจึงค่อยๆ หันหลังไปมอง เห็นตัวอะไรบางอย่างกำลังเดินเตาะแตะสี่ขาขึ้นมาบนฝั่ง ตัวใหญ่สีดำมีลายดอกสีเหลืองพาดขวางทางยาว ลิ้นยาวๆ แลบเข้าออกแผล็บๆ ด้วยความสยดสยอง ที่สำคัญมันกำลังเดินตรงมายังที่เธอนั่งอยู่

ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือเปล่า ตอนนี้มันหยุดนิ่งและจ้องมาที่เธอ ค่อยๆ มองเลยไปที่ติณณภพอย่างมีเครื่องหมายคำถาม ก่อนที่มันจะสะดุ้งแล้วออกตัว และไม่ใช่แค่มัน! แต่รวมถึงเธอและผู้ช่วยเองก็ด้วย!

“เหี้-!/จระเข้!”

ทั้งสองตะโกนออกมาพร้อมกัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวเงินตัวทองออกตัว รวมไปถึงโชติกาที่กระโดดขึ้นคร่อมซ้อนท้ายจักรยานติณณภพโดยไม่คิดถึงภาพลักษณ์นางเอกที่ตัวเองสร้างมา ชายหนุ่มเองก็รู้หน้าที่จึงรีบออกตัวเร็วเสียยิ่งกว่าจรวดติดเทอร์โบ

“เร็วๆ สินาย!” โชติกาบอกชายหนุ่มด้วยความกลัว ตอนนี้แทบจะยกขาทั้งสองขึ้นพาดบ่าติณณภพด้วยซ้ำ

“ก็เร็วอยู่เนี่ย มาปั่นเองเลยไหมล่ะ!” ติณณภพออกแรงปั่นจักรยานให้เร็วกว่าเดิมและออกไปจากตรงนั้นโดยไม่สนใจว่าไอ้ตัวสี่ขาวิ่งตามมาหรือเปล่า หรือมันไล่พวกเขาจริงไหม ตั้งแต่มันสะดุ้งแล้วออกตัวก็ไม่มีใครได้หันไปมองเหตุการณ์ข้างหลังอีกเลย เพราะสมองสั่งการให้หนีเอาตัวรอดอย่างเดียว

ทั้งสองออกมาจนถึงที่เช่าจักรยาน ต่างคนต่างเหนื่อยหอบ โดยเฉพาะติณณภพที่เป็นคนออกแรงปั่น

“โอ๊ย...เหนื่อย...”

“ผมไหมที่ต้องพูดคำนั้นน่ะ...คุณนั่งเฉยๆ จะไปเหนื่อยได้ยังไง” ชายหนุ่มหอบหายใจถี่ ทั้งเหนื่อยทั้งตกใจ “แถมยังเร่งเอาๆ คิดว่าผมมีไนตรัสหรือไง”

“ก็ฉันกลัวนี่ ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนปั่น แต่ฉันก็เอาใจช่วยนายจนเหนื่อยไปด้วยอยู่เนี่ยไง”

“แล้วใครเอาจระเข้มาปล่อยที่สวนสาธารณะวะเนี่ย”

“ใครเขาเรียกจระเข้กัน บ้ารึเปล่า” โชติกามองอีกฝ่ายเหมือนไม่เคยพบเคยเห็น ใครบ้างที่เรียกตัวเงินตัวทองว่าจระเข้ แม้แต่เด็กอนุบาลยังรู้เลยว่านี่ไม่มีทางใช่จระเข้หรือตะโขงอย่างแน่นอน

“อ้าว...มันไม่ใช่จระเข้เหรอ”

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ!” ดูจากสีหน้าอีกฝ่ายน่าจะไม่รู้จักจริงๆ หรือถ้าเขาแกล้งจริง เธอยินดีมอบรางวัลขวัญใจมหาชนห้าปีซ้อนให้เลย เพราะมันน่าเชื่อมากกว่าจะคิดว่าเขาแกล้ง

“แล้วเขาเรียกว่าอะ...”

“เหี้-!”

ติณณภพมองหน้าเจ้านายสาวอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ จะรอให้เขาถามจบก่อนไม่ได้หรืออย่างไร แต่โพล่งขึ้นตอบแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกหลอกด่า เขาผิดหรือที่ไม่แน่ใจว่ามันคือตัวอะไร เห็นดำๆ ลายๆ ขึ้นจากน้ำก็คิดว่าเป็นจระเข้สิ

“แต่ทำไมคุณต้องขึ้นเสียงด้วยล่ะ รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่า”

“นายคิดไปเองต่างหาก เอาจักรยานไปคืนได้แล้ว แล้วก็ถือกระเป๋าฉันมาด้วยนะ จะไปนั่งรอตรงนั้น” คนเสแสร้งชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งอยู่หน้าทางเข้าสวนสาธารณะ “เร็วๆ ด้วยนะ เหมือนฝนกำลังจะตก”

“คร้าบ...เจ้านาย”

 

ฟ้าร้องคำรามและฝนโปรยปรายลงมาหลังจากนั้นไม่นาน แต่ยังโชคดีที่ทั้งสองมาถึงรถเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงได้นั่งตัวเปียกฝ่ารถติดกลับคอนโดอย่างแน่นอน

“ฝนตกตอนนี้เราคงถึงบ้านตอนสามทุ่ม” โชติกาบ่นอุบเพราะตอนนี้ยังอยู่ที่เดิม เนื่องจากเป็นเวลาเย็นที่คนกำลังเลิกงาน แถมฝนยังมาตกอีก จากที่รถติดอยู่แล้วก็ยิ่งติดกว่าเดิม

“บ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้ถึงไวขึ้นหรอกน่า ทำใจให้ชินซะเถอะ”

“แต่มันก็อดจะบ่นไม่ได้ไง”

“ถ้าเปลี่ยนจากผมเป็นว่าที่สามีในอนาคตคุณเป็นคนขับรถในตอนนี้ได้ คุณคงไม่พูดแบบนี้”

“ติดเป็นสิบชั่วโมงฉันก็ทนได้” หญิงสาวทำท่าเพ้อฝัน

“เห็นไหมล่ะ” ติณณภพเบ้ปาก หยุดรถก่อนเส้นขาวเมื่อเจอสัญญาณไฟแดงขึ้นพอดี ก่อนจะหันมาพูดกับเจ้านายสาว “คุณก็คิดซะว่าผมเป็นคุณพีรภัทรก็ได้”

โชติกาส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา “ขอโทษนะ ฉันจินตนาการไม่ได้จริงๆ”

ทันทีที่พูดจบก็หลุดขำออกมาเมื่อถูกคนหนวดเฟิ้มแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ ก่อนจะเลิกแกล้งเขาและหันมองหน้ารถที่มีคนกำลังข้ามถนนด้วยสภาพอากาศแบบนี้อย่างไม่มีทางเลือก “คุณเห็นผู้หญิงที่ข้ามถนนตรงนั้นไหม”

“ไม่เห็นสิแปลก ผมไม่ได้ตาบอดนี่”

“ทำไมต้องกวน” เธอหันมาชักสีหน้าใส่สารถีจำเป็น “เจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริงๆ แกล้งนิดแกล้งหน่อยจำเป็นต้องเอาคืนทุกดอก?”

“โอเค แล้วยังไงต่อ” ติณณภพไม่อยากต่อความยาว เพราะดูเหมือนเขาจะผิดตั้งแต่เริ่มอ้าปากพูด

“คุณดูสองคนนั้น” โชติกาชี้ไปที่ผู้หญิงแต่งตัวดีใส่สูทเรียบร้อยซึ่งยกกระเป๋าถือในมือบังฝนให้ตัวเอง ส่วนอีกคนแต่งตัวธรรมดา แต่กลับยัดกระเป๋าถือไว้ใต้เสื้อคลุมไม่ให้เปียกฝน ซึ่งทั้งสองใช้กระเป๋ารุ่น สี และยี่ห้อเดียวกัน “กระเป๋าถือของคนที่ใส่สูทดำเป็นของปลอม ส่วนคนที่แต่งตัวธรรมดาเดินตามหลังนั่นเป็นของแท้”

“นี่แค่มองไกลๆ คุณก็รู้แล้วเหรอว่าอันไหนปลอมอันไหนแท้” ติณณภพซูฮกอีกฝ่ายด้วยความชื่นชมปนทึ่ง ไกลขนาดนี้เจ้าหล่อนยังดูออกว่าอันไหนของแท้ อันไหนของปลอม เรื่องแบบนี้ต้องไว้ใจผู้หญิงสินะ

“เปล่า...ฉันดูจากบริบทที่พวกเธอแสดงออกมา” เมื่อเห็นอีกฝ่ายสงสัยจึงอธิบายต่อ “ถ้าคนที่ซื้อของแท้มาด้วยราคาสูงย่อมกลัวกระเป๋าเปียกเสียหาย ส่วนคนที่ซื้อของปลอมมาก็ใช้บังฝนไม่ให้ตัวเองเปียกโดยไม่กลัวเสียหาย เพราะราคาค่างวดมันไม่ได้แพงอะไรนัก”

“แล้วถ้าเป็นคุณไปเดินตากฝนแบบนั้นล่ะ จะยกกระเป๋ามาบังฝนให้ตัวเอง หรือเอาตัวเองบังฝนให้กระเป๋า”

ถ้าเป็นเขาถึงราคาจะแพงก็เอามาบังฝนให้ตัวเองอยู่ดี ผู้หญิงนี่มีตรรกะแปลกๆ แบบนี้ด้วยหรือ คงต้องลองเอาไปถามแม่อิงดูว่าจะเป็นกันทุกคนหรือเปล่า

“เอากระเป๋ามาบังฝนให้ตัวเองน่ะสิ”

คำตอบของโชติกาก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้เขานัก “หมายความว่ากระเป๋าคุณเป็นของปลอมเหรอ” ติณณภพมองไปที่กระเป๋าถือสีชมพูใบเล็กบนตักเธอ ทว่ากลับถูกเจ้าของแหวใส่เสียอย่างนั้น

“กระเป๋าฉันเป็นของแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ย่ะ!”

“ก็คุณบอกเองว่าคนใช้กระเป๋าปลอมจะเอาขึ้นมาบังฝน”

“มันก็ใช่ แต่หน้าฉันแพงกว่ากระเป๋า ฉันก็ต้องกลัวหน้าพังมากกว่ากระเป๋าพังน่ะสิ”

“นี่หน้าคุณทำจากพลาสติกเหรอ” ติณณภพตาโต ที่เห็นว่าสวยจัดแบบนี้ ที่แท้ก็หมอทำให้ ไม่ได้สวยธรรมชาติอย่างที่คิด แต่เขากลับถูกแหวอีกรอบเสียอย่างงั้น

“หน้าฉันธรรมชาติพ่อแม่ให้มาค่ะ ไม่เคยพึ่งมีดหมอ ถึงจะมีพึ่งเข็มบ้างก็เถอะ” เธอพูดท้ายประโยคเสียงเบา เรื่องแบบนี้มันก็ต้องมีบ้าง อายุเธอก็ไม่ใช่น้อยๆ ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็ไม่เรียกซุป’ตาร์ดาวค้างฟ้าน่ะสิ

“แต่คุณบอกว่าหน้าคุณแพงกว่ากระเป๋า”

“ฉันเป็นดารา ใช้หน้าตาในการหาเงินก็ต้องรักษาหน้ายิ่งกว่าชีวิตสิ” เธออธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ “ยิ่งเวลาออกข้างนอกต้องให้หน้าสวยอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวแฟนคลับมาเจอจะผิดหวังเอาได้ว่าตัวจริงไม่เห็นสวยเหมือนในทีวี”

“คุณอย่าลืมนะโชติกา กระเป๋ามีไว้ใช้ประโยชน์อะไร ไม่ว่าจะของแท้หรือของปลอมก็มีสรรพคุณเดียวกัน ถือของถูกก็ใช่ว่าจะไม่ดี ใช้ใส่ของแล้วยังทำเป็นร่มได้ด้วย คุ้มเป็นไหนๆ แถมยังไม่เสียดายตังค์ถ้ามันพังขึ้นมา”

“รู้หรอกน่า”

“กระเป๋าก็เหมือนผู้หญิง แพงเกินไปก็เกินอาจเอื้อม ถ้าเป็นผมคงเลือกผู้หญิงที่ตัวเองสามารถสัมผัสได้จริง มีประโยชน์ใช้สอยสารพัด”

“เลือกผู้หญิงนะยะ ไม่ใช่เลือกแม่บ้าน จะได้มีประโยชน์ใช้สอยสารพัด”

ติณณภพมองหน้าหวานที่เห็นสันจมูกเล็กโด่งสวยเป็นรูปของเธอก่อนจะพูดขึ้น “ขอจับจมูกคุณหน่อยสิ”

“นี่ยังไม่เชื่ออีกเหรอว่าของจริง” โชติกาหันไปแยกเขี้ยวใส่ติณณภพ พูดออกมาขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่อกันอีก แต่ก็ยังดีที่เขาไม่เชื่อเรื่องจมูก นี่ถ้าเขาไม่เชื่อว่าหน้าอกอันล้นหลามของเธอนั้นเพราะแม่ให้มา แต่เป็นของปลอมละก็...ไม่อยากจะพูด

“ก็แค่อยากพิสูจน์เฉยๆ”

“มือสะอาดหรือเปล่า” หญิงสาวไม่พูดเปล่า แต่หยิบทิชชูเปียกในกระเป๋าส่งให้ชายหนุ่ม “เช็ดมือก่อนถ้าอยากพิสูจน์ เดี๋ยวหน้าฉันขึ้นสิว”

“อายุขนาดนี้สิวยังกล้าขึ้นอีกเหรอ” ชายหนุ่มยังแขวะไม่เลิก แต่ก็เช็ดมือด้วยทิชชูเปียกที่หญิงสาวส่งมาให้ “จับได้หรือยัง”

“เบาๆ นะ”

“อือ” ไม่รู้ว่าเขาบ้าจี้อะไรถึงอยากจะพิสูจน์ว่าจมูกสวยที่เห็นอยู่ตอนนี้เป็นของแท้หรือหมอให้มา แต่สุดท้ายก็เอื้อมมือไปจับแล้วโยกไปมาเบาๆ และจากที่สัมผัสนั้นเป็นของแท้แน่นอน ก่อนจะปล่อยให้เป็นอิสระ

“เชื่อหรือยังว่าของแท้พ่อแม่ให้มา”

“เชื่อแล้วคร้าบ”

ติณณภพมองหน้าสวยของคนที่กำลังกดสมาร์ตโฟนเล่นแก้เบื่อ เธอสวย เขายอมรับอย่างไม่กังขา แต่เธอเป็นผู้หญิงแปลก ทว่าความแปลกนั้นกลับทำให้เขามองว่า...โคตรน่ารัก!

และเขาไม่มีทางบอกเธออย่างแน่นอนว่าที่ขอจับจมูกเธอเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะอยากพิสูจน์ว่าของแท้หรือของปลอม เพียงแค่รู้สึกมันเขี้ยวอยากบีบจมูกเธอเล่นก็เท่านั้น เนียนในเนียนไหมล่ะ!

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น