๑๐
ชลาลัยสะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงประตู เธอยืดตัวขึ้นจากโซฟาที่เผลอนั่งหลับแล้วบิดกายไล่ความง่วงงุนออกไป ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มสุดหล่อที่ก้าวเข้ามาในห้อง
“ไปไหนมาคะเนี่ย กลับซะดึกเชียว”
น่านตะวันเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เธอ “ไปดื่มกับเพื่อนมานิดหน่อยน่ะ”
“ฮั่นแน่” หญิงสาวยกนิ้วชี้หน้าเขาด้วยรอยยิ้มทะเล้น “เพื่อนหรือแฟนน้า”
“เพื่อน...ก็ไอ้พวกที่น้ำเจอที่งานแต่งงานไง” เขาเท้าความ
“อ๋อ...น้ำจำได้” เธอพยักหน้าก่อนจะวกกลับเข้าเรื่อง “แล้วพี่สาวคนนั้นไปด้วยหรือเปล่าคะ”
น่านตะวันชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้า “เปล่า”
“นึกว่าพาไปเปิดตัวเสียอีก”
พี่ชายยื่นมือมาจับศีรษะเธอ “ก็พี่สัญญากับน้ำแล้วไม่ใช่หรือว่าน้ำจะเป็นคนแรกที่ได้รู้จักกับผู้หญิงคนนั้น”
“รู้จักตอนนี้ไม่ได้หรือคะ เนี่ยแอบโทร. ไปถามคุณบุรินทร์มา เขาก็บอกแต่ว่าไม่รู้ท่าเดียว ไม่เคยเห็นพี่น่านสนใจลูกค้าคนไหนด้วย”
“ร้ายนะเรา มีแอบสืบด้วย”
“ก็คนมันอยากรู้นี่นา” เธอส่งเสียงอ้อน
“ถึงเวลาก็รู้เองแหละ” เขาบ่ายเบี่ยง
หญิงสาวหน้ามุ่ย “พี่น่านนี่เจ้าพ่อวงการปากแข็งจริงๆ ตั้งแต่ไหนแต่ไรน้ำไม่เคยถามอะไรที่พี่น่านไม่อยากบอกได้เลย”
“เรานี่ชอบตั้งฉายาให้พี่จริงๆ”
“ก็มันจริงนี่นา”
น่านตะวันหัวเราะ “มันยังไม่ชัวร์จริงๆ ถ้าชัวร์แล้วจะบอกละกัน”
“ไม่ถามก็ได้” ชลาลัยทำงอน ก่อนจะเอนศีรษะซบไหล่พี่ชายเหมือนที่เคยทำประจำ
ยามที่เธอมีเรื่องว้าวุ่นใจ อ้อมกอดของน่านตะวันช่วยบรรเทาทุกข์ในใจของเธอได้เสมอ เรื่องอื้อฉาวในออฟฟิศวันนี้ทำให้เธอรู้สึกกังวลใจไม่น้อย การได้กอดแขนและซบไหล่ของพี่ชายจึงทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นได้ไม่น้อย
“มีปัญหาอะไรที่ทำงานหือ” เขาเอ่ยถามอย่างรู้ทัน
“เรื่องงานนิดหน่อยค่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก” เธอตอบเฉไฉ
“ไอ้ฟ้าผ่ามันคงใช้งานน้ำหนักละสิ” พี่ชายเอ่ยฮึ่มฮั่ม
“เปล่าหรอกค่ะ” ชลาลัยหัวเราะกลบเกลื่อน “แค่ไม่ได้ทำงานมานาน มันเลยมีสนิมเกาะนิดหน่อย ไม่มีอะไรมากหรอก”
“แล้วทำงานมาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว มีใครมายุ่งกับน้องสาวของพี่หรือเปล่า”
“นึกว่าจะไม่ถามแล้วซะอีก” ชลาลัยฝืนยิ้ม พลางนึกไปถึงใบหน้าขาวเนียนของฟ้าครามกับข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในออฟฟิศขึ้นมา
“ตกลงมีไหมล่ะ” น่านตะวันถามย้ำเสียงเข้ม
“ก็มีบ้างค่ะ” เธอตอบอ้อมแอ้ม แต่ยังไม่อยากบอกว่าเป็นฟ้าคราม เพราะดูเหมือนพี่ชายจะตั้งแง่กับเขามากเหลือเกิน
“แล้วน้ำคิดยังไงล่ะ”
คำถามนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายด้วยความฉงน
“มาแนวไหนเนี่ย ทุกทีจะโวยวาย”
น่านตะวันหัวเราะ “ก็น้ำของพี่เป็นสาวแล้วนี่ การจะมีใครสักคนก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกมั้ง”
“ไม่กลัวน้ำโดนผู้ชายหลอกแล้วหรือคะ”
“พี่ว่าน้ำฉลาดพอที่จะแยกแยะคนได้” น่านตะวันถอนหายใจแผ่วเบา “ที่ผ่านมาพี่ลืมไปว่าน้ำก็ใช้ชีวิตลำพังอยู่ที่อเมริกามานาน ผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมามาก แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียง แถมยังเรียนและทำงานได้ดีอีกต่างหาก มันคงถึงเวลาแล้วมั้งที่พี่จะปล่อยให้น้ำเป็นอิสระ”
“น้ำไม่เห็นรู้สึกเลยว่าไม่มีอิสระ” เธอแย้งแล้วกลับไปซบไหล่เขาและกอดแขนเขาแน่น “แล้วน้ำก็ไม่ได้อึดอัดด้วยที่พี่น่านเป็นอย่างนี้ กลับรู้สึกดีเสียอีกที่พี่น่านรักและหวงแหนน้ำ”
พี่ชายถอนใจอีกครั้ง “แต่น้ำคงอยู่กับพี่ตลอดไปไม่ได้หรอก อีกหน่อยน้ำก็ต้องแต่งงาน สร้างครอบครัวของตัวเอง มีลูกตัวเล็กๆ พี่ก็คงได้แต่ถอยห่างออกมาเป็นคุณลุงใจดีเท่านั้น”
“ไม่เอาอะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างออดอ้อน “น้ำจะอยู่กับพี่น่านตลอดไป ไล่ยังไงก็ไม่ไป เอาช้างมาฉุดก็ไม่ไปคอยดูสิ”
น่านตะวันจ้องมองเธอ ดวงตาของเขาทอประกายอะไรบางอย่างที่ทำให้ชลาลัยรู้สึกว่าเขากำลังสับสน บางครั้งก็เหมือนแววตาที่เคยมองเธอมาตลอด แต่บางครากลับวาววับคล้ายกับแววตาของฟ้าครามที่จ้องมองเธอ ทำเอาหัวใจดวงน้อยๆ เต้นโครมครามอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
บรรยากาศเงียบงันครอบคลุมทั้งคู่อีกครั้ง ความผูกพันที่มีต่อกันมาอย่างยาวนานเหมือนห่วงผูกรัดทั้งคู่เอาไว้ แต่บางคราวก็กลับเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่คอยผลักทั้งคู่แยกออกจากกัน มันช่างเป็นห้วงเวลาที่น่าอึดอัดและอิ่มเอมระคนกันอย่างน่าสับสนเหลือเกิน
“อะไรกันนี่ พูดเป็นเด็กไม่รู้จักโตเชียว” น่านตะวันหัวเราะทำลายความอึดอัดนั้นลง
“ก็พี่น่านเริ่มก่อน” ชลาลัยทำหน้างอ ก่อนจะโอบเอวพี่ชายไว้แล้วซบใบหน้าลงแทบอกแกร่งอีกครั้ง “พี่น่านพูดแบบนั้นเพราะตัวเองมีแฟนแล้วใช่ไหม คิดจะเขี่ยน้ำทิ้งละสิ”
“ไม่ใช่เสียหน่อย พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ”
“ร้อยวันพันปีมีแต่กันท่าผู้ชายที่มาจีบน้ำ พอตัวเองมีแฟนแล้วทำเป็นใจกว้าง แบบนี้จะให้น้ำคิดยังไงล่ะ” หญิงสาวส่งเสียงเง้างอด
น่านตะวันหัวเราะ “ใครบอกพี่มีแฟน ยังไม่ชัวร์เสียหน่อย”
“น้ำว่าชัวร์เสียยิ่งกว่าชัวร์ คนอย่างพี่น่าน ใครปฏิเสธก็โง่แล้วละ”
“เด็กโง่ พี่ไม่ได้ดีขนาดนั้นเสียหน่อย ข้อเสียก็เยอะ”
“ไม่จริงหรอก พี่น่านน่ะดีเลิศประเสริฐศรีมณีเด้ง” เธอเงยหน้ามองเขา ใบหน้าคมคายของเขาและรอยยิ้มและแก้มบุ๋มข้างเดียวนั้นไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ต้องตกหลุมรัก ขนาดเธอที่เป็นน้องยังอดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าไม่มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องมาเกี่ยวข้อง เธอจะรักเขาหัวปักหัวปำขนาดไหนกัน
ช่วงเวลานั้นเหมือนเธอกับเขาต่างตกอยู่ในห้วงภวังค์อันลี้ลับอีกครั้ง สองตาตาประสานกันนิ่งเนิ่นนาน ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย จนกระทั่ง...
ติ๊ง! เสียงเตือนแอปพลิเคชันสนทนาจากโทรศัพท์ของชลาลัยดังขึ้น ทั้งคู่ต่างสะดุ้งแล้วผละออกจากกัน ต่างคนต่างหันหน้าไปทางโทรทัศน์ ท่าทางอึกอักด้วยกันทั้งคู่อย่างไม่รู้เหตุผลว่าความกระอักกระอ่วนแบบนี้มันเกิดจากอะไรกันแน่
“เอ่อ...น้ำขอ...ไปนอนก่อนนะคะ”
“อืม...เอาสิ พี่ก็ว่าจะไปอาบน้ำนอนเหมือนกัน”
“รา...ตรีสวัสดิ์นะคะ” ชลาลัยผุดลุกขึ้น เธอหันรีหันขวางไม่รู้จะไปทางไหนดี ก่อนจะหันไปด้านตรงข้ามกับที่น่านตะวันนั่งอยู่แล้วเดินอ้อมโซฟาไปเข้าห้องนอน พอปิดประตูลงกลอนแล้วจึงเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงพลางยกสองมือขึ้นกุมหน้าอกด้านซ้าย
“เป็นอะไรนะ ทำไมใจเต้นแรงจัง”
หญิงสาวต้องสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่กว่าจะหายตื่นเต้นจากอาการที่ไม่รู้ที่มาที่ไป พอเสียงเตือนจากแอปพลิเคชั่นสนทนาดังอีกครั้ง เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่าน
BlueSky : ทำอะไรอยู่ครับ
BlueSky : นอนหรือยังเอ่ย
ชลาลัยจ้องข้อความนั้นอย่างลังเลที่จะตอบกลับ เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมายในวันนี้ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าควรจะใกล้ชิดเขาต่อไป หรือจะถอยห่างออกมาดี
ความคิดนั้นทำให้หัวใจที่เพิ่งจะเต้นเป็นปรกติกลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาและรอยยิ้มของฟ้าครามทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยมาบินวนอยู่ในโพรงอก ริมฝีปากงามจึงถูกฟันขบลงอย่างเผลอตัว
ในที่สุดเธอก็หลับตาแล้วถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเริ่มกรีดนิ้วพิมพ์ตอบกลับไป...
Nahm : ยังค่ะ คุณฟ้าครามมีอะไรหรือเปล่าคะ
น่านตะวันถอนใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากชลาลัยเข้าห้องนอนไปแล้ว ความรู้สึกหลายอย่างอัดแน่นอยู่ในอกของเขา ทุกความรู้สึกอลหม่านเสียจนเขารู้สึกสับสน
ความทรงจำในค่ำคืนอันสุดแสนวิปโยคหวนมารบกวนจิตใจเขาอีกครั้ง ตั้งแต่คืนนั้นเขาก็สัญญากับตัวเองว่าจะไถ่โทษที่บิดาสั่งฆ่าล้างครัวของชลาลัยโดยการดูแลเธอให้ดีที่สุด และเขาก็ทำได้ดีมาตลอด จนกระทั่งเลือดหนุ่มในกายเดือดพล่านเมื่อเธอโตเป็นสาวสะพรั่ง
เขาไม่อาจปัดความรู้สึกแปลกใหม่ที่มีต่อชลาลัยออกไปได้เลย ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ตัวว่าไม่ควรเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ เพราะลูกชายของคนที่ฆ่าบิดามารดาของเธอไม่คู่ควรที่จะครอบครองเธอด้วยความรู้สึกนั้น...
ไม่แม้แต่จะคิด
‘เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว นายก็ปล่อยให้น้องน้ำมีแฟนไปสิวะ’
ข้อเสนอของชาตรีทำให้น่านตะวันถอนใจเฮือกออกมา รู้สึกเจ็บปวดราวกับมีมือปริศนามาบีบหัวใจ ความขัดแย้งภายในโพรงอกทำให้เขารู้สึกทรมาน เขาหวังว่าสักวันหนึ่งหากชลาลัยพบใครสักคนที่สามารถดูแลเธอได้ ความทรมานนี้จะสิ้นสุดลง นี่คือเหตุผลที่เขาต้องการให้เธอเป็นอิสระจากการปกป้องคุ้มครองจากเขา
ชลาลัยควรมีชีวิตที่มีความสุขกว่าการได้อยู่ภายใต้ปีกของคนที่มีส่วนที่ทำให้เธอบ้านแตกสาแหรกขาด นี่คงถึงเวลาแล้วกระมังที่เขาจะต้องสยายปีกบินไปตามลำพังโดยไม่มีเธอ หรือไม่ก็ต้องหาใครสักคนเพื่อพาเขาบินไปจากน้องสาวสุดที่รัก
โถงกลางของออฟฟิศในสัปดาห์ถัดมากลายเป็นที่รวมพลของพนักงานจากหลายๆ ฝ่าย เพราะทุกคนได้รับข้อความจากมินทิตาในแชทกลุ่มว่าเธอจะมาขอโทษชลาลัยอย่างเป็นทางการในเช้าวันนี้
แม้สถาปนิกสาวจะไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ แต่เธอก็หลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้ เพราะนี่เป็นคำสั่งของผู้บริหาร ซึ่งทั้งเธอและนักบัญชีสาวผู้ไม่อยากตกงานในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ต่างก็ไม่สามารถขัดได้
“ขอโทษนะคะคุณน้ำ มิ้นท์จะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว ขอให้คุณน้ำอภัยให้มิ้นท์ด้วยนะคะ” มินทิตาเอ่ยต่อหน้าธารกำนัล พร้อมยื่นช่อดอกไม้ให้ชลาลัย
“ฉันไม่ถือโทษโกรธคุณมิ้นท์หรอกค่ะ” สถาปนิกสาวรับช่อดอกไม้นั้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “จากนี้ไปคิดเสียว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็แล้วกันนะคะ”
“ค่ะ” มินทิตาทำหน้าเจื่อนๆ
เสียงตบมือดังระงมขึ้น ชลาลัยรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ซึ่งเธอรู้ดีว่ามินทิตาก็คงไม่ต่างกัน และอาจมีความรู้สึกอับอายมากกว่าด้วย
หลังจากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับสู่แผนกของตน ชลาลัยเดินกลับห้องทำงานพร้อมกับเหล่าสถาปนิก ซึ่งไม่รวมฟ้าครามด้วย เพราะเขาไม่ได้มาร่วมพิธีกรรมที่ทั้งผู้ให้และผู้รับอภัยต่างต้องจำยอมมาร่วมกันทำด้วยกัน
‘แถมหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ด้วยเนี่ย...เฮ้อ’
“พี่พลคะ บอสไปไหนหรือคะ”
“เอ...ยังไม่เห็นเหมือนกันนะ ไม่บอกอะไรไว้ด้วยแฮะ”
ชลาลัยพยักหน้าพลางมองไปที่ห้องทำงานว่างเปล่าของฟ้าครามอย่างรู้สึกโหวงเหวงในใจชอบกล ตลอดช่วงเช้าเขาไม่เข้ามาในออฟฟิศเลย จนกระทั่ง...ติ๊ง!
เสียงเตือนข้อความเข้าดังขึ้นในห้วงคำนึงของหญิงสาว เธอรีบหยิบโทรศัพท์มาเปิดดูก็พบว่าเป็นข้อความจากฟ้าครามอย่างที่คาด และเขาก็นัดเธอให้ขึ้นไปพบบนดาดฟ้าอีกแล้ว
“น้ำไปห้องน้ำก่อนนะคะพี่พล”
ชุมพลหันมาพยักหน้าให้อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปขออนุญาตเขาด้วยเรื่องแค่นี้ ก่อนจะหันไปสนใจงานของตัวเองต่อ เธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินปรี่ไปที่ลิฟต์ จากนั้นก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้า
ฟ้าครามยืนอยู่ตรงราวกันตก ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม ซึ่งเธอเห็นไม่บ่อยนักเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“คุณมิ้นท์มาขอโทษคุณแล้วใช่ไหม” เขาเอ่ยถามพลางหยิบถ้วยกาแฟกระดาษหนึ่งในสองถ้วยที่วางอยู่บนราวกันตกยื่นให้เธอ
“ค่ะ” เธอพยักหน้าแล้วรับถ้วยกาแฟหอมกรุ่นมาถือไว้ “คุณไม่น่าจะทำเป็นเรื่องใหญ่โตแบบนี้เลยนะคะ ให้ขอโทษกันเป็นการส่วนตัวก็ได้ แบบนี้คุณมิ้นท์คงเสียหน้าแย่”
“สมควรแล้วละครับ ไม่อย่างนั้นคนที่เสียหน้าอาจเป็นคุณแทน”
ชลาลัยถอนใจเฮือก “แล้วนี่นัดฉันมา มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อืม...ผมจะเริ่มตรงไหนดีเนี่ย” เขาเอ่ยอย่างสับสน
“พูดอย่างนี้ฉันชักกลัวแล้วสิ”
เขาหัวเราะ “มันก็ไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกครับ แค่ว่าเลขาฯของคุณพ่อก็อยู่ในกลุ่มซุบซิบของพนักงานด้วย”
“แล้ว...ยังไงคะ”
“คุณพ่อก็เลยรู้เรื่องที่เราสองคนเดินจับมือกันในห้างฯ”
“ตายจริง” หญิงสาวยกมือทาบอก
ฟ้าครามสูดลมหายใจลึกก่อนจะระบายออกมา “เมื่อคืนคุณพ่อกับคุณแม่เลยตั้งตัวเป็นอัยการ สอบสวนผมเกี่ยวกับคุณกันยกใหญ่”
“แล้วคุณตอบพวกท่านว่าอย่างไรคะ”
“ผมไม่มีทางเลือก ต้องบอกพวกท่านเหมือนที่บอกคุณมิ้นท์ ไม่อย่างนั้นจะเป็นคุณเองที่เสียหาย”
ชลาลัยชะงักไป ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “มันช่วยไม่ได้ละสินะ”
“ผมขอโทษที่ทำให้เรื่องมันยิ่งยุ่ง”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันเองก็มีส่วนผิด”
“แต่คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมบอกแล้วไงว่าผมจะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาให้ได้”
“เรื่องอะไรคะ”
ฟ้าครามยิ้มแล้วดึงถ้วยกระดาษจากมือของเธอไปวางบนราวกันตก ก่อนจะดึงมือเธอไปกุมไว้พร้อมส่งสายตาหวานฉ่ำ
“ก็เรื่องที่ผมบอกคุณพ่อกับคุณแม่ไปว่าคุณเป็นแฟนผมไง”
“คุณฟ้าคราม!” หญิงสาวแก้มร้อนซู่ เธอไม่ดึงมือกลับ ได้แต่ก้มหน้าเอียงอายและรู้สึกกระอักกระอ่วน “ฉันอาจทำคุณเสียเวลาเปล่านะคะ”
“การทำให้ใครสักคนรักเรามันไม่ใช่การเสียเวลาหรอกครับ อย่างน้อยผมก็จะได้เพื่อนสนิทมาอีกคน ซึ่งผมคิดว่ามันคุ้มค่ามาก”
ชลาลัยรู้สึกประหม่า เธอรู้ว่าควรขอร้องให้เขาปล่อยมือเธอ แต่ความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือของเขากลับดึงรั้งเธอไว้จนเผลอปล่อยให้มือบางซุกอยู่ภายในมือหนาใหญ่นั้นเนิ่นนาน
สิ่งที่ดึงเธอออกจากภวังค์อันลี้ลับนี้คือเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ สองหนุ่มสาวสะดุ้งพร้อมๆ กัน ต่างผละจากกันอย่างเก้อเขิน ก่อนที่ชลาลัยจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย
“สวัสดีค่ะ”
‘คุณหนูน้ำคะ นี่ป้าชื่นเองนะคะ’
ชลาลัยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะป้าชื่นเป็นแม่บ้านของคฤหาสน์นนทกิจอนันต์ น้ำเสียงของเธอดูตื่นเต้นจนคนฟังอดหวั่นใจไม่ได้ว่าจะเกิดเหตุไม่ดีขึ้นกับใครสักคนในบ้านหลังนั้น
“มีอะไรหรือคะป้า”
‘คุณผู้หญิงค่ะ...คุณผู้หญิงล้มในห้องน้ำ หัวกระแทกกับอ่างอาบน้ำ เลือดเต็มเลยค่ะ’
“เลือด!” ชลาลัยอุทานด้วยความตระหนก “แล้วตอนนี้คุณอาเป็นยังไงบ้างคะ”
‘ป้าเรียกรถพยาบาลมาส่งที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ ตอนนี้ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน นี่ป้าโทร. หาคุณน่านตั้งหลายครั้งก็ไม่ติด ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยโทร. หาคุณหนูน้ำค่ะ’
“ป้าทำใจดีๆ นะคะ รออยู่ที่นั่น น้ำจะรีบไปค่ะ” เธอตอบรับแล้ววางสายไป
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” ฟ้าครามเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณแม่ของพี่น่านค่ะ ท่านล้มในห้องน้ำ ติดต่อพี่น่านไม่ได้เลย ฉันคงต้องไปดูสักหน่อย”
“ไปยังไงล่ะครับ ผมไปส่งไหม”
“รบกวนเวลาคุณฟ้าครามเปล่าๆ ค่ะ ฉันนั่งแท็กซี่ไปได้”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ ไปรถผมเถอะ”
“แต่...”
ไม่ทันที่เธอจะพูดอะไร ฟ้าครามก็คว้ามือเธอลงจากดาดฟ้าไปยังโถงลิฟต์ ตลอดเวลาที่ลิฟต์พาเธอกับเขาลงไปยังชั้นจอดรถผู้บริหาร เขายังคงกุมมือเย็นเฉียบของเธอเอาไว้ตลอด
หัวใจชลาลัยเต้นโครมครามเมื่อมองเห็นมือตัวเองอยู่ในมือของเขา แต่กลับรู้สึกไม่อยากจะสบัดออก จนกระทั่งถึงรถเมอร์เซเดสเบนซ์สีขาว เขาจึงปล่อยมือเธอเพื่อเปิดประตูรถฝั่งผู้โดยสารให้เธอ
ชลาลัยหลับตาลงแล้วเป่าปากออกมาเบาๆ เพื่อระบายความตื่นเต้นที่รุนแรงอยู่ในอก ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนิ้วเรียวยาวของฟ้าครามที่โอบกุมมือเธอเมื่อครู่ หรือเพราะข่าวการบาดเจ็บของเกวลินกันแน่
“พี่น่าน!”
สถาปนิกสาวอุทานอย่างนึกขึ้นได้ รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร. หาพี่ชายขณะนั่งรถไปกับฟ้าคราม แต่ตลอดทางจากออฟฟิศไปจนเกือบถึงโรงพยาบาลกลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากโทรศัพท์ของเขาเลย
“คงติดธุระสำคัญอยู่มั้งครับ”
“แย่จริง” เธองึมงำแล้วกดปุ่มโทร. หาอีกครั้ง
“ใจเย็นๆ เถอะครับ คุณอาถึงมือหมอแล้ว น่าจะปลอดภัยแล้วละครับ”
หญิงสาวพยักหน้าและยังคงพยายามโทร. หาน่านตะวันต่อไปจนกระทั่งฟ้าครามขับรถมาจอดที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล สัญญาณจากโทรศัพท์ของน่านตะวันก็ตอบสนองเธอ
‘ว่าไงน้ำ’
“พี่น่านคะ คุณอาหลินล้มในห้องน้ำค่ะ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลค่ะ”
ปลายสายเงียบไปพักใหญ่ ชลาลัยขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่แน่ใจว่าพี่ชายกำลังคิดอะไรอยู่
‘ตอนนี้น้ำอยู่ไหน’
“ถึงโรงพยาบาลแล้วค่ะ”
‘งั้นรออยู่ที่นั่น อีกครึ่งชั่วโมงพี่ไปหา’
แล้วสัญญาณก็ถูกตัดไป ชลาลัยขมวดคิ้วมุ่นมองโทรศัพท์ของตนเองอย่างงุนงง รู้สึกเหมือนน่านตะวันไม่ได้สนใจอาการของมารดาเลยแม้แต่น้อย เพราะคำถามที่ถามมานั้นมีแต่เรื่องของเธอเท่านั้น เขาไม่ได้พูดถึงมารดาตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว
หญิงสาวถอนใจระบายความอึดอัด เธอไม่รู้ว่าทำไมความขุ่นข้องหมองใจระหว่างสองแม่ลูกถึงทำให้เขาเฉยชาถึงขนาดไม่สนใจมารดาตัวเองว่าจะเป็นจะตายร้ายดีอย่างไร
“เราลงไปกันเถอะครับ” ฟ้าครามชวน ก่อนจะลงจากรถแล้วเดินมาเปิดประตูให้
ชลาลัยลงจากรถแล้วรีบวิ่งไปที่ห้องฉุกเฉินพร้อมเขา ที่หน้าห้องป้าชื่นกำลังนั่งตัวสั่นร้องไห้อยู่คนเดียว เธอจึงรีบเข้าไปกอดปลอบและถามถึงเรื่องอุบัติเหตุจนได้ความว่าสาเหตุที่เกวลินล้มลงคงเป็นเพราะเธอดื่มเหล้าเข้าไปมาก อาการเมาประกอบกับพื้นห้องน้ำที่ลื่นจึงทำให้เธอล้มลงหัวฟาดกับขอบอ่างอาบน้ำ
“นี่คุณอาดื่มบ่อยหรือคะ” ชลาลัยเอ่ยถาม เธอจำได้ว่าตอนไปพบเกวลินครั้งแรก เธอก็ได้กลิ่นแอลกอฮอล์เหมือนกัน แต่ไม่ได้ฉุนจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
“ค่ะ” ป้าชื่นพยักหน้าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา “คุณผู้หญิงคงเครียดเรื่องคุณท่านกับคุณน่าน เพราะตั้งแต่ทั้งคู่ทะเลาะกัน คุณผู้หญิงก็เอาแต่ดื่มทุกวัน”
หญิงสาวถอนใจ เธอรู้ปัญหานี้ดี แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าสาเหตุมันมาจากอะไรกันแน่
ครู่หนึ่งนายแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ก็ออกมาจากห้องฉุกเฉินและแจ้งกับเธอว่าได้ทำการเอกซเรย์กะโหลกศีรษะแล้ว พบว่าไม่มีความเสียหายอะไรนอกจากบาดแผลภายนอก จึงทำการเย็บแผลที่ศีรษะให้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็รอเพียงคนไข้ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
เมื่อรู้ว่าเกวลินปลอดภัยแล้ว ชลาลัยจึงบอกให้ป้าชื่นกลับไปดูแลความเรียบร้อยในบ้าน ส่วนเธอจะอยู่คอยเฝ้าไข้ผู้เป็นอาเอง ก่อนจะหันไปหาฟ้าครามและค้อมศีรษะให้เขา
“ขอบคุณคุณฟ้าครามมากนะคะที่มาส่งฉันถึงที่นี่”
“ไม่เป็นไรครับ คุณเดือดร้อน ผมจะอยู่นิ่งเฉยได้ยังไง”
ชลาลัยยิ้มและได้แต่พยักหน้าอย่างตื้นตัน ฟ้าครามทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจเหลือเกินที่มีเขาอยู่ข้างๆ ในยามที่เกิดวิกฤติเช่นนี้
น่านตะวันขับรถเบนท์ลีย์สีดำสนิทของเขามาถึงโรงพยาบาลในครึ่งชั่วโมงหลังจากเขาวางสายจากชลาลัย เขารีบไปที่ห้องพักฟื้นด้วยความรู้สึกร้อนรน แม้ภายนอกเขาจะทำเหมือนไม่ได้สนใจมารดาอีกแล้ว แต่ภายในก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้ เขาก็ยิ่งอยากจะไปเยี่ยมให้เห็นกับตาตัวเองว่าท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ
แต่พอเปิดประตูห้องพักฟื้นเข้าไป ชายหนุ่มก็ถึงกับเดือดพล่านเมื่อเห็นชลาลัยกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของฟ้าคราม
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง น่านตะวันปรี่เข้าไปดึงร่างน้องสาวออกมา ก่อนจะปล่อยหมัดใส่ฟ้าครามเข้าอย่างจัง จนอีกฝ่ายถึงกับผงะถอยไปชนกำแพง
“พี่น่าน!” ชลาลัยโผเข้ามากอดเขาไว้เมื่อตั้งสติได้
“มันทำอะไรน้ำ บอกพี่มา พี่จะสั่งสอนมัน” น่านตะวันคำรามฮึดฮัดจนน้องสาวต้องกอดไว้แน่นเพื่อไม่ให้ไปทำร้ายอีกฝ่ายได้
“คุณฟ้าครามไม่ได้ทำอะไรน้ำค่ะ น้ำเองที่เดินไม่ดีจนจะล้ม คุณฟ้าครามแค่เข้ามาประคองน้ำเอาไว้เท่านั้นค่ะ”
น่านตะวันได้ยินอย่างนั้นก็ยังไม่อยากจะเชื่อ เพราะมันจะบังเอิญเหมือนบทละครไปหน่อย แต่เมื่อเป็นคำพูดจากปากของน้องสาวที่เขาไว้ใจ เขาจึงได้แต่อ้ำอึ้ง ส่วนฟ้าครามก็ได้แต่คลำแก้มป้อยๆ
“มันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” เขาหันไปถามน้องสาวอย่างกลบเกลื่อนความผิด
“พี่น่านทำไมเรียกคุณฟ้าครามแบบนั้นล่ะคะ ไม่สุภาพเลย” เธอกระซิบปราม
“ตอบคำถามพี่ก็พอ”
“เราอยู่ด้วยกันพอดีตอนป้าชื่นโทร. มาบอกน้ำครับ ผมก็เลยอาสามาส่ง” ฟ้าครามตอบแทน
“ผมถามน้องสาว” น่านตะวันสวนกลับด้วยเสียงเข้ม เล่นเอาคนตอบแทนถึงกับหน้าจ๋อย
“พี่น่าน!” ชลาลัยเรียกกึ่งปราม “คุณฟ้าครามเขามีน้ำใจ ทำไมถึงพูดกับเขาแบบนั้นล่ะคะ”
“ทำไมน้ำไม่โทร. หาพี่” พี่ชายถามอย่างไม่สนใจ
“ก็มือถือพี่น่านไม่มีสัญญาณเลยนี่คะ ทั้งน้ำทั้งป้าชื่นโทร. หาจนมือหงิกก็ไม่ติด แล้วจะให้น้ำทำยังไงล่ะคะ”
น่านตะวันชะงักไปอย่างจำนนต่อเหตุผล “โทษที พี่ประชุมอยู่”
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะค่ะ” เธอโบกมือ ก่อนจะหันไปทางเจ้านาย “ตอนนี้น้ำว่าคนที่พี่น่านควรขอโทษคือคุณฟ้าครามมากกว่านะคะ”
“เอ่อ...ไม่เป็นไรหรอกครับ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน”
“ขอโทษ” น่านตะวันโพล่งขึ้น เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเอาหน้า
“ครับ” ฟ้าครามฝืนยิ้ม ก่อนจะหันไปทางหญิงสาว “ไหนๆ พี่ชายคุณก็มาแล้ว ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่าครับ”
“น่าจะไปได้ตั้งนานแล้ว” น่านตะวันแทรกขึ้น
“พี่น่าน!” ชลาลัยปรามเสียงเขียว
“ไม่เป็นไรครับ” ฟ้าครามโบกมือ “ผมว่าผมไปก่อนดีกว่าครับ ไว้เจอกันที่ออฟฟิศนะ”
“ขอบคุณค่ะ ยังไงขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้ไปส่ง” หญิงสาวค้อมศีรษะให้
“ไม่เป็นไรครับ อยู่ดูแลคุณอาเถอะ ผมไปก่อน”
ชลาลัยพยักหน้า มองดูฟ้าครามเดินคลำแก้มออกจากห้องไป ก่อนจะหันไปส่งสายตาค้อนให้แก่พี่ชายที่แสดงท่าทีไม่สุภาพออกไปเมื่อครู่
“พี่น่านคะ คุณฟ้าครามเป็นเจ้านายของน้ำนะคะ แล้วเขาก็มีน้ำใจมาส่งน้ำ แถมยังช่วยจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับโรงพยาบาลให้ด้วย ทำไมพี่น่านถึงไปทำกับเขาแบบนั้นล่ะคะ”
“ฮึ...แค่ต่อยยังน้อยไป ดูก็รู้ว่ามันเป็นพวกฉวยโอกาสชัดๆ” น่านตะวันขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“คุณฟ้าครามไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นหรอกค่ะ”
เขาหรี่ตามองเธออย่างผิดสังเกต “ทุกทีน้ำไม่เคยออกหน้ารับแทนผู้ชายคนไหนอย่างนี้นี่ อย่าบอกนะว่าชอบมัน”
“ไปกันใหญ่แล้วพี่น่าน” หญิงสาวส่ายหน้า
“อย่าไปยุ่งกับมันเชียว”
“นี่มันอะไรกันคะ ก็เราเพิ่งคุยกันเมื่อวันก่อนเองว่าพี่น่านจะให้อิสระน้ำเรื่องนี้ ทำไมวันนี้พี่น่านถึงกลับคำเสียล่ะคะ”
น่านตะวันนิ่งไป เริ่มรู้ตัวแล้วว่าอาการเห็นคนที่แอบชอบอยู่กับผู้ชายคนอื่นแล้วมันเจ็บจี๊ดที่หัวใจเหมือนที่ชาตรีพูดเป็นอย่างไร ก่อนจะกระแอมเบาๆ
“ยกเว้นมัน” เขาชี้ไปที่ประตูซึ่งฟ้าครามเพิ่งจะออกไป “น้ำอย่าไปใกล้มันมาก พี่เป็นผู้ชายด้วยกันดูกันออกว่ามันไว้ใจไม่ได้”
“อคติ” ชลาลัยเอ่ยหน้างอ
“เอาเป็นว่ายกเว้นมันก็แล้วกัน”
ชลาลัยถอนใจเฮือกกับความดื้อดึงของเขา “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้น้ำว่าพี่น่านน่าจะห่วงอาการของคุณอามากกว่าเรื่องอื่นนะคะ”
ชายหนุ่มหันไปมองผู้ป่วยที่ยังคงหลับอยู่บนเตียง “เป็นไงบ้างล่ะ”
“ปลอดภัยแล้วค่ะ ตอนนี้ก็แค่รอฟื้นขึ้นมาเท่านั้น”
“ก็ดีแล้วนี่”
ชลาลัยขมวดคิ้วมุ่นหันไปมองพี่ชาย “นี่มันอะไรกันคะพี่น่าน ทำไมถึงเย็นชากับแม่ตัวเองนัก”
น่านตะวันไม่ตอบเหมือนเช่นเคย ก่อนจะจับมือน้องสาวจะจูงเดินไปทางประตู
“เดี๋ยวค่ะ พี่น่านจะดึงน้ำไปไหนคะ” ชลาลัยรั้งมือเอาไว้
“กลับคอนโด”
“แล้วคุณอาล่ะคะ”
“ก็น้ำบอกพี่ว่าเขาไม่เป็นไรแล้วไม่ใช่หรือ เดี๋ยวพี่จะจ้างพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลเอง”
“ไม่ค่ะ” หญิงสาวสะบัดมือเขาออก “ถ้าพี่น่านอยากจะกลับก็กลับไปคนเดียวเถอะค่ะ น้ำจะอยู่ดูแลคุณอาเอง”
“อย่าดื้อน่า กลับไปกับพี่”
“ไม่” ชลาลัยยืนกราน “นี่มันอะไรกันคะ คุณอาเป็นแม่ของพี่น่านนะคะ ทำไมพี่น่านทำเหมือนไม่สนใจท่านเลย”
น่านตะวันถอนใจกับความดื้อดึงของน้องสาว ก่อนจะปล่อยมือแล้วถอดสูทไปแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าจากนั้นก็เดินไปนั่งที่โซฟาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูตารางหุ้นอย่างไม่สนใจอะไรอีก
“นั่นพี่น่านจะทำอะไรคะ”
เขายักไหล่ “พี่จะอยู่ดูแลน้ำไง”
ชลาลัยมองเขาอย่างพินิจ ก่อนจะยิ้มและหัวเราะเบาๆ “ความจริงพี่น่านก็เป็นห่วงคุณอาเหมือนกันใช่ไหมคะ แต่เอาน้ำมาอ้าง”
“ไร้สาระ” เขาเอ่ยพลางพลิกตัวนั่งหันข้างให้เธอ สายตาคมไม่ละจากหน้าจอขณะที่นิ้วพลิ้วไปพลิ้วมาอยู่บนทัชสกรีน
หญิงสาวถอนใจแล้วเดินไปนั่งข้างๆ เขา “บอกน้ำไม่ได้หรือคะว่าพี่น่านโกรธอะไรคุณอา”
“ไม่มีอะไร”
“ต้องมีสิคะ ก่อนไปเมืองนอกพี่น่านไม่เป็นอย่างนี้ นี่คุณอาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะคะว่าพี่น่านโกรธท่านเรื่องอะไร พี่น่านจะเก็บมันไว้คนเดียวแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
น่านตะวันนิ่งไปสักพัก ก่อนจะถอนใจออกมา “ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร”
“ทุกอย่างมันต้องมีเหตุผลค่ะ จู่ๆ คนที่รักกันจะมาหมางเมินกันแบบนี้โดยไม่มีอะไรได้ยังไง”
คราวนี้เขาถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางหงุดหงิด “ตกลงว่าน้ำจะอยู่เฝ้าเขา ไม่กลับคอนโดกับพี่ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” ชลาลัยตอบอย่างมั่นใจ
“งั้นพี่กลับไปทำงานละ”
“เดี๋ยวสิคะ เรายังคุยกันไม่จบเลยนะคะ”
“พี่จะไม่คุยเรื่องนี้อีก” น่านตะวันยืนยันเสียงแข็ง “แล้วพี่ขอย้ำนะ ห้ามน้ำไปใกล้ไอ้ฟ้าครามนั่นด้วย”
“มันไม่เกี่ยวกันเลยนะคะ”
“เดี๋ยวจะให้บุรินทร์เอาชุดมาให้เปลี่ยน” น่านตะวันเปลี่ยนเรื่องไปราวกับไม่ได้ยินเธอพูด “พรุ่งนี้พี่จะพาป้าชื่นมาเปลี่ยนเวรตอนเช้า แล้วจะรับน้ำไปทำงานด้วยเลย”
ชลาลัยอ้าปากจะเอ่ยค้านแต่น่านตะวันไม่เปิดโอกาสให้เธอ เขาหันหลังให้แล้วเดินไปหยิบสูทจากตู้เสื้อผ้า ก่อนจะพาดมันไว้ที่แขนแล้วก้าวออกจากห้องไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้ผู้เป็นน้องสาวยืนงงอยู่ลำพัง
ความคิดเห็น |
---|