“ปล่อย ปล่อยฉัน” มินตราดิ้นขลุกขลัก แต่เรือนร่างสูงใหญ่กับน้ำหนักมหาศาลทำให้การดิ้นรนของเธอยิ่งน่าสังเวช ปากของภูมิยังประกบซ้ำลงมา พอเธอพยายามเบือนหน้าหนี ฝ่ามือแข็งแรงก็บีบกรามเล็กให้อยู่กับที่ ปรนเปรอเธอด้วยลิ้นช่ำชอง ซึ่งเตือนเธอว่าเขาคงทำแบบนี้มาหลายครั้งจนมั่นใจว่าการสยบผู้หญิงสักคนนั้นง่ายดายเพียงใด และเขากำลังงัดไม้นี้ออกมาเพื่อควบคุมเธอ...
ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบให้เขาสัมผัสหรอก แต่การถูกทำให้ไร้อำนาจเป็นวิธีสกปรกที่มินตรารับไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างก่อนหน้านี้เขาแสดงออกว่าไม่ไว้ใจน้องชายตัวเอง กลัวเธอหลงไปกับผู้ชายเจ้าชู้ที่ดีแต่หว่านเสน่ห์ให้ผู้หญิงมัวเมา ตอนนี้เขากลับปฏิบัติกับเธอไม่ต่างกับที่น้องชายเขาคงทำกับผู้หญิงคนอื่นๆ
ทั้งพี่ทั้งน้องไว้ใจไม่ได้ทั้งคู่!
“คุณภูมิ”
“หืม” ชายหนุ่มครางรับ กดข้อมือเล็กที่พยายามผลักไสลงกับเตียง เปิดทางให้เขาก้มลงไปชื่นชมลำคอระหง
“คุณภูมิ เราต้องนั่งคุยกันดีๆ”
“นอนคุยก็ได้ พูดมาสิฉันจะฟัง”
“ไม่ ฉันไม่ชอบแบบนี้ อุ๊ย!” มินตราส่งเสียงครวญอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อชายหนุ่มขมเล็มใบหู เขาหัวเราะทำให้แผงอกกว้างสั่นน้อยๆ ขณะที่หญิงสาวหายใจเร็ว มัวเมากับจุมพิต ร่างกายอ่อนปวกเปียกในวงแขนกำยำ ภูมิรู้จักเนื้อตัวเธอดีเกินไป รู้ว่าต้องสัมผัสอย่างไร ตรงไหน เมื่อไร เพียงเท่านี้มินตราก็เห็นความพ่ายแพ้รออยู่ตรงหน้าแล้ว
ภูมิผ่อนแรงที่ยึดข้อมือหญิงสาวไว้เมื่อร่างบางเลิกดิ้นรน ยอมให้เขาลิ้มรสชาติหวานชื่นใจจากริมฝีปาก ไม่เพียงเท่านั้นสองมือที่เป็นอิสระยังโอบประคองใบหน้าเขาไว้ ริมฝีปากนุ่มพรมจูบไปตามแนวกรามของเขา และต่ำลงไปถึงต้นคอทำให้ภูมิเป็นฝ่ายหายใจติดขัดบ้าง
ทว่าฝันแสนหวานกลับสลายโดยพลัน เมื่อจู่ๆ ซี่ฟันเล็กกัดที่ไหล่ของเขาเต็มแรง ภูมิคำรามในลำคอและผงะไปข้างหลังจนไม่ทันระวังว่าร่างเล็กจะฉวยโอกาสนั้นกระแทกหน้าผากใส่คางเขา เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เขาที่เจ็บ เพราะทั้งคู่แทบจะร้องออกมาพร้อมกัน
มินตราทำหน้าเบ้ ลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ขณะที่ภูมิเปลี่ยนจากกุมไหล่มากุมคางแทน
มินตราที่ตั้งสติได้ก่อนรีบคลานหนี เกือบจะพ้นอยู่แล้วถ้าไม่เพราะจู่ๆ น้ำหนักราวกับวัวทั้งตัวโถมลงมาบนแผ่นหลัง กดร่างของเธอจนแทบจมลงกับเตียง
“หยุดนะคุณภูมิ ไม่งั้นฉันจะร้องจริงๆ ด้วย” หญิงสาวขู่เสียงอู้อี้
“ยายตัวดี! อยากร้องก็ตามใจ เพราะคนที่ได้ยินคนแรกคงจะเป็นนายตะวันนั่นแหละ แล้วฉันจะบอกให้ มันคงคิดว่าเธอร้องเพราะโดนฉันทำอย่างอื่นมากกว่า”
มินตราหน้าร้อนวาบ แต่ความโกรธมีมากกว่า หญิงสาวสูดลมหายใจเฮือกเตรียมร้องกรี๊ดสุดเสียง แต่มือใหญ่โตตะปบปิดปากเธอเสียแน่น พอเธอพยายามจะกัดมือเขาซ้ำอีก ภูมิก็สบถลั่น ลุกแล้วถอยลงไปจากเตียงทันที มินตราหอบหายใจฮัก ลุกขึ้นปัดผมเผ้ากระเซิงพ้นจากใบหน้าก็ด่ากราดทันที
“คนทุเรศ ผู้ชายเฮงซวยเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ กดขี่ข่มเหงคนไม่มีทางสู้”
“เธอเนี่ยนะไม่มีทางสู้” ภูมิสวนขวับ มือกดบนไหล่ที่ยังปวดแปลบ ยิ่งเอี้ยวคอไปดูแล้วเห็นรอยฟันสองแถวเรียงกันงดงามเขาก็ยิ่งโมโหจนแทบอยากจะจับยายตัวแสบมาฟาดก้นให้หลาบจำ
“คุณเป็นคนเริ่มก่อนนะ ฉันก็แค่ป้องกันตัว” มินตราโต้ทั้งที่หอบหายใจ แต่พอสังเกตว่าสายตาของเขาพิจารณาเธอด้วยประกายแปลกๆ จึงก้มมองตัวเอง แล้วเห็นว่าชายเสื้อยืดถูกดึงขึ้นสูงเผยช่วงเอวบอบบางกับหน้าท้องแบนราบ หญิงสาวหน้าแดงก่ำ รีบดึงเสื้อลงให้เรียบร้อย ปากก็บริภาษไม่หยุด “คุณไม่ยุติธรรมกันฉันเลย!”
“งั้นหรือ ฉันก็ไม่เห็นเธอจะว่าอะไรนี่”
“ไม่ต้องมีตีหน้าซื่อหรอกย่ะ คะ...คุณก็รู้ดี คุณรู้ แล้วคุณก็ทำ”
“รู้” ภูมิเลิกคิ้ว ตีสีหน้าบริสุทธิ์ใสซื่อ “รู้อะไร”
มินตราผุดลุกขึ้น มือกำหมัดแน่น กระทืบเท้าอย่างขัดใจ ความโกรธทำให้ลืมความอับอายไปชั่วครู่
“คุณรู้ว่าจะโอ้โลมยังไงให้ฉันยอมน่ะสิ คุณเป็นผู้ชายคนเดียวที่รู้จักฉันที่สุด รู้จุดอ่อนฉันทุกอย่าง และกำลังใช้มันเล่นงานฉันอย่างไม่ยุติธรรม คนบ้า!”
“เธอนั่นแหละที่บ้า” ภูมิโต้อย่างเหลืออดเช่นกัน “ให้ตาย ผัวเมียนอนด้วยกันทุกคืน จะไม่ให้คิดอะไรก็บ้าเต็มที ฉันเป็นคนนะไม่ใช่ขอนไม้”
“ฉันเองก็เป็นคนนะไม่ใช่รถยนต์ นึกอยากขี่เมื่อไหร่จะได้สตาร์ตเครื่องแล้วขับได้เลย ถามจริงเถอะ คุณเห็นฉันเป็นเมียหรือแค่ที่ระบายอารมณ์กันแน่ เคยคิดถึงความรู้สึกฉันบ้างไหม เคยคิดหรือเปล่าว่าฉันต้องการอะไรหรือไม่ต้องการ”
“ฉันรู้ว่าเธอต้องการฉัน แต่ไอ้ทิฐิโง่ๆ ของเธอมันบังตาอยู่ หรือไม่ก็เพราะการเล่นบทยินยอมมันทำให้คุณค่าของเธอดูน้อยลงกระมัง”
“ฉันไม่ได้กำลังเล่นตัวเพื่อเพิ่มมูลค่าให้ตัวเอง” หญิงสาวสวนขวับ “คุณบอกว่าตัวเองมีเลือดมีเนื้อ แล้วฉันไม่มีหรือไง คุณมีความต้องการแล้วฉันมีหรือเปล่า คุณมีสิ่งที่ชอบไม่ชอบ แล้วฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้สึกแบบเดียวกับคุณหรือ”
ภูมิเม้มปากแน่นก่อนยกมือขึ้นยีผม ถอนใจอีกเฮือกอย่างยอมแพ้
“ก็ได้ ฉันผิดเอง พอใจหรือยัง”
“ยัง ยังไม่พอใจ” พอเห็นชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกอย่างอดทน มินตราก็รีบเสริม “ฉันไม่ชอบวิธีการของคุณ ฉันยอมคุณได้ทุกอย่างนะคุณภูมิ ไม่ว่าจะให้ฉันทำอะไร แต่เรื่องเดียวเท่านั้นที่ฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด คือวิธีการที่คุณทำกับฉันแบบเมื่อครู่ คุณจะต้องไม่ทำอีก”
ชายหนุ่มเงียบไปนาน ก่อนที่ท้ายสุดจะส่ายหน้าไปมา ทว่าสุ้มเสียงยามอธิบายไม่ได้แสดงอำนาจหรือต้องข่มขู่แต่อย่างใด
“งั้นก็เรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันจะทำตามไม่ได้ มันไร้สาระสิ้นดีที่จะบอกให้เราแสร้งทำเป็นไม่สนใจกันและกัน ฉันมีความต้องการมินตรา ต่อให้แน่ใจว่าควบคุมมันได้ แต่การยอมรับว่าเรามีความต้องการเดียวกันมันไม่ง่ายกว่าหรือ เพราะฉันแน่ใจว่าเธอคงไม่สนับสนุนให้ฉันออกไปหาทางปลดปล่อยข้างนอกใช่ไหม”
“ก็ลองทำดูสิ!” มินตราแหวอย่างลืมตัว แต่พอเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของภูมิดูผ่อนคลายลงจนกลายเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ มินตราก็รีบปิดปากฉับ
“เอาละ เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าฉันต้องการอะไร และฉันพร้อมจะปรับตัวเพื่อให้เธอสบายใจ” ภูมิกล่าว ยกแขนทั้งสองขึ้นกอดอก “ทีนี้ก็พูดถึงสิ่งที่เธอต้องแลกเปลี่ยนมา ต้องให้ฉันทำยังไงเธอถึงจะยินยอม อ้อ ไม่ใช่การแยกห้องนอนกับฉันแน่นอน”
หลังครุ่นคิดอยู่อีกครู่มินตราก็ตัดสินใจเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเขา
“ฉันต้องการความเท่าเทียม”
คนหน้าเข้มเลิกคิ้วขึ้นแทนคำถาม
“ผู้ชายรอบตัวฉันมักใช้ความเป็นผู้ชายเพื่อเรียกร้องเอาสิ่งที่เขาต้องการจากฉันเสมอ มันทำให้ฉันรู้สึกต่ำต้อยค่ะ การอยู่โดยไม่สามารถต่อรองได้ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัย ดังนั้นถ้าคุณต้องการฉัน เราจะต้องมีความรู้สึกที่เท่าเทียมกัน”
“ช่วยอธิบายแบบที่เห็นภาพกว่านี้ได้ไหม” ภูมิถาม เขาดูตั้งใจฟังในสิ่งที่มินตราพูดจริงๆ ไม่ใช่แค่เอาใจหรือเยาะเย้ย
“คุณพูดถูก ฉันต้องการคุณ” มินตรายอมรับ สองแก้มเป็นสีแดงจัดขึ้นมาน้อยๆ “แต่คนเราจะทำเรื่องพรรค์นั้นได้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีความพร้อมใจเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่ถูกโอ้โลมให้คล้อยตาม ผู้ชายมักจะเป็นแบบนั้น ทำให้ผู้หญิงคล้อยตามก่อนฉกฉวยประโยชน์ในช่วงเวลาที่ผู้หญิงลังเลและอ่อนแอ จากนั้นก็เหมาว่ามันคือความยินยอมเต็มใจ พวกเขาได้ความพึงพอใจ ขณะที่ผู้หญิงต้องจมอยู่กับการดูถูกคุณค่าตัวเองว่าใจง่าย คุณจะต้องไม่ทำอะไรก็ตามที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้น”
“ฉันไม่เคยโอ้โลมผู้หญิงคนไหนเพื่อหวังจะใช้ประโยชน์ หรือถ้าจะมีตอนนี้ก็มีแค่เธอ” ภูมิยื่นมือออกไปคว้ามือเล็กไว้ มินตรายังยืนนิ่งไม่ยอมขยับ ภูมิจึงต้องเอ่ยเสริม “ฉันคบผู้หญิงทีละคนมินตรา และเมื่อฉันตกลงใจยกให้เธอเป็นที่หนึ่งแล้ว ฉันพร้อมจะให้เกียรติและทำทุกอย่างเพื่อให้เธอเชื่อใจ”
“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ” หญิงสาวหัวเราะขืน “ระหว่างฉันกับคุณ เราผูกพันกันแค่ทางร่างกาย ฉันพอใจกับการบริการของคุณ คุณเองก็แค่พอใจกับสิ่งที่ฉันมอบให้ อย่าพูดอะไรที่เหมือนเรามีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันเกินกว่านั้นเลย”
“งั้นก็เปลี่ยนความคิดใหม่ซะ” ภูมิไล้นิ้วกับผิวแก้มนุ่มเบาๆ ก่อนเชยปลายคางหญิงสาวขึ้นเพื่อให้เธอมองตาเขา ให้เห็นว่าทุกคำที่ออกมานั้นไม่ใช่สักแต่พูดลอยๆ ทว่ามันกลั่นจากหัวใจของเขาด้วย
“ฉันไม่สนผู้ชายที่ผ่านมาของเธอ และไม่อยากให้เธอเอาฉันไปเหมารวม ฉันเองก็จะไม่เอาเธอไปเทียบกับผู้หญิงคนไหนที่ฉันเคยผ่านเช่นกัน แค่เราสองคนมินตรา เราจะเริ่มต้นด้วยกัน เรียนรู้กันไป เธอให้โอกาสฉัน ฉันให้โอกาสเธอ”
มินตราเม้มริมฝีปากปาก รู้ว่าตัวเองพ่ายแพ้ให้แก่เขาแล้ว หญิงสาวถอนใจแล้วพยักหน้ารับ
“ก็ได้ค่ะ แต่ฉันเตือนไว้ก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่การกระทำของคุณทำให้ฉันรู้สึกเป็นผู้หญิงไร้ค่า ฉันจะไปจากที่นี่ทันที” กล่าวถึงตรงนี้มินตราก็เค้นเสียงหัวเราะออกมาฝืดๆ “คุณคงนึกหัวเราะฉันอยู่ เพราะเริ่มแรกฉันก็ทำตัวเป็นผู้หญิงไร้ค่าอยู่แล้ว”
“ผู้หญิงที่สามารถเอาตัวรอดกระทั่งพบฉัน ไม่มีวันไร้ค่าแน่” ภูมิยืนยันหนักแน่น
มินตรายังนอนขดอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ แสนสบายจนแทบไม่อยากลุกไปไหน ห้องของภูมิมีเครื่องปรับอากาศก็จริง แต่ชายหนุ่มแทบไม่เปิดใช้งาน แต่ก็แปลก เท่าที่จำได้เมื่อคืนเธอไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศไว้ แต่ทำไมอากาศวันนี้ถึงเย็นสบายเหลือเกิน มินตรารับรู้รางๆ ว่าข้างนอกยังมืดอยู่ กระทั่งมีเสียงรถยนต์แว่วมาด้านนอก...
ปกติคนงานจะเริ่มออกไปทำงานตอนเจ็ดโมง ค่ำมืดแบบนี้ยังมีใครออกไปไหนอีก หญิงสาวคิดพลางตั้งใจฟังเสียงรอบตัวอีกครั้ง นอกจากเสียงรถยนต์ มันฟังคล้ายๆ เสียงฝน...ฝนหรือ
หญิงสาวปรือดวงตาขึ้น ม่านตรงระเบียงยังปิดสนิท บรรยากาศอึมครึม และเสียงที่ได้ยินก็เป็นเสียงฝนจริงๆ พอเหลือบมองนาฬิกาเรือนเล็กบนผนัง เข็มนาฬิกาบอกเวลาเกือบเที่ยงเข้าไปแล้ว
“ตายแล้ว!”
มินตรารีบผุดลุกขึ้นทันที ในห้องเหลือเพียงแค่เธอคนเดียว ภูมิคงออกไปทำงานแล้ว... ออกไปทำงานทั้งที่ฝนตกเนี่ยนะ
หลังจากเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็ว มินตราก็พุ่งปรู๊ดออกมานอกห้อง บนเรือนค่อนข้างเงียบ แต่เธอสังเกตเห็นเสื้อกันฝนสีเขียวที่ยังเปียกชุ่มแขวนอยู่ หลังจากเดินหาอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เห็นภูมินั่งเก้าอี้อยู่ในครัว สายตามองเหม่อไปยังสวนมะม่วงด้านนอก มือก็ส่งอะไรเข้าปากเคี้ยวหยับๆ
“คุณภูมิ”
คนตัวใหญ่หันมาตามเสียงเรียก
“ขอโทษที ป้าสไบกับกฐินยังไม่กลับใช่ไหมคะ คุณกินข้าวแล้วหรือยัง นี่ฉันยังไม่คิดเลยว่าจะทำอะไรให้กินดี”
ภูมิยิ้มให้น้อยๆ ก่อนเลื่อนตะกร้าบนโต๊ะที่มีมะม่วงกะล่อนสุกอยู่เต็มตะกร้าให้เห็น
“เอาด้วยไหม ฉันจะทำให้”
“อะไรคะ”
มินตราเดินเข้ามานั่งเก้าอี้อีกตัวใกล้ๆ ดูชายหนุ่มเลือกมะม่วงสุกลูกเท่ากำปั้นเด็กออกมาจากตะกร้า บีบๆ นวดๆ ก่อนใช้มีดปอกผลไม้ปาดส่วนบนทิ้ง บีบเม็ดข้างในออก จากนั้นจกข้าวเหนียวจากกระติบใส่ลงไป บี้ๆ ขยำๆ จนเป็นเนื้อเดียวแล้วส่งให้ มินตรารับมาอย่างลังเล แต่พอเห็นชายหนุ่มกินส่วนของตัวเองที่ยังเหลืออยู่ต่อ เธอก็ลองชิมสักคำ เนื้อมะม่วงสุกกับข้าวเหนียวที่คลุกเข้ากันออกรสเปรี้ยวในคำแรก แต่พอกินคำต่อไปกลับมีแต่รสหวานสดชื่น
“ลูกเล็กนิดเดียวแต่หวานจัง แถมยังหอมด้วย”
“มะม่วงกะล่อนมันขึ้นอยู่ท้ายสวนโน่น” เขาพยักพเยิดไปท้ายสวนที่เห็นอยู่ลิบๆ “พอฝนตกลูกที่สุกแล้วก็ร่วงลงมาเต็มไปหมด นี่เก็บมาแค่นิดเดียว ไว้ฝนหยุดแล้วค่อยไปเก็บที่เหลือ น่าจะได้สักสองคันรถ”
“จะเอาไปทำอะไรคะ แถมมีแต่ลูกสุกๆ ร่วงลงมาก็ช้ำหมดแล้ว”
“ทำได้เยอะแยะ” ภูมิพูดยิ้มๆ “ปกติมีคนต่างหมู่บ้านมารับซื้อไปทำอาหารแปรรูป ทำมะม่วงกวนตากแห้งก็ได้ เอาไปทำเป็นมะม่วงกะล่อนตากแห้งก็ได้ เคยกินไหม เห็นว่าขายได้กิโลละตั้งสี่ร้อยเชียว”
“ทำข้าวเหนียวมะม่วงก็ได้” หญิงสาวเสริม ชูมะม่วงในมือ “ใครสอนคุณทำคะ”
“สมัยฉันเด็กๆ พอพ่อกับพวกอาๆ ลงไร่ บางครั้งปู่ก็ช่วยเลี้ยงหลานให้ สมัยนั้นไม่ได้มีแค่ฉันกับพวกน้องๆ ยังมีลูกพี่ลูกน้องอีกหลายคน นับได้เป็นโหลเชียวละ ปู่จะทำข้าวเหนียวมะม่วงแบบนี้ให้คนละอันแทนของหวาน ต้นที่อยู่ท้ายสวนนั้นก็เป็นต้นที่ปู่ปลูกไว้”
“แล้วตอนนี้ญาติพี่น้องคุณหายไปไหนหมด” ตอนแรกมินตราคิดจะถามไปอย่างนั้น แต่พอเห็นหว่างคิ้วขมวดมุ่นของชายหนุ่ม เธอก็นึกถึงอาของเขาขึ้นมา จากที่กฐินเล่าดูเหมือนอาคนนั้นจะไม่ค่อยชอบภูมิเท่าไร “คงไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ หรอกนะ ฉันรู้แล้วว่าคุณจะมีตังค์ ไหนจะที่ดินไร่สวน ตึกเช่าอีก แล้วคนที่มีสมบัติมากๆ ส่วนใหญ่ก็มักมีปัญหาเวลาที่ต้องแบ่งระหว่างญาติพี่น้องนี่แหละ”
“เธอรู้หรือเปล่า ปู่ทวดฉันเป็นคนเขมร” ชายหนุ่มหยิบมะม่วงอีกลูกขึ้นมาทำใหม่
“กฐินเล่าให้ฟังนิดหน่อยค่ะ”
“ท่านทำงานเป็นลูกจ้างตามไร่สวนนี่แหละ พอแต่งงานก็ได้ที่ดินที่เป็นมรดกแม่ของย่าทวดตรงนี้” ภูมิชี้นิ้วลงตรงจุดที่ตัวเองนั่ง ซึ่งน่าจะหมายถึงที่ดินที่ปลูกตัวบ้าน “มันยากสำหรับคนต่างด้าวที่จะมีที่ทำกินเป็นของตัวเอง ท่านเลยทำทุกอย่าง ปลูกโน่นปลูกนี่ เลี้ยงนั่นเลี้ยงนี่ สมัยนั้นเรือนหลังนี้เล็กมาก เป็นบ้านสองชั้นมีแค่ห้องเดียว ข้างล่างก็เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ กะว่าต่อให้ไม่มีเงินก็ยังมีอาหารกินไม่อดตาย ถ้าเหลือก็ค่อยขาย หรือไม่ก็เอาไปแลกเปลี่ยนกับครอบครัวอื่นที่เขาขาดเหลือ
“ปู่ทวดฉันรักที่นี่มาก ไม่ใช่แค่รักที่ดินผืนนี้นะ แต่รักประเทศนี้ ท่านว่าคนไทยน่าอิจฉา และถึงสุดท้ายท่านจะจากโลกนี้ไปในฐานะคนชาติอื่น แต่อย่างน้อยท่านก็ได้ตายบนผืนดินที่รักและผูกพัน เพราะแบบนี้ปู่ของฉันถึงได้ตั้งกฎขึ้นมา ที่ดินส่วนน้อยที่อื่นท่านปันให้ลูกๆ ตามความเหมาะสม แต่ที่ดินไร่สวนแถวนี้ท่านจะยกให้คนที่พร้อมจะดูแลรักษามันต่อไปเท่านั้น จะขายไม่ได้ ปล่อยทิ้งก็ไม่ได้”
มินตราฟังจบก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ แต่ไม่มีข้อกังขาใดกับสิ่งที่ภูมิเล่า เธอนึกถึงภาพถ่ายนอกเหนือรูปถ่ายคนในครอบครัว ภาพถ่ายที่ติดไว้สูง แม้จะเก่าจนซีดแต่เห็นได้ว่าเจ้าบ้านคนแรกสำนึกเสมอว่าตนเองมีทุกวันนี้ได้อย่างไร
“แล้วพ่อของคุณก็คือคนที่สืบทอดความต้องการของปู่คุณ และตอนนี้คุณก็รับช่วงต่อ” มินตราสรุป ถึงจะสมเหตุสมผล แต่เธอก็ตะขิดตะขวงใจนิดๆ “แสดงว่าคุณต้องใช้ชีวิตที่นี่จนกว่าจะหาคนมาดูแลต่อได้งั้นหรือคะ”
“ก็อาจจะเป็นลูกๆ ของฉัน”
แววตาคมกล้าที่มองมาอย่างอ้อยอิ่ง ทำให้มินตราหน้าร้อนวาบ หญิงสาวกระแอมเบาๆ แล้วแสร้งพูดไปเรื่องอื่น
“ตั้งใจว่าเรียนจบเมื่อไหร่จะไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส มันเป็นความฝันของฉันเชียวละ ถึงงานจะหนักแต่ฉันชอบที่จะได้เดินทาง ตลอดชีวิตฉัน ถึงพ่อกับแม่จะดูแลฉันอย่างดี ให้ทุกอย่างที่ฉันต้องการเสมอ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ามันยังมีขีดจำกัดอยู่ ฉันอยากทำอะไรเองบ้าง อยากออกไปพบเห็นอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ทุกๆ วัน ชีวิตคนเราน่ะมันสั้นจะตาย ฉันอยากใช้มันให้คุ้ม...” พอเห็นสีหน้าประหลาดใจของภูมิ หญิงสาวก็ส่งค้อนขวับ “อะไร มองแบบนั้น คุณคิดว่าฉันไม่เหมาะหรือ”
“เปล่า ฉันพอจะเข้าใจความอยากรู้อยากเห็นของเธอ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะอยากทำงานบริการ”
“ถึงเวลาจริงๆ ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อการคงอยู่สิ” มินตราทำปากยื่น แล้วตามด้วยถอนใจเบาๆ “แต่ฉันขาดเรียนมาแบบนี้ ถ้าไม่กระเด็นเสียก่อน ก็อาจจะกลับไปสานฝันต่อได้มั้ง”
มินตรากินข้าวเหนียวคำสุดท้าย และสังเกตว่าภูมิดูเงียบผิดปกติ แม้สีหน้าของเขาจะไม่แสดงอารมณ์ใด แต่ก็ดูครุ่นคิดหมกมุ่น...
อืม นั่นสินะ มินตราเพิ่งฉุกคิด เธออยากมีชีวิตอิสรเสรีอยู่ข้างนอก เดินทางไปทั่วโลก ในขณะที่ภูมิมีหน้าที่รับผิดชอบมากมายในไร่นี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ทั้งเธอและเขาก็คงไม่มีวันที่จะมีอนาคตร่วมกันได้
แต่พอคิดว่าวันหนึ่งจะไม่มีผู้ชายจอมบงการคนนี้อยู่ในชีวิตอีก ในอกมินตราก็เสียวแปลบกับความรู้สึกไม่คุ้นเคย
“เรายังเป็นเพื่อนกันได้” มินตราเอ่ย แต่คนหน้าคมหรี่ดวงตาลงอย่างเป็นนัย
“ฉันไม่เป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ฉันปรารถนาหรอกมินตรา” พอภูมิดึงตัวหญิงสาวเข้ามาหา ร่างบอบบางก็โอนอ่อนตาม ยอมนั่งเหนือต้นขากำยำ “กับเธอฉันมีให้แค่ฐานะเดียวเท่านั้น นั่นคือเมียฉัน”
“คุณนี่ดื้อด้าน แถมตื๊อไม่เลิกจริงๆ” เธอแสร้งเอ็ด ซึ่งเขารับด้วยรอยยิ้ม
“นั่นแหละคุณสมบัติพิเศษของฉัน จะไม่มีอะไรให้ความพยายามของฉันบ้างหรือ”
“อืม...” มินตรากลอกตาขบคิด จากนั้นจึงเลื่อนท่อนแขนขึ้นโอบต้นคอชายหนุ่ม “งั้นนิดหน่อยก็ได้”
เสียงกระแอมไอที่ดังอย่างจงใจทำให้สองหนุ่มสาวชะงักก่อนที่ริมฝีปากจะบรรจบกัน ตอนแรกมินตราคิดว่าสไบทิพย์กลับมาแล้วจึงรีบหันไปอย่างร้อนรน แต่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับเป็นตะวัน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาบูดบึ้งพอๆ กับอารมณ์ ชายหนุ่มถือแฟ้มกับบางอย่างที่ดูเหมือนใบเสร็จปึกใหญ่มาด้วย
“ขอโทษที่มาขัดจังหวะ! แต่กลางวันแสกๆ แบบนี้ไม่อายคนก็หัดอายผีสางเทวาซะบ้างเถอะพี่ภูมิ!” พูดจบเขาก็โยนแฟ้มกับใบเสร็จทั้งหมดไปกองบนโต๊ะใกล้กับประตู “ผมเอาใบเสร็จที่พี่ให้ซื้อของมาซ่อมรั้วกับโรงเก็บรถมาให้ พี่เช็กดูก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องมาบ่นว่าผมงุบงิบเงินไป แล้วนี่สไบไปไหน จวนจะเที่ยงอยู่แล้วแท้ๆ ทำไมยังไม่เตรียมข้าวปลาอีก”
“สไบพากฐินไปยื่นใบสมัครที่โรงเรียนในอำเภอ คงจะแวะซื้อชุดนักเรียนด้วย เดี๋ยวฉันจะลงไปดูที่โรงครัวก็แล้วกัน บัวทองคงทำกับข้าวเผื่อคนงานไว้สักอย่างสองอย่าง”
“กินข้าวร่วมหม้อกับพวกคนงานเนี่ยนะ ไม่เอาหรอก” ชายหนุ่มชักสีหน้ารังเกียจอย่างไม่ปิดบัง “ว่าแต่ยายเด็กนั่นจะไปเรียนในอำเภอหรือ นี่พี่คงไม่ได้ต้องควักกระเป๋าตัวเองส่งเสียหรอกนะ แม่มันก็มีทำไมไม่ส่งกลับไปให้เลี้ยงดูกันเอง”
“กฐินเป็นหลานของสไบ สไบเองก็เหมือนญาติคนหนึ่ง ทำไมฉันจะช่วยเหลือไม่ได้”
“ทั้งปี!” ตะวันกระแทกเสียง “เพราะพี่ใจอ่อนแบบนี้ ไอ้พวกปลิงพวกเห็บถึงได้ชอบมาเกาะนัก แล้วถามหน่อย มีใครตอบแทนอะไรให้พี่จริงๆ สักคนหรือเปล่า ไอ้ตัวที่อยู่เรือนนอกนั่นก็อีกคน เมื่อไหร่จะไล่มันไป”
“ตะวัน...” น้ำเสียงของภูมิแผ่วต่ำเป็นเชิงเตือน “อาเดชเป็นอาเรา เป็นลูกของปู่ เป็นน้องของพ่อ จะพูดอะไรแกหัดระวังปากบ้าง”
“เชิญนับถือมันไปคนเดียวเถอะ...” ตะวันหายใจฮึดฮัด ยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้นเมื่อเขม่นจ้องมินตราที่ยังไม่ยอมลุกจากตักพี่ชาย ทั้งๆ ที่เขายืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่จะด่าออกไปตรงๆ ก็รู้แน่ว่าภูมิคงพร้อมกางปีกปกป้อง สุดท้ายเลยทำได้แค่พึมพำหงุดหงิด “หน้าไม่อาย...”
“อิจฉาฉันหรือไง” มินตราสวนขวับ ไม่เสแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าเขาพูดถึงใคร พอโดนงัดกลับชายหนุ่มก็ทิ้งสายตาเหยียดใส่เธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกระแทกเท้าโครมๆ จากไป “ดู๊ดู ดูน้องชายคุณสิ”
“พอกันทั้งคู่” ภูมิดันตัวหญิงสาวออกแล้วลุกขึ้น
“พอกันตรงไหน เขามาแง่งๆ ใส่ฉันก่อนนะ แล้วนั่นคุณจะไปไหน”
“จะลงไปดูว่ามีอะไรกินที่โรงครัว หรือว่าเธอจะโชว์ฝีมือทอดไข่เจียวให้ฉันกินล่ะ”
“ต๊าย ไข่เจียว ดูถูกกันเกินไปแล้ว ไข่ต้มที่ฉันทำอร่อยกว่าตั้งเยอะ” หญิงสาวต่อรอง ทำให้ภูมิส่ายหน้าอีกรอบ
“งั้นก็รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันจะบอกให้คนยกขึ้นมาจะได้กินพร้อมกัน”
“กินพร้อมกัน? หมายถึงฉันต้องกินข้าวพร้อมกับน้องชายคุณด้วยใช่ไหม งั้นไม่เอาดีกว่า ฉันจะลงไปกินที่โรงครัว ขืนเห็นหน้าบูดๆ เน่าๆ ของน้องชายคุณอีก ฉันคงเจริญอาหารแย่” พูดแล้วมินตราก็รีบเดินตาม ไม่สนสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจของภูมิ ระหว่างที่เธอรอให้ภูมิหยิบร่ม มินตราก็อดถามไม่ได้ “ทำไมคุณตะวันเขาดูไม่ค่อยชอบสไบกับกฐินเลย หรือว่านิสัยชอบดูถูก ชอบกดหัวคนอื่นของเขาน่ะเป็นกับทุกคนอยู่แล้ว”
ภูมิเดินมาสมทบแล้วกางร่ม ร่มที่เขาเลือกใหญ่กว่าขนาดปกตินิดหน่อย แต่ถึงกระนั้นระหว่างเดินไปนอกชานพร้อมกัน เขาก็ยังคอยดูจนแน่ใจว่ามินตราอยู่ใต้ร่มมิดชิดมากกว่า
“เรื่องไร้สาระน่ะ” ภูมิตอบอุบอิบ
“ยิ่งคุณพูดแบบนี้ ฉันยิ่งอยากรู้ค่ะ อ้อ เมื่อวานป้าสไบเขาพูดถึงลูกสาวด้วย ทำนองว่าท้องแล้วไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ”
“นี่เธอต้องรู้ประวัติทุกคนในบ้านฉันเลยใช่ไหม” ชายหนุ่มเหลือบมอง แต่แทนที่หญิงสาวจะสลด เธอก็รับหน้าซื่อ
“แน่นอนสิคะ ฉันถือว่ารู้เขารู้เรา ย่อมดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ฉันชอบกฐินนะคะ แกน่ารัก หัวไวดี ถ้ามีคนสั่งสอนมีโอกาสร่ำเรียนสูงๆ อนาคตต้องได้ดีแน่ ส่วนสไบ อาจจู้จี้ไปหน่อย แต่ฉันว่าป้าไม่ได้มีพิษภัยอะไร คนแบบนี้คุยด้วยง่าย ไม่ต้องคอยระวัง”
ภูมิรอจนพวกเขาเดินลงบันไดแล้วจึงค่อยเอ่ยต่อ
“แม่ของกฐินชื่อเดือนเพ็ญ ทำงานอาบอบนวดที่ตาก เคยแวะมาที่นี่สองสามครั้งแล้วก่อเรื่องทุกครั้งจนสไบเอือม”
มินตราขยับมาหาทันที
“เดี๋ยวนะ อาบอบนวดเหรอ...แบบว่าแค่อาบอบนวดธรรมดา หรือว่ามีนอกเวลาด้วย แล้วที่ว่าก่อเรื่อง เขาก่อเรื่องอะไรคะ”
“ครั้งแรกก็ขโมยนาฬิกานายตะวันไปขาย เดือนเขาเอาไปขายที่โรงจำนำในอำเภอ แต่เจ้าของดันเป็นเพื่อนนายตะวัน ทางเราเลยจับได้ ครั้งที่สองก็มั่วกับคนงานชั่วคราวที่จ้างมา พอเมียทางนั้นรู้เรื่องก็ทะเลาะตบตีกันจนขึ้นโรงพัก แต่ที่สไบทนไม่ไหวจนขอให้ฉันออกคำสั่งให้ไล่ไปเลยถ้ามาอีกก็...” ชายหนุ่มกระซิบกับมินตราเบาๆ “เดือนแอบย่องเข้าห้องนายตะวัน หวังเผด็จศึก...”
มินตราอุทาน ทำตาโตเป็นไข่ห่าน มิน่าอีตาหน้าหวานนั่นถึงได้จงเกลียดจงชังกฐินด้วย แต่พอหายตกใจก็ฉุกคิดอะไรได้
“เดี๋ยวนะ คุณบอกว่าแม่ของกฐินขโมยนาฬิกาคุณตะวันไปขาย แล้วนิสัยอย่างน้องชายคุณคงแค้นน่าดู ผู้หญิงคนนั้นจะโง่ขนาดกล้าย่องเข้าหาคนที่อาจฟาดหัวตัวเองแตกอีกเหรอคะ” ท่าทางกระมิดกระเมี้ยนของภูมิยิ่งน่าสงสัย “นี่คุณเล่าอะไรไม่ครบหรือเปล่าคุณภูมิ”
ชายหนุ่มกระแอมไอเล็กน้อย แล้วตอบอุบอิบ
“จริงๆ แล้วเดือนกะเข้าห้องฉันน่ะ...แต่บังเอิญว่าเข้าผิดห้องไปเจอนายตะวันแทน”
ความคิดเห็น |
---|