บทที่ ๔

บทที่ ๔

 

วิฬาร์ออกจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยยามกลับมาถึงบ้าน ท่านชายจะโปรดพี่สาวหล่อนหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาหรอก หล่อนไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยจนนิดเดียว แต่ที่ทรงทำราวกับว่าหล่อนอยากจะไปพบพักตร์นักหนา มิหนำซ้ำก็พระองค์เองนั่นแหละยกหล่อนเป็นข้ออ้างจะหาวิมาลา ยังทรงกล่าวหากันได้พักตร์ซื่อๆ วิฬาร์เกือบจะปาหนังสือทิ้งทีเดียว ดีแต่ว่ายับยั้งชั่งใจไว้ได้ทันท่วงที คนอาไร้ ช่างมั่นใจ อ้อ...มั่นพระทัยในตัวเองเหลือเกิน คนคิดหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในบ้านตัวเอง

ขณะที่ฝ่ายก่อเรื่องทรงแย้มโอษฐ์ ทอดพระเนตรจันทร์ทอแสงนวลเต็มดวงบนท้องฟ้า ไม่รู้เพราะอะไรถึงได้ทรงสำราญนักหนาที่ได้แกล้งแม่ลูกแมวน้อยวิฬาร์ ที่รักกระโดดมานอนแหมะอยู่บนพระเพลาในแบบที่มันชอบ หัตถ์หนาลูบหัวเบาๆ เหมือนทรงได้ความกระชุ่มกระชวยของวัยรุ่นกลับมาอย่างไรก็ไม่ทราบ บางทีอาจจะสดใสเสียยิ่งกว่าที่เคยทรงเป็นก็เป็นได้ หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงยิ้มกับองค์เอง

“เจ้านายของเจ้าน่ะดื้อเหลือเกินที่รัก” รับสั่งกับเจ้าตัวที่อยู่ใต้หัตถ์ “เจ้ายังดูจะดื้อน้อยกว่าเสียอีก มีอย่างหรือ มาหาว่าฉันใช้ตัวเองเป็นข้ออ้างอยากพบแม่วิมาลา เด็กหนอเด็ก ช่างคิดไปได้”

แล้วก็ทรงพระสรวลอีก เพราะนึกได้ว่าอีกฝ่ายก็เด็กจริงๆ นั่นแหละ เด็กกว่าพระองค์เองอยู่หลายปีทีเดียว เพราะเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยปีแรกเท่านั้นเอง เพิ่งจะพ้นวัยเด็กย่างเข้าสู่วัยสาว น่าจะเป็นสาวสวยเสียด้วย แม้จะไม่เทียบเทียมพี่สาวตัวเอง แต่ในพระทัยกลับยอมรับว่าวิฬาร์มีเสน่ห์บางอย่างที่วิมาลาไม่มี แต่จะเป็นด้วยอะไรยังไม่แน่พระทัย เพราะทอดพระเนตรในสายตาอย่างผู้ชายเท่านั้นเอง

เหตุการณ์อย่างนี้หายไปเสียวันสองวัน คราวนี้ก็ได้ฤกษ์มาใหม่ วิฬาร์อ่านหนังสือจบครบเล่มในเวลาไม่นานนักหรอก แต่ทอดเวลาออกไปเพราะไม่อยากถูกกล่าวหาว่าหาข้ออ้างอยากจะไปที่วังนั่นอีก หญิงสาวไปเรียนตอนเช้า กลับถึงบ้านตอนเย็นเป็นปกติทุกวัน ผ่านวังก็ไม่ได้สังเกตอะไรข้างใน อยากไปเยี่ยมที่รักก็อยาก แต่ไม่รู้จะไปอย่างไรคนเดียว วิมาลาเองก็ดูสงวนท่าทีอยู่มาก ชวนไปคงไม่ไปง่ายๆ

ประเดี๋ยวก็หาว่าเราอยากไปพบที่วัง น่าชังเสียจริงท่านชาย...

หล่อนถือหนังสือติดมือมามหาวิทยาลัย สอดเก็บไว้ในกระเป๋าเพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาไปคืนอย่างไรดี บ้านกับวังห่างกันไม่กี่ก้าวเท่านั้น คนที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ถอนหายใจเฮือก คว้าตำรามานั่งอ่านพลางรอรถจากที่บ้านมารับเช่นทุกวัน

“ขอนั่งด้วยคนสิ” 

เสียงทุ้มๆ เกือบแหบเรียกให้เงยหน้าขึ้นมอง วิฬาร์ยิ้มรับก่อนจะพยักหน้าให้ชายหนุ่มผิวเข้ม ร่างสูงสันทัดแต่ออกจะตัวบาง ผอมกว่าคนที่อยู่ในห้วงความคิดนิดหน่อย

“เลิศยังไม่กลับบ้านหรือ”

“ยังจ้ะ เลิศขอรถคุณพ่อมาวันนี้ รอรถที่บ้านเป็นเพื่อนวิฬาร์ก่อนก็ได้ เลิศไม่รีบ” เลิศพงษ์บอกเสียงหวาน วิฬาร์อาจจะไม่ได้สวยที่สุดในคณะหรือในมหาวิทยาลัย แต่วิฬาร์ก็มีบางอย่างที่โดดเด่นอยู่ท่ามกลางความสวยงามเหล่านั้น

วิฬาร์ไม่ได้เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ แต่ไม่ได้กร้านโลกกระโดกกระเดก หล่อนอยู่ตรงกลางระหว่างยุคใหม่กับยุคเก่า สำคัญคือวิฬาร์คุยง่าย ไม่ถือยศถือศักดิ์อย่างคนอื่น แม้บิดาของเขาจะเป็นถึงเจ้าของตึกแถว ห้องเช่าแถวตลาดที่มีเงินจะเรียกเป็นเศรษฐีได้ แต่พ่อก็เป็นแค่คนจีน แม่ก็เป็นคนจากทางใต้ เลิศพงษ์มักไม่พอใจสีผิวตัวเองเท่าใดนักว่าทำไมเขาถึงไม่ได้ตาคมกลมโตจากแม่ แต่ไปได้ตาตี่เป็นเจ๊กมาจากพ่อแล้วได้ผิวคล้ำจากแม่ แทนที่จะเป็นผิวขาวอย่างพ่อ

อย่างน้อยสันจมูกเขาก็โด่งเหมือนแม่ และร่างกายก็แข็งแรงบึกบึนพอประมาณ ไม่ได้อ้วนเตี้ยอย่างพ่อ ทว่ารวยก็เท่านั้น คนที่มาเรียนมหาวิทยาลัยบ้างเป็นพวกเจ้า พวกผู้ดี ลูกขุนน้ำขุนนาง อ้ายพวกนั้นพอเห็นเป็นเจ๊กเป็นแขกมันก็ดูถูกหมดนั่นแหละ คอยแต่จะโอ๋พวกเดียวกัน ไม่ก็พวกฝรั่งหัวแดง วิฬาร์แตกต่างออกไป หญิงสาวพูดคุยกับเขาได้อย่างสนิทใจ

“ความจริงเลิศขับรถไปส่งวิฬาร์ที่บ้านก็ได้ ไม่เห็นต้องลำบากรถที่บ้านวิฬาร์มารับ”

“อย่าเลย เรานับถือน้ำใจเลิศมาก แต่เราว่าคงไม่เหมาะ ถึงเราจะบริสุทธิ์ใจ แต่คนอื่นเขามองแล้วมันก็คงไม่งาม” 

หล่อนตอบตามตรงมิได้เสแสร้ง เลิศพงษ์เตรียมตัวรับคำตอบนี้อยู่แล้ว ออกจะดีใจด้วยซ้ำที่วิฬาร์ปฏิเสธ หล่อนหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ผู้หญิงอย่างนี้มีค่าควรหมายปอง

“วิฬาร์ไม่ได้รังเกียจที่เลิศเป็นลูกเจ๊กใช่ไหม”

“โธ่ เลิศ...” หล่อนหัวเราะในลำคอ “ลูกเจ๊กแล้วยังไง เราไม่สนด้วยซ้ำว่าใครจะเป็นใครมาจากไหน เราสนแต่ว่าเมื่อได้พบแล้ว พูดคุยภาษาเดียวกัน หมายถึงคุยกันรู้เรื่อง ถูกน้ำใจกันเท่านั้นก็พอ จะลูกเจ๊กลูกแขกที่ไหนเราก็ไม่รังเกียจหรอก”

“ยายมารตี ลูกพระยาธานีราช กับก๊กเขาไม่ยอมคุยกับเลิศ มองข้ามหัวเลิศด้วยซ้ำ อ้ายพวกนายวัตินั่นอีก อ้ายพวกนั้นมันว่าเลิศเป็นลูกเจ๊ก มันเป็นลูกคนมีเกียรติ มันก็เลยไม่ยอมคุยกับเลิศ ดูอย่างวิฬาร์เถอะ เป็นถึงลูกสาวเจ้าคุณวิเศษ วิฬาร์ยังไม่ถือตัวเท่าอ้ายพวกนั้นเลย” เสียงทุ้มเกือบแหบสั่นเล็กน้อยยามระบายความคับแค้นใจ

“เลิศก็อย่าไปสนพวกเขาเท่านั้นเอง วงเพื่อนของพวกเขาแคบ แต่เราชอบเปิดวงเพื่อนกว้างๆ รู้จักกันไว้เยอะๆ มีแต่เรื่องดี ไม่มีเรื่องเสีย”

“เลิศรักวิฬาร์เสียจริงๆ”

“วิฬาร์ก็รักเลิศ รักอย่างเพื่อนเพราะเลิศเป็นเพื่อนที่ดี” 

หล่อนดักทาง เลิศพงษ์เลยได้แต่ถอนหายใจ รู้ว่ารุกไปยามนี้ก็ไร้ประโยชน์ เขายังมีเวลาอีกนาน วิฬาร์พบเขาบ่อยกว่าผู้ชายคนอื่นแน่นอน เพราะในมหาวิทยาลัยวิฬาร์ก็ไม่ได้พูดคุยกับผู้ชายคนไหนเท่าเขา เรียนเสร็จก็มีรถจากทางบ้านมารับ เจ้าคุณวิเศษเป็นคนมีเกียรติ คงไม่ปล่อยให้ลูกสาวไปข้องแวะกับใครที่ไหน

ไม่ว่าจะทางใด ชายหนุ่มก็คิดว่าเขาได้เปรียบกว่าคนอื่นทุกประตู

ความคิดนั้นของเขาดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าตึกไม่ห่างออกไปเท่าใดนัก คนคุ้นตาวิ่งลงจากฝั่งคนขับวิ่งไปเปิดประตูให้คนที่ประทับอยู่ด้านหลังเสด็จลงมา วิฬาร์สะดุ้งนิดๆ พยายามเอาตัวเพื่อนบัง แต่ช้าเกินไป เพราะสายพระเนตรคมเฉี่ยวเลื่อนมาประทับที่หน้าหล่อนเรียบร้อยแล้ว เจ้าของวรกายสูงหนาในฉลองพระองค์สูทสากลเสด็จตรงมา

“เจ้าที่ไหนก็ไม่รู้วิฬาร์ เดินกร่างเข้ามาเชียว”

คนนินทานิ่งไปอีกเมื่อสุรเสียงทุ้มกังวานขานเรียกคนที่แอบอยู่ด้านหลัง

“ยังไม่กลับหรือวิฬาร์”

คนแอบผ่อนลมหายใจ ให้ตายเถอะ...หล่อนจะหลบพระองค์ไม่พ้นเลยหรือไง 

คนนึกยื่นหน้าออกมา พยายามทำตัวเป็นปกติ ยิ้มตอบรับไมตรี ทว่าพระเนตรคมทอดจับที่หล่อนแล้วเลื่อนไปหาชายที่นั่งอยู่ข้างกาย สายพระเนตรคล้ายคำถามว่า ‘ไอ้หมอนี่ใคร’

“ยังเพคะ แต่ประเดี๋ยวรถที่บ้านคงมา”

“ดีแล้ว อาจารย์ประจบอยู่ไหม ช่วยนำทางไปที พอดีฉันมีธุระกับท่านนิดหน่อย คงไม่รบกวนเธอเกินไป” รับสั่งถาม แต่เป็นคำถามที่เหมือนคำสั่งเสียมากกว่า วิฬาร์หาทางเลี่ยง

“อยู่ห้องชั้นสองเพคะ เดินขึ้นบันไดเลี้ยวซ้ายก็เจอ หม่อมฉันต้องรอ ประเดี๋ยวรถที่บ้านมาแล้วจะหาไม่เจอ”

“ยากอะไร ให้คนของฉันคอยดักบอกให้รอก็ได้ ไม่นานก็ลงมา”

“ผมนำทางให้ก็ได้ครับ” เลิศพงษ์ขัดขึ้นมาเสียกลางลำ เขามองนัยน์ตาหวานที่ฉายแววขอบคุณของวิฬาร์อย่างลำพองใจ วิฬาร์ไม่ได้เต็มใจจะไปกับอ้ายเจ้าคนนี้ เป็นใครเขาไม่สนใจหรอก สนแต่ว่าจะมาพาวิฬาร์ของเขาไปไหนมาไหนตามใจชอบไม่ได้

“ขอโทษทีเถอะ” สุรเสียงนุ่มเกือบดุ พระเนตรคมอยู่แล้วยิ่งคมกริบยามทอดพระเนตรบุคคลที่สามในการสนทนา “ฉันมีธุระต้องคุยกับวิฬาร์ด้วย เรื่องของที่รักคิดว่าเธอคงไม่อยากจะเข้าร่วมสนทนาด้วย ว่าอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องของที่รักจะพอไปด้วยกันได้ไหม”

ชายหนุ่มที่นั่งฟังยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ร่างบางที่นั่งข้างๆ ลุกขึ้นเดินไปหาอ้ายเจ้านั่นเสียแล้ว มันทอดสายตาเยาะหยันมามองประหนึ่งว่ามันชนะเขาแล้วอย่างนั้นละ แล้วตกลงที่รักนี่มันคือใคร ทำไมต้องเรียกที่รัก เลิศพงษ์คิดจนหัวสมองจะแตก แต่คิดอะไรไม่ออก ได้แต่มองร่างบางยิ้มเจื่อนตามร่างสูงนั้นขึ้นไปบนตึก

ใคร” รับสั่งถามด้วยสุรเสียงราบเรียบเป็นปกติ คนที่เดินตามไม่ได้ตอบคำถามนั้น

“ไหนว่าจะรับสั่งเรื่องที่รัก”

“อ้อ...อยากจะบอกเธอว่ามันยังสบายดี น้ำหนักน่าจะขึ้นด้วยเพราะมันอ้อนแม่ครัวเก่ง เขาเหลือขนมให้มันทุกวันนั่นแหละ” รับสั่งเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่คนเดินตามชะงักเท้า รู้ตัวว่าโดนหลอกให้เดินตามขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เอ๊ะ! ทรงหลอกหม่อมฉัน”

เมื่อนั้นจึงทรงหมุนวรกายหนากลับมาเผชิญหน้าคนที่ยืนนิ่ง ท่าทางไม่พอใจ ริมโอษฐ์ยักแย้ม 

“ฉันบอกเธอแต่ว่าฉันอยากคุยกับเธอเรื่องเจ้าที่รัก แต่ไม่ได้บอกว่าจะคุยเรื่องอะไร เธอจะมากล่าวหาว่าฉันโกหกเธอได้อย่างไรวิฬาร์ ว่าแต่ผู้ชายที่อยู่ข้างล่างนั่นใคร” ทรงเลี่ยงเบี่ยงมาเข้าเรื่องที่ทรงอยากรู้

วิฬาร์อยากจะกระทืบเท้าปึงปังเสียทีสองที แต่อดกลั้นเอาไว้เพราะแม่สอนว่า ‘กิริยาไม่งาม’ คนตรงหน้างามนักละ 

“เพื่อนเพคะ ชื่อเลิศพงษ์ เขามารอรถเป็นเพื่อนหม่อมฉัน”

“สนิทกันขนาดต้องมานั่งรอรถเป็นเพื่อนกันเลยหรือ”

“เปล่าเพคะ ปกติหม่อมฉันอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอีกคน แต่วันนี้เขาติดธุระต้องกลับก่อน เลิศเขาเห็นหม่อมฉันนั่งรออยู่คนเดียวเลยมารอเป็นเพื่อน” ทรงเป็นใคร ถืออะไรมาซักถามให้มากความวุ่นวายอย่างนี้ 

ทว่าฝ่ายคนฟังทรงเลิกขนงสูงนิดๆ

“เพื่อนผู้ชาย?”

“หม่อมฉันเพื่อนมากเพคะ มีทั้งเพื่อนผู้ชายและผู้หญิง เลิศเขาก็เป็นเพื่อนคนหนึ่ง ไม่เห็นว่าจะแปลกตรงไหน”

“แน่ใจเหรอว่าเขาอยากเป็นเพื่อน”

“ฝ่าบาท...ทำไมรับสั่งถามหม่อมฉันแบบนั้น ทูลว่าเพื่อนก็คือเพื่อนเพคะ นั่นอาจารย์ประจบ หม่อมฉันทูลลา” 

ทว่าคนจะหมุนตัวกลับโดนเรียกไว้อีกรอบ

“เดี๋ยววิฬาร์ หนังสือที่ยืมไป ช่วยกรุณาเอามาคืนที่วังด้วย”

คนฟังหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋า ณ ตรงนั้นแล้วยื่นถวายคืน 

“หม่อมฉันถวายคืนเลยเพคะ” แต่หัตถ์หนาไม่ยักเอื้อมออกมารับ “ทำไมไม่ทรงรับเพคะ”

“ฉันบอกว่าให้คืนที่วัง ที่นี่เป็นวังหรือ ถ้าจะคืนให้เอากลับไปคืนที่วัง อ้อ อีกเรื่องคือคราวหลังอย่าไปอยู่กับผู้ชายที่ไหนสองต่อสองแบบนั้นอีก มันไม่งาม แล้วถึงเขาจะเป็นเพื่อนก็ใช่ว่าเขาจะไว้ใจได้” 

รับสั่งแล้วเสด็จเลี้ยวเข้าห้องพักอาจารย์ไปเลย วิฬาร์ถือหนังสือฮึดฮัดกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะเดินลงบันไดไป

เมื่อครู่ทรงคุยกับใคร เสียงดังเชียว

คนที่เพิ่งเดินเข้ามาก่อนได้ไม่นานรีบเสียจนไม่ทันได้สังเกต เห็นแต่ร่างสูงใหญ่ยืนบังใครอยู่ก็ไม่ทราบ ฝ่ายที่เสด็จตามเข้ามาทรงหย่อนวรกายลงประทับบนเก้าอี้ ทอดพระเนตรเจ้าของห้องเก็บของใส่กระเป๋า

“ลูกแมวน่ะ”

คนฟังหัวเราะ “โอ้ย เดี๋ยวนี้ทรงพัฒนา นอกจากอังกฤษกับเยอรมันยังรับสั่งเป็นภาษาแมวได้ด้วย”

“ใครว่า แมวพูดภาษาเราได้ต่างหาก ภาษาอังกฤษด้วยอีกต่างหาก” ทรงพระสรวลในศอยามเปรียบเทียบใครอีกคนเป็นลูกแมว งอนเถอะงอนไป สะบัดหนีเท่าไรก็ยิ่งทรงอยากตาม

“แมวตัวนี้เก่งจริง ว่าแต่คงไม่ได้เด็จมาคุยกับแมวอย่างเดียวแน่”

“ก็ใช่ ว่าจะมาคุยกับเธอเรื่องงานสมาคมศิษย์เก่าอะไรนี่สักหน่อย เขาส่งการ์ดมาให้ฉัน แต่ฉันยังไม่ทันตอบรับเพราะหาคู่เต้นรำไม่ได้ พอดีเห็นเธอยังไร้คู่เหมือนกันเลยมาถามดู”

ประจบเงยหน้ามองเพื่อนสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศยิ้มๆ “อย่างฝ่าบาทน่ะมีคนมารอให้ทรงเลือกเยอะแยะ เชื่อกระหม่อมไหม ลงหนังสือพิมพ์สักวันรับรองว่าวังแตก ผู้หญิงที่ไหนบ้างไม่อยากควงคู่นายแพทย์หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์เต้นรำ”

“น่าจะมีนั่นแหละ” นั่นแหละ คนหนึ่งที่ทรงคาดว่าชวนอย่างไรก็คงไม่ยอมไป “ว่าแต่เธอไปไหม เผื่อเธอไม่ไป ฉันจะโดดเสียด้วยเป็นเพื่อนกัน ขาดเราเสียสองคน งานเขาคงไม่ล่มหรอก”

“เสียพระทัยด้วยจริงๆ นายเกตุเขามาลากคอกระหม่อมไปเป็นประธานรุ่น ประธานไม่ไปก็ล่มสิกระหม่อม โทษใครไม่ได้เลยนอกจากฝ่าบาท ตอนเขาเชิญก็ทรงปฏิเสธ ทีนี้หาใครไม่ได้เลยมาลงที่กระหม่อม นี่ยังหาคู่ไม่ได้เลย แม่โฉมรวีศรีสะอางเขาก็แต่งงานไปเสียแล้ว เรียกใช้ไม่ได้เลย”

“อย่างนั้นฉันขอเสนอเสียคน”

“อ้าว ไหนบอกว่ายังไม่มีคู่ไงกระหม่อม”

“เอาเถอะน่า คนนี้เธอรู้จักดี ชวนไปเขาก็ไม่น่าจะปฏิเสธหรอก นิสิตาที่ชื่อวิฬาร์นั่นไง ชวนไปเป็นคู่กันไม่เสียหายหรอก ส่วนคู่ของฉันน่ะพอจะหาได้อยู่ไม่ยากหรอก” 

ไม่กี่ครั้งที่ประจบจะเห็นประกายเจ้าเล่ห์จากพระเนตรคมของอีกฝ่าย

“แล้วรู้จักนิสิตาของกระหม่อมได้ยังไง มายุให้ชวนลูกศิษย์ตัวเองไปเป็นคู่ควงอีกต่างหาก คนนี้เขาเสน่ห์แรงนาฝ่าบาท” คนพูดเล่นๆ แต่ฝ่ายที่ฟังทรงจริงจัง

“เหรอ กับนายเลิศอะไรนั่นด้วยหรือเปล่า”

“อ้าว ทรงรู้จักนายเลิศพงษ์ด้วยเหรอ คนนี้แหละตัวดีทีเดียว”

“เห็นเขาว่าเป็นเพื่อนเฉยๆ”

“ฝ่ายหญิงคิดเป็นเพื่อนคงใช่ วิฬาร์เป็นเด็กอัธยาศัยดี นิสัยดี มารยาทก็ดี แต่ทางฝ่ายชายนี่เขารู้ๆ กันน่ะกระหม่อม ความจริงนายเลิศพงษ์นี่ก็นิสัยดี เรียนก็ดี ฐานะทางบ้านก็ดี เสียอย่างเดียวคือออกจะหัวรุนแรงอยู่สักนิด ว่าแต่ทำไมรับสั่งถามแต่เรื่องวิฬาร์ อย่าบอกนะฝ่าบาทว่า...” 

ไม่ต้องต่อ เพราะฝ่ายที่โดนถามทรงตอบเอง

“ลูกสาวคนเล็กเจ้าคุณวิเศษ บ้านอยู่ติดวังห่างกันไม่กี่ก้าว ฉันก็ถามไถ่ห่วงใยไปตามประสา”

คนฟังหัวเราะ “อ้อ กระหม่อมยังไม่ทันได้ว่าอะไรเลย อย่าร้อนองค์สิ เดี๋ยวกระหม่อมลองชวนดูก็ได้ ไม่น่าจะเสียหายอะไร แต่เจ้าคุณวิเศษจะยอมให้มาเหรอฝ่าบาท ลูกสาวคนเล็กด้วย คงหวงน่าดูชมทีเดียว”

“เอาเถอะน่า ลองชวนดูก่อน”

“ฝ่าบาททำอะไรอยู่กันแน่ กระซิบบอกกันก่อนได้ไหม วิฬาร์ยังเด็กอยู่นา เพิ่งเรียนปีแรกเท่านั้นเอง”

“เอ๊ะ! ประจบ ชักจะคุยไม่รู้เรื่อง พอเถอะ จะกลับวังแล้ว” รับสั่งแล้วแล้วเสด็จออกมา ได้ยินเสียงเพื่อนหัวเราะอยู่แว่วๆ ก็แน่พระทัยอย่างนั้น อยากจะแกล้ง อยากจะหยอกเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรเลยเถิดไปไกลขนาดที่เพื่อนว่าเสียหน่อย

เสด็จกลับลงมาข้างล่าง ไม่พบแล้วทั้งวิฬาร์แล้วก็นายคนนั้น เจ้าของวรกายสูงทรงขึ้นไปประทับบนรถ หัตถ์หนาคลำไปเจออะไรบางอย่างบนเบาะ ก้มลงทอดพระเนตรแล้วก็ทรงยักโอษฐ์แย้ม หนังสือที่วิฬาร์ยืมไปนี่เอง ไหนเลยถึงมาอยู่ตรงนี้ได้เล่า

“ทำไมหนังสือมาอยู่ตรงนี้”

นายมหาดเล็กที่วิ่งกลับขึ้นมาทำหน้าที่ขับรถทูลตอบ “ลูกสาวเจ้าคุณวิเศษฝากกระหม่อมมาถวายคืนฝ่าบาท”

“อ้อ...” 

รับสั่งอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยให้รถแล่นออกไป ทว่าริมโอษฐ์ยักแย้ม เกือบลืมไปแล้วว่ารับสั่งอะไรเอาไว้กับเพื่อน หัตถ์หนาถือหนังสือแล้วนึกถึงคนที่เคยยืมไป ในพระทัยร่ำร้อง...

คิดหรือวิฬาร์ว่าไม่มีหนังสือแล้วจะหลบหน้ากันได้ ตราบใดที่ที่รักยังอยู่กับฉัน ตราบนั้นเราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน

วิฬาร์มาเรียนตอนเช้าตามปกติ ทว่าวันนี้ร่างสูงสันทัดของเลิศพงษ์ดักรออยู่หน้าตึก เขาปรี่เข้ามาหาทันทีที่รถจากบ้านหล่อนเลี้ยวลับสายตาไป

“เลิศช่วยถือของ” เขาอาสา แต่เจ้าของหนังสือเบี่ยงออกนิดพอให้รู้ เพราะมีสายตาคนอื่นทอดมอง ไม่นานจะกลายเป็นเรื่องนินทา ชายหนุ่มเองก็เหมือนเพิ่งจะรู้สึกตัว เขาถอยห่างออกมา “ขอโทษ เลิศลืมไปว่ามันไม่เหมาะ แต่เลิศอยากคุยกับวิฬาร์”

“ก็ได้ เดินไปคุยไปก็ได้” 

เขาถอยให้หญิงสาวเดินนำ ตัวเองเดินตาม แล้วก็ถามสิ่งที่ค้างคาใจ

“เจ้าคนเมื่อวานน่ะใคร”

“คนไหน...” ใช้เวลาคิดครู่หนึ่งวิฬาร์ก็นึกออก “อ้อ หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ วังท่านอยู่ติดกับบ้านเราน่ะก็เลยรู้จักกัน ทำไมหรือเลิศ”

“เลิศไม่ชอบเขา อ้อ...ท่านน่ะ ไม่รู้สิ สายพระเนตรเวลามองวิฬาร์ของท่านเลิศไม่ชอบเลย มิหนำซ้ำยังมาทำวางอำนาจสั่งวิฬาร์อีกต่างหาก”

“ไม่หรอก...” ก็คิดว่าทรงชอบแกล้ง จำเพาะจะต้องมาแกล้งแต่หล่อนเสียด้วยสิ

“แน่ใจนะว่าเขาไม่ได้ชอบวิฬาร์”

“บ้าน่าเลิศ” วิฬาร์หมุนตัวกลับมามองคนพูดเต็มตา “จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง คิดมากไปเอง อย่างวิฬาร์น่ะเหรอ คิดไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก อีกอย่างท่านโปรดพี่สาวเราอยู่” หล่อนพูดพาดพิงถึงใครอีกคน 

เลิศพงษ์ตาโต ขยับเข้าใกล้ “จริงเหรอ”

“เรื่องอะไรเราจะต้องมาโกหกเลิศด้วยล่ะ ไม่เอาแล้ว เข้าเรียนเถอะ” 

คนพูดเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องเรียน เลิศพงษ์ยิ้มแก้มแทบปริ พี่สาววิฬาร์เองหรอกหรือ ช่างเถอะ...จะโปรดใครก็ช่างเถอะ ขออย่ามาโปรดวิฬาร์ของเขาก็แล้วกัน คนนึกเดินยิ้มเข้าไปข้างใน

คนที่ยืนสอนอยู่หน้าห้องมองลูกศิษย์ตัวเองเดินตามกันต้อยๆ ใครๆ เขาก็ดูออกว่าเลิศพงษ์ชอบวิฬาร์มากขนาดไหน ขณะที่ฝ่ายหญิงพยายามรักษาระยะห่างเอาไว้อย่างไม่น่าเกลียด เลิศพงษ์เป็นคนคิดแล้วทำ เชื่อมั่น มุ่งมั่นจนบ้างครั้งกลายเป็นดื้อรั้น ถ้าเกิดว่าเพื่อนรักอย่างหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์จะกระโดดลงสนามนี้อีกคน เขาก็ยังมองไม่ออกว่าคนอย่างนายเลิศพงษ์จะเอาอะไรมาสู้ แต่เพื่อนกิตติมศักดิ์ก็ยืนกรานเสียเสียงสูงว่าไม่คิด ก็ขอให้ไม่คิดแล้วกัน

“คุณวิฬาร์ เดี๋ยวตามไปพบผมที่ห้องด้วยนะ” อาจารย์ร้องสั่งเมื่อการเรียนจบลง


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น