บทที่ ๕

บทที่ ๕

เลิศพงษ์ได้แต่นั่งแกร่วรออยู่ข้างนอก จะเข้าไปข้างในก็ไม่ได้เพราะเป็นห้องพักอาจารย์ ทั้งที่อยากรู้ใจจะขาดว่าอาจารย์ประจบเรียกวิฬาร์เข้าไปพบด้วยเรื่องอะไร เพื่อนผู้หญิงของหญิงสาวเดินเลยออกไปหาอาหารกลางวันรับประทานกันแล้ว แต่เขาอยากจะรอถามมากกว่า ถึงอาจารย์ประจบจะเป็นอาจารย์ แต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ อีกฝ่ายยังหนุ่ม สำคัญคือไม่มีคู่นี่สิ ช่วงเวลานี้เขาระแวงไปหมดนั่นแหละ หมดเรื่องเจ้าอะไรนั่นจะมาเป็นอาจารย์ตัวเองอีกหรือ ถึงจะหงุดหงิด แต่ก็ออกจะดีใจอยู่นิดๆ เพราะอย่างน้อยนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าวิฬาร์มีค่าคู่ควรแก่การไขว่คว้า

ไม่นานนักร่างบางระหงก็เดินออกมา คนเป็นอาจารย์เดินยิ้มตามออกมาส่ง คุยอะไรกันอยู่สักครู่หนึ่งแล้วหญิงสาวก็ผละออกมา คนรอลุกพรวดรี่เข้าไปหา

“มีเรื่องอะไรหรือวิฬาร์”

“เอ๊ะ เลิศไม่ได้ไปกับพวกศจีหรือ”

“เลิศรอวิฬาร์ เดี๋ยวเราค่อยไปทานพร้อมกันก็ได้ แต่ว่าอาจารย์ประจบเรียกวิฬาร์เข้าไปพบทำไมหรือ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า หรือว่าอาจารย์...” เขาถามรัวเป็นชุด คนฟังหัวเราะน้อยๆ แล้วส่ายหน้า

“โอ๊ย ทำไมเลิศสงสัยเยอะนักเล่า เราตอบไม่ถูก” หล่อนหัวเราะแล้วตอบ “อาจารย์มีธุระจะไหว้วานเราเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก ขอบใจนะเลิศที่เป็นห่วง”

“ธุระอะไร ให้เลิศช่วยไหม” เขารีบเสนอตัว อะไรก็ตามที่จะทำให้เขาได้แสดงผลงานให้วิฬาร์เห็น เขาพร้อมจะทำทั้งนั้น ขอให้เอ่ยปากมาเถอะ เขาทำให้ได้ทุกอย่าง ทว่าคนฟังที่เดินนำเขาไปสองสามก้าวส่ายหน้า ตอบขณะก้าวขาออกจากตึก

“ขอบใจน้ำใจเลิศมาก แต่ไม่ต้องหรอกจ้ะ เท่านี้เอง เราจัดการได้” 

ใช่...หล่อนจัดการได้ เพราะถ้าขืนบอกเลิศพงษ์ไปคงได้เป็นเรื่อง ในเมื่ออาจารย์ประจบเรียกหล่อนไปพบด้วยเรื่องที่ออกจะเป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อยเสียเมื่อไร เกิดชายหนุ่มตรงหน้ารู้มีหวังได้เป็นเรื่องราวใหญ่โต

‘ผมต้องไปเป็นประธานรุ่นในงานสโมสรศิษย์เก่า ทีนี้บังเอิญว่าผมไม่มีคู่เต้นไปในงาน มีคนเขาแนะนำคุณมา ไม่ทราบคุณสะดวกไหม ผมจะเข้าไปคุยกับเจ้าคุณพ่อคุณเอง’

‘ฉันหรือคะ’

‘คุณเห็นใครในห้องนี้นอกจากตัวคุณไหมล่ะ คุณวิฬาร์’

‘ฉันไม่เคยออกงานค่ะอาจารย์’

‘คุณเต้นรำเป็นไหม’

‘พอได้นิดหน่อยค่ะ เคยเรียนกับครูแหม่มที่บ้านคนหนึ่ง’

‘นั่นละ คุณมีคุณสมบัติของการออกงานแล้ว เอาละ อย่าได้ปฏิเสธเลย เพราะผมหาใครไม่ได้นอกจากคุณ ถ้าผมไม่ไปงานคงล่ม คุณน่าจะรู้ว่ามันร้ายแรงมากทีเดียวกับการจัดงานแค่ปีละครั้ง พรุ่งนี้เช้าคุณไม่มีเรียน ผมจะเข้าไปพบเจ้าคุณพ่อของคุณที่บ้าน ช่วยเรียนท่านให้รอผมสักครู่หนึ่ง รับรองว่าจะไม่ให้สายนัก’

อาจารย์ประจบท่านนี้มัดมือชกหล่อนเข้าให้เสียแล้ว ก็ควรจะปฏิเสธ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจำเป็นต้องการหล่อนจริงๆ คนไม่เคยออกงานสโมสรนึกหวั่น แต่เอาเถอะ...แค่อาจารย์พบเจ้าคุณพ่อแล้วพูดให้ท่านอนุญาตได้ก็นับว่าอาจารย์เก่งละ 

แล้วหล่อนก็เดินออกไปรับประทานอาหารร่วมกับกลุ่มเพื่อนพร้อมเลิศพงษ์โดยทิ้งเรื่องนี้เอาไว้ข้างหลัง อย่างไรเสียเจ้าคุณพ่อของหล่อนก็คงไม่อนุญาตหรอก

แล้วคนที่สบายใจมาตลอดเวลาก็แทบจะล้มทั้งยืน เมื่อยามเช้าของวันนั้นมาถึง หล่อนเกริ่นให้เจ้าคุณพ่อฟังแล้ว ดูคล้ายว่าท่านก็จะไม่อนุญาตตามที่คิดเอาไว้นั่นแหละ แต่เป็นอย่างไรมาอย่างไรไม่ทราบ พอรถเลี้ยวเข้ามาจอดด้านใน วิฬาร์ซึ่งแต่งชุดสุภาพเรียบร้อยออกมายืนรอต้อนรับอาจารย์ก็ต้องตกใจ หล่อนลืมไปจริงๆ เสียด้วย ลืมไปสนิทใจทีเดียวว่าอาจารย์ประจบรู้จักกับหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์!

“ฝ่าบาท...” หล่อนครางอยู่ในลำคอนั่นเอง 

พระเนตรคมมีแววยั่วเย้า แล้วก็เลื่อนไปจับหญิงสาวอีกคนที่ยืนก้มหน้ายิ้มอายๆ ให้ เจ้าคุณวิเศษนิ่งไปเหมือนกัน เพราะคาดไม่ถึงว่าอาจารย์หนุ่มของบุตรสาวคนเล็กจะมาเยือนพร้อมราชนิกุลหนุ่มผู้นี้

“เสด็จข้างในก่อนกระหม่อม เชิญอาจารย์ด้วย” 

เจ้าบ้านเชิญแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน วิฬาร์ร้อนวูบวาบอยู่ในอก ก็เพราะรู้ดีนั่นแหละว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับท่านชายองค์นี้ไม่เคยเป็นเรื่องปกติธรรมดา ท่านจะทรงหาเรื่องอะไรให้หล่อนอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

ห้าชีวิตนั่งกันอยู่บนเก้าอี้รับแขกในห้องชั้นล่างของตึก พันเอกพระยาวิเศษสรลักษณ์มีบุตรสาวสองคนขนาบซ้ายขวา อีกฝั่งเป็นหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์และอาจารย์หนุ่มผู้ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงได้ยอมมานั่งอยู่ตรงนี้ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจเช่นนี้ พ่อของลูกศิษย์คือนายทหารสูงวัยร่างสูงใหญ่ อาจจะเตี้ยกว่าคนเป็นเพื่อนกิตติมศักดิ์นิดหน่อย แต่โครงหน้าคมเข้มกับผิวออกคล้ำแดดกลับทำให้อีกฝ่ายดูมีพลังอำนาจล้นเหลือ ถ้ามาคนเดียวเขานึกไม่ออกเหมือนกันว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไหน

“วิฬาร์น่าจะบอกเจ้าคุณแล้ว” ผู้มีศักดิ์สูงสุดเปิดบทสนทนา 

เจ้าคุณวิเศษมองแล้วพยักหน้ารับ

“กระหม่อม วิฬาร์บอกกระหม่อมแล้วว่าอาจารย์ประจบจะขอยืมตัวลูกสาวกระหม่อมควงไปงานสโมสรศิษย์เก่า แต่กระหม่อมไม่ทันได้นึกว่าฝ่าบาทจะ...เสด็จมาด้วย”

“ฉันกับประจบเป็นเพื่อนสนิทกัน ประจบเขาเห็นว่าฉันรู้จักมักคุ้นกับเจ้าคุณดี เขาก็กลัวว่าเจ้าคุณจะไม่อนุญาต เลยขอร้องให้ฉันมาช่วยพูดยืนยันให้เขา” 

รับสั่งพักตร์ตาย คนเป็นเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ เกือบหลุดหัวเราะ ตวัดหางตามองคนรับสั่งเฉย อ้อ...ประจบเพิ่งทราบว่าตัวเองไปขอร้องอีกฝ่ายก็เมื่อครู่นี้เอง

“ก็ไม่ถึงกับจะไม่อนุญาตหรอกกระหม่อม เพียงแต่วิฬาร์ยังเด็ก เกรงว่าจะทำตัวไม่เหมาะสมจนทำให้อาจารย์ต้องเสียหน้ามากกว่า อีกอย่างวิฬาร์บอกกระหม่อมว่ายังเต้นรำได้ไม่แข็งนัก เอาไปก็จะเป็นภาระของอาจารย์ประจบเปล่าๆ ก็เท่านั้นเอง” 

เหตุผลฟังขึ้น และอาจจะเป็นความจริงอยู่มาก แต่เจ้าตัวคนชวนไปได้แต่นั่งเงียบ ปล่อยราชนิกุลหนุ่มบรรเลงไปคนเดียว

หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ทรงยิ้มนิดๆ 

“เรื่องแบบนี้สอนกันได้เจ้าคุณ ลูกสาวเจ้าคุณเป็นเด็กเรียนรู้ไว สอนไม่นานก็จะเก่งเอง หรือเจ้าคุณคิดว่าวิฬาร์จะไม่มีความสามารถมากพอ” ทรงดักคอ ดักทาง

เจ้าคุณวิเศษนิ่งอึ้ง ขณะที่วิฬาร์อยากตบหน้าผากตัวเองนักที่หลงนึกดีใจว่าบิดาจะช่วยหล่อนได้ ถ้าอาจารย์ประจบมาคนเดียวไม่น่าจะมีปัญหาหรอก เพราะท่านเป็นคนตรง แล้วก็คงไม่เถียงอะไรไม่ลดราวาศอกอย่างใครบางคน เหอะ! หล่อนอยากพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์...ทรงแกล้งหล่อนแน่นอน

“กระหม่อมไม่อยากให้วิฬาร์ไปทำเรื่องไม่ควรข้างนอก”

“อย่างไหนที่เจ้าคุณว่าไม่ควร การไปงานสโมสรกับประจบซึ่งเป็นอาจารย์ของวิฬาร์น่ะหรือไม่ควร เรื่องนั้นเจ้าคุณไม่ต้องกลัว เพราะวิฬาร์จะไปแต่ในฐานะคู่ควงเท่านั้น ประจบเป็นประธานรุ่น คนในรุ่นทุกคนรู้จักเขาดีพอที่จะไม่คิดอะไรไปในแง่ร้าย” สุรเสียงทุ้มกังวานเนิบนิ่ง

ประจบเอาแต่เงียบ ก็จะทำอะไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายทรงแสดงเองได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เจ้าคุณวิเศษหันมองหน้าบุตรสาวคนเล็กที่คล้ายส่งสายตาอ้อนวอน ขณะที่บุตรสาวอีกคนคอยเหลือบมองเพื่อนกิตติมศักดิ์ไม่วางตา คนที่อยากจะไปก็มี ทำไมไม่ทรงเอา รั้นจะเอาแต่คนที่เขาไม่เต็มใจ

“กระหม่อม...” เจ้าของบ้านไม่ทันได้พูดก็โดนร่างสูงแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ถ้าเป็นเรื่องเสียหายอย่างที่เจ้าคุณกลัวจริง เจ้าคุณส่งวิมาลาไปคุมเสียก็สิ้นเรื่อง ให้เขาอยู่ด้วยกันสองคนพี่น้อง เปิดหูเปิดตาเสียบ้างไม่เสียหายนักหรอก เพราะต่อไปฉันเชื่อว่าสองคนนี้คงจะมีโอกาสได้ออกงานร่วมกันอีกแน่นอน” ทรงเว้นจังหวะ ทอดพระเนตรผู้หญิงที่ก้มหน้าเอียงอาย “ความจริงฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะไปร่วมงานนี้กับใคร เจ้าคุณจะให้วิมาลาไปกับฉันได้ไหม ฉันกับวิมาลาจะช่วยดูวิฬาร์ให้”

วิมาลาเงยหน้าตะลึงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เสียงหวานเกือบสั่น “หม่อมฉันเต้นไม่เป็นเพคะ”

“ฉันสอนให้เธอได้” รับสั่งอ่อนโยน ก่อนจะหันมาหาพ่อของสองสาว “หรือเจ้าคุณจะบอกว่าแม้แต่กับฉัน เจ้าคุณก็จะไม่ไว้ใจ” 

อีกครั้งที่ทรงดักคอ เจ้าคุณวิเศษนิ่ง รู้สึกเหมือนเหงื่อซึมออกไรผม ก่อนจะหันมองบุตรสาวทั้งสองคนสลับกันไปมา วิมาลาน่ะอยากไปแน่ แต่วิฬาร์ทำท่าไม่อยากไปเหลือเกิน

“กระหม่อมต้องแล้วแต่ลูก” ผลักภาระ ใครอยากไปก็ไป ใครไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป

คนที่นั่งกระสับกระส่ายอยากปฏิเสธใจแทบขาดว่าไม่อยากไปและจะไม่ไปเด็ดขาด ทว่าท่าทีของพี่สาวที่บิดซ้ายทีขวาทีอยู่ถัดออกไปกลับทำให้ทุกคำกลืนหายไปในลำคอ หันมองคนเป็นอาจารย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ฝ่ายเจรจา ได้รับคำตอบมาด้วยการพยักหน้า อาจารย์บังคับ...พี่สาวอยากไป...วิฬาร์เอ๋ย ตัวเลือกของหล่อนไปอยู่เสียที่ไหนไม่ทราบ ยิ่งเห็นสายพระเนตรที่ทอดสบมาอย่างผู้ชนะ คนมองก็ยิ่งหงุดหงิด แต่ก็จนทางเลือก ถ้าหล่อนไม่ไปวิมาลาก็คงไปไม่ได้

“ก็ได้ค่ะ” เสียงตอบรับแผ่วจนเกือบไม่ได้ยิน

“ตกลงวิฬาร์ไป แล้วเธอล่ะวิมาลา จะยินดีเป็นคู่ออกงานให้ฉันไหม” 

รับสั่งถามพร้อมส่งสายพระเนตรที่รู้ว่าละลายหัวใจคนมองเหลือเกินออกไป วิมาลาสุดจะตอบ ทำได้แต่พยักหน้ารับเท่านั้น โอษฐ์บางแย้มสวย คนนั่งมองนึกอยากไปดึงให้หุบเสียจริงๆ เลยเชียว ทรงยิ้มอยู่นั่นแหละ ไม่รู้ว่าจะอะไรนักหนา จนกระทั่งได้ยินรับสั่งต่อมาถึงได้ทราบว่าต้องผจญกับอะไรอีกบ้าง

“เป็นอันว่าลูกสาวเจ้าคุณตกลงทั้งคู่นะ”

“กระหม่อม” เจ้าคุณวิเศษพูดอะไรไม่ออก

“อย่างนั้นก็ดี กว่าจะถึงวันงานก็อีกหลายวัน ยังมีเวลาซ้อมอยู่มาก จะให้ประจบเขามาสอนก็คงไม่สะดวก ฉันจะมาสอนให้แทนก็แล้วกันสำหรับทั้งสองคน วิฬาร์เลิกเรียนพร้อมฉันเลิกงาน เพราะฉะนั้นฉันจะไปรับวิฬาร์มาที่บ้านแล้วเริ่มเรียนที่บ้านเลย เอาเป็นวังฉันจะดีกว่า เพราะมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วย” 

รับสั่งเองเสร็จสรรพ วิฬาร์เถียงไม่ออกสักคำ เจ้าคุณเองก็เถอะ ถึงจะห่วงบุตรสาวแต่ก็ไม่รู้จะทัดทานอย่างไร

“แล้วแต่จะโปรด”

“อย่างนั้นฉันก็โปรดแบบนี้ละเจ้าคุณ”

ทรงชนะ! ประจบอยากจะตบเข่าสักฉาด เขานั่งนิ่งอย่างคนมีหน้าที่พยักหน้าฟังอย่างเดียว ใครเลยจะรู้ว่าทุกบทสนทนาผ่านการคัดกรองมาแล้วอย่างดี หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์มิได้เตรียมตัวมาแพ้ในเกมนี้เลยแม้แต่น้อย ทรงดำริแต่ว่าพระองค์จะต้องชนะ แล้วก็ทรงชนะอย่างสวยงามเสียด้วย เพราะถ้าเป็นชายคนอื่นหรือแม้แต่ตัวเขาเอง ลงว่าเจ้าคุณไม่ประสงค์จะอนุญาต อย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจได้แน่นอน มิหนำซ้ำอาจจะโดนไล่ออกไปจากบ้านเสียด้วยเลย แต่หม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ไม่ทรงเป็นเช่นนั้น

“งั้นผมขอตัวก่อนนะเจ้าคุณวิเศษ แล้วจะมารับวันงาน” 

ทรงตัดการสนทนา ทั้งห้าคนล่ำลากัน ก่อนสองหนุ่มจะเดินออกจากบ้านไป

วิมาลามองแล้วยิ้มอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ หล่อนโดนหม่อมเจ้านภาสวัสดิ์ชวนออกงานอย่างนั้นหรือ นี่คงไม่ใช่ความฝันใช่ไหม คนนึกหยิกแขนตัวเอง รู้ว่าเจ็บแล้วก็แทบเก็บอาการไม่อยู่ หันมองหน้าน้องสาวข้างกายหลังจากที่เจ้าคุณวิเศษเตรียมตัวจะออกไปทำงานเช่นทุกวัน

“ขอบใจนะวิฬาร์”

“คะ?” คนที่มองเจ้าของวรกายสูงเสด็จออกไปจนลับตาเพิ่งได้ยินเสียงเรียก แล้วหันกลับมาถามซ้ำ “เมื่อครู่คุณพี่วิว่าอะไรนะคะ ขอโทษทีนะคะ พอดีน้องคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเลยไม่ทันได้ฟัง”

“พี่บอกวิฬาร์ว่าขอบใจ ขอบใจที่ยอมไป พี่รู้ว่าน้องก็คงไม่อยากไปนักหรอก แต่ก็ยังยอมไป” หล่อนขอบคุณน้องสาวจากใจจริง เพราะเรื่องที่วิฬาร์คุยกับเจ้าคุณพ่อ หล่อนก็รับทราบโดยตลอดว่าน้องสาวไม่ใคร่อยากจะไปนัก หากวันนี้จะปฏิเสธเสียก็ได้ หากวิฬาร์ปฏิเสธ หล่อนเองก็คงไม่กล้าไปคนเดียว แต่นี่น้องสาวเลือกจะตอบรับ คนเป็นพี่รู้ว่าส่วนหนึ่งก็เพราะตัวเอง 

คนฟังหัวเราะ “เท่านี้เองค่ะ น้องเองก็ไม่เคยได้ไปงานสโมสรอะไรกับใครเขา ลองไปเสียหน่อยคงไม่เสียหาย อีกฝ่ายก็เป็นอาจารย์ที่น้องไว้ใจ พอได้คุณพี่วิมาด้วยก็ยิ่งดี จะได้มีเพื่อนคุย”

เป็นเหตุผลอย่างใหม่ที่คิดขึ้นมาทั้งนั้น เพราะไม่อยากตัดโอกาสอันน้อยนิดของพี่สาว อีกทั้งตัวเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรนักหนา เว้นอย่างเดียวคือเรื่องสอนเต้น จะต้องไปเรียนทุกวัน จากหนีหน้ากลายเป็นถูกบังคับให้เจอหน้า

“พี่ตื่นเต้น พี่เต้นรำไม่เป็นเลยจนนิดเดียว เพราะไม่คิดว่าจะต้องออกงานสมาคมอะไรกับใครเขา นี่จะต้องออกงานใหญ่ๆ อย่างงานสโมสรศิษย์เก่า ต้องหัดเรียนเต้นรำอีกต่างหาก” วิมาลาบ่นแต่ปากยิ้ม แววตาเฝ้าฝันอย่างคนรอคอย วิฬาร์มองแล้วก็ยิ่งต้องเก็บเงียบ

หล่อนเชื่อเหลือเกินว่า คนที่แนะนำตัวเองให้อาจารย์ประจบจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากท่านชายวรกายใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นองค์นั้น แล้วทำไมจำเพาะจะต้องเป็นหล่อน หรือเพราะหล่อนเป็นน้องสาวของวิมาลา คนที่ถูกพระทัย จะชวนพี่สาวหล่อนไปเองดีๆ ไม่ได้ ต้องลากหล่อนให้มีเอี่ยวทุกครั้งไป 

คนนึกหัวเสียแต่ทำอะไรไม่ได้ ก็รู้อยู่หรอกว่ามาชวนพี่สาวหล่อนไปแบบนั้น ต่อให้วิมาลาชื่นชมท่านชายแค่ไหนก็ยังไม่กล้า นี่สิถึงต้องมาหาข้ออ้างให้ไป เอาเถอะ...วิฬาร์ผ่อนลมหายใจ

รถแล่นออกจากบ้านหลังนั้นเลี้ยวเข้าวังที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไร เพื่อนแวะมาเที่ยววัง เจ้าของวังต้อนรับขับสู้อย่างดี ประจบทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้กลางโถงวัง มองเพื่อนกิตติมศักดิ์ของตัวเองแล้วก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ฝ่ายที่ประทับเอนวรกายสบายๆ เลยทรงลืมพระเนตรมอง

“หัวเราะอะไรประจบ”

“หัวเราะที่ไม่รู้จะทรงเรียกกระหม่อมมาทำไม รับสั่งเองเสร็จสรรพ อยากให้กระหม่อมควงวิฬาร์ไปงานหรืออยากทรงหาข้ออ้างพาพี่สาวลูกศิษย์กระหม่อมไปกันแน่” 

คิดว่ารู้ทัน ทว่าคนฟังทรงส่ายพักตร์ ทรงแย้มโอษฐ์เจ้าเล่ห์ เจ้าแมวที่รักร้องเหมียวๆ เดินนวยนาดเข้ามาหา มันคงจะชินกับที่นี่เสียแล้ว แล้วก็ชินกับการกระโดดขึ้นมานอนแหมะบนพระเพลาเสียด้วยสิ หัตถ์หนาลูบหัว คิดถึงคนเป็นเจ้าของ

“อย่าคิดไปไกลขนาดนั้นประจบ”

“กระหม่อมไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย ความจริงพี่สาววิฬาร์เขาก็สวย เหมาะกับฝ่าบาท”

“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น” 

ทรงถอนปัสสาสะ ทำไมใครๆ ต้องพากันนึกว่าเขาชอบวิมาลา เขาเห็นวิมาลามาตั้งแต่เขาเรียนจบกลับจากต่างประเทศใหม่ๆ ตอนนั้นวิมาลายังไม่ย่างเข้าวัยสาวนัก เค้าความสวยทอดจับระยับงามตา หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ต่างก็เฝ้ารอ คนที่โตขึ้นมาแล้วจะสวยก็สวยจริงสมค่าที่รอคอย ทว่าที่ทุกคนรู้ดีพอๆ กับความสวยอย่างหาตัวจับยากของวิมาลา ก็คือความหวงลูกสาวของเจ้าคุณวิเศษ ผู้ชายหลายคนจึงพากันทยอยหายไป เขามองเหตุการณ์นั้นอย่างผู้ใหญ่คนหนึ่งมาตลอด

“วิมาลายังเด็ก”

“วิฬาร์ไม่เด็กกว่าหรือกระหม่อม”

“ไม่หรอกประจบ วิฬาร์เขาเด็กอายุ แต่วิมาลาเด็กความคิด ยังขาดประสบการณ์ อย่างยิ่งคือประสบการณ์ชีวิต เขาอ่อนต่อโลก อ่อนต่อคน” รับสั่งเป็นการเป็นงาน 

ประจบยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง สอดสายตาค้นหาเข้าไปในพระเนตรคู่นั้น พระเนตรที่บัดนี้มีแววครุ่นคิด

“ถ้าไม่ชอบแล้วทำไมรับสั่งกับเธอแบบนั้น ทรงชวนเธอไปงานทำไม”

“ก็ถ้าไม่ชวนวิมาลาไป คิดหรือว่าอย่างวิฬาร์จะยอมไป”

“จริงๆ คือทรงอยากให้วิฬาร์ไปงาน ก็แล้วทำไมไม่ทรงชวนเอง กระหม่อมว่าเขาคงไม่ปฏิเสธหรอก” เขาเสนอแนะ แต่คนฟังเอาแต่ส่ายพักตร์ ทรงแย้มยิ้มบางๆ

“อย่างลูกศิษย์คนเก่งของเธอ ถ้าเป็นฉันชวน ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมไป ความสนุกอย่างหนึ่งของวิฬาร์คือการหลีกให้ห่างฉัน ไม่รู้ว่าทำไม เขามักหลบหน้าฉันอยู่เสมอ แต่ก็นั่นแหละ ยิ่งเขาหลบฉันก็ยิ่งอยากให้เจอมากขึ้น คงเป็นอารมณ์ของผู้ใหญ่นิสัยไม่ดีที่แกล้งเด็ก” รับสั่งเอง เพราะรู้องค์เอง บางครั้งก็ทรงอยากแกล้งอย่างไร้เหตุผล

“แน่ใจนะกระหม่อมว่าแค่ผู้ใหญ่อยากแกล้งเด็ก”

“เอ๊ะ ยังไงของเธอประจบ”

ประจบอาศัยว่าสนิท ขยับใกล้แล้วทูลถาม 

“ก็กระหม่อมกลัวจะเป็นรั้งไว้เพราะอยากใกล้ชิด วิฬาร์มีเสน่ห์อย่างหนึ่งคือหนีเก่ง รู้จักที่จะหนี อย่างนายเลิศพงษ์ลูกศิษย์กระหม่อม ถ้าวิฬาร์ไม่ใช่เด็กผลการเรียนดี รู้จักทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสม นายเลิศพงษ์คงไม่ทำตัวเป็นเงาขนาดนี้ ทรงว่ายังไง”

“นั่นมันก็เรื่องของเขา เธอจะบอกว่าฉันอาจจะหลงเสน่ห์ลูกศิษย์ของเธออย่างนั้นหรือ”

“กระหม่อมยังไม่ได้หมายความไปไกลถึงขนาดนั้น กระหม่อมตั้งใจหมายความเพียงว่าอาจจะเท่านั้น วิฬาร์เป็นเด็กที่ฉลาดจะหนี แม้จะมีคนฉลาดมาตาม แต่ก็รู้หลีกจะหนีรอดอยู่ร่ำไป ตรงนี้เป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนอยากตาม สำหรับนายเลิศ เขาตกบ่วงนี้ไปตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว กระหม่อมแค่อยากถาม มั่นพระทัยไหมเท่านั้น”

“ก็...” นั่นแหละ เสมือนว่าทุกอย่างกลืนหายลงไปในศออันแห้งผาก พระทัยสะดุดไปบ้างเหมือนกันว่าเรื่องนี้อาจจะพอมีเค้า เพราะวิฬาร์ตั้งท่าแต่จะหนี มีกำแพงกั้นเขาอยู่เสมอ อาจเป็นส่วนนี้ที่ทำให้เขาอยากตาม อยากดึงร่างนั้นมาอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา “คงไม่เป็นอย่างนั้น”

“เป็นไม่เป็นก็ไม่ได้เสียหายหรอกนะกระหม่อม” รู้ว่าเพื่อนปลอบพระทัยองค์เอง เพราะประจบเห็นรอยวูบไหวในพระเนตรงามคู่นั้น “วิฬาร์ก็ไม่ได้เสียหาย เรื่องอายุกระหม่อมว่าก็ไม่เป็นอุปสรรคเท่าไหร่หรอก ความจริงก็ห่างกันไม่กี่ปีเท่านั้นเอง ขนาดคนอายุเท่าเจ้าคุณวิเศษอยากมีเมียเด็กคราวลูกยังมีได้เลย”

“อย่าคิดอะไรให้ไกลขนาดนั้น ประจบ ฉันทำเพียงเพราะอยากจะแกล้งเด็กเท่านั้นแหละ” 

รับสั่งอย่างนั้น ประจบก็จนใจจะต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก มั่นพระทัยว่าเป็นแบบนั้นก็มั่นไปเถอะ นายคนเพื่อนเลยลุกขึ้นยืนก่อนจะขอตัวลากลับ

ร่างสูงของเพื่อนลับหายจากสายพระเนตรไปแล้ว จึงได้ทรงถอนปัสสาสะหนักหน่วง หัตถ์หนายังลูบหัวเจ้าที่รัก มันเอาหัวซุกแนบพระเพลาอุ่น ทรงก้มลงทอดพระเนตรแล้วรับสั่งกับมันด้วยสุรเสียงเบาเสียยิ่งกว่าเบา พลิ้วแผ่วเพราะยังไม่มั่นพระทัย 

ที่เพื่อนเตือนจะใช่หรือ ที่เพื่อนเตือนก็ควรจะคิด ที่เพื่อนเตือน...

“เจ้านายเจ้านี่ทำเรื่องให้เราปวดหัวเสียจริง” 

ที่รักลืมตาเงยหน้ามองสบพระเนตร ดวงตากลมโตของมันหรี่ลง จะว่าทรงบ้าหรืออะไรก็ตามทีเถอะ แต่วูบหนึ่งทรงรู้สึกราวกับว่ามันแยกเขี้ยวขาวนวลยิ้มเยาะหยันพระองค์อยู่นั่นเอง เกือบผงะออก ดีแต่ว่าทรงตั้งสติได้ทัน ทรงตบหัวมันเบาๆ 

“อย่ามายั่วนักเลย เจ้านายเจ้าคนเดียวก็เกือบจะเกินกำลังแล้ว”

วิฬาร์เก็บเรื่องไม่สบายใจเอาไว้กับตัว นั่งเรียนกระสับกระส่ายไปมา ศจีซึ่งนั่งอยู่ติดกันแต่คนละฝั่งกับเลิศพงษ์ซึ่งวันนี้เองก็ตามติดเป็นเงาอยู่เช่นเคย สะกิดเพื่อนระหว่างเรียนแล้วเอียงหัวเข้าไปใกล้หู วิฬาร์ดึงสติกลับมาเพื่อฟังความที่เพื่อนกระซิบ

“ถ้ารำคาญนายเลิศนะ เราจะหาทางกันออกไปให้เอาไหม”

คนฟังยิ้มแล้วส่ายหน้า ตอบกลับเบาพอกัน 

“ไม่ ไม่ต้องศจี เราไม่ได้รำคาญเลิศเขาหรอก พอดีมีเรื่องอื่นให้คิดเท่านั้น ขอบใจที่จะช่วยนะ แต่ไม่เป็นอะไรจริงๆ” เพราะรู้ต่างหากว่ายิ่งกันจะยิ่งเป็นเรื่อง เลิศพงษ์ตั้งป้อมจะเป็นศัตรูกับศจี ขณะที่ฝ่ายนี้ก็ตั้งป้อมจะกันท่าอีกฝ่ายจากหล่อนไม่น้อยเหมือนกัน

‘ยายศจีนี่หวงเพื่อนนะวิฬาร์ ตั้งป้อมจะกันท่าเลิศตลอด’ เลิศพงษ์ฟ้องเมื่ออยู่กับหล่อนสองคน

‘นายเลิศเขาจ้องวิฬาร์อยู่ ตางี้เป็นมันเชียว เราไม่ชอบ อย่างวิฬาร์รับรองว่าหาได้ดีกว่านายเลิศนี่อีกเป็นร้อยเท่าทีเดียว’ นั่นคือคำบอกเล่าจากฝ่ายถูกกล่าวหาที่ไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาแต่อย่างใด แต่คนกลางก็ได้แต่หัวเราะ เพราะในสายตาหล่อน ไม่ว่าจะศจีหรือเลิศพงษ์ต่างก็เป็นเพื่อนทั้งนั้น

หล่อนวางความคิดเรื่องเพื่อนเอาไว้มุมหนึ่ง เพราะใจมีอีกเรื่องให้ต้องคิด วันนี้...วันแรกของการเริ่มเรียนเต้นรำที่วังของท่านชาย เอาละ จะเสด็จมารับถึงที่นี่หลังเลิกเรียน หนีไปไหนเสียก็ไม่ได้ เพราะรับปากไปแล้วว่าจะยินยอมพร้อมใจ ภาวนาให้ถึงเวลาจริงๆ ไปสนพระทัยแต่พี่สาวหล่อนก็แล้วกัน อย่ามาสนพระทัยหล่อนเลย จะขอเล่นกับที่รักแล้วก็หาหนังสืออ่านให้สบายใจ ขอเป็นตัวอ้างเท่านั้นพอ

เย็นนั้นหล่อนสลัดศจีที่รีบกลับหอพักเพราะติดธุระไปได้ สลัดเลิศพงษ์ที่ต้องรีบกลับบ้านออกไปได้ ยามนี้จึงนั่งอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้หน้าตึกเรียน ไม่ช้าไม่นานนักรถคุ้นตาก็แล่นเข้ามาจอด คนนึกลุกขึ้นก้าวเข้าไปหาช้าๆ นายมหาดเล็กคนเดิมวิ่งลงมาเปิดประตูรับร่างบางให้เข้าไปนั่งข้างใน ไม่ยอมให้หล่อนขึ้นไปนั่งข้างหน้าอย่างเคย เจ้าของวรกายสูงหนาประทับรออยู่ก่อน ทว่าวันนี้แปลกออกไป ในหัตถ์ทรงถือกระดาษเอกสารอะไรไม่ทราบ

ขนงเกือบจะพันยุ่งเป็นปม เพิ่งเห็นรอยเคร่งเครียดในพระเนตรที่เคยหยิ่งเยาะอย่างนั้นเป็นครั้งแรก วิฬาร์ไม่ได้พูดหรือถามอะไร แต่ปิดปากเงียบไปตลอดทาง เงียบก็ดี แล้วเงียบก็ไม่ดี เพราะมันชวนให้อึดอัดพิกล ทรงเก่งอีกต่างหาก เพราะทรงเงียบอย่างเคร่งเครียดไปได้ตลอดทางจนกระทั่งรถแล่นเข้ามาจอดในวัง นายมหาดเล็กวิ่งมาเปิดประตูฝั่งหล่อน แล้วก็ยืนรอจะปิดประตู แต่ดูเหมือนฝ่ายที่ประทับอยู่ข้างในจะไม่ยอมขยับวรกาย วิฬาร์มองหน้านายมหาดเล็กที่ยิ้มราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับหล่อนไม่ปกตินักหรอก คนนึกเลยก้มหน้า

“ฝ่าบาทเพคะ” 

เงียบ แล้วก็ลองเอื้อมมือเข้าไปแตะพระกรเบาๆ 

“ฝ่าบาทเพคะ”

“อ้อ ถึงแล้วหรือ” 

นั่นเองพระสติถึงได้กลับมา ทรงเก็บเอกสารสอดไว้ในกระเป๋า 

“ขอโทษที พอดีฉันอ่านงานเพลินไปหน่อย ขอบใจนะวิฬาร์ที่เรียก ถ้าเป็นนายมหาดเล็กคงปล่อยให้ฉันอยู่อ่านจนเย็นเหมือนเคย” 

รับสั่งเรื่อยขณะเสด็จออกมาจากรถ นายมหาดเล็กที่ถูกพาดพิงไม่ได้ว่ากระไรสักคำ นั่นคงเป็นเรื่องปกติของวังน้ำค้างที่จะปล่อยให้เจ้านายนั่งอ่านหนังสือเสียจนพอพระทัยแล้วค่อยเรียก

ข้างในมีวิมาลามานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ถัดออกไปหน่อยเป็นสาวใช้ที่ต้องคอยนั่งจับเจ้าที่รักให้ เพราะท่าทางหวาดกลัวของวิมาลาที่มีต่อเจ้าสัตว์หน้าขนตัวนี้ไม่ได้เบาบางลงไปแม้แต่นิด พอมันเห็นว่าใครเข้ามาใหม่ก็ดิ้นขลุกขลักแล้วกระโดดออกมา วิฬาร์เตรียมจะรับมันเต็มที่ แต่ผิดคาดคือเจ้าที่รักทรยศตรงไปคลอเคลียอยู่แถวข้อพระบาทอีกองค์หนึ่งต่างหาก เจ้านายเก่าหน้าชา ขณะที่เจ้านายใหม่ทรงพระสรวลในศอ

“มันคงจะติดฉันแล้วละ”

วิฬาร์ตวัดหางตามองเจ้าตัวดี มันเองก็คงพอจะรู้ เพราะผละออกจากพระบาทมาข่วนเบาๆ ที่ขา ร้องหง่าวๆ ทำหน้าเศร้าเอาใจ คนมองสะบัดหน้างอนๆ แล้วเดินไปนั่งข้างพี่สาวที่ยังดูสถานการณ์เมื่อครู่ ไม่กล้าออกมามากนัก มันขยับจะตาม แต่หัตถ์หนาหิ้วร่างเอาไว้ได้แล้วทรงร้องสั่ง

“ใครเอาที่รักไปไว้หลังวังก่อนเถอะไป” 

สาวใช้คนเดิมวิ่งเข้ามาย่อกายลงรับมันแล้วเดินลิ่วๆ หายไป นั่นเองจึงเสด็จเข้ามาใกล้ วางกระเป๋าลงข้างกายแล้วถาม 

“มารอนานไหมวิมาลา”

“ไม่นานเพคะ” คนนั่งรอแก้มแดง

“ถ้าอย่างนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ อย่าให้เสียเวลาเลย”

นายมหาดเล็กคนรู้ใจเดินไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงราคาแพงระยับ คัดเอาแผ่นเสียงในตู้ออกมา เลือกเปิดให้เป็นทำนองเพลงบรรเลงเบาๆ ก่อน ทรงหันมาเห็นวิมาลาทำท่าจะลุกก็ร้องห้าม 

“เดี๋ยวก่อนเถอะ เธอยังไม่เคยเต้น มาดูคนเต้นเป็นเต้นให้ดูก่อนแล้วกัน”

วิฬาร์ซึ่งคิดว่าหมดธุระตัวเองแล้วสะดุ้งเฮือก ตวัดตามอง พระเนตรคมระยับ ทรงแย้มโอษฐ์ยักยิ้ม สุรเสียงหวานทุ้มกังวาน หวานเสียยิ่งกว่าเสียงเพลงแปลกหู

“ขอเชิญคุณวิฬาร์มาเป็นเกียรติให้ฉันหน่อย”


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น