2

บทที่ 2


 

วันที่เจ็ด เดือนสาม ปีที่สองแห่งรัชศกหยางจง

เรื่องราวผ่านพ้นมานานนับปี แผนรั้งเวลาของหมิงหยางจงในคืนนั้นทำให้เก้าเฉิงเซ่อเร้นกายหนีออกไปและหายสาบสูญไปจากชิงฉวน ทว่าวังหวังจิ้นกลับไม่หนี เลือกอยู่ในคุกหลวงรับโทษกรรมที่มิได้ก่อ ทำให้ฮ่องเต้เช่นเขาไม่อาจทนนิ่งมองเฉย จึงสั่งให้โจวเฟิงอี้หาทางลดหย่อนโทษโดยที่ตนมิได้ออกหน้า เพื่อให้ยังคงรั้งตำแหน่งฮ่องเต้เอาไว้ได้

สกุลวังถูกฆ่าล้างตระกูล ริบทรัพย์สินและทิ้งผู้สืบทอดที่ถูกตราหน้าว่าเป็นขุนนางชั่วไว้เบื้องหลัง วังหวังจิ้นใช้ชีวิตอย่างไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีอยู่ในจวนอันไร้เครื่องเรือนใด แม้ใครๆ ต่างกล่าวว่าเขาโง่งมไร้สติ แต่หวังจิ้นกลับรู้ดีว่านี่คือเส้นทางอันเปี่ยมด้วยเกียรติ

เขาอยู่เพียงเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน...

แม้สหายยอมรับชะตา ทว่าฮ่องเต้หมิงหยางจงเก็บความคับแค้นไว้ในอก สืบหาเรื่องราวว่ามีผู้ใดอยู่เบื้องหลังจึงรู้ว่าแคว้นของตนอ่อนแอขนาดไหน เพราะแคว้นหานผู้เป็นเสมือนเพื่อนบ้านกลับเป็นหนึ่งในผู้ร่วมมือกำจัดพระองค์ หมิงหยางจงไม่รีรอ ยกทัพกรีฑาทำสงครามก่อนนำชัยชนะกลับมาได้สำเร็จ

แคว้นหานตกเป็นเมืองขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของหมิงหยางจงพร้อมเกิดพันธสัญญาฉบับหนึ่ง ซึ่งกำชับให้แคว้นหานส่งตัวองค์หญิงเป็นบรรณาการ ทั้งทาสกองม้าและทรัพย์สินจำนวนหนึ่งในทุกปี เพื่อมิให้อีกฝ่ายมีกำลังแข็งข้อได้อีก ปีนี้นับเป็นปีแรกที่แคว้นหานส่งเครื่องบรรณาการ นอกจากทั้งสามสิ่งนั้นแล้วยังส่งก้อนหยกเงินที่หายากแสดงความภักดีอย่างเต็มเปี่ยม ด้วยกลัวว่าพระองค์อาจนำทัพทะเลเพลิงมาเยือนหน้าประตูเมืองเช่นสงครามครั้งก่อน

หมิงหยางจงรับสั่งให้นายช่างในวังสลักหยกเงินทำเป็นตราประทับประจำพระองค์ เพื่อมิให้ผู้ใดคัดลอกตราประทับเช่นที่พระบิดาเคยประสบมาก่อน และยังรับสั่งให้นายช่างทำกำไลหยกเงินขึ้นหมายมอบให้สตรีผู้เป็นที่รักของพระองค์ในวันหน้า

 

วันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนสาม ปีที่สองแห่งรัชศกหยางจง

ขบวนเสด็จเจ้าสาวแคว้นหาน[1] เดินทางมาแต่งให้ฮ่องเต้หมิงหยางจง นามองค์หญิงหานเซียวหรู ทว่าฮ่องเต้ผู้เกลียดชังแคว้นหานหรือจะอยู่ให้พบหน้า

“ฮ่องเต้เสด็จไปที่ใด นี่จะเริ่มพิธีการอยู่แล้ว!” เสียงแหลมสูงดังขึ้นไม่เก็บอาการ รีบเดินเร็วไปหาอีกคนซึ่งกำลังกระวนกระวายไม่แพ้กัน

“กงกงได้โปรดใจเย็นสักหน่อยเถิด พวกข้าน้อยเองได้ตามหาจนวิ่งวุ่นกันไปหมดแล้วเช่นกัน” แม่ทัพหนุ่มสกุลเริ่นกล่าวทั้งใบหน้าผุดเหงื่อ

“เร็วๆ เข้าเถิดท่านแม่ทัพเริ่น หัวข้าน้อยเองก็มิได้ประคองอยู่บนบ่าแล้ว!”

เสียงแหลมสูงของขันทีดังทั้งอาการร้อนรน ต่างคนต่างวิ่งวุ่นตามหาผู้ครองแคว้นจนหอบ โดยมิได้ล่วงรู้เลยว่าฮ่องเต้ของพวกเขาได้หลีกหนีพิธีไปอยู่ที่ใด...

 

ชิงฉวนในวันเดียวกัน ณ ตรอกแคบย่านการค้า

“คุณชายผู้นั้นไม่มาเชยชมสินค้าของเราสักหน่อยหรือ”

หญิงคณิกาโบกมือเชิญชวนหยางจงที่ปลอมตัวออกมานอกวัง ดูราศีภายนอกก็พอรู้ได้คร่าวๆ ว่าชายหนุ่มตรงหน้าเงินในกระเป๋าหนักมากขนาดไหน รูปลักษณ์ท่วงท่าดูสุขุมองอาจเช่นนี้ หากมิได้เป็นขุนนางหรือบัณฑิตย่อมเป็นคุณชายลูกผู้ดีสกุลใหญ่ในชิงฉวนอย่างแน่นอน

แล้วนางหรือจะปล่อยให้คุณชายท่านนี้หลุดมือไป?

สตรีสวมชุดกระโปรงเลิกสูงต่างวิ่งมาจับแขนเขาโอบคนละด้าน ส่วนหญิงชราที่เรียกเขาเมื่อครู่เดินมาข้างหลัง ผลักเขาเข้าไปด้านในเรือนอย่างมิได้เกรงใจ ทั้งยังมิทันเห็นแววตาเย็นเรียบไม่พอใจของเขา

ฮึ! คนพวกนี้สามหาวนัก หากรู้ว่าเขาเป็นใครนอกจากมิได้มายืนผลักหลังกัน ยังลงไปนั่งคุกเข่าตัวสั่นอีกด้วย!

หยางจงมองพวกนางแต่ละคนอย่างดูแคลน สายตาเย็นเฉียบของเขาทำเอาสตรีทั้งสามขนลุกชันจนต้องปล่อยตัวเขาออก ด้วยคิดในใจว่าบุรุษผู้นี้พวกนางมิควรยุ่มย่ามเลยจะดีที่สุด

เมื่อเห็นว่าเนื้อตัวเป็นอิสระ หยางจงจึงตั้งท่าจะเดินออกนอกประตู “พวกพี่สาวเข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้มาหาความสำราญใด” กล่าวจบเขาจึงชักเท้าหมุนตัวจะเดินจาก

ทว่า...ไม่ไกลจากสายตา มีสตรีสีหน้าพรึงพรันแต่น้ำตากลับไม่มีสักหยด ถูกบุรุษหน้าตาน่าเกลียดหามไหล่คนละด้านสวนทางเข้ามา สตรีนางนั้นดูก็รู้ได้ว่ามิได้เต็มใจมาอยู่ที่นี่ เขามองตามนางอย่างอดมิได้ โดยไม่อาจรู้ว่าเหตุใดถึงได้มองนางอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หรือเป็นเพราะแววตาพยศนั่นที่สะกดเขาไว้ให้จ้องมอง เพราะในวังจะมีสตรีใดกล้าทำสายตาเช่นนั้นใส่เขาหรือ?

แต่ดูเหมือนนางกลับไม่ชอบใจเขาเท่าไร ทั้งยังตวาดเสียงแข็งใส่หน้า

“เจ้ามองอะไร! หน้าข้าเหมือนมารดาเจ้าหรือ!”

นางแค่นเสียงเย็นด่าเขาลั่น ด้วยเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือคุณชายผู้ชอบเที่ยวหาความสำราญ ในสายตานางแล้ว หากไม่มีชายพวกนี้ก็มิต้องมีหญิงสาวโชคร้ายเช่นนางถูกจับมาขายกินหรอก แล้วจะมิให้นางก่นด่าพวกเขาได้อย่างไรกัน! ยิ่งคิดยิ่งแค้นเพราะแท้จริงนางคือองค์หญิงหานเซียวหรู ผู้ถูกคนร้ายชิงเกี้ยวเจ้าสาวแล้วจับตัวมาโยนขายให้หอคณิกาแห่งนี้นี่แหละ! โดนบิดาจับแต่งให้ฮ่องเต้หมิงหยางจงนับว่าน่าแค้นใจแล้ว นางยังมาตกที่นั่งหญิงโคมเขียว[2] อีก แล้วจะมิให้นางระบายความคับแค้นใจกับใครสักคนเลยหรือ?

ดังนั้นด่าไม่ว่า นางยังชักเท้าดิ้นจะเตะเขาให้ได้!

แม่เล้าใหญ่แห่งหอคณิกาแทบจะหน้าซีดตัวสั่นเลยทีเดียว สำหรับนางจะมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าลูกค้า หากหมิงหยางจงเป็นคุณชายสกุลผู้ดีขึ้นมาจริงๆ มิใช่ว่าสินค้าของนางหรอกหรือที่ไปล่วงเกินเขาเข้า จนหอแห่งนี้อาจถูกพังทำลายในวันใดวันหนึ่งเอาได้ แค่คิดมือนางก็เงื้อตบสั่งสอนใบหน้ากลมเล็กอย่างฉุนเฉียว

“นังเด็กตัวดี หอจันทราท่องราตรีมิใช่สถานที่จะมาอวดดี เจ้ารีบขอโทษคุณชายท่านนี้เดี๋ยวนี้!”

แม่เล้าใหญ่หน้าซีดเซียว ทั้งโกรธทั้งกลัว แม้ไม่รู้คุณชายผู้นี้เป็นใคร แต่เซียวหรูรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังล่วงเกินใครเข้า! และใครกันต้องแบกหน้ารับภาระที่นางก่อ มิใช่หญิงชราเช่นนางหรอกหรือ?

เซียวหรูแทนที่จะร้องไห้ กลับหันหน้ามาจ้องแม่เล้ากับหยางจงตาเขียว มิได้ตกสภาพคนขี้กลัวเลยแม้แต่น้อย สตรีนางนี้ใจกล้าจนหยางจงเริ่มสนใจในตัวนางขึ้นเรื่อยๆ เขายกยิ้มมุมปากพลางคิดแผนการดีๆ ออก แต่รอยยิ้มเย็นเรียบของเขากลับทำให้หญิงชราผู้เป็นแม่เล้ามาหลายปีลมแทบจับ คิดว่าตนจะถูกเขาพังร้านระบายโทสะเข้า นางจึงได้แต่ตั้งท่าจะคุกเข่าขอร้อง แต่พอคุกเข่าตะโกนว่า

“คุณชายได้โปรด...!”

หยางจงกลับพูดเรียบๆ เพียงว่า “ท่านขายนางให้ข้าได้หรือไม่”

ได้ยินทางรอดดังนั้นมีหรือหญิงชราจะมิสนใจข้อเสนอ ขายม้าพยศตัวหนึ่งออกนอกหอไป ทั้งยังรักษาร้านรวงของตนไว้ได้ นอกจากแขกคนอื่นมิต้องมาเสียอารมณ์กับม้าดีดกะโหลกตัวใหม่ที่นางเพิ่งไปซื้อมาทำกำไร นางยังอาศัยจังหวะเรียกเงินจากคุณชายผู้นิยมชมชอบของแปลกได้อีกเสียหลายตำลึงทอง!

“ไถ่ตัวหญิงสาว เกรงว่าจะใช้เงินเสียหลายตำลึง...”

หยางจงรู้ดีว่าหญิงชราต้องการเรียกร้องสิ่งใด ในขณะที่เซียวหรูโวยวายตะโกนด่าเขาลั่นว่า “อย่ามาช่วยข้านะ ข้าไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณเจ้า ผู้ชายมักมาก เจ้าบ้าลามก” และอื่นๆ อีกสารพัดที่นางจะก่นด่าได้ เขาก็โยนเงินลงมืออวบๆ ของหญิงชราก่อนที่นางจะทันนับว่ามันมีกี่ตำลึงเสียอีก

สองร้อยตำลึงทอง!

หญิงชราลมแทบจับลงไปกองกับพื้นเข้าจริงๆ คุณชายท่านนี้โยนเงินให้นางราวเศษเนื้อที่มิต้องการได้อย่างรวดเร็ว หากไม่มีหน้าตาใหญ่โตในเมืองหลวงเห็นทีจะทำมิได้ เช่นนั้นนางก็เพิ่งรอดจากคำสั่งถูกพังร้านแล้วจริงๆ! หญิงชราตาโตหน้าซีด รีบสั่งคนไปนำม้าดีของสามีหลังร้าน และมอบชุดสตรีว็อบๆ แว็บๆ เอาอกเอาใจหยางจงเสียหลายชุด

“ถือเป็นมิตรน้ำใจของข้าน้อยมอบให้คุณชายแล้วกันนะเจ้าคะ”

หยางจงมิได้ฟังว่านางกล่าวประจบประแจงเขาอย่างไร เพียงกระตุกสายผ้าที่ชายกล้ามโตผูกข้อมือข้อเท้าเซียวหรูไว้ ก่อนประคองร่างบอบบางเบาหวิวไว้ในอ้อมแขน วางตัวนางแผ่วเบาแล้วควบม้าไปให้ไกลจากชิงฉวนพักหนึ่ง

หยางจงมิได้อยากกลับวัง มิได้อยากเห็นหน้าเจ้าสาว เมื่อเจอสิ่งน่าสนใจเข้า เขาจึงไม่รั้งรอจะอยู่กับนาง

เซียวหรูเองไม่มีที่ไป ไม่มีที่ให้กลับ หากระบายอารมณ์กับใครสักคนได้แม้ชะตาชีวิตหลังจากนี้เป็นอย่างไรนางก็ไม่ลังเลจะทำ ดังนั้นหนึ่งคนหนึ่งม้าก็ได้แต่ทนฟังเสียงก่นด่าของนางไปตลอดเส้นทางนั่นแหละ...

 

“เหนื่อยแล้วหรือ”

หยางจงยิ้มเรียบ มองนางอ้าปากตอบโต้ทั้งที่ไม่มีเสียง ก็ผู้ใดใช้ให้นางตะโกนด่าเขาสามวันสามคืนจนเสียงหายเล่า?

เซียวหรูถลึงตาใส่เขา ก่นด่าในใจไปอีกหลายประโยคแล้วก็หลับไปในอ้อมแขนกำยำนั่น กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีนางก็ได้ขยับตัวตื่นบนเตียงนอน เห็นเขานั่งจิบชาสบายอารมณ์อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องสี่เหลี่ยมแล้ว

“ข้าสั่งอาหารไว้แล้ว เจ้ามากินสิ”

นางเองก็หิว ไม่มีเหตุผลจะไม่ไปตามคำเชื้อเชิญ ทว่าพอปลายเท้าแตะลงพื้นก็พลันได้ยินเสียงกระดิ่งตามแรงขยับ จึงก้มมองเสื้อผ้าตน เห็นชุดที่สวมตัวเดิมถูกแทนที่ด้วยชุดใหม่ของหญิงชราแม่เล้า ซึ่งวาบหวิวดูเชิญชวนบุรุษเป็นอย่างมาก

เซียวหรูส่งเสียงดังอ้อแอ้แหบแห้ง ดูจากหน้าตาเปี่ยมโทสะของนาง หยางจงรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังด่าตนอยู่แน่แม้ไม่ต้องเอ่ยออกมาสักครึ่งค่อนคำ

เจ้าคนชั่วช้าเลวทราม! คำว่าเลวทราม แม้มิมีเสียงแต่นางกลับขยับปากเสียจนอ่านชัด

เขามิได้ฉวยโอกาสผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้านาง แค่ให้สาวใช้ในโรงเตี๊ยมเปลี่ยนให้แทนเท่านั้น แต่พอเห็นปฏิกิริยาของเซียวหรูแล้ว หยางจงกลับล้มเลิกจะกล่าวความจริง เขายิ้มเรียบกวนอารมณ์ นั่งมองจ้องนางทีละส่วนอย่างลวนลาม ทั้งยังเอ่ยกวนประสาทนางเข้าไปอีก

“แทนที่จะขอบคุณข้า เจ้ากลับทำหน้าตาน่ากลัว ข้าไถ่ตัวเจ้ามา ให้อิสระแก่เจ้า ให้ข้าวเจ้ากิน ให้ที่เจ้านอนพัก ไฉนชี้ไม้ชี้มือด่าว่าข้าเป็นคนเลวไปเล่า”

เซียวหรูไม่ยอมฟัง นางก่นด่าเขาอีก เขาก็ได้แต่กวนประสาทนางอีก เวลาที่อยู่กับนาง เขาเป็นตัวเอง เป็นเพียงบุรุษธรรมดาผู้หนึ่ง มิได้เป็นฮ่องเต้ ไม่ต้องแบกภาระใดไว้นอกจากรอยยิ้มของนางเท่านั้น

ส่วนนางก่อนเจอเขา นางเป็นเพียงองค์หญิงตัวประกันที่ถูกบิดาขับไสไล่มาแต่งงานแคว้นศัตรู พบเจอชะตากรรมปล้นสะดมชิงเกี้ยว นางกำนัลคนสนิทต้องมาตายแทนเพื่อให้นางวิ่งหนีเอาตัวรอดมาได้ นางมาต่างบ้านต่างแคว้นเจอเรื่องเลวร้ายเช่นนี้แต่กลับร้องไห้ไปหนเดียวเท่านั้น มิใช่ว่าจิตใจนางเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ทว่านางไม่อยากให้ศัตรูเห็นว่าตนเองได้แต่แสดงท่าอ่อนแอเพียงเท่านั้น เซียวหรูเช็ดน้ำตาอย่างเข้มแข็ง วิ่งหนีหลบซ่อนอยู่คืนเดียวคนพวกนั้นกลับจับตัวนางกลับมาได้และขายให้หอคณิกาแห่งหนึ่ง จบสิ้นชีวิตความเป็นหญิง

ทว่านางกลับถูกชายแปลกหน้าไถ่ตัวช่วยเหลือในวันนั้น แม้ทั้งคู่ไม่ถูกกันไม่มองหน้า มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา แต่หากตัดนิสัยกวนหัวของหยางจงแล้ว เขากลับปฏิบัติกับนางดีมากเท่าที่บุรุษผู้หนึ่งจะพึงปฏิบัติกับหญิงตระกูลผู้ดีได้ แม้ภายนอกนางแสดงท่าว่าไม่อาจไว้ใจเขาได้เต็มส่วน แต่เป็นตัวนางเองที่รู้ดีกว่าใครว่าแท้จริงแล้วบุรุษผู้นี้เป็นคนดีหรือเลวกันแน่

คนทั้งสองอยู่ด้วยกันนับหลายวัน ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ กระทั่งหยางจงหาซื้อบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งได้จึงย้ายไปอยู่กับนางที่นั่น พวกเขาอยู่ไกลจากสถานที่วุ่นวายจนหยางจงคิดว่าตนเป็นเพียงคุณชายธรรมดาผู้หนึ่งไปแล้วจริงๆ เพราะข่าวคราวเรื่องที่ฮ่องเต้ทรงหายตัวไปนั้นได้ถูกปิดเป็นความลับ ชาวบ้านเองจึงมิทันสงสัยและเห็นพวกเขาเป็นคู่สามีภรรยามาตั้งหลักในเมืองเท่านั้น หยางจงเพียงรอเวลาที่เขาพอใจจะกลับไปและคิดยกบ้านหลังนี้ให้นางตั้งตัว ทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่มันควรเป็น กระทั่งคืนหนึ่งเซียวหรูฝันร้ายเห็นคราบเลือดเกรอะกรังรอบรถม้า สาวใช้ของนางนอนตายอยู่อีกฝั่งและตัวนางที่วิ่งหนีตะโกนร้องไห้ เมื่อตื่นจากฝัน เนื้อตัวนางสั่นเทาไม่เหมือนเซียวหรูผู้เข้มแข็งที่เขาเคยเห็น

หยางจงโอบกอดนางไว้ ความคิดที่จะจากไปมลายหายจนสิ้น นับเป็นครั้งแรกที่เขาอยากปกป้องใครสักคนไปชั่วชีวิต

นี่เขาเป็นสิ่งใดไปหนอ?

หยางจงเพิ่งระลึกได้ว่าตนเองเป็นใคร มีภาระหน้าที่ใดที่แบกรับอยู่...อ้อมกอดของเขากระชับนางแน่นขึ้น รู้ดีว่าตนเองไม่อาจอยู่รั้งที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว

เขาคิดจากนางไปในคืนเดือนมืดอันคุ้นเคย

“อภัยให้ข้าด้วย...ลาก่อน”

หยางจงเอ่ยร่ำลา มิทันคิดว่าคนที่หลับไปแล้วกำลังรับฟังประโยคนี้อยู่ เขาเป็นใครนางมิเคยสงสัย ชื่อเขาเรียกอย่างไรนางมิเคยเอ่ยถาม กระทั่งเวลานี้เขาคิดจากไปนางยังไม่ต้องการรั้งไว้ เพียงแค่ตลอดหลายวันที่นางเจอเขา นางกลับยิ้มได้มากขึ้น หัวเราะได้มากขึ้น และวันนี้หัวใจนางรู้สึกว่างเปล่ามากขึ้น...

เสียงประตูปิดดังสนั่นในโสตประสาท เซียวหรูหันไปมองประตูบานนั้นด้วยใจหายวาบ นั่งนิ่งอยู่บนเตียงหลังนั้นอยู่เนิ่นนาน กระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิดอีกครั้ง ใบหน้าละมุนถึงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

“เจ้ากลับมาแล้วหรือ!” นางเอ่ยถามอย่างดีใจ ทว่าผู้มาเยือนกลับถือกระบี่เล่มยาวเข้ามาหา เซียวหรูรู้ทันทีว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น นางพังหน้าต่างอย่างรวดเร็ว ปีนหนีออกไปอย่างเชี่ยวชาญก่อนออกวิ่งสุดชีวิต เพราะคนพวกนี้คงมิใช่แขกมาเยี่ยมเยียนในยามดึก แต่พวกมันคือศัตรูมาตามเอาชีวิตนาง!

แล้วใครกันที่ต้องการฆ่านาง? เป็นศัตรูพวกนั้นที่ช่วงชิงทุกสิ่งจากนางไป หรือเป็นเขา...

“จับตัวนางกลับมาให้ได้!”

เซียวหรูวิ่งหนีไปตามถนน หัวใจนางทั้งตื่นตระหนกทั้งเศร้าใจและเสียใจ...หรือหยางจงจะเป็นคุณชายมีตระกูลที่ต้องการฆ่านางปิดปาก เพราะนางเป็นหญิงนางโลมที่อาจทำเขาเสียชื่อเสียง?

“อยู่นั่น!”

ชายร่างกำยำสามสี่คนกำลังตามนางทัน ทว่าได้มีมือหนึ่งฉุดตัวนางเข้าไปในอ้อมแขน พาหลบซ่อนตัวในซอกหลืบหนึ่งบนถนน ทำให้ศัตรูไม่อาจเห็นคนทั้งสองได้

“เสียงเจ้าไม่แหบแล้ว เหตุใดไม่เรียกร้องขอความช่วยเหลือ!” เขาตะโกนอย่างมีโทสะ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยกลัวว่านางจะมีอันตราย

พอหันมาเห็นว่าคนที่ช่วยนางไว้เป็นใคร เซียวหรูก็พลันร้องไห้โฮกอดอีกฝ่ายไว้แน่น “ข้าไม่รู้ชื่อเจ้า จึงไม่อาจตะโกนเรียกเจ้าได้”

หยางจงหัวเราะร่วน มองสตรีตัวน้อยที่ยังพูดจาจิกกัดเขาได้ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ “ชื่อข้า...” เขาชะงักก่อนกล่าวต่อ “ข้าชื่อเฟิงอี้...ที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปหาสหายของข้า”

หยางจงกล่าวปดกับนาง แต่เรื่องที่นางไม่ปลอดภัยเป็นเรื่องจริง เป็นเพราะฮ่องเต้ทรงหายตัวไป อย่างไรพวกขุนนางย่อมสืบจนรู้ว่าเขาคลุกคลีกับหญิงนางโลม แต่ไหนแต่ไรความงามของสตรีนับเป็นเหตุทำลายบ้านเมืองให้เสียหายย่อยยับ พวกเขาย่อมไม่พอใจและนางย่อมถูกหมายหัวเอาชีวิต แต่หยางจงจะไม่มีวันให้ใครมาทำร้ายนางได้

เซียวหรูเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย นางไม่ไถ่ถามเช่นทุกครั้ง ไม่สงสัยว่าเขาจะทำสิ่งใด มีศัตรูคนไหน เพราะตอนนี้นางรู้เพียงว่าบุรุษชื่อเฟิงอี้ผู้นี้กำลังกุมมือนางไว้เท่านั้น และนางไม่ต้องกลัวสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว

 

หยางจงเคาะประตูหน้าจวนหนึ่ง ที่นี่ไม่มีแขกมานาน ถึงมีก็เป็นเสียงก่นด่าของชาวบ้านหรือสิ่งของที่ลอยเข้ามากระทบหน้ายามเปิดประตู เพราะผู้อาศัยได้ชื่อว่าทรยศฮ่องเต้ตนเอง

วังหวังจิ้นก้าวเดินด้วยท่วงท่าราวนักพรต เปิดประตูออกกำลังจะกล่าวว่า ‘ข้ากำลังสวดมนต์ภาวนา ขอพวกท่านอย่าเพิ่งรบกวน’ แต่พอเห็นสหายรักมายืนพร้อมสตรีนางหนึ่ง สีหน้าเรียบสงบของเขาพลันเปลี่ยนเป็นตกตื่นปนประหลาดใจ ด้วยเหตุใดคนผู้นี้ถึงมาหาเขาได้ ทั้งยังมาเสียดึกดื่นกับสตรีแปลกหน้าเสียด้วย!

“ฝ่า...”

“ข้าเองเฟิงอี้!” หยางจงรีบตบบ่าสหายแล้วขยิบตา อีกฝ่ายเองเป็นคนไหวพริบดีเยี่ยมจึงเออออไปตามน้ำ

“อ๋อเฟิงอี้! เจ้านี่เอง รีบเข้ามาก่อนสิ” หวังจิ้นผายมือเชิญพวกเขา ยิ้มรับไมตรี

เซียวหรูนั่งลงอย่างเรียบร้อย แต่พอเห็นบุรุษทั้งสองมิได้พูดจาก็รู้ว่าคงมีเรื่องใดจะกล่าวกันส่วนตัว นางเป็นคนรู้มารยาทจึงตัดสินใจเดินออกไปจากห้องเอง จัดของในย่ามใบน้อย เพื่อเตรียมเข้านอน

“ฝ่าบาท...” หวังจิ้นก้มลงคำนับเต็มพิธี แต่หยางจงกลับก้มลงห้ามปรามเขา

“เจ้าลำบากมามาก อย่าได้คุกเข่าเพื่อเราอีก” หยางจงกล่าวพลางประคองสหายนั่งลง “เรามาที่นี่เพราะมีเรื่องไหว้วานเจ้า” เขามองไปทางประตูห้องหนึ่ง เห็นเงาของเซียวหรูที่กำลังจัดข้าวของทอดตามแสงเทียน

“แม่นางผู้นั้น...” หวังจิ้นมองตาม กำลังเอ่ยถามหาที่มาที่ไปแต่หยางจงกลับส่ายหน้าอย่างไม่รู้

“เราไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน แต่นางมักฝันร้ายบ่อยครั้ง คาดว่าไม่ใช่เรื่องดี เราเองไม่อยากถามหาที่มาที่ไปให้กวนใจ ในเมื่อนางไม่คิดจะเล่าเราก็ไม่อยากถาม แต่เวลานี้เราหายตัวไปใครๆ ย่อมคิดว่านางเป็นตัวปัญหาทั้งนั้น ในอดีตแคว้นเฉียนฉินมีฮ่องเต้เจ้าสำราญละโมบหญิงงาม บ้านเมืองล่มจม ราชสำนักขัดแย้ง หากขุนนางรู้ว่าเราหนีออกนอกวังมาอยู่กับนาง มีหรือจะไม่ทำให้ชีวิตนางตกอยู่ในอันตราย” หยางจงกำมือแน่น เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังกับสหาย “ฝากเจ้าดูแลนางให้ดีด้วย”

หวังจิ้นไม่รับรู้เรื่องในวังมานานแล้ว แต่ละวันเขาคอยสวดมนต์นั่งสมาธิ จึงไม่อาจรู้ว่าราชสำนักมีเรื่องใดเกิดขึ้น พอได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ จึงรู้ว่าเซียวหรูกำลังตกที่นั่งลำบาก

“หากฝ่าบาทประสงค์ กระหม่อมย่อมน้อมรับ”

หยางจงพยักหน้า ถอนหายใจกล่าว “ในวังเวลานี้ใช่ว่าปลอดภัย หากเราพานางกลับไปด้วยเกรงว่าชีวิตของนางหลังจากนี้ไม่อาจมีอิสระอีกต่อไป อยู่ก็คล้ายตายไปครึ่งตัว...”

“ทรงทำถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หวังจิ้นก้มหน้าลง เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเหตุใดหยางจงจึงพาเซียวหรูมาที่นี่ จวนสกุลวังมีเพียงความสงบ ชาวบ้านต่างรังเกียจไม่อยากคบค้า กระทั่งชาวบ้านยังดูแคลนแล้วมีหรือราชสำนักจะให้ความสนใจ ตัวหวังจิ้นเองคล้ายเสือถอดเล็บ จอมยุทธ์ไร้เพลงกระบี่ ไม่มีสิ่งใดให้คนชั่วช้าพวกนั้นเกรงกลัวอีกต่อไปแล้ว ที่นี่จึงเหมาะสมกับการซ่อนตัวเซียวหรูไว้อย่างแนบเนียน บุรุษทั้งสองต่างไถ่ถามทุกข์สุขในตลอดหลายปีมานี้ ร่ำสุราไปหลายจอก ต่างฝ่ายต่างรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายกระทั่งเวลาผ่านไป

“แต่ไหนแต่ไรเจ้ามิเคยจับมือสตรีเดินไปไหนมาไหน มิใช่ว่าคราวนี้เจ้าถูกใจแม่นางน้อยเข้าหรอกหรือ”

หวังจิ้นยามปกติพูดจาล้วนคิดอย่างรอบคอบ แต่หากได้ร่ำสุราคำถามที่ถูกปิดไว้แน่นกลับพูดออกมาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังกล่าวคำสนิทสนมจนเกินเลยขอบเขต หลายปีที่ผ่านมาเขามิเคยเห็นฮ่องเต้สนพระทัยสตรีใด ที่ว่างามล้ำก็ได้แต่งามล้ำอยู่ตรงนั้น ที่ว่าเย้ายวนก็ได้แต่เมินเฉยไม่จับต้อง แต่สตรีนางหนึ่งพระองค์กลับพามาให้เขาดูแลหลบซ่อนจากอันตรายทุกสิ่ง

สิ่งเหล่านี้หากไม่กล่าวว่าแปลกตา ก็กล่าวได้ว่าตะวันขึ้นผิดทิศผิดทาง

หยางจงจับจอกสุราหมุนเล่น คิดทวนอยู่หลายตลบกลับมีเพียงความหมายเดียวแวบผ่านไม่จางหาย

“ข้ารักนาง...”

คำตอบนี้ทำให้หวังจิ้นสร่างเมา

แต่กลับทำให้สตรีที่กำลังจะก้าวเข้ามาหาพวกเขาชะงักปลายเท้า ยืนนิ่งอยู่อีกฝั่งประตูทั้งหัวใจเต้นระรัว...

“ข้ารักนางโดยมิได้ถามว่านางชื่ออะไร เป็นใคร มีเรื่องใดเลวร้ายเคยเกิดขึ้นกับนางบ้าง ข้าเพียงสัญญาต่อตัวเองในวันที่นางฝันร้ายว่า ข้าจะปกป้องนางเท่าที่ข้าจะทำได้...”

เซียวหรูยืนนิ่งอยู่อีกครู่ ก่อนเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ความสับสนพลันปรากฏขึ้นเป็นระลอกในอกนาง ไม่คิดว่าเขาจะมีใจให้หญิงนางโลมเช่นนางได้!

เสียงฝีเท้าแว่วไกลออกไป...

หวังจิ้นมองเงาหนึ่งหลุบหายไปจากหน้าประตู “ทรงกล่าวออกไปเช่นนี้ แล้วจะทรงกลับวังไปได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

หยางจงเองได้มองประตูบานนั้นอยู่นานแล้ว “ข้าคงเป็นบุรุษผู้เห็นแก่ตัวเท่านั้น” เขายืดตัวยืนขึ้น เดินโซเซตามเงาเล็กๆ ที่หายไป

คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด ทว่าท้องฟ้าพลันปรากฏแสงนวลสว่างกว่าคืนเดือนมืดครั้งไหน สองร่างอิงแอบแนบชิด รับรู้ไออุ่นของอีกฝ่าย ความรู้สึกรักพลันเกิดเป็นผูกพัน โชคชะตาที่ว่าแยกขาดกลับหลอมรวมเป็นหนึ่ง...เซียวหรูได้รับความรักจากฮ่องเต้พระองค์นี้อย่างหมดสิ้น ภายใต้อ้อมแขนอันกำยำของพระองค์ได้ฝากฝังความรักและเมตตาจากบุรุษผู้ครองแคว้นอย่างจริงใจ หัวใจของพระองค์นับจากนี้ได้มอบให้นางจนไม่อาจหลงเหลือให้ผู้ใด ร่างเล็กนอนหลับใหลไม่ฝันร้ายเพราะรู้ว่าใครได้ลบความฝันเหล่านั้นออกจนหมดสิ้น ชั่วชีวิตนางต่อจากนี้มีอยู่เพื่อระลึกถึงพระองค์เท่านั้น

“ข้าไม่หวังให้เจ้าจดจำข้าได้ เพราะหัวใจข้าได้จดจำเพียงเจ้าไว้แล้ว”

หยางจงกล่าวคำนั้นออกมา มองใบหน้าดวงหนึ่งของคนที่นอนหลับชิดใกล้ หยิบกำไลหยกเงินที่ผูกติดตัวอยู่เสมอมาเพ่งมอง ก่อนค่อยๆ ประคองข้อมือเรียวเล็กมาสวมมันไว้ ด้วยหวังว่าสักวันจะกลับมาหานางอีกครั้ง...

 

มิทันได้ร่ำลาจากกัน

จันทราซ่อนกายท่านหายหนี

มิทันได้อยู่เอ่ยสักวจี

คืนเร้นท่านจำจาก ไม่หวนคืน



[1] แคว้นหาน นับเป็นแคว้นใต้ปกครองแคว้นฉี แม้มีฮ่องเต้เป็นของตนเองแต่ไม่อาจมีอำนาจตัดสินใด ทว่าฮ่องเต้หมิงหยางจงยังทรงเมตตาให้ราชสำนักหานจัดการดูแลด้วยตนเอง แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการตามกำหนดในทุกปี
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น