1

บทที่ 1


“กษัตริย์ปกครอง

ขุนนางค้ำจุน

กองพลปกปัก

ประชาราษฎร์อยู่สบาย”

 

            รัชทายาทหมิงหยางจงทรงคลี่รอยยิ้มเรียบเมื่อเอ่ยจบประโยค หันมองสหายวังหวังจิ้น บัณฑิตอันดับหนึ่งแห่งชิงฉวน[1] คล้ายถามว่าตำราได้กล่าวสิ่งใดผิดแปลกไปบ้าง ทั้งสองต่างตกในสภาพเจ็บปวดแสนสาหัสทั้งร่างกายและจิตใจ หลบหนีหลีกซ่อนตัวมิให้ผู้ใดลอบทำร้าย...อยู่ในซอกหลืบของหอสมุด นั่งพิงกายอยู่คนละด้านทั้งเนื้อตัวอาบเลือด

            หวังจิ้นแค่นยิ้ม นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

“ขุนนางค้ำจุน...ทรงกล่าวผิดไปประโยคหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”

เวลานี้ราชสำนักปั่นป่วน ตำแหน่งรัชทายาทของหมิงหยางจงจึงสั่นคลอน คนเราเมื่อเกิดความละโมบมิได้หยุดแค่ตำแหน่งที่ควรได้ หนึ่งในขุนนางชั่วจึงคิดล้มราชบัลลังก์ เรียกขานตนอย่างภาคภูมิว่ากบฏนานชิง สมรู้คบคิด วางแผนดำเนินการ ซ่องสุมพรรคพวกรอกระทั่งวันที่ฮ่องเต้สวรรคต จับตัวองค์รัชทายาทหมิงหยางจงหมายสังหารทิ้ง

ทว่า...องค์รัชทายาทผู้นี้ทรงพระปรีชาสามารถวางแผนโต้กลับอย่างชาญฉลาด เมื่อมีกบฏจึงต้องปราบด้วยพยัคฆ์ รวบรวมสามสกุลขึ้นกล่าวขานว่าพยัคฆ์คำราม ราชองครักษ์ผู้ที่เป็นทั้งสหายร่วมตายและขุนนางผู้ภักดีของพระองค์

ดวงตาคมกริบเป็นประกายในคืนเดือนมืดส่องสว่างด้วยความหวัง...หมิงหยางจงยกนิ้วมืออันสั่นระริกและเต็มไปด้วยบาดแผล หุบกำทีละนิ้วนับอย่างยากลำบาก ก่อนหลับตาลงนึกถึงสหายผู้มากไหวพริบ

เร็วเข้าโจวเฟิงอี้!

“ห้า สี่ สาม สอง...”

สิ้นเสียงนับครั้งสุดท้าย ประตูพลันเปิดกระแทกรุนแรง เก้าเฉิงเซ่อสวมชุดคลุมตัวดำสนิท ปลดผ้าคลุมหน้าออกอย่างมาดมั่น เมื่อเห็นว่าห้องทั้งห้องมีเพียงเสียงกระซิบจากแสงเทียน ใบหน้าเย็นยะเยือกพลันมีประกายร้อนรนปรากฏวาบผ่าน คล้ายแผ่นน้ำแข็งถูกเปลวไฟรนไหม้ เขารีบพยักหน้าสั่งคนของตนปรี่เข้าไปตามหาคนสำคัญทันที ด้วยหวังว่าคนผู้นั้นจะไม่เป็นอันใดไปเสียก่อน

“ฝ่าบาท!” เฉิงเซ่อ หนึ่งในพยัคฆ์คำรามตะโกนเรียกพระองค์ ครั้นเห็นร่างโงนเงนของหวังจิ้นประคองรัชทายาทหยางจงออกจากที่ซ่อน ขุนพลหนุ่มถึงหายใจโล่งขึ้นบ้าง เขารีบเดินเร็วเข้าไปหา เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องขยับตัวจนแผลปริขยายออกไปมากกว่านี้ แล้วก้มลงคำนับอย่างภักดี กล่าวว่า “เฟิงอี้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้แล้ว กระหม่อมเองได้จับขุนนางผู้อยู่เบื้องหลังไว้ในคุกใต้ดิน ทรงปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เสียงภายนอกที่ว่าชุลมุนยุ่งเหยิงกลับเงียบสงบไปตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจรู้ หยางจงมองเปลวเพลิงของคบไฟของกองพลผู้ภักดีของเขา ก่อนหันมากล่าวกับเฉิงเซ่อ

“รีบไปเถอะ จะช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว” หยางจงกล่าวเสียงเรียบ เร่งฝีเท้าพยายามก้าวไปทางตำหนักใหญ่ ไม่สนว่าบาดแผลของตนหนักหนาเพียงใด เพราะเขารู้ว่ามีสิ่งที่หนักหนากว่ารอให้สะสางอยู่

 

หยางจงขบกรามแน่น สั่งคนให้เตรียมเสื้อคลุมสวมทับรอยเลือดเหล่านั้น ก่อนเดินทีละก้าวเป็นปกติ สะกดความเจ็บไว้ข้างใน

หวังจิ้นแม้เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของหยางจง แต่ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มออกมาได้บ้าง หากไม่เป็นเพราะหยางจงวางแผนโต้กลับไว้แต่แรก ป่านนี้พวกเขาอาจได้ตายตกตามกันหมด

แต่ใช่ว่าผู้นำมีความสามารถจะทำให้สถานการณ์พลิกผันได้ถึงเพียงนี้ พยัคฆ์คำรามแม้มีเพียงสามสกุลแต่กลับเป็นบัณฑิตและแม่ทัพอายุน้อยมากความสามารถ สิ่งที่พวกเขามีคือความภักดี ไม่เคยสงสัยสิ่งใดในตัวสหายองค์รัชทายาทผู้นี้

พวกเขาเติบโตมาด้วยกันแต่เล็ก เล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ต่อสู้ร่วมกันมาตั้งแต่เล็ก เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันตั้งแต่เล็ก...เช่นนี้ใครจะทำให้ความสามัคคีของพวกเขาแตกแยกได้?

สหายทั้งสามต่างประคองกันเดินออกนอกหอสมุดอย่างยินดี ต่างโล่งใจว่าทุกสิ่งคงจบสิ้นด้วยดีแล้ว

หมิงหยางจงยิ้มเรียบพลางครุ่นคิด เมื่อแผนการในคืนนี้บรรลุเขาคิดแต่งตั้งโจวเฟิงอี้เป็นเสนาบดีข้างตัว ให้เก้าเฉิงเซ่อเป็นแม่ทัพใหญ่ควบคุมกำลังไพร่พลในอนาคต และให้วังหวังจิ้นได้ปกครองศาลยุติธรรมเช่นที่ตัวเขาได้ขอไว้ เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุขเสมอภาคและมีอำนาจจัดการขุนนางชั่วคิดคดโกงฉ้อฉลรังแกชาวบ้านไม่ประสา

ทว่า…เส้นทางเหล่านั้นสวรรค์มิอาจให้เกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น

“จับตัวพวกมันไว้! พวกเจ้ากล้าพาองค์รัชทายาทไปที่ใด!” จวี๋เซินสี่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์ทั้งสาม ก้มคำนับรัชทายาทพลางทูล “สกุลเก้าและสกุลวังถูกตัดสินเป็นกบฏ จากนี้ไปกระหม่อมจะเป็นผู้ชี้นำพระองค์เอง” พอกล่าวเสร็จจึงหันไปพยักหน้าให้ทหารองครักษ์จับกุมเด็กหนุ่มสกุลเก้าและสกุลวังทันที

สถานการณ์พลันพลิกอีกครั้งด้วยคำลวงของขุนนางเจ้าเล่ห์!

หยางจงพาดแขนกันมิให้ใครเข้ามายุ่มย่ามสหายทั้งสอง ขณะหรี่ดวงตาเย็นชากล่าวคำกับขุนนางสกุลจวี๋ “คืนนี้นับเป็นคืนแต่งตั้งของเรา เลื่อนการตัดสินและลงโทษออกไปทั้งหมด”

“พ่ะย่ะค่ะ...”

จวี๋เซินสี่ได้แต่เก็บสายตาไม่พอใจลงเงียบเชียบ หลังปราบกบฏในราชสำนัก ฮ่องเต้พระองค์ก่อนผู้เป็นพระบิดาสวรรคตไปได้ไม่กี่วัน เด็กหนุ่มผู้นี้ยังประคองความเข้มแข็ง ไม่รีรอจัดพิธีแต่งตั้งตนเพื่อขึ้นครองราชย์ หากจิตใจไม่ด้านชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่าเด็ดขาดและโหดเหี้ยม แม้นับได้ว่าเหมาะสมกับตำแหน่งผู้ครองแคว้น แต่ท่าทางเช่นนี้กลับทำเซินสี่กังวลหนัก เพราะถึงขนาดมีคนมาจับสหายรักไปต่อหน้า ใบหน้าของหยางจงยังมิได้เปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งองศา หากนี่คือคนที่ทรงห่วงใยแต่ยังตัดขาดในชั่วตากะพริบเพื่อมิให้ตนร่วงหล่นจากบัลลังก์ แล้วกับศัตรูเช่นเขา...เด็กหนุ่มจะเหลือวิญญาณให้ไว้บนโลกมนุษย์ได้อีกหรือ?

ทหารองครักษ์รีบเข้ามาจับเด็กหนุ่มสกุลวังและสกุลเก้า ขณะขุนนางจวี๋โค้งตัวให้หยางจงเดินนำไปอีกทาง

หยางจงหันมามองสหายทั้งสอง แม้ใบหน้าเรียบเฉยมิได้คร่ำครวญเสียใจ แต่สหายอีกสองกลับรู้ดีว่าหยางจงมิใช่คนใจคอด้านชาโหดเหี้ยม ทั้งยังรู้สึกผิดต่อพวกเขามากขนาดไหน

สามพยัคฆ์จากนี้เหลือเพียงหนึ่ง มีเพียงสกุลโจวที่สามารถอยู่เคียงข้างรัชทายาทได้ อย่างไรขุนนางชั่วย่อมไม่ปล่อยให้คนที่ทำแผนการทั้งหมดพังเช่นพวกเขาหลุดรอดกำมือ จึงหาหลักฐานเท็จมาล้มคน และสกุลเก้ากับสกุลวังคือหนึ่งในนั้น

ทหารจับตัวพวกเขาลากออกไปโดยไม่รีรอ ขณะอีกคนเดินอย่างทะนงในเส้นทางอันแสนโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม

รัชทายาทหมิงหยางจงทรงขึ้นครองราชย์ในปีแรกทั้งพระพักตร์สุขุมนิ่งเย็น

คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด...หนาวเหน็บและไร้แสงจันทรา



รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น