3

บทที่ 3

 

สิ่งใดเรียกผูกพัน อันใดเรียกว่ารัก

สิ่งใดเรียกคำนึง อันใดเรียกห่วงหา

ข้าไม่เคยแยกมันออกสักครา

แต่เจ้าเป็นผู้สอนข้า...ผิงเฟย

 

หากกล่าวถึงลูกขุนนางพวกเจ้านึกถึงสิ่งใดกัน? ผ้าแพรผืนสวย ก้อนหยกก้อนทองที่กองตรงหน้า? จวนใหญ่โตกินครึ่งสระบัวกว้าง? นั่นไม่ใช่สำหรับข้า...วังผิงเฟย

ทำไมน่ะหรือ?

นั่นเพราะข้าเป็นลูกขุนนางวังหวังจิ้นผู้ตกยาก ทรัพย์สินของสกุลถูกริบรอนไปตั้งแต่ข้ายังจำความไม่ได้เสียด้วยซ้ำ ในวงการสกปรกของเหล่าขุนนางมักมีผู้แพ้ผู้ชนะเสมอ และฟ้าดินได้ลิขิตให้สกุลวังผู้จงรักภักดีถูกพวกขุนนางชั่วรุมใส่ความ ตราหน้าว่าเป็นกบฏทรยศบ้านเมือง ท่านพ่อจึงถูกถอดยศที่เคยมีไปอยู่ในคุกหลวง ใช้ชีวิตอยู่ไม่เท่าตาย ตายไม่อาจลบล้าง

ทว่าหลายปีนับจากนั้นได้มีราชโองการจากฮ่องเต้ รับสั่งให้ท่านพ่อกลับมารับหน้าที่ปัดกวาดชั้นหนังสืออยู่ในซอกหลืบหอสมุดหลวง ซึ่งนับเป็นฐานะอันต่ำต้อยไม่ต่างจากขันที แม้สิ่งนี้นับเป็นพระเมตตาจากพระองค์ แต่ท่านปู่กลับไม่อาจทำใจเห็นบัณฑิตอันดับหนึ่งแห่งชิงฉวนต้องโดนตัดอนาคตเบื้องหน้าจึงตรอมใจสิ้นชีวิต ไม่นานท่านย่าและคนอื่นๆ ต่างตายจากกันไปหมด เหลือเพียงท่านแม่ที่คอยอยู่เคียงข้างท่านพ่อและคลอดข้าออกมาเท่านั้น

เราสามใช้ชีวิตสุขๆ ทุกข์ๆ ท่านแม่เองแม้ทำงานอย่างหนักแต่ก็นับเป็นงานไม่สมค่าจ้าง กระทั่งเงินเก็บพวกเราเริ่มร่อยหรอ จวนที่เคยมีเครื่องเรือนมากมายถูกริบรอนจนแทบไม่เหลือ สกุลวังเองไม่มีผู้ใดคบค้า ไม่มีผู้ใดหนุนหลัง ไม่นานชื่อวังหวังจิ้นจึงเลือนหายไม่สลักสำคัญอีกต่อไป...

ข้าส่ายหน้าไล่อดีตอันเจ็บปวดที่เคยฟังผ่านขี้ปากผู้อื่นมานับสิบครั้ง พลางยกมือเปิดสมุดบัญชีตรวจดู

“เฮ้อ...ติดลบอีกแล้ว!”

เวลานี้คงได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา นี่ไม่ใช่สภาวะย่ำแย่ที่สุด แม้ทุกครั้งมันไม่เคยติดลบ เพียงแค่พออยู่พอใช้ไปวันๆ แต่เวลานี้ท่านแม่ของข้าล้มป่วยลงด้วยโรคที่ต้องใช้เงินหลายตำลึงมารักษา ทำให้ข้าต้องทำงานหนักขึ้นอีกหลายเท่า หลายครั้งท่านพ่อตัดสินใจขายเครื่องประดับท่านแม่ที่มีอยู่น้อยชิ้น แต่อย่างไรท่านแม่ก็ไม่อาจตัดใจขายกำไลหยกเงินซึ่งนับว่ามีราคากว่าหยกชนิดใด ครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้ข้าอยากเอามันไปขายใจแทบขาดแต่ท่านแม่กลับไม่ยอมใจอ่อน กล่าวกับข้าด้วยคำตอบเดิมว่า

“ผิงเฟย...กำไลหยกเงินนี้มีความหมายต่อเจ้าและแม่มากนัก”

“สำคัญอย่างไรหรือท่านแม่...ท่านพ่อให้ท่านไว้ใช่หรือไม่”

ท่านแม่ส่ายหัวช้าๆ ยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก นางไม่เคยปริปากพูดเลยว่าใครเป็นคนให้ ข้าจึงไม่อยากถามเท่าไรเพียงแค่สงสัยว่ามันสำคัญเท่าชีวิตนางเชียวหรือ?

เวลานี้ท่านแม่นอนอยู่บนเตียงนอนไม้หลังเก่ากับชุดสีขาวเหลือบเงินชุดโปรดของนาง ท่านพ่อกล่าวว่าพวกเราจำเป็นต้องหาเงินให้มากที่สุด เพราะยาของท่านแม่จำต้องใช้สมุนไพรซึ่งเก็บไว้ในวังหลวงเท่านั้น จึงพบได้น้อยและหาได้ยาก ที่สำคัญ ราคานั้นแพงหูฉี่ ทุกวันนี้ข้าจึงหารายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการรับจ้างปักผ้าและสอนหนังสือลูกพ่อค้าในชิงฉวน เพราะแม้ข้าเป็นหญิงแต่ท่านพ่อกลับสอนให้รู้หนังสือไม่น้อยหน้าบุรุษ ข้าจึงสามารถอ่านออกเขียนคล่องไม่แพ้ลูกขุนนางคนไหน

เป็นหญิงไยต้องเอาแต่เลี้ยงดูบุตรเฝ้าบ้าน? นี่คือคำที่ข้าจำใส่ใจไว้ตั้งแต่ยังเล็ก

 

วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสเช่นทุกวัน ข้ารีบเดินไปเรือนเย็บปักสกุลจวี๋อย่างรีบเร่ง ด้วยเกรงว่าจะถูกไล่ตะเพิดหากไปสายเสียตั้งแต่สองสามวันแรก จวนสกุลจวี๋ใหญ่โตสมฐานะเจ้าบ้าน เพราะนายท่านสกุลจวี๋คือขุนนางขั้นหนึ่งในราชสำนัก มีภรรยาเป็นหญิงงามจากสี่ตระกูล บุตรธิดาอีกห้าคน โดยอ๋องน้อยจวี๋จวินฉี บุตรคนโปรดของนายท่านคอยคุมกิจการเรือนเย็บปักแห่งนี้ อย่างไรก็นับเป็นสกุลใหญ่อันเลื่องชื่อ ใครต่างก็อยากผูกมิตรไมตรี เพราะนอกจากอำนาจแล้ว สกุลจวี๋ยังมีห้างร้านใหญ่โตและหอคณิกา[1] หลายแห่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแล

สาวใช้ในเรือนนำข้าไปยังห้องหนึ่ง มีกองผ้าโตเท่าภูเขาอยู่มุมห้อง ดูแล้วต่อให้เย็บจนดึกดื่นก็ไม่สามารถเย็บให้เสร็จลงได้ ปกติพวกเราจะเย็บผ้าอยู่ด้วยกันที่เรือนด้ายเงินของคฤหาสน์ แต่มาวันนี้นางกลับให้ข้าไปเย็บผ้าผู้เดียว ข้าชะงักเท้ามองหน้านางอยู่ครู่ เป็นเพราะได้ยินข่าวลือแปลกๆ ในจวนนี้อยู่บ้างแต่ก็ทำใจกล้าเดินตามไปมิได้กล่าวโต้แย้ง อย่างไรข้าเป็นเพียงผู้รับเงิน หากมิทำตามนายเกรงว่าจะหางานที่เงินดีกว่านี้ไม่ได้ จึงไถ่ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไปแทนว่า

“เหตุใดวันนี้นายหญิงถึงสั่งให้ข้าเย็บผ้าคนเดียวเล่า”

นางเลิกคิ้ว คลี่ยิ้มกล่าว “แม่นางวังเย็บผ้าสวยถูกใจนายหญิงเป็นอย่างมาก นายหญิงจึงจ้างแม่นางเพิ่มอีกหนึ่งตำลึงหากแม่นางเย็บผ้ากองนั้นหมดเพียงผู้เดียว งานอาจดูหนักไปบ้างแต่ค่าจ้างภายในหนึ่งวันนับว่าสมราคา หากแม่นางไม่พอใจนายหญิงจะหาคนอื่นมาทำแทน”

นางก้มหน้าทำท่าจะหันหลังเดินกลับ แต่ข้ากลับรั้งแขนนางไว้ เพียงได้ยินคำว่าหนึ่งตำลึงตาข้าก็โตขึ้นมาทันที อย่างไรเงินหนึ่งตำลึงนี้ถือว่ามากโข ใช้จ่ายเป็นค่ายาของท่านแม่ได้อีกหลายสัปดาห์ จึงรีบพยักหน้าพูดรับว่า “ข้าตกลง!” แล้วสาวเท้าเดินไปเย็บผ้ากองโตอย่างไม่คิดมากอีก นางมองข้าอยู่ครู่ อมยิ้มเล็กๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ข้านั่งเย็บผ้ากองโตอยู่ผู้เดียว

 

ยามแปด ข้าทอดสายตามองออกนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าเริ่มทอแสงส้ม กองผ้าเองยังเหลืออีกเล็กน้อยไม่นานคงได้รับเงินกลับบ้านแล้ว ข้าจึงเร่งมือมิได้ทันสนใจสิ่งใด กระทั่งมีเสียงกระซิบเบาของบุรุษหนึ่งดังอยู่ข้างหู

“เจ้าเย็บผ้าได้สวยยิ่งนัก...” 

นี่คือต้นเสียงของข่าวลือและค่าจ้างเย็บปักอันแสนแพง บุรุษผู้นี้คืออ๋องน้อยจวี๋จวินฉี หนึ่งในคุณชายสกุลจวี๋ เขาคว้ามือข้างที่ข้าถือผ้าเช็ดหน้าที่เพิ่งปักเสร็จไปกุมไว้ ค่อยๆ บรรจงจูบหลังมืออย่างนิ่มนวล ทว่าข้ากลับสะบัดมือหนีอย่างตกใจจนแท่นปักหล่นลงพื้น ทำท่าโกรธขึ้งเป็นปรปักษ์กับเขา เรื่องใดจะยอมให้บุรุษที่ไม่ได้รักแตะต้องตัวง่ายๆ เล่า! ในวังหลวงมิได้อบรมนิสัยคุณชายเหล่านี้เลยหรือ?

แต่ข้ามิได้สงสัยพฤติกรรมอันน่ารังเกียจเหล่านี้เท่าไรนัก เพราะชื่อเสียงของอ๋องน้อยผู้นี้เลื่องลือในความเจ้าชู้เสเพล เขาเป็นหนุ่มมากเสน่ห์ที่สตรีในชิงฉวนต่างพากันหลงใหล แต่ใช่ว่าหญิงสาวทุกคนจะยอมพ่ายเสน่ห์ในตัวเขา บางคนขัดขืนไม่ยินยอมจนมีเรื่องราวใหญ่โต แต่ท่านอ๋องน้อยจวี๋กลับมิได้สนใจท่าทีตอบโต้ของพวกนางเท่าไร ทำให้หลายครั้งเกิดการขืนใจพวกนางขึ้น

จวี๋เซินสี่ขุนนางใหญ่ผู้เป็นพ่อเองมิได้เคยห้ามปรามลูกชายตน ซ้ำยังคอยหาหญิงโชคร้ายให้มารับใช้ปรนเปรอไม่ซ้ำหน้า งานจ้างเย็บปักนี้จึงมีขึ้นเพื่อค้นหาสาวงามมาทำหน้าที่ หญิงสาวบางรายเช่นข้าไม่มีทางเลือกเท่าไรนัก แม้ได้ยินข่าวลือพวกนี้อยู่บ้าง แต่ยังเสี่ยงมาทำงานเพราะหวังเพียงค่าจ้างแสนแพง ที่พวกเราพอทำได้คือหลีกเลี่ยงช่วงเวลาพลบค่ำที่จวี๋จวินฉีจะกลับเข้าจวนมาเจอเข้า มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นหญิงบำเรอให้เขาง่ายๆ แต่วันนี้โชคของข้าคงไม่ดีเท่าไร ยังไม่ทันจะมืดค่ำเจ้าบ้านี่ดันกลับมาพอดิบพอดี!

“ท่านไม่มีสิทธิ์แตะต้องตัวข้า!” ข้าทำหน้าตาไม่พอใจให้เขารู้พลางร่นถอยหลังระวังตัว

จวี๋จวินฉียิ้มเย้ยหยันขึ้นมุมปาก จับมือข้าที่สะบัดออกไว้แน่น “เจ้าคิดว่าค่าจ้างในหนึ่งวันรวมสิ่งใดไว้ในนั้นบ้างแม่นางวัง?” สีหน้ากวนประสาทของเขากำลังยั่วโมโหข้า จงใจยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

ข้าร้อนใจอย่างหนัก จ้องตาคนเขม็งพลางตอบทันที “ข้าคิดว่านั่นคือค่าจ้างที่จวี๋ฮูหยินให้ข้าเป็นค่าเย็บปักผ้าเช็ดหน้าสามสิบผืนกองนั้น!” 

ข้าถลึงตาใส่ ชี้นิ้วเรียวยาวเต็มไปด้วยแผลจากปลายเข็มไปที่กองผ้าที่เพิ่งปักเสร็จกองโตมุมห้อง

คิดว่าอย่างไรหรือ? อย่างกับมารดาเจ้ามิได้ใช้ข้าเยี่ยงทาสเช่นนั้น! 

ข้าแอบตะโกนด่าในใจ ก่อนสะบัดมือออกอีกครั้ง แต่คราวนี้จวี๋จวินฉีใช้แรงทั้งหมดบีบมือไว้แน่นไม่อาจหลุดได้ง่ายดายอีกแล้ว ข้ามองหาให้ใครช่วย แต่สาวใช้ที่ยืนอยู่เต็มห้องกลับไม่มีใครกล้าช่วยเหลือข้าสักคน ข่าวลือที่เคยได้ยินดูแล้วคงเป็นเรื่องจริง เจ้าบ้านี่ไล่ขืนใจสตรีไม่เลือกหน้า! ทั้งยังทำจนเป็นเรื่องปกติ สาวใช้ทั้งหลายเลยไม่สะทกสะท้านหากข้ากลายเป็นเหยื่อของจวี๋จวินฉีไปอีกคน ข้าส่ายตามองรอบห้อง เห็นพวกนางบางคนยืนก้มหน้าอย่างละอายใจ บ้างก็มองขึ้นสบตาข้าเป็นพักๆ ราวอยากรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวข้าแต่ก็ไม่กล้ามองเต็มตา 

เวลาคับขันเช่นนี้ควรทำอย่างไรดี!

“ข้าให้เจ้าเพิ่มอีกห้าตำลึงทอง[2]” จวี๋จวินฉีหยิบถุงเงินออกจากสาบเสื้อ รวบข้อมือทั้งสองข้างของข้าเอาไว้เหนือหัว ทำให้ข้าไม่สามารถดิ้นหนี แล้วยัดถุงเงินเข้ามาในอกทำเอาหน้าข้าแดงอายด้วยความโกรธ ปฏิกิริยานี้ทำให้จวี๋จวินฉีพอใจเป็นอย่างมาก เขายิ้มน้อยๆ แล้วลูบแก้มข้าเบาๆ ราวหยอกล้อ

ข้าจึงได้สติว่าต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้ว!

มองซ้ายมองขวา ห้องนี้เหมือนถูกจัดมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพราะดูอย่างไรก็เป็นห้องของเจ้าบ้านี่ชัดๆ ด้านซ้ายคือกองผ้า ด้านขวาคือเตียงนอนตัวยาว นี่ข้าคงไม่ได้มองสภาพห้องก่อนเหยียบเท้าเข้ามาแน่ เพราะมัวแต่รีบร้อนหันหลังปักผ้าแลกข้อเสนอเงินตำลึงพิเศษจากนายหญิง มิน่าเล่า...สาวใช้ถึงจงใจให้ข้ามาปักผ้าผู้เดียวสามสิบผืน คงเป็นอุบายรั้งเวลารอจวี๋จวินฉีกลับมาจากหอคณิกาสินะ!

“ข้ารู้ว่ามารดาของเจ้ากำลังป่วยหนัก เราในฐานะลูกขุนนางจึงต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในเมื่อสกุลวังกำลังลำบาก...”

“หุบปาก! ในเมื่อเจ้ารู้ดีเหตุใดถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้!” ข้าทำน้ำเสียงเย็นเยียบไร้มิตรภาพทั้งที่จวี๋จวินฉียังไม่ทันกล่าวจบประโยค ยิ่งเขาแสร้งเป็นคนดีข้ายิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียนใจ

จวี๋จวินฉีก้มตัวลงมากระซิบข้างหู ทำให้ใบหน้าเขาอยู่ห่างข้าไม่ถึงคืบ เส้นผมยาวที่ถูกมัดเพียงลวกๆ ของเขาจึงหล่นมาระคอทำให้จั๊กจี้จนใบหน้าข้าร้อนแดงขึ้นมา

“ไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล ในเมื่อรับเงินไปแล้วก็จงปรนนิบัติข้าซะ!” 



[1] หอคณิกาหรือหอนางโลม

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น