16

บทที่ 16

 

อดีตไยไม่เคยเปลี่ยนแปลง

อนาคตไยมิเคยเปลี่ยนผัน

 

บรรยากาศตอนเข้าเฝ้าฮองเฮาน่าอึดอัดเพียงไหน ยามนี้ข้าสามารถกล่าวได้ว่าบรรยากาศที่กำลังเจอน่าอึดอัดและเยือกเย็นเสียยิ่งกว่า รัชทายาทกำมือข้าไม่ยอมปล่อย กึ่งลากกึ่งจูงไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ ตะโกนไล่บ่าวไพร่ทั้งหมดออกไปจากห้อง พวกเขาเองต่างกลัวอารมณ์ดุจพายุลูกนี้ รีบร้อนเปิดประตูแย่งกันออกแทบไม่ทัน มีเพียงเพ่ยเพ่ยที่โดนตวาดอยู่หลายครั้งถึงได้ชักเท้าจากไปได้

“ข้าเจ็บแขน! นี่ท่าน!” ข้าร้องครางอย่างทนไม่ไหว แต่กลับถูกเขาตวาดเสียงใส่

“เงียบ! เจ้าแค่ตอบคำถาม เหตุใดถึงไปอยู่ที่ตำหนักเกิงเฉินได้!”

รัชทายาทบันดาลโทสะตะโกนใส่ เสียงลมหายใจกระเพื่อมไหวเป็นจังหวะคล้ายสะกดอารมณ์ทั้งหมดไว้ ข้าไม่กล้าเงยหน้าสบตา แม้รู้ว่าองค์ชายสามมิใช่คนไว้ใจได้ แต่ใช่ว่าข้าไม่มีเหตุผลที่ไปอยู่ที่ตำหนักเกิงเฉิน เขาเป็นถึงรัชทายาท เหตุใดถึงไม่หัดอ่านสถานการณ์ให้ออกเสียบ้าง

“ฝนตกแรงเช่นนั้น เสด็จพี่ทรงอยากให้ข้ากับองค์ชายสามยืนจับไข้อยู่ตรงสะพานหรือไรกันเพคะ!”

ข้าบิดมือเขาให้คลายออกแต่เขากลับไม่ยอมปล่อยโดยง่าย การกระทำของข้าทำให้เขาโกรธมากขึ้นไปอีก ปกติรัชทายาทนับเป็นคนสุขุมใจเย็น แต่ยามนี้เปลี่ยนไปราวคนละคนทำเอาข้าอดกลัวขึ้นมาไม่ได้

เขาสูดหายใจลึก เลื่อนใบหน้ามาจ้องมองข้า แล้วผละถอยออกไปอย่างฉุนเฉียวเพื่อยืนนิ่งสงบอารมณ์ อีกครู่ถึงได้หันกลับมาหากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้ามันน่าโมโหนัก...”

ยังไม่ทันได้พูดตอบ รัชทายาทกลับโน้มตัวลงมากะทันหัน ทันใดนั้นอากาศราวหายไปเสียดื้อๆ ริมฝีปากอุ่นของเขากดทับลงริมฝีปากข้าอย่างนุ่มนวลผิดกับน้ำเสียงที่โกรธขึ้ง ข้าเบิกตากว้างทำอะไรไม่ถูก ใบหน้าพลันเห่อร้อนทั้งที่อุณหภูมิในห้องเย็นเฉียบ เขามอบจูบที่แสนยาวนาน มันนานพอจะทำให้ข้าได้ยินเสียงหัวใจเต้นโครมครามของตัวเองและเสียงหายใจถี่ของเขา ลมหายใจร้อนของเขาหอมหวานราวกลิ่นดอกไม้ทำให้สติข้าหลุดลอยไปชั่วขณะ จนเมื่อลืมตาขึ้นข้าก็ได้พบแววตาลึกซึ้งประสานเข้ามาแล้ว

เวลานั้นข้าพลันรู้สึกตัวขึ้นมา ตลอดเวลาใจข้ามิได้เต้นเพราะเหตุผลอื่น แต่เต้นเพียงเหตุผลเดียวนั่นก็คือเขา...

พอคิดได้ถึงตรงนี้ข้ากลับตกใจความคิดโง่เขลาชั่วครู่ของตนเอง หรือข้าหลงรักคนที่ไม่สมควรรักมากที่สุดกัน?

ไม่...ข้าไม่มีทางปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้

“นี่ท่าน...” ข้าผลักเขาออกทั้งหัวใจเต้นรัว เหตุใดรัชทายาทถึงจูบข้า? เขาเป็นพี่น้องกับองค์หญิงมิใช่หรือ?

สมองข้าอื้ออึงสับสนไปหมด มีร้อยคำถามอัดแน่นจนทำสิ่งใดไม่ถูก

เขาชะงักตัวเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววสับสนขึ้น ค่อยๆ ถอนตัวออกจากข้า ก่อนจับริมฝีปากของตัวเอง แล้วคลายมือที่กำออก ยอมให้ข้าผลักเขาไปแต่โดยดี ข้านั่งนิ่งหอบหายใจเบาๆ จูบแรกของข้าถูกเขาขโมยไปอย่างง่ายดาย น่าแปลกที่ตัวข้าไม่ขัดขืนไม่ตบหน้าหรือทำอะไรเขาสักนิด

ข้าขยับตัวลุกยืน กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ “หากไม่ทรงมีสิ่งใดต่อว่าแล้ว ข้าขอตัวเข้านอนก่อนนะเพคะ” ข้าพยายามหนีหน้า ลุกพรวดเดินผ่านเขาไป

รัชทายาทรั้งแขนข้าไว้ มือร้อนระอุยามปกติของเขาอบอุ่นสำหรับข้าเสมอ แต่ยามนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกสับสนหนาวเย็น “รับปากข้า อย่าได้เข้าใกล้ตำหนักเกิงเฉินอีก…”

“ข้ารับปาก”

เขาตั้งท่าจะพูดต่อแต่กลับไม่พูดอะไรออกมา สายตานั้นไม่จ้องมองข้าอีก รีบเดินไปนั่งลงเก้าอี้ไม้ตรวจงานราชสำนักราวกับเมื่อครู่ระหว่างเรามิได้มีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นพิเศษ ข้าถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่เดินขึ้นเตียงนอนเงียบๆ และซ่อนกำไลหยกเงินลงกล่องไม้ข้างหัวเตียงเพื่อไม่ให้ใครเห็น

 

ข้าพยายามข่มตาให้หลับ ทว่ายิ่งเวลาผ่านไปกลับยิ่งกระสับกระส่ายไม่ยอมนอน ท้ายที่สุดจึงเดินไปรับลมที่ระเบียงแทน

“ทรงเป็นอะไรไป...จะพูดสิ่งใดกันแน่?”

ท่านจูบข้า แต่กลับทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น! เหตุใดไม่อธิบายสักครึ่งคำให้เข้าใจ ทรงเป็นบุรุษประเภทไหนกันแน่? รักพี่น้องร่วมสายเลือด หรือล่วงรู้ตัวตนของข้าเช่นที่องค์ชายสามรู้จึงแกล้งปั่นป่วนความคิดข้าเช่นนี้!

ฉากจูบเมื่อครู่ลอยอยู่บนพระจันทร์ทรงกลมอีกครั้ง ใบหน้าข้าร้อนฉ่า พยายามสะบัดหน้าสลัดความคิด ข้าจับแก้มทั้งสองข้างอย่างเก้อเขิน มันร้อนผ่าวเสียจนมือเย็นของข้าสามารถอุ่นขึ้นได้ จึงกะพริบตาถี่ ยกมือขยี้ตาหวังให้ภาพเหล่านั้นหายไป

“นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบเข้านอนเถิด” ข้าสะดุ้งหันไปตามเสียง นี่รัชทายาทเดินมาหาตั้งแต่เมื่อไรกัน?

“ขะ...ข้า” ข้าพูดไม่ออก เป็นเพราะเรื่องเมื่อครู่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจจึงไม่อยากนอนใกล้เขาอีก

เขามองข้าไม่ยอมขยับตัวไปไหน สายตาคู่นั้นราวกับล่วงรู้ความคิดของข้า

“งานยังเหลือค้างอีกมากนัก คืนนี้พี่คงไม่ได้นอน เจ้าเองรีบพักผ่อนก่อนเถิด”

เขาขยับมือจะมากุมแต่ข้ากลับเผลอปัดมือเขาออก

“คือว่า...คือข้า...”

เขาชะงักตัวอยู่ครู่ แต่แล้วกลับตัดสินใจจูงมือข้าเดินเข้าห้อง ก่อนจะห่มผ้าให้เช่นทุกครั้ง

ข้าทนไม่ไหวรีบร้อนแย่งผ้าห่มจากมือเขากล่าวว่า “ไม่ต้องแล้วเพคะ”

“ไม่เป็นไร” เขาไม่ยอมแพ้ มองหน้าข้าที่เอาแต่หลบหน้าแล้วแย่งผ้ากลับ พวกเรายื้อแย่งของกันไปมาจนทำเอากล่องไม้ข้างหัวนอนร่วงหล่นกระจัดกระจายบนพื้น

รัชทายาทตั้งท่าจะช่วยหยิบ ทว่าข้ากลับรีบร้อนกล่าวปฏิเสธไปว่า “ไม่เป็นไรเพคะ ให้ข้าเก็บเอง” แล้วก้มลงเก็บเครื่องประดับเพราะกลัวว่าเขาจะเห็นกำไลหยกเงินเข้า

ครั้งแรกข้าเห็นเขายืนนิ่งก็คิดว่าการกระทำเมื่อครู่จะทำให้เขาน้อยใจ ทว่าเมื่อเห็นคนย่อตัวเอื้อมเก็บกำไลหยกเงินขึ้นมา ใช้สายตาพิจารณาอย่างหนักคล้ายรู้จักมันเป็นอย่างดี ข้าก็คิดได้ว่าพลาดเสียแล้ว

ความจริงข้าควรเก็บมันติดตัว แต่เพราะมัวกลัวมันหายจึงซ่อนรวมกับเครื่องประดับชิ้นอื่นในกล่อง โดยไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น

“กำไลหยกเงิน ของหายากเช่นนี้เจ้าได้มาได้อย่างไร” ดวงตาเขาฉายแววสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม

ข้าแสร้งยิ้มกล่าว “ตอนหนีออกนอกวังไปคราวก่อน ข้าได้พบพ่อค้าต่างแดนเรียกตัวไว้ เขาบอกว่าของชิ้นนี้หายากนัก ท่านก็รู้ว่าข้าชอบสะสมของไม่เหมือนสตรีอื่น แล้วมีเหตุผลใดที่ข้าจะไม่ซื้อมันกลับมาเล่าเพคะ” ข้าแต่งเรื่องทั้งรอยยิ้มจืดเจื่อน “หรือท่านอยากได้! ข้าไม่ให้ท่านหรอกนะ!” ข้ารีบฉวยมันออกจากมือเขาเหมือนเด็กหวงของ เขาไม่ได้ขัดและคืนให้ข้าอย่างว่าง่าย

“เช่นนั้นเก็บมันไว้ให้ดี อย่าให้ใครเห็นมันได้อีก” ข้าสะดุดกับคำพูดเขา มันคล้ายคำที่ท่านแม่เคยเตือนไว้ไม่มีผิด

“เข้าใจแล้วเพคะ” ข้าพูดเสียงเรียบรับคำอย่างว่าง่าย

เขามองข้าไม่ละสายตากระทั่งข้ามุดตัวขึ้นเตียงถึงได้เดินไปสะสางงาน จดปลายพู่กันครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างแข็งขัน ข้ามองตามนิ้วเรียวยาวของเขาอย่างเพลิดเพลินกระทั่งเผลอหลับไปในที่สุด...

 

หลายเดือนผ่านพ้น ข้าถึงเริ่มชินชีวิตที่มีรัชทายาทผู้สูงศักดิ์นอนเคียงข้าง ตำแหน่งนี้ทำให้ข้ารับรู้ถึงสิ่งที่เขาแบกรับ เขาทำงานดึกดื่นแม้ยังไม่ได้ครองบัลลังก์ ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าหากอนาคตได้ครองราชบัลลังก์แล้วเขาจะได้นอนบ้างหรือไม่? รุ่งสางหากไม่เห็นเขานอนฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะเอกสาร ก็เห็นเขานอนขดอยู่บนตั่งยาว พักหลังข้าเลยอดไม่ได้ที่จะตื่นมาห่มผ้าให้แม้ไม่รู้ว่าเขาจะรับรู้หรือไม่

บางครั้งข้าก็ชอบนั่งมองยามเขาหลับ เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาเดียวที่ได้เห็นใบหน้าเคร่งขรึมผ่อนคลายไร้ความกังวลใดๆ

คืนก่อน...ข้ายิ้มมองเขาใต้แสงเทียน นึกอยากเอื้อมมือไปสัมผัส แต่แล้วก็กลับห้ามใจรั้งไว้ เพราะรู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น พอคิดได้ถึงตรงนี้ ข้าก็หดมือกลับไปทั้งใบหน้าเศร้าหมอง

“ผิงเฟย เจ้าไม่ควรทำเช่นนี้...ห้ามแตะตัวพระองค์เชียวนะ!”

ข้าตีมือตัวเองแล้วลุกเพื่อกลับไปนอน หลายต่อหลายครั้งนึกอยากให้เรื่องเหล่านี้จบลงเสียที เพราะกลัวความรู้สึกในอกเพิ่มพูนจนอยากจะถอนตัวกลับ แต่กลับทำได้เพียงหนีหน้าไม่ยอมอยู่ใกล้เขาเท่านั้น

เช้าวันนี้รัชทายาทไม่ได้อยู่ในห้องที่เตียงนอนหรือเก้าอี้ไม้ตัวยาวข้างโต๊ะทำงานแล้ว เขาหายไปตั้งแต่เช้า มีเพียงเพ่ยเพ่ยและองครักษ์ทั้งสองยืนเฝ้าอยู่ในตำหนัก

“ระวังสำลักข้าวนะเพคะ” เพ่ยเพ่ยกล่าวเตือนเมื่อเห็นข้าเอาตะเกียบคีบข้าวอย่างเร่งรีบ

“อู้แอ้วน่า!” ข้าหันไปตอบทั้งที่ยังเคี้ยวไม่เสร็จดี นางก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ

วันนี้เป็นวันพิเศษของข้า ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้พิเศษหรือน่าแปลกตาไปกว่าทุกวัน เพียงแค่ได้เปลี่ยนสถานที่เรียนจากในห้องแคบๆ ไปเรียนรวมกับเหล่าบัณฑิตที่ตำหนักชินกง ซึ่งถือเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับข้าด้วย

“ฮ้า...ช่างวิเศษนัก!”

ข้าบิดขี้เกียจพลางเดินออกนอกตำหนัก มีเพ่ยเพ่ยเดินตามหลังมาพร้อมองครักษ์ทั้งสอง ข้าเหลือบมองหย่งอวี้เพื่อตรวจดูว่าอาการเขาดีขึ้นหรือไม่ เมื่อเห็นคนหายจนแทบเป็นปกติข้าก็มองเขายิ้มๆ ทว่าเจ้าของใบหน้าเย็นกลับมองข้าเพียงครู่แล้วเลื่อนสายตาข้ามหัวไป

อีกแล้ว! เหตุใดเขาถึงชอบมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรามิใช่ว่าดีขึ้นหรอกหรือ?

ข้าสะบัดหน้าใส่เขา “ฮึ!”

ช่างปะไร เจ้าราชาหิมะเข้าใจยาก!

ตามเส้นทาง...เหล่าองค์ชายกำลังมุ่งหน้าไปทางเดียวกับข้า ขบวนเสด็จหลายขบวนจึงหยุดๆ เดินๆ หลีกทางให้กันตามฐานะ ตัวข้าติดแหง็กทั้งที่อีกไม่กี่ก้าวก็จะผ่านส่วนวังหลังไปได้ จึงเร่งเดินให้ทันเวลาเข้าเรียน ทว่าไม่ไกลเท่าไรนักกลับเห็นใครอีกคนได้เดินลิ่วๆ มาแต่ไกล

เพ่ยเพ่ยกล่าวว่าองค์ชายใหญ่เสด็จผ่านทางเดียวกัน ข้าจึงต้องก้มคำนับหลีกทางให้เขาอย่างจำใจ พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งยังไม่ทันจะได้พบ คนกลับเดินเร็วจนเห็นเพียงแผ่นหลังไหวๆ เป็นเมล็ดถั่วเท่านั้น ข้าไม่เคยพบองค์ชายใหญ่มาก่อน ได้ยินเสียงเล่าลือเพียงว่าท่าทางเขาดูสุขุมรักสันโดษ มีเพียงขันทีคนสนิทเท่านั้นที่ติดตามมา สมเป็นต้นแบบความเรียบง่ายให้พระอนุชาเช่นองค์ชายสามไม่มีผิด ข้ามองเขาจนลับตา เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง

“เจ้าจะไปตำหนักชินกงหรือ”

พูดถึงคน คนก็มา

ข้าหมุนตัวหันไปตามเสียงเรียก เห็นองค์ชายสามยิ้มส่งมาให้ ไม่มีใครติดตามรับใช้เขาเช่นทุกครั้ง ยังคงมีท่าทางสบายๆ และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เช่นเคย

“ใช่” ข้าตอบเสียงเรียบ ระมัดระวังตัวตามคำแนะนำของรัชทายาท

“ข้าเองก็เช่นกัน เช่นนั้นพวกเราเดินไปด้วยกันเถอะ” ข้าไม่ขยับ มองเขาหันหลังมาเลิกคิ้วเชิงถาม “หรือเจ้าคิดว่าตนเองคุ้นเคยเส้นทางในวังเป็นอย่างดี? ข้าดูก็รู้ว่าเจ้าเดินตามคนอื่นๆ มา”

เขาจงใจบอกว่าข้าไม่ใช่องค์หญิงถึงรู้ว่านี่คือครั้งแรกที่ข้าไปตำหนักชินกง

ข้าจนใจจะต่อคำ...หนึ่งคือข้าไม่คุ้นเคยเส้นทางตามที่เขาว่า จึงเลือกเดินตามองค์ชายอื่นๆ มาได้ถึงตรงนี้ สองคือองค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงก่อเรื่องไว้และกำลังจะเข้าเรียนวันแรก หากนางสาย โทษที่ก่อไว้อาจเพิ่มถมจนทับตัวไม่อาจเงยหน้ามามองใครได้อีก เลยทำเป็นไม่ใส่ใจคำเชื้อเชิญนั้นแต่กลับรุดหน้าสาวเท้าเดินตามเขาไปติดๆ

“อย่าคิดว่าข้าเดินตามท่าน อย่างไรพวกเราต้องเดินไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”

องค์ชายสามหยุดเท้า หันมามองพลางยิ้มหวาน “ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือวังผิงเฟย บุตรีสกุลวัง พ่อเจ้าเป็นขุนนางระดับล่าง คอยทำหน้าที่จัดหนังสือในหอสมุดหลวง” เขายักคิ้ว กล่าวข้างหู แต่กลับทำเอาข้าแทบสะดุดขาล้มหน้าคะมำ

นี่เขาสืบรู้ได้อย่างไร! เขามองท่าทีเหล่านั้นแล้วหันไปหาบรรดาบ่าวรับใช้ที่เพิ่งตามพวกเรามาทัน “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป เพราะข้าสัญญาว่าจะไม่บอกผู้ใดแน่”

ข้ากะพริบตาถี่ แกล้งกล่าวอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจ “ใครจะเชื่อคำพูดของท่าน คนอื่นได้ยินต่างก็รู้ว่ากำลังโกหกไร้สาระทั้งนั้น”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น