10

บทที่ 10


10

ตั้งใจบังเอิญ

 

ในช่วงเวลายามเช้าที่ลูกบ้านกำลังออกไปทำงานนั้นมักมีคนใช้บริการลิฟต์อย่างคับคั่ง เช่นเดียวกับอธิชที่ออกมายืนรอลิฟต์ตั้งแต่เจ็ดโมงกว่า ทว่าชายหนุ่มไม่ได้มายืนรอเพื่อใช้บริการ แต่มายืนรอเจอใครบางคนต่างหาก

ติ๊ง!

เสียงเตือนว่าประตูลิฟต์กำลังเปิดทำให้คนที่รอลุ้นอยู่ใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ได้แต่หวังว่าครั้งนี้จะใช่คนที่กำลังรออยู่ และเมื่อประตูเปิดออก...

“ไปก่อนเลยครับ”

อธิชส่งยิ้มขอโทษคนด้านใน และนี่เป็นประโยคที่เขาพูดทุกครั้งที่เห็นว่าภายในลิฟต์ไม่มีปาลิดา หรือแม้แต่ลิฟต์จะไม่มีใคร เมื่อลิฟต์ตัวนั้นเคลื่อนตัวลง เขาก็กดเรียกลิฟต์ลงใหม่อีกครั้ง

“ท่าจะเป็นเอามากจริงๆ” ชายหนุ่มพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน และไม่เคยลำบากในการจีบใครที่ไหนเท่านี้มาก่อนเช่นกัน บางทีเกิดมาหล่ออย่างเดียวก็ไม่ได้ ผู้หญิงเขาต้องชอบด้วย

“จะมีแฟนทั้งทีทำไมมันลำบากนักวะ”

ติ๊ง!

เสียงสัญญาณประตูลิฟต์เปิดดังขึ้นอีกครั้ง และรอบนี้คงไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ คือไม่มีปาลิดาอยู่ในนั้น ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยประโยคเดิมก็พลันต้องชะงักเมื่อสายตาสะดุดเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่สวมหน้ากากอนามัยยืนชิดมุมกำลังก้มเล่นโทรศัพท์อยู่

“ไปไหมครับ”

“ไปครับๆ” อธิชรีบก้าวเท้าเข้าไป โดยเลือกยืนข้างหญิงสาวคนดังกล่าว เขาพยายามแสดงว่ามีตัวตน แต่สาวเจ้ากลับไม่สนใจเสียนี่

“สวัสดีครับ” อธิชก้มหน้ากระซิบทักทายข้างใบหูเล็กเพื่อแกล้งเธอ

ทว่า...

ปึ้ก!

“อ๊ะ!” อธิชยกมือกุมจมูกตัวเองทันที ไม่รู้ว่าเธอตกใจหรือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติของร่างกาย เพราะทันทีที่เขาเอ่ยจบประโยค ปาลิดาก็เงยหน้าขึ้น ซึ่งเป็นจังหวะที่เขาก้มหน้าลงไปใกล้กว่าเดิม ศีรษะเธอจึงโหม่งเข้ากับจมูกเขาอย่างจัง

“คุณ! เจ็บมากไหม”

ปาลิดารีบถามอาการของคนที่ยืนกุมจมูกนิ่ง ดวงตาคมมีน้ำตาคลอเบ้า แน่ละ ขนาดเธอโดนตรงจุดที่แข็งกว่ายังเจ็บไม่เบา แล้วเขาที่โดนดั้งจมูกเต็มๆ คงเจ็บไม่น้อย

อธิชพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับเอามือลงตามแรงดึงของปาลิดา

เจ็บตัว แต่ได้จับมือหญิง มันคุ้มใช่ไหม

“ฉันขอโทษนะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดเมื่อเห็นดั้งจมูกของเขาแดงก่ำ แต่ส่วนหนึ่งที่เขาเจ็บตัวก็เพราะเขาทำตัวเองด้วย “คุณทำให้ฉันตกใจเองนะ”

“ผมรู้ แล้วผมก็ได้รับผลของการกระทำนั้นแล้ว เจ็บชะมัด!” เจ็บจนน้ำตาเล็ดเลยละ

“สมควร”

“ไม่สงสารผมเหรอ” อธิชเอ่ยเสียงอ้อนหวังเรียกคะแนนความสงสาร

“ไม่ค่ะ” ปาลิดาเอ่ยจบก็ก้าวออกจากลิฟต์ตามลูกบ้านคนอื่น โดยมีคนสำออยเดินตามหลังมาติดๆ

“สงสารตัวเองจังเนอะ”

“ดีแล้วค่ะ” เธอหันไปยิ้มให้เขาใต้หน้ากากอนามัย

“ผมอยากเห็นรอยยิ้มคุณ ถอดหน้ากากออกไม่ได้เหรอ”

“ไม่ค่ะ”

“สงสารตัวเองอีกแล้ว” ชายหนุ่มโอดครวญ แต่เมื่อเห็นเธอไม่หลงกลจึงกลับมาทำตัวปกติ “เราบังเอิญเจอกันบ่อยเนอะ ว่าไหม”

ปาลิดาเลิกคิ้ว “บังเอิญจริงๆ หรือตั้งใจบังเอิญกันแน่คะ”

“แหนะ พูดแบบนี้คุณคิดว่าผมจัดฉากบังเอิญเหรอ” อธิชยังไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เธอคาดเดานั้นคือเรื่องจริง เพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการ ‘ตั้งใจ’ บังเอิญของเขาต่างหาก

“หรือไม่จริงคะ”

“ใครจะไปทำแบบนั้นกัน”

ถึงจะเป็นเรื่องจริง เรื่องอะไรเขาต้องยอมรับ

“ว่าแต่คุณไปทำงานเวลานี้ประจำเหรอ” อธิชชวนเปลี่ยนเรื่อง เพราะดูท่าทางที่แสดงออกแล้วเธอไม่ค่อยเชื่อเขาเสียเท่าไรว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คือเรื่องบังเอิญ

“หลอกถามเพราะอยากให้เกิดเรื่องบังเอิญทุกวันเหรอคะ”

“ถ้าผมตอบว่าใช่ล่ะ”

“ฉันก็กล้าตอบว่าใช่เหมือนกันค่ะ”

อธิชยิ้มรับคำตอบของเธอ การพูดคุยกับหญิงสาวบ่อยขึ้นทำให้เขารู้ว่าเธอก็ใจนักเลงไม่เบา ปาลิดาพร้อมที่จะพูดออกมาตามตรงหากเขายอมพูดกับเธอตามตรงเช่นเดียวกัน

ยิ่งได้รู้จัก เธอยิ่งน่าสนใจ

“คุณเดินทางด้วยรถไฟฟ้าแบบนี้ประจำหรือเปล่า”

“ถ้าไม่มีงานต้องออกนอกสถานที่ก็ใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักค่ะ”

“ชีวิตเรานี่เหมือนกันเนอะ” เขาพูดชวนเชื่อ ก่อนจะเดินตามหญิงสาวเข้าไปในขบวนรถ ปกติเขาถอนหายใจทุกครั้งที่เห็นคนอัดแน่นเต็มขบวนตั้งแต่ต้นสาย ทว่าวันนี้เขากลับรู้สึกชอบเวลาคนเยอะๆ เสียอย่างนั้น

เพราะอะไรน่ะเหรอ...

“ไม่ต้องเบียดเข้ามาขนาดนี้ก็ได้ค่ะ” หญิงสาวกระซิบบอก

“คุณไม่เห็นเหรอว่าคนออกจะแน่น” อธิชพูดพร้อมกับยื่นมือจับราวข้างศีรษะหญิงสาว

เมื่อรู้ว่าอธิชไม่มีทางขยับถอย เธอจึงหมุนตัวยืนหันหลังให้เขาเสียเอง

“ไม่หันมาคุยกันหน่อยเหรอ” อธิชกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน อดจะสูดกลิ่นหอมของแชมพูบนเส้นผมเธอเข้าปอดไม่ได้ ‘ผมยังหอมขนาดนี้ แล้วแก้มจะหอมขนาดไหน’

“ไม่ค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างไม่คิดรักษาน้ำใจ เพียงแค่หันหลังให้เขา แผ่นหลังเธอยังแนบชิดไปกับแผ่นอกแกร่ง หากหันหน้าเข้าหากัน ไม่พ้นที่หน้าเธอคงซบลงที่หน้าอกแกร่ง

ปาลิดายืนเกร็งอยู่แบบนั้นจนถึงสถานีที่ต้องลง ซึ่งเป็นสถานีเดียวกันกับอธิช เพราะเธอและเขาทำงานอยู่ตึกเดียวกัน

“ผมเดินไปส่งนะ”

“คุณไม่รีบไปทำงานเหรอคะ” เธอเงยหน้าถามระหว่างที่เดินเข้าตึก

“ไม่รีบครับ”

พูดมาขนาดนี้เขาคงไม่หวังให้เธอปฏิเสธสินะ เมื่อเขากล้าขอ เธอก็กล้าให้

“ค่ะ”

“ไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันนะ เดี๋ยวผมรอหน้าลิฟต์ตอนถึงเวลา”

“ได้คืบจะเอาศอกนะคะ”

“นะครับ” ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอน “นะครับ...”

“ถ้าจะขนาดนี้ ตอนเย็นกลับบ้านด้วยกันเลยไหมคะ” เธอประชดอย่างไม่จริงจังนัก

“มีเชิญชวนซะด้วย” อธิชยิ้มขัน “ผมก็อยากกลับบ้านพร้อมคุณนะ แต่งานผมมันไม่ค่อยแน่นอน”

“ฉันแค่ประชดค่ะ”

“แต่ผมจริงจังนี่” ตอนนี้อะไรๆ เขาก็คิดเป็นจริงเป็นจังหมดนั่นละ ขอให้เป็นเรื่องเธอ “เดี๋ยวผมโทร. หาอีกทีนะ”

“ค่ะ” เธอตอบตกลงไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกลำบากใจ

“คุณไม่ได้ผิดหวังใช่ไหม”

“ผิดหวังเรื่องอะไรคะ”

“เรื่องที่ผมอาจจะไม่ได้กลับกับคุณไง” อธิชแหย่ รู้อยู่แล้วละว่าเธอไม่ได้ผิดหวังเสียใจอะไรหรอก ดีไม่ดีเธออาจจะรู้สึกดีด้วยซ้ำที่ไม่เห็นเขาเสนอหน้า

“เปล่าสักหน่อย”

“ผมโทร. หาก็รับด้วยล่ะ” เขากำชับ

“ถ้าเป็นเวลางานก็รับค่ะ”

“ผมไม่ได้โทร. หาเพราะเรื่องงานเหอะ ที่โทร. เพราะความคิดถึงหรอก”

“ฉันกำลังถูกจีบอยู่ใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยทีเล่นทีจริง พูดขนาดนี้ไม่รู้ว่าถูกจีบก็ใสซื่อเกินไปแล้ว

“ถ้าคุณสนใจจะรู้ว่าผมจีบคุณมาตลอด พูดแล้วก็สงสารตัวเองนะ ชอบเขา แต่เขาก็ไม่สนใจ”

“นี่ก็ชอบดึงดรามาตลอด” เธอส่ายหัวอย่างระอากับความเล่นเบอร์ใหญ่ของเขา

“ฉันไปทำงานแล้วนะคะ” ปาลิดาบอกลาเมื่อเดินมาถึงหน้าลิฟต์

“ไม่ให้ขึ้นไปส่งเหรอ”

“ส่งแค่นี้พอแล้วค่ะ”

“เที่ยงเจอกันครับ”

“ค่ะ”

อธิชยืนรอจนกระทั่งประตูลิฟต์ปิด รอยยิ้มบนใบหน้ากว้างขึ้นกว่าเดิม

“ผู้หญิงอะไรโคตรน่ารัก” ชายหนุ่มเดินไปที่ออฟฟิศซึ่งตอนนี้ยังไม่มีใครมาทำงานแม้แต่คนเดียว หรือแม้แต่ตัวเขาเองถ้าไม่มาดักรอปาลิดา ป่านนี้ก็คงเพิ่งตื่นอาบน้ำ แต่ทำอย่างไรได้ จีบสาวทั้งทีก็ต้องลงทุนลงแรงบ้าง

 

“ปา!”

เสียงตะโกนเรียกชื่อทำให้ปาลิดาเงยหน้าขึ้นจากกองงานตรงหน้า ก่อนจะส่งยิ้มให้เจ้าของเสียงเมื่อตอนนี้เวลาเที่ยงตรง ซึ่งเป็นเวลาพักเที่ยงของคนทำงาน

“เก็บของแป๊บนึง” เธอตอบกลับพร้อมหยิบกระเป๋าสตางค์มาถือไว้ และยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดู “ไม่เห็นโทร. มาแฮะ” ปาลิดาเอ่ยถึงอธิชที่เป็นคนออกปากชวนเธอกินข้าวเที่ยงเอง แต่ตอนนี้กลับหายเงียบเข้ากลีบเมฆ

“หรือจะลืม” เธอคิดเอาเอง หรือบางทีเขาอาจจะติดงานจนไม่มีเวลาโทร. มาเลื่อนนัด

“เสร็จยังแก” ภาวิณีส่งเสียงเร่ง

“เสร็จแล้ว” หญิงสาวหยิบกระเป๋าและโทรศัพท์เดินตามหลังเพื่อนไป

“พักนี้ไม่เห็นเจตน์มารับแกเลยอ้ะปา”

ภาวิณีชวนคุยระหว่างยืนรอลิฟต์ โดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าเพื่อนที่ทันทีที่พูดจบ รอยยิ้มบนหน้าปาลิดาก็หายไป พอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิดออกเสียก่อน แถมในลิฟต์ยังอัดแน่นไปด้วยผู้คนจึงหยุดบทสนทนาไว้เสียก่อน

“แกไม่เป็นไรใช่ไหมปา” ภาวิณีถามขึ้นอีกครั้งเมื่อออกจากลิฟต์เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ทันได้คำตอบจากปาลิดาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจไปเสียก่อน

“ปา!”

ภาวิณีมองไปตามที่มาของเสียง เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีกำลังเร่งฝีเท้าตรงมายังที่เธอกับเพื่อนยืนอยู่ และแน่นอนว่าชายคนนั้นพุ่งเป้ามาหาเจ้าของชื่อที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ว่าแต่...เขาเป็นใคร

“คิดว่าจะมาไม่ทันเจอคุณซะแล้ว” อธิชหอบหายใจเหนื่อย

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“บ่ายนี้ผมต้องเข้าบริษัทใหญ่ คงไปกินข้าวกับคุณไม่ได้” เขารีบอธิบาย เสียดายไม่น้อยที่ต้องพลาดนัดแรกไปด้วยเหตุสุดวิสัย ซึ่งเขาไม่อาจควบคุมได้

“งานด่วนเหรอคะ”

“ครับ นี่ก็ต้องไปแล้ว แต่ผมอยากแวะมาบอกคุณก่อน”

“โทร. บอกก็ได้นี่คะ ไม่เห็นต้องแวะมาให้เสียเวลาเลย” ดูท่าเขาจะรีบไม่น้อย เธอเลยเห็นว่าการโทร. น่าจะสะดวกมากกว่า

“ความจริงคืออยากเห็นหน้าคุณก่อน คุณก็รู้ว่าประชุมมันน่าเบื่อแค่ไหน ได้เห็นหน้าหวานๆ ของคุณก่อนไปจะได้มีแรงสู้งาน” เขาอ้อนเสียงหวานโดยไม่ได้สนใจว่าที่ตรงนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เขากับเธอ แต่ยังมีเพื่อนร่วมงานของหญิงสาวร่วมเป็นพยานด้วยอีกหนึ่ง

“ขนาดนั้นเชียว” เธอยิ้มขันประโยคจีบแสนเลี่ยน

“ขอกำลังใจหน่อยสิครับ” เขาอ้อนอีกครั้ง

“ก็ได้เห็นหน้าแล้วนี่คะ”

“มันไม่พอนี่สิ” เขางอแง “ขอยิ้มหวานๆ ด้วยได้ไหม”

“โลภจริง”

“นะครับ...”

ปาลิดาไม่ตอบ เพียงแต่ส่งยิ้มให้เขาแทน เธอไม่ได้ยิ้มเพราะถูกขอ แต่ยิ้มเพราะเอ็นดูความขี้อ้อนของเขาต่างหาก

“น่ารักที่สุด”

คำพูดของอธิชทำให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์

“ผมไปก่อนนะ” อธิชเอ่ยลา ทว่าเดินไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเสียมารยาทกับเพื่อนของปาลิดา จึงหันไปหาหญิงสาวอีกคนที่ยืนมองเขากับเพื่อนตัวเองด้วยความสงสัย “สวัสดีนะครับ เดี๋ยววันหลังผมจะมาแนะนำตัวอีกที”

“เอ่อ...ค่ะ” ภาวิณีรับคำอย่างงงงวย

“ผมไปแล้วนะ” ชายหนุ่มบอกลาอีกครั้ง

“ค่ะ”

“แล้วเจอกันนะครับ” เขาบอกอย่างอาลัยอาวรณ์ นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นแฟนกันเขายังเป็นเอาหนักขนาดนี้ ไม่รู้พอได้คบกันจะเป็นหนักถึงขั้นไหน

“ค่ะ”

อธิชหมุนตัวกลับทางเดิม รีบเร่งฝีเท้าเพราะตอนนี้ก่อเกียรติจอดรถรออยู่หน้าตึก ความจริงเขาออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ให้หนุ่มรุ่นพี่วนรถกลับมาใหม่เพราะอยากเจอหน้าปาลิดาก่อนไป เนื่องจากเย็นนี้เขาคงหาโอกาสปลีกตัวจากงานได้ยาก และก็เป็นโชคดีของเขาที่หญิงสาวลงจากตึกมาพักกลางวันพอดี

ไม่ว่าวันนี้งานจะหนักหนาแค่ไหน เขาก็พร้อมสู้ตาย เพราะได้ยาชูกำลังชั้นเลิศ

ปาลิดามองแผ่นหลังกว้างของอธิชที่กำลังห่างออกไปเรื่อยๆ และเหมือนร่างกายของเธอออกคำสั่งอัตโนมัติให้พูดบางอย่าง จึงเกิดการเปล่งเสียงออกจากลำคอ

“เตอร์!” เธอส่งเสียงเรียกเขาอย่างไม่รู้ตัว และเจ้าของชื่อก็หันหลังกลับทันควัน

“ครับ” อธิชขานรับด้วยหัวใจเบิกบาน เพิ่งรู้ว่าชื่อตัวเองเพราะก็ตอนที่มันออกจากปากปาลิดานี่ละ

“อย่าลืมกินมื้อเที่ยงนะคะ”

“ครับ”

รอยยิ้มเขากว้างกว่าเดิมเมื่อได้ยินประโยคแสดงความห่วงใยนั้น และเพราะความน่ารักนี้ทำให้เขาอดใจไม่ไหวต้องวิ่งกลับมาทางเดิม แล้วรวบตัวคนน่ารักมากอดไว้

“เดี๋ยวผมโทร. หานะ” อธิชปล่อยคนตัวเล็กอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ใจจริงเขาอยากกอดเธอให้นานกว่านี้ และไม่ใช่แค่กอด แต่เขาอยากทำอย่างอื่นด้วย เพียงแต่ว่าเขายังไม่มีสิทธิ์ถึงขั้นที่จะทำแบบนั้นได้ เพียงเท่านี้ก็มากเกินพอสำหรับสถานะคนกำลังจีบเช่นเขาแล้ว

“ค่ะ” ปาลิดาพยักหน้าขึ้นลงอย่างรับรู้

“ผมไปแล้วนะ” เขาบอกลาอีกครั้ง เมื่อปาลิดาพยักหน้ารับจึงรีบเดินออกไป คราวนี้เขาเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิม เพราะหน้าตึกไม่อาจจอดรถได้นาน

“ใครอ้ะแก”

เมื่อคล้อยหลังชายหนุ่มแปลกหน้า ภาวิณีจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย หากผู้ชายคนเมื่อครู่คือเจตน์ เธอจะไม่คิดสงสัยประโยคออดอ้อนของฝ่ายชายและประโยคแสดงความห่วงใยอย่างตรงไปตรงมาของปาลิดาเลย ไหนจะการกระทำที่แสดงความสนิทสนมนั่นอีก

“วิศวกรโครงการรีโนเวตชอปมอลที่ฉันร่วมออกแบบ”

“ฉันว่า...ไม่น่าจะใช่แค่วิศวกรธรรมดาแล้วละมั้ง” เป็นใครก็ดูออกว่าระหว่างสองคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานกันธรรมดาแน่นอน และเธอก็เชื่อว่าปาลิดารู้ว่าเธอกำลังคิดไปในทางไหน

“อืม”

เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ตกใจที่เพื่อนไม่ปฏิเสธความสัมพันธ์กับหนุ่มหล่อว่าเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงานว่าหนักแล้ว แต่ที่ตกใจหนักยิ่งกว่าคือปาลิดามีเจตน์อยู่

“อืมนี่คือยอมรับเหรอวะ”

“อื้ม”

“แล้วเจตน์ล่ะ”

“เลิกกันมาได้สักพักแล้ว”

ภาวิณีเบิกตาโตยิ่งกว่าครั้งก่อนหน้านี้ มองแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินผ่านหน้าไปเหมือนเพิ่งพูดเรื่องลมฟ้าอากาศไปอย่างไรอย่างนั้น

“เร็วๆ สิณี เดี๋ยวก็หมดเวลาพักก่อนพอดี” ปาลิดาหันไปเร่งเพื่อนที่ยืนอ้าปากค้างอยู่กับที่ เธอเข้าใจท่าทางตกใจของภาวิณีดี เพราะเธอเองก็ตกใจไม่แพ้กันที่เลิกกับคนรักที่คบกันมาร่วมเจ็ดปี แต่บางทีความโชคร้ายที่เพิ่งประสบอาจจะทำให้มีเรื่องราวดีๆ เข้ามาในชีวิตเธอก็เป็นได้

เช่นผู้ชายชื่อ ‘อธิช’

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น