บทที่ ๑๐

๑๐

คืนฟ้าฤดูฝนวันนี้ปราศจากเค้าเมฆหนา แสงจันทร์เยือกเย็นท่ามกลางทะเลดาวระยับ ส่องนำรอยรางเหล่านั้นสะท้อนผิวบึงกว้าง เรื่อยรินล้อมเหล่าดอกบัวซึ่งหลับใหลรอเช้าวันใหม่ หยดน้ำเหลือจุดคล้ายไข่มุกกลางใบกลิ้งกระเพื่อม บางครั้งพระพายสัมผัสถึงจึงรู้ว่าแท้จริงไร้รูปร่าง คงเป็นน้ำค้าง หรือเศษฝนหลงเหลือจากวันเก่าก่อนหน้า

ภาพงดงามนี้ราวบทกวีเมื่อมองจากระเบียงชั้นสองของบ้านอัญเรศไพจิต และเป็นบทกวีที่เขียนค้างกว่าครึ่งศตวรรษโดยไม่มีใครยอมจบบทสุดท้าย ตราบเท่าที่ลมหายใจแบกรับความทรงจำ กระทั่งยามนี้โอบล้อมเพียงความเงียบราวบ้านทั้งหลังถูกโลกทอดทิ้ง คุณบุรีเหม่อมองภาพกวีที่เขียนไม่จบของตนอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ปล่อยให้ลมเอื่อยเฉื่อยและหอมเย็นๆ ระบายผ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเสียงใครอีกคนดังขึ้น

“คืนนี้อากาศเย็น รีบเข้าห้องดีกว่าครับ”

คุณปรงมายืนข้างหลังอย่างเงียบเชียบเหมือนเพิ่งก้าวออกจากเงาความมืด ขณะผู้เป็นนายไม่มีท่าทีตกใจแม้แต่น้อย ทั้งสองรู้จักกันมานานเกินกว่าจะถือสาเรื่องเหล่านี้ ออกจะคุ้นชินด้วยซ้ำ

“เอกกับซินยังไม่กลับมากันอีกหรือ” คุณบุรีถามกลับโดยไม่หันไปมอง

“ถ้าคุณท่านเป็นห่วง ผมจะโทร. ตามคุณเอกให้”

“ไม่ต้องหรอก โตๆ กันแล้ว สมัยก่อนฉันก็ไม่ชอบเวลาโดนผู้ใหญ่ตามจ้ำจี้จ้ำไชเหมือนกัน”

คลับคล้ายความทรงจำจะผุดพร่าง หากเพียงคล้ายเท่านั้น สุดท้ายคุณบุรีไม่อาจพูดถึงเรื่องเก่าๆ เหล่านั้นได้และไพล่ตบเบาะเก้าอี้หวายข้างกันแทน

“พระจันทร์สวยนะปรง มานั่งเล่นด้วยกันก่อนสิ”

คู่สนทนาไม่ปฏิเสธ คุณปรงเดินมานั่งข้างผู้เป็นนาย ไม่ได้จดจ้องบึงบัวเหมือนอีกฝ่าย แต่ทอดสายตาไปไกลเกินกว่าจะจับภาพใดได้ ปล่อยให้เจ้าของบ้านเอ่ยทำลายความเงียบอย่างแสนสบายใจ

“แต่ก่อนเราชอบนอนมองพระจันทร์ด้วยกันแบบนี้ จำได้มั้ย” ว่าพลางพยักหน้ารับเองทั้งที่ไม่มีเสียงตอบกลับมา “ตอนฉันเจอปรงครั้งแรกอายุเท่าไหร่นะ สิบสอง...ไม่ รู้สึกจะสิบสาม ตอนนั้นปรงเพิ่งสิบขวบกระมัง จำได้ว่าเห็นผ่านระเบียงนี่ละ กำลังเดินตามใครสักคนมา ปรงเป็นเด็กผู้ชายผอมแห้งแต่ดูดุที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมาเลย”

ความว่างโหวงวูบผ่านระเบียงกว้าง หอบกลิ่นน้ำค้างมาหยาดหล่นสักแห่งห้วงความคิดเก่าคร่ำ มันชื้น เย็นเยียบ และเงียบเหงา เฉกเช่นวินาทีน้ำตารินไหล เสมือนโลกทั้งใบกำลังเป็นในสายตาคุณปรง

ชายผู้มีโชคชะตาทั้งชีวิตให้ดูแลบ้านอัญเรศไพจิตค่อยๆ ระบายลมหายใจแล้วกล่าวตอบ

“วันนั้นเป็นช่วงฤดูฝน พื้นหญ้าเปียกแทบเป็นโคลน ลุงพาผมมาฝากตัวทำงานกับคุณท่านใหญ่ที่นี่หลังแม่ผมตายได้สองวัน” เขาเหลือบมองสนามหญ้าด้านล่างคล้ายสบตาตัวตนอีกคนจากห้วงขณะนั้น “ตอนนั้นคุณท่านใหญ่คุมคนขุดสระ ผมเลยได้เดินอ้อมจากหน้าบ้านมาถึงสวนตรงนี้ ทั้งตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจ เด็กบ้านนอก...ไม่เคยเห็นตึกหลังใหญ่ขนาดนี้ ตอนเงยหน้ามองก็เห็นคุณตรงระเบียงพอดี ถือหนังสืออะไรสักอย่างในมือ ทั้งที่เป็นเจ้านาย แต่คุณก็เป็นฝ่ายยิ้มให้ผมก่อน”

“จำได้ถึงขนาดนั้น?”

คุณบุรีเปรยด้วยเสียงทีเล่นทีจริง เห็นชัดว่าเพลิดเพลินกับการฟังเรื่องเล่าและภาพบรรยากาศสุขสงบเบื้องหน้า ไม่สังเกตด้วยซ้ำว่าคู่สนทนาชะงักแวบหนึ่ง มือคุณปรงบีบที่เท้าแขน กำแล้วคลาย พร้อมถ้อยกระซิบแผ่วเบา

“ผมยังจำได้อีกหลายเรื่อง”

ทั้งเก็บงำ แบกรับไว้ แตกฉานซ่านเซ็นเพียงใดยังฉุดรั้งให้อยู่ในใจ ราวกับเป็นสัมภาระที่จะนำต่อไปยังโลกหน้า

“หลายเรื่องเหลือเกิน...”

เพราะสุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้...ก็เหลือเพียงการจดจำ

ความตระหนกอันลึกล้ำบางอย่างทำหัวใจเต้นกระหน่ำจนเรากลายเป็นคนเลื่อนลอยชั่ววินาที ศญาตกอยู่ในภวังค์นั้นท่ามกลางความวุ่นวายรอบกาย กระสุนนัดเดียวเปลี่ยนงานวัดตกอยู่ในความจ้าละหวั่นของการเอาตัวรอด ฝุ่นดินฟุ้งเกลื่อนจนขมปอด คล้ายเข่าอ่อนแทบล้มแต่ยังมีคนประคองไว้ คำว่าคนถูกยิงยังวกวนในหัวราวบทสวด ปนเสียงปืนกึกก้องที่ทำให้แก้วประสาทเหลือเพียงเสียงหวีดแหลมลากยาว

เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตุปัดตุเป๋ไปหาร่างคนเจ็บได้อย่างไร เลือดเป็นสิ่งแรกที่หญิงสาวมองเห็น ซึมผ่านเสื้อขาวเหมือนหมึกแดงรูปดอกไม้ค่อยๆ แย้มบานกลางผืนผ้า เรียกบางอย่างในใจให้เหน็บหนาวจนสั่นสะท้าน และตระหนกยิ่งขึ้นอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร

“คุณทาวัต บาดเจ็บตรงไหนบ้างคะ”

เจ้าของชื่อนั่งพิงซุ้มยาดองพลางกุมแผลตรงต้นแขนด้วยรอยยิ้มซีดเซียวกึ่งจนใจ เขาโดนลูกหลงระหว่างเหตุการณ์เมื่อครู่ กลุ่มวัยรุ่นแตกทิศแตกทางไปหมดแล้ว แว่วเสียงอึงอลของเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยรอบด้าน

“คุณทาวัต ได้ยินฉันมั้ยคะ” หญิงสาวถามซ้ำ

แวบหนึ่ง ศญารู้สึกเหมือนลำคอแสบไหม้ด้วยก้อนสะอื้นติดค้างจากความทรงจำเก่า ราวกับคนที่เธอถามไม่ใช่ผู้หมวดหนุ่ม หากคือใครอีกคนซึ่งชั่วชีวิตไม่อาจฟื้นมาตอบได้ ท่าทางเหล่านั้นชัดเจนแม้แต่ทาวัตยังสังเกตเห็น เขาชะงัก งุนงง แต่ยังยิ้มตอบได้

“ผมไม่เป็นไรครับ กระสุนแค่ถากๆ เท่านั้น”

“เดี๋ยวฉันช่วยดู...”

ถ้อยคำคั่งค้างเมื่อชายกระโปรงถูกกระตุก ตอนนั้นศญาเพิ่งสังเกตว่าไม่ใช่แค่ทาวัต ยังมีชายบาดเจ็บอีกคนนอนคว่ำอยู่ใต้ข้าวของระเกะระกะรอบกาย ทีแรกเธอไม่เห็นรอยเลือดหรือตัวเขา ตาผันเพียงกำผ้าด้วยมือสั่นเทา ก่อนเงยหน้าจ้องเขม็งแล้วค่อยๆ อ้าปากพะงาบเป็นคำกระท่อนกระแท่น

“ระ...วัง...”

ชายชราอึกอักด้วยทรมาน คล้ายมีหลายอย่างมากมายในใจให้พรั่งพรู ทว่าถ้อยที่เหลือกลั่นได้เพียงก้อนลมในลำคอกับเลือดทะลักใต้ร่าง ตะเกียกตะกายขับเค้นได้แค่ความว่างเปล่า กระตุกซ้ำสองครั้ง ระวัง...ระวัง...ก่อนหยุดนิ่ง ดวงตายังแข็งค้าง เบิกกว้าง และจ้องมองอยู่เช่นนั้น

คั่งแค้น โศกศัลย์ เมามาย ไม่เหลืออะไรในวินาทีที่ลมหายใจเงียบดับ...

“คุณ...คุณลุงคะ”

ศญาไม่รู้ว่าร่างสั่นเทาเช่นใด หรือเศษหัวใจแหลกซ้ำยับเยินแค่ไหนต่อภาพวินาทีดับสูญเบื้องหน้า หญิงสาววิงเวียนฉับพลัน ในหัวมีแต่ความทรงจำวกวนของร่างหนึ่งนอนจมกองเลือดในห้องน้ำตามหลอกหลอน จับชายชราพลิกแล้วเห็นโลหิตแดงฉานอาบเป็นแอ่งด้านล่างยิ่งไร้เรี่ยวแรง จิตใต้สำนึกสะเทือนเลื่อนลั่นด้วยตระหนักเดียวเท่านั้น

“ฉันต้องช่วย...ฉันต้อง...”

สติหลุดหาย สองมือไม่รู้จับอะไรไปบ้าง ยิ่งสัมผัสถูกเลือดเธอยิ่งหอบหายใจ ราวจะล้มพับได้ทุกขณะ

“ศญา!”

ใครสักคนตะโกนข้างหู แต่หญิงสาวไม่ได้ยิน ความทรงจำหล่นทับใส่เธอด้วยเหตุการณ์คลับคล้ายกันนี้ ใช่ ท่าทางเช่นเดียวกันเลย ตอนได๋ตายศญาได้แต่คุกเข่าอยู่ข้างๆ มองร่างน้องอาบเลือดละเลงละลายใต้น้ำฝักบัว...

“ช่วย...ต้องช่วยให้ได้ ฉัน...ฉัน...”

‘ฉันหวังให้มันตาย’

ข้อความหนึ่งผุดวาบในหัว คุ้นเคย และไม่ใช่ครั้งแรก พุ่งมาดั่งคำสาปเสียดแทงใส่มโนสำนึก

หญิงสาวสะอื้นจนกระตุกสั่น ฮึกฮักราวกับไม่ใช่การร้องไห้ทั่วไป ซ้ำร้ายส่ายหน้าปฏิเสธภาพตัวอักษรเหล่านั้นอย่างหวาดกลัว ศญาไม่มีน้ำตา ความจริงไม่มีอะไรเลยแม้แต่การรับรู้รอบกาย เธอพร่ำกระซิบแทบไม่เป็นภาษา หายใจหอบสลับเป็นลมชั่วเสี้ยววินาที ก่อนความเจ็บช้ำจะกรีดอกจนฟื้นใหม่ ทั้งที่ไม่ทันล้มฟุบด้วยซ้ำ โงนเงน งกเงิ่นควบคุมตัวเองไม่ได้ สัมผัสเลือดบนมือคอยตอกย้ำสัญลักษณ์ความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ต้องช่วย...ต้อง...”

‘ฉันหวังให้มันตาย’

ไม่ ไม่ ไม่ใช่

“ฉัน...ฉัน...”

‘ฉันหวังให้มันตาย’

“ศญา! ซิน!”

มือหนาของเขาบีบไหล่เธอแน่นแล้วเขย่า พร้อมเรียกเสียงดังก้อง

“ซิน!”

เฮือก!

คำว่าซิน-เสียงของเขา เหมือนมีขวานหนักๆ จามลมบนเปลือกแข็งที่หุ้มกาย อากาศพรูเข้าปอดไม่ต่างจากคนจมน้ำแล้วถูกกระชากจนโผล่พ้น พริบตาที่เงยหน้าประสานดวงตาคมกริบคู่นั้น หญิงสาวตระหนักว่าเอกภพอยู่ข้างกายตนมาตลอด เขาจ้องมองเธอ สองมือยังจับมั่น สีแดงฉานที่ย้อมโลกทั้งใบค่อยๆ จางลงเพื่อคืนสีสันอื่นดังควรเป็น สรรพสำเนียงรอบกายตามมาขับไล่ความเงียบในหัวทีละน้อย

“คุณเอก ฉัน...”

ศญากระซิบได้เท่านั้นพลันอับจนคำอธิบาย เธอแทบหลงลืมว่าตนคือใครและเผชิญหน้าเรื่องราวใดอยู่ ร่างระหงสั่นสะท้าน ความชาแล่นลิ่วจากมือสู่ปลายเท้าเป็นความรู้สึกของผู้อยู่ระหว่างการร่วงหล่น ความเจ็บปวดแผ่ลามในใจก่อนร่างกายกระแทกพื้น เสี้ยววินาทีเนิ่นนานราวนิรันดร์เช่นนั้นมีอยู่จริง

“ไม่เป็นไร รถพยาบาลมาแล้ว ไม่เป็นไร...”

เสียงทุ้มกระซิบปลอบข้างหูพร้อมความอบอุ่นประคองกายด้วยการโอบหลวมๆ กระนั้น สัมผัสมั่นคงทั้งหลายไม่อาจห้ามให้หัวใจศญาดิ่งวูบเย็นยะเยือกจนแข็งค้าง

เมื่อตระหนักว่าตนเผยความลับให้แก่คนที่ตั้งใจจะปิดบังที่สุดเสียแล้ว

ความลับของเธอ ความลับอันถูกกดทับด้วยประโยคปีศาจที่ว่า ‘ฉันหวังให้มันตาย’

เรื่องราววุ่นวายในงานวัดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นเหมือนภาพตัดผ่านไวยิ่งกว่า บรรยากาศคลี่คลายไม่ถูกบันทึกในความทรงจำของศญาสักนิด หญิงสาวติดอยู่กับอาการใจสั่น กึ่งชา อยากร้องไห้ และรู้สึกราวกับมีเลือดเปื้อนมือตลอดเวลา

น้ำค้างเริ่มลงขณะทั้งสองกลับถึงบ้านอัญเรศไพจิต เงียบสงัดและมีเพียงแสงจันทร์ซีดเซียวส่องทางย้อมอากาศให้ดูหนาวเกินจริง กระนั้น ในใจศญากลับระเนนด้วยไอรุ่มร้อนของการครุ่นคิด ความทรงจำ และเสี้ยวกระจัดกระจายของสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้า แม้เอกภพไม่เอ่ยคาดคั้นหรือเอาความ เธอเองก็รู้ดีว่าไม่อาจเก็บงำทุกอย่างได้แล้ว

ความลับของศญาถูกเปิดเผยราบคาบด้วยความตายของตาผัน แบหราโดยไร้ข้อแก้ตัว

“คุณคงมีเรื่องอยากถามฉันใช่มั้ยคะ”

หญิงสาวทำลายความเงียบขณะเดินตามร่างสูงไปพ้นหลังคาโรงจอดรถ เอกภพหันมามอง แต่ศญาไม่กล้าสบตาเขา เธอกุมมือ ลอบจิกเล็บใส่รอยยุ่งเหยิงกลางเส้นชีวิตบนฝ่ามือ

“ฉันเองก็...มีเรื่องอยากสารภาพกับคุณเช่นกันค่ะ”

ลมเหงาๆ พัดผ่านพร้อมกลิ่นเปียกปอนที่ไม่ใช่ไอน้ำค้าง แต่คล้ายเศษน้ำตาเก่าเก็บ ถมทับจากอดีตราวกับกลั่นมาทั้งชีวิต ทั้งที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้

ใช่...ไม่นานเลยจริงๆ

ศญาเป็นลูกคนแรก หลานสาวคนโต เกิดช่วงที่อะไรๆ ในบ้านไม่พร้อมต่อการดูแลเด็กนัก พ่อกับแม่เพิ่งมาทำงานกรุงเทพฯ ได้แค่ปีเดียวก่อนมีเธอ

เหตุผลคนหาเช้ากินค่ำเช่นเรื่องห้องเช่าคับแคบ การงานรุมเร้า หรือเวลาคล้ายมีเท่าแต่ไม่เคยเท่าพวกเงินล้นฟ้า ทั้งคู่จึงฝากตายายเลี้ยงเธอที่ต่างจังหวัด ครอบครัวเว้าแหว่งนี้เจอกันแค่วันหยุดช่วงเทศกาลปีละไม่กี่ครั้ง ผู้ให้กำเนิดมีความผูกพันทางสายเลือด ทว่าห่างเหินเหลือเกินสำหรับเด็กหญิง นั่นยังไม่สร้างรอยร้าวนักในตอนแรก ตายายพยายามอย่างที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าศญาเติบโตท่ามกลางความรัก ทุ่มเทความรักจนมากล้น เธอคือหลานที่ตาภูมิใจและหลานที่ยายเอ็นดูที่สุด พ่อแม่อยู่ไกลแต่ยังติดต่อมาเสมอ ศญาเป็นเด็กพูดรู้เรื่อง เธอเข้าใจทุกฝ่ายและไม่เคยเหงา แม้แต่ตอนที่น้องๆ เกิด

ได๋หรือดารันเกิดหลังเธอห้าปีตอนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของครอบครัวเข้าที่ ส่วนเที้ยงหรือธันวาถือกำเนิดในฤดูหนาวหลังจากพ่อสร้างบ้านหลังแรกเสร็จ ทั้งสองไม่ถูกส่งมาหาตายายเช่นพี่สาว ตอนนั้นหลายอย่างลงตัวแล้ว สถานะทางบ้านเริ่มมั่นคง ดารันเป็นลูกคนแรกที่แม่เลี้ยงเอง ธันวาเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อผู้เฝ้าหวังการมีบุตรชายสืบสกุล สามพี่น้องเจอกันทุกช่วงวันหยุดยาวหรือปิดเทอม ทั้งช่วงวัยห่างและการเติบโตไม่ชิดใกล้ ศญาจึงไม่ค่อยสนิทกับน้องๆ มีช่องว่างเล็กๆ ตรงนั้นเสมอ ทั้งอาหารการกิน การ์ตูนโปรด เพื่อน โรงเรียน เรื่องที่ได๋กับเที้ยงรู้กันสองคน แต่ทั้งสามไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง ดารันเป็นเด็กขี้อาย ส่วนธันวาคลุกคลีกับพี่คนกลางจนติดนิสัยพูดน้อยตามกัน ความรักของตายายห่อหุ้มโลกของศญาแน่นหนาจนไม่รู้สึกว่ามีอะไรขาดหาย ทุกสิ่งแค่เป็นเช่นที่มันเป็นไปก็เท่านั้น

กระทั่งไปเรียนกรุงเทพฯ สัมผัสการอยู่ร่วมครอบครัวพ่อแม่ลูกครั้งแรก เธอวางตัวดุจผู้อาศัยมากกว่าบุตรสาวคนโต ตั้งใจว่าหลังเรียนจบจะกลับไปอยู่บ้าน ซึ่งหมายถึงบ้านจริงนับแต่เยาว์วัย บ้านที่ตายายและเธออยู่ด้วยกัน

...แต่โลกมักสนุกกับการหักหลังเราในช่วงที่เรื่องราวกำลังไปได้ดีเช่นนี้

ศญาเรียนมหาวิทยาลัยราวสามปี และผ่านพ้นห้วงมนตร์รักแรกที่มีต่อเอกภพ ตอนยายเสียตาโทร. มาเล่าราวกับเรื่องแสนธรรมดาว่าภรรยาเข้านอนเช่นทุกวันที่หลับเคียงข้าง รุ่งเช้ากลับตัดสินใจไม่ตื่นเอาดื้อๆ   ตาหัวเราะด้วยซ้ำขณะพูด ทว่าไม่ถึงสัปดาห์ก็ตามผู้หญิงที่รักที่สุดในชีวิตไปด้วยกระบวนการเดียวกัน ทั้งเรียบง่าย สามัญ ด้วยโศกศัลย์และเคว้งคว้าง ศญาไร้บ้านให้กลับโดยสิ้นเชิง 

หากการสูญเสียตายายเป็นหวายไม้แรกที่โลกใช้เฆี่ยนตีเธอ การจากลาครั้งที่สองก็ไม่ต่างจากแส้หางกระเบนหวดหัวใจให้เจ็บปวดเรื้อรังจนบัดนี้

แผลพวกนั้นกลัดหนองอย่างอัปลักษณ์ ยังมีเลือดไหลจากเศษซากยับเยิน

ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ศญาจำรายละเอียดทุกอย่างได้ดีแม้ชิ้นส่วนไม่จำเป็น เพื่อปล่อยให้มันปรากฏซ้ำๆ ในฝันหลายต่อหลายครั้ง

ตอนนั้นหญิงสาวผู้ติดค้างในบ้านแปลกหน้าเริ่มทำอาชีพพยาบาลแล้ว เธอเลิกงานกะดึกแผนกฉุกเฉิน กลับถึงบ้านช่วงเช้าตรู่ด้วยความเหนื่อยสะสมจนกระดูกครวญคราง เผลอหลับสิบนาทีก็สะดุ้งตื่นเพราะลืมอาบน้ำ สะลึมสะลือพลางหาวหวอดผ่านกระถางกวักมรกตไร้ยอดอ่อน พรมเช็ดเท้าลายดอกโบตั๋นแย้มบาน วินาทีที่แดดแรกสะท้อนกระดิ่งแก้วตรงหน้าต่างแวบบาดนัยน์ตา ศญาได้ยินเสียงเหมือนฝนตกไกลๆ จากสักแห่ง หยุดฟังแม้อยากฝันต่อ ค่อยรู้ว่าเสียงฝักบัวในห้องน้ำ ได๋คงอยู่ข้างใน น้องมักตื่นเช้ากว่าใครเพื่ออ่านหนังสือ ขยันไม่มีใครเกินจนเข้าเรียนคณะแพทย์ได้เชียวละเด็กคนนี้ ศญาไม่อยากเร่งน้อง เธอนั่งรอหน้าห้องน้ำ เสียงฝนฝักบัวซัดซ่าชวนงีบอีกครั้ง

แล้วแสงกระดิ่งแก้วพลันวาบใส่ตาให้รู้สึกตัว งัวเงียตื่นจึงเห็นว่าดวงตะวันเคลื่อนองศา ได๋ยังไม่ออกมา เสียงน้ำยังดังเช่นก่อนศญาเผลอหลับ ซัดซ่าสม่ำเสมอ...เสียงฝักบัวอย่างเดียว ไร้ความเคลื่อนไหวอื่น หยาดหล่นพร้อมความตระหนกทำให้หญิงสาวเคาะประตู ทั้งทุบแล้วร้องเรียก แม่วิ่งขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเธอ ร้อนรนด้วยถูกถามถึงกุญแจห้องน้ำจนต้องวิ่งไปหา ไม่ทันใช้กุญแจศญาก็พุ่งชนประตูก่อน

ได๋อยู่ในนั้นจริงๆ...นอนแน่นิ่งกลางแอ่งเลือดแดงฉาน หนึ่งเรียวแขนบอบบางราวดอกปีบเหวอะหวะรอยกรีดหลายครั้ง ข้างๆ มีกรรไกรที่สองพี่น้องมักใช้เล็มผมให้กันเวลารักสวยรักงาม ศญาเห็นใบหน้าได๋เป็นสิ่งสุดท้ายด้วยสัญชาตญาณการปฏิเสธความจริงฉับพลันว่านั่นคือใคร น้องซีดเผือด หลับตาพริ้ม ริมฝีปากติดยิ้มอ่อนหวานเช่นทุกวันที่พบหน้า ได๋ทักทายความตายดุจเวลาทักทายคนในครอบครัว ยิ้มนั้นปลอดโปร่งยิ่งกว่ายิ้มใดในความทรงจำที่ศญาเคยเห็นด้วยซ้ำ

นี่คือภาพการจากไปของน้อง...เดียวดาย เปียกปอน มีแค่ฝักบัวคว่ำหน้าหลั่งน้ำตาเฝ้ามอง

จากนั้นมีเสียงกรีดร้องของแม่ตรงหน้าประตู ศญาเข้าไปกอดน้อง ประคองศีรษะเปียกแฉะกับอกตนเช่นวินาทีแรกที่อุ้มได๋ครั้งเป็นทารก ตามหาร่องรอยลมหายใจได้เพียงรอยเลือดเปรอะท่วม แดงฉานทุกทิศทุกทางปานอาบย้อมถึงหัวใจ ท่ามกลางการปฐมพยาบาลที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีวันกลับมา เสียงบาดลึกในสองหูคือคำเร่งเร้าของแม่ ร้อนรนปนสะอื้น ผสานร่ำไห้

‘ซินทำอะไรสักอย่างสิ! ช่วยน้องเร็วเข้า! ทำอะไรสักอย่าง ทำไมซินไม่ช่วยน้อง...’

ทำไมไม่ช่วย...ทำไมซินไม่ช่วยน้อง ทำไมไม่เอะใจ ทำไมเผลอหลับหน้าห้องน้ำ ทำไมปล่อยเวลาจนสายเกินแก้ ทำไม ทำไม ทำไม! แม่ใจสลายเมื่อเห็นลูกที่เลี้ยงมากับมือจากไป ระบายโศกเศร้าทั้งหมดลงที่ลูกอีกคนซึ่งตนไม่ได้เลี้ยง พ่อเงียบขรึมกว่าเดิม ส่วนเที้ยงจมอยู่หอพักโดยหลีกเลี่ยงการกลับบ้าน จากนั้นราวสัปดาห์ แม่ปฏิเสธความจริงที่ไม่มีได๋บนโลกนี้ ด้วยการสร้างตัวตนได๋ขึ้นใหม่จากอากาศโปร่งใส อย่างน้อยวันละครั้งต้องเห็นวิญญาณลูกในบ้าน แม้แต่มุมเงาที่ได๋ไม่เคยเหยียบย่างยามมีชีวิต เงียบเชียบกับเพียงส่งยิ้มอ่อนหวานในฐานะเด็กสาวลวงตาที่รักมารดาตนสุดหัวใจ ซ้ำร้ายไม่ยอมตามหาหรือรับรู้ว่าเหตุใดได๋เลือกวิธีตายด้วยตัวเองเด็ดขาดเพียงนั้น

...ไม่มีใครรู้เลย กระทั่งศญาบังเอิญพบบันทึกเล่มหนึ่งใต้เตียงขณะเก็บห้องให้น้อง ในวันแดดอ่อนที่ทุกคนหันหลังให้เธอ

มันเป็นไดอะรีเหลือหน้าว่างอีกมาก เขียนสะเปะสะปะ สั้นๆ ไม่กำกับปี เหมือนระบายอารมณ์มากกว่าอนุทิน ตัวหนังสือของได๋เรียวเล็ก ราวต้นไผ่ปลูกเรียงมีระเบียบและปลอดโปร่ง เพียงประโยคแรกขึ้นต้นว่า ‘ฉันอยู่ในนรก’ ประโยคนั้นศญาก็หยุดทุกอย่างเพื่ออ่านทั้งหมดอย่างตระหนกและหวาดกลัว ยิ่งกว่าความกลัวใดที่เคยสัมผัสในชีวิต

‘ฉันอยู่ในนรก ต้องเป็นนรกแน่ การมีชีวิตอยู่ไม่ควรทุกข์ทรมานขนาดนี้’

‘มันไม่ได้โกหก มีคลิปจริงๆ ไอ้เลว เลว เลว เลว มันตั้งใจถ่ายติดหน้าฉัน เนี่ยเหรอความรัก’

‘แค่บอกเลิกต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ ฉันอยากถามซึ่งๆ หน้าแต่ไม่กล้า’

                     ‘ไอ้ขี้แพ้ ตอแหล สันดานลูกอีตอแหล โกรธจนสั่นไปหมด’

                     ไม่อยากร้องไห้คนเดียว’        ‘ขยะแขยง ไม่อยากทำ เมื่อไหร่จะหลุดพ้น’

‘ป๊าโกรธที่เทอมนี้เกรดตก ลองบอกแล้วว่าไม่อยากเรียนหมอ แต่ทำป๊าโกรธกว่าเดิม’

‘เหมือนไม่ได้คิดไปเอง กลุ่มรุ่นพี่พวกนั้นชอบมองแปลกๆ กลัวมันเอาคลิปให้เพื่อนดูจัง...กลัวมาก’

‘เป้าหมาย: สอบหมอให้ติด - ต้องอ่านหนังสือให้มากกว่านี้

‘โดนพวกมันล้อกลางโรงอาหาร อุบาทว์ที่สุด ได้ดูคลิปกันแล้วแน่ๆ ชั่ว พวกชั่ว ทำไมฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้

‘กลัวจนต้องวิ่งออกไปอ้วก กินข้าวไม่ลง’          ‘ทุกคนมองมาที่ฉันกันหมด สายตาแบบนั้น กลัว ไม่ชอบเวลาพักเที่ยงเลย’

‘ขอให้มือถือมันพัง ขอให้คลิปนั่นหายไปจากโลกนี้ ขอให้หลุดพ้นซะที’        ‘18/11/20xx นัดฝังยาคุม’

‘เรื่องทั้งหมดมันผิดพลาดตอนไหนนะ ฉันเคยทบทวนหลายครั้ง แค่นึกถึงเหตุการณ์พวกนั้นก็ทำให้ฉันสะอิดสะเอียนจนอ้วก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะบอกตัวเองว่าอย่าเชื่อไอ้ชั่วนั่น อย่าฟังมัน อย่าหลงรักมัน อย่านอนกับมัน...’

                                    ‘ได๋ เธอน่าสงสารเหลือเกิน’

‘ติดหมอแล้ว!! ดีใจมาก เรื่องดีที่สุดของปีนี้เลย!’                        

‘แต่ไม่รู้ว่าดีใจเพราะทำให้ป๊าพอใจได้สำเร็จ หรือดีใจที่ตัวเองสอบติดกันแน่’

‘มันไม่ยอมปล่อยฉันไปจริงๆ ใช่มั้ย’    ‘มึงจะไม่ปล่อยกูไปจริงๆ เหรอ’

‘ฉันหวังให้มันตาย อย่างเจ็บปวด และต้องตายพร้อมกับความรู้สึกผิดทั้งหมดด้วย ทางที่ดีฉันอยากเป็นคนฆ่ามันกับมือ แต่ไม่กล้าพอ ฉันจึงหวังให้ตัวเองตายแทน’

                                                ‘ใช่ ได๋ แค่ตายก็จะหลุดพ้นแล้ว...’

 

ไม่ทันสังเกตว่าบันทึกหลุดมือเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกครั้งศญาก็นั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่กับพื้น หายใจหอบจนจุกอก น้ำตามากมายไหลมาได้อย่างไร ภาพร่างน้องกลางแอ่งเลือดเจิ่งนองวกวนในความทรงจำ รอยระบมตรงต้นแขนจากการกระแทกเปิดประตูคล้ายปวดหนึบอีกครั้ง แต่กลางหัวใจเจ็บเกินกว่าจะให้ความสำคัญเรื่องเล็กน้อยนั้นแล้ว

นี่เองนรกที่ได๋พูดถึง...น้องสาวของเธอ เด็กน้อยขี้อายที่เคยจูงมือในทุ่งกว้างของเธอ ความอ่อนหวานและผู้ประสานสัมพันธ์สามพี่น้องของเธอ เสียงเงียบเหงากับชาคาโมมายล์กลางคืนฤดูหนาวของเธอ เมื่อตระหนักว่าการดำรงอยู่ของน้องแสนสั้นเพียงสิบเก้าปี...แค่สิบเก้าปีจากเนิ่นนานนับพันนับล้านขวบปีของโลก จากเสียใจกลายเป็นโกรธ แล้วกลับมาเสียใจอีกครั้ง และเสียใจเพิ่มทวีไม่มีปี่มีขลุ่ย ศญากำบันทึกเล่มนั้นลงไปชั้นล่าง ในหัวคือสารพัดวิธีอธิบายให้พ่อแม่รู้เรื่องทั้งหมดโดยไม่ให้ใจสลายเหมือนตน แต่เดินถึงหน้าห้องกินข้าว เสียงสนทนาด้านในก็หยุดเธอเสียก่อน

‘จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่าซินปล่อยให้น้องตายไปแบบนั้นได้ยังไง’

แม่กระซิบเจือสะอื้น ประโยคสุดท้ายฉายแววคับข้องจนต้องทุบอก ‘ไม่ได้เรื่องเลย ร่ำเรียนเป็นพยาบาลมาแท้ๆ’

‘ซินเรียนแค่พยาบาล สลับกันถ้าได๋ที่เรียนหมอแล้วเจอซินเป็นอย่างนั้นคงช่วยพี่ได้แน่’

เสียงพ่อตอบกลับแผ่วเบา กลิ่นบุหรี่หมักความเศร้าเจือกันเป็นควันจาง

เหมือนน้ำเย็นๆ ราดกลางหัว ศญายืนนิ่งอย่างนั้นหลายนาที แทบลืมจริงๆ ว่าตนยืนอยู่ที่นั่นด้วยเหตุใด เธอยังโกรธและเสียใจ แต่ครั้งนี้มีสาเหตุอื่นเพิ่ม เงยหน้าถึงรู้ตัวว่ามีน้ำตาไหล ความรู้สึกเหมือนมือชุ่มเลือดแดงฉานกลับมาอีกครั้ง ทั้งสั่นสะท้าน ร้าวราน สิ้นหวัง วินาทีนั้นศญาตระหนักถึงช่องว่างที่ไม่เคยถมเต็มขึ้นมาได้ ช่องว่างที่คั่นกลางระหว่างเธอกับคนในครอบครัวเสมอ

มันมีอยู่จริง มั่นคงในที่ทางของมันชั่วฟ้าดินสลาย อาจถูกหลงลืมบ้าง แต่ไม่เคยหายไปเลย

ศญาสูญเสียน้องสาว เจ็บช้ำกับถ้อยคำที่ไม่มีใครตั้งใจให้เธอได้ยิน ภาพแอ่งเลือดเนืองนองหลอกหลอนทุกคืนฝันแล้วครานั้น ทว่าคำสาปแท้จริงกลับเกิดขึ้นขณะเธอตัดสินใจตามหาว่า ‘มัน’ ในบันทึกคือใครต่างหาก

อาจเพราะสัญชาตญาณการปกป้องของคนเป็นพี่สาว หรือคั่งแค้นชั่วพริบตาจากอารมณ์ชั่ววูบ สลับสับสนด้วยเดือดพล่านทั้งคำถามและความไม่รู้ ศญาตัดสินใจลาออกจากโรงพยาบาลโดยไม่ปรึกษาใคร เธอไม่ตอบคำถามแม่ เลิกอธิบายอะไรให้พ่อฟัง ไม่สร้างความสนิทสนมเช่นพี่น้องที่เหลือกันแค่สองคนกับเที้ยงอีก แต่ละวันผันผ่านด้วยการหยิบบันทึกเล่มนั้นมาอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อจะได้ร่วมร้องไห้ไปกับได๋ในอดีต บริภาษตนตามคำที่ได้ยินมา ไม่เหลือความภาคภูมิใจสักกระผีกริ้น ราวสองเดือนดิ่งลึกดั่งโลกมืดดับก็เริ่มกลับมาคับแค้น เมื่อ ‘มัน’ ที่น้องเขียนถึงค่อยๆ มีตัวตนชัดในจินตนาการ เธอเริ่มสบตาสาเหตุการตายของได๋หน้ากระจก จ้องมองภาพสะท้อนตัวเองและคิดไปว่าคนเบื้องหน้าคือผู้ชายคนนั้น...ไอ้มนุษย์กักขฬะเลวทรามไม่เหลือคุณงามความดี แล้วพี่สาวผู้ขี้ขลาดตาขาว แสนเกรงอกเกรงใจ ไร้ที่ปรึกษาและไม่สู้คนพลันกล้าขึ้นปุบปับ ปรารถนาว่าต้องเห็นคนชั่วนั่นรับผลการกระทำทั้งหมดด้วยตาตัวเอง หรืออย่างน้อย พ่อแม่มันควรรู้ว่าลูกตัวเองทำระยำตำบอนอะไรกับลูกคนอื่นไว้บ้าง

การตามหา ‘มัน’ เป็นเรื่องยาก ให้แกะร่องรอยดิจิทัลยิ่งยากใหญ่ ความกลัวและหวาดระแวงทำให้ได๋ไม่แตะต้องโซเชียลมีเดีย ถามเพื่อนน้องยิ่งไม่มีใครสนิทพอจะรู้ว่าได๋คบหาใคร ศญาคลำทางอ้างว้างกับความไม่รู้อยู่สองเดือนถึงเริ่มสังเกตเห็นเศษตั๋วรถเมล์แบบเดิมหลายใบในกระเป๋าน้อง ลองเปรียบเทียบทั้งสายทั้งระยะทางก็รู้ว่ามีจุดหมายเดียวกัน เท่านั้นก็มากพอจะนั่งรถตามหาเอง หมกมุ่นคุ้ยค้นไม่สนวิธีการ ไล่แกะรอยว่าบ้านไหนเข้าข่ายน่าสงสัยหรือใครพอจะเกี่ยวข้องกับโรงเรียนเก่าน้องสาวบ้าง สืบสาวช่องทางออนไลน์เท่าที่หาได้ เงียบเหงาไม่พูดกับใครเกือบครึ่งปีมีแต่บทบาทนักสืบประทังหัวใจไม่ให้จมหล่มวิปโยคสาหัส แล้ววันหนึ่งขณะไล่ดูประวัติแอกเคานต์ลับของเด็กหนุ่มคนหนึ่งในบ้านสุดซอย เธอก็เจอไอ้คลิปผีห่าซาตานที่ว่านั่นจริงๆ

ศญาทนดูไม่จบ เธอโหยหาภาพได๋ขณะมีลมหายใจและเคลื่อนไหวด้วยร่างเปี่ยมชีวิตก็จริง แต่ไม่ใช่เช่นนี้ หญิงสาววิ่งไปอาเจียนในห้องน้ำติดกันสามครั้งสลับร้องไห้คับแค้นใจเกินข่มกลั้น กระทั่งต้องกินยาแก้ปวด หัวใจก็ไม่ทุเลาความรวดร้าว เธอสงสารน้อง และสงสารเหยื่อทุกคนที่มีชะตากรรมดุจเดียวกัน เพิ่งเห็นแววสิ้นหวังในดวงตาได๋ชัดเจนทุกขณะเมื่อคิดย้อนกลับไป

ตอนที่ยิ้ม ตอนที่หัวเราะ ตอนที่คอยรับฟังใครต่อใคร...ทุกกระบวนการเหล่านั้น ได๋สิ้นหวังตลอดเวลา

เย็นย่ำหลังรวบรวมความกล้ามาสามวัน ศญากลับไปที่นั่นอีกครั้งพร้อมถ้อยคำสาปแช่งนับพันสำหรับเรื่องต่ำทรามที่เกิดขึ้น มือสั่นระริกและคิดว่าคงทุเลาหากตบคนเลวนั่นสักฉาด เพียงก้าวไปแค่ปากซอย ผู้คนก็รุมล้อมร่างหนึ่งพร้อมเสียงตะโกนตื่นตระหนก ‘ใครปั๊มหัวใจเป็นบ้าง! ขอคนซีพีอาร์เป็นมาช่วยก่อนเร็ว!’ สัญชาตญาณพยาบาลห้องฉุกเฉินพลันพุ่ง ผลักศญาไปช่วยเหลืออุบัติเหตุโดยไม่สนต้นสายปลายเหตุ เวลานี้ช่วยคนสำคัญที่สุด เธออาสาปั๊มหัวใจอีกฝ่าย และปั๊มไม่หยุด กระทั่งเห็นว่าใบหน้าผู้เคราะห์ร้ายคือใคร

ทำไมจะจำไม่ได้ ไอ้เด็กเลวนั่นอย่างไรล่ะ บางอย่างกระตุกวูบกลางอก...ต่อตระหนักว่าเธอกำลังช่วยชีวิตผู้เป็นสาเหตุการตายของได๋ ศญากำลังยื้อชีวิตมันไว้ ขณะที่น้องสาวผู้โชคร้ายหายไปจากโลกใบนี้แล้ว ทุ่มแรงกดหัวใจไม่หยุดไม่พักโดยมีมีดกรีดเฉือนตัวเองทุกจังหวะนับรอบ

ในวินาทีสับสนนั้น ถ้อยคำหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว

‘ฉันหวังให้มันตาย’

ตัวอักษรเรียวเล็กของได๋เรียงรายเรียบง่ายจากความทรงจำ เหยียบย่างดั่งการปรากฏตัวของน้ำตาในคืนเงียบเหงา ค่อยๆ เกาะแน่นสู่มโนสำนึก เด่นชัดชวนสะพรึง

‘ฉันหวังให้มันตาย อย่างเจ็บปวด และต้องตายพร้อมกับความรู้สึกผิดทั้งหมด...’

‘ฉันหวังให้มันตาย...’

‘ฉันหวังให้มันตาย’

แสงอัสดงอาบฟ้า เสียงผู้คนรอบด้านเซ็งแซ่เหมือนปีกแมลงดังพึ่บพั่บ ถ้อยคำพวกนั้นพรูใส่ทุกวินาทีที่ช่วยเหลือเด็กหนุ่มตรงหน้า พร้อมร่างแน่นิ่งของได๋บนพื้นห้องน้ำ รอยกรีดเหวอะหวะ แอ่งเลือดเกลื่อนกระจาย สายฝนฝักบัว ‘ฉันหวังให้มันตาย’ รอยยิ้มฝืดเฝื่อนของน้อง แววตาเก็บงำสิ้นหวัง คลิประยำที่คอยหลอกหลอนจนต้อนได๋ไปสู่จุดจบ ‘ฉันหวังให้มันตาย’ แว่วเสียงหวูดรถพยาบาลใกล้เข้ามา ศญาช่วยยื้อชีวิตมันจวบจวนหยดสุดท้ายหยาดลง โดยแยกไม่ออกว่าเหงื่อหรือน้ำตาตกค้าง

‘ฉันหวังให้มันตาย’

ชีพจรกลับคืน เจ้าหน้าที่ปรี่มารับช่วงต่อ หญิงสาวยังคงนั่งหอบตรงนั้น ผู้คนที่เฝ้ามุงต่างระบายลมหายใจพลางพร่ำขอบคุณเธอ สรรเสริญโดยไม่รู้ว่าถ้อยคำจากความทรงจำหวดซัดศญา และจะกลายเป็นแผลกว้างคอยหลอกหลอนเธอทุกครั้งเสมือนตราบาปลับๆ ข้างใน ว่าเมื่อไหร่ที่คิดช่วยชีวิตใคร ไม่ว่าทุ่มเทความพยายามหรือใส่เจตจำนงแห่งปรารถนาดีแค่ไหน ในหัวเธอจะยังมีถ้อยประโยควกวนหนึ่งเดียวเท่านั้น

‘ฉันหวังให้มันตาย’...

“แต่มันไม่ใช่แค่นั้นค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยลองกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ทุกครั้งที่เห็นเลือดจำนวนมากฉันจะใจสั่น วูบเหมือนเป็นลม และเวลาเจอเหตุการณ์ร้ายแรงระหว่างความเป็นความตาย ข้อความนั่นจะกลับเข้ามาในหัว สุดท้ายฉันก็ไม่รู้แล้วว่ามันเป็นประโยคจากความทรงจำ...หรือตัวฉันคิดแบบนั้นจริงๆ”

น้ำค้างคืนนี้หนาวกว่าปกติ หยาดพรมลงใต้รอยแสงจันทร์ในสวนหลังบ้าน แม้เอ่ยจบแล้ว แต่เรื่องเล่าของศญาคล้ายดังอยู่ท่ามกลางดึกสงัดที่ไร้เสียงเรไรร้องคั่น เธอไม่กล้าสบตาเอกภพ แม้เขาตั้งใจฟังทุกพยางค์คำ นี่คือการสารภาพบาปและหญิงสาวละอายใจเกินไป ความลับทั้งหมดพรั่งพรูไม่ต่างจากฝักบัวสายฝนในเช้าวันนั้น สั่นเครือ หวิวแผ่ว มีแต่ความเดียวดาย

“ฉัน...ฉันไม่เหมาะกับงานการช่วยเหลือใครหรือทำงานพยาบาลแล้วค่ะ ฉันละอายใจกับการช่วยชีวิตคนโดยสลัดข้อความบ้าๆ ในหัวไม่พ้น ไหนจะอาการเวลาเจอเลือดเยอะๆ อีก ขอโทษนะคะที่ปิดบังคุณ ความจริงฉันเป็นอุปกรณ์มีตำหนิที่ซ่อนชิ้นส่วนพังๆ อยู่ข้างในค่ะ ฉันคิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้วเลยมาสมัครงานนี้ แต่...แต่เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้ฉันถึงรู้ว่าอาการทั้งหมดไม่ได้หายไป ฉันไม่มีคุณสมบัติจะทำงานนี้เลย...”

ประโยคสุดท้ายเจือฝาดขมในคอจนเผลอกอดตัวเอง ศญายินยอมให้ความเงียบแผ่คลุมอย่างราบคาบ เธอไม่มีข้อแก้ตัวใดกับการปิดบังเรื่องราวเหล่านี้ รู้ดีว่าหากเอกภพทราบตั้งแต่แรกคงไม่จ้างตนมาดูแลคุณบุรีแน่ หญิงสาวคิดตื้นเกินไป เข้าข้างตัวเองว่าอาการในใจทั้งหลายทุเลาและคงไม่ส่งผลกระทบต่องานการดูแลผู้สูงอายุนัก นายจ้างหนุ่มแจ้งไว้ตั้งแต่แรกว่าคุณปู่ของเขาแข็งแรงดี ศญายึดคำนั้นจนลืมนึกถึงปัจจัยอื่น ลืมว่าสักวันต้องมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นไม่ทางตรงก็ทางอ้อม...เช่นเธอเพิ่งเผชิญเสี้ยวนาทีความตายของตาผันในงานวัด 

สายลมพัดกลิ่นหอมเหงาๆ เข้ามา ไม่ใช่บัวจากบึงกว้าง คงเป็นดอกไม้ฉ่ำน้ำค้างสักดอกในสวนลอบแย้มบานโดยไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ชั่วขณะหนึ่ง ศญาคิดว่าหากยามนี้โลกถึงกาลอวสาน เธอคงไม่ติดค้างอะไรแล้ว...

“คุณช่วยชีวิตเด็กผู้ชายคนนั้นไว้”

เสียงทุ้มคั่นกลางความคิดสะเปะสะปะข้างใน หันไปอีกครั้งก็เห็นว่าคู่สนทนายังจ้องตนด้วยดวงตาสีเดียวกับความมืดเบื้องบน ทั้งที่เตรียมใจยอมรับแล้ว ทว่าสิ่งแรกที่เอกภพมอบให้กลับไม่ใช่คำบริภาษหรือคาดคั้นเอาความ หากเป็นบรรยากาศสันติ เรียบนิ่งเหมือนบุคลิกเขา คือหนักแน่นดั่งแผ่นฟ้า และความมั่นคง

ร่างสูงสาวเท้ามาใกล้ แวบหนึ่งคล้ายเธอเห็นยิ้มจางๆ พาดผ่าน ก่อนเขาจะเอ่ยอีกครั้ง

“ศญา คุณเก่งมาก ทั้งที่จะปล่อยให้ตายไปก็ได้ แต่คุณยังช่วยเขาไว้ ไม่ใช่ทุกคนนะที่จะทำได้แบบนี้”

“แต่ฉันเห็นแก่ตัวที่ไม่บอกคุณตั้งแต่แรก ถ้าวันนี้คนที่โชคร้ายคือคุณบุรี ฉันก็ไม่มีข้อแก้ตัวเลยนอกจากยอมรับผลที่ตามมา ฉันจะกลายเป็น...กลายเป็น...”

“แต่คุณบอกผมอยู่นี่ไง”

มีสัมผัสอุ่นวาบตรงไหล่จึงค่อยรู้ว่าเขากำลังประคองตน รั้งหญิงสาวผู้ค่อยๆ กลืนหายไปในความทรงจำพลัดพรากกับตราบาปฝังใจกลับมาอยู่ในปัจจุบัน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าแท้จริงตัวศญาเองนับเป็นเหยื่ออีกทอดของเรื่องราวเหล่านั้นด้วย เหยื่อของความเศร้า เหยื่อของถ้อยคำ เหยื่อของความเดียวดายชอกช้ำและการบีบคั้นตัวเอง

“ขอบคุณที่เล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง คุณเก่งมากแล้ว...จริงๆ นะ จากทุกอย่างที่เล่ามา คุณเก่งมากแล้วจริงๆ”

เก่งมาก...นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ยินคำนี้ อาจจะนานเทียบเท่าการจากไปของตากับยายกระมัง

เหมือนปราการบางอย่างถูกทุบทลาย กร่อนร่วงพร้อมห้วงอารมณ์มากมายประดังประเด ก้อนสะอื้นพุ่งจุกลำคอ หญิงสาวพยายามเก็บกลืนไว้ตอนแรก แล้วพ่ายแพ้ต่ออาการปวดหน่วงกลางใจเมื่อรับรู้ถึงวงแขนกว้างที่ค่อยๆ โอบรอบตนราวสัมผัสแก้วบางใส เอกภพแค่กอดเธออย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรอีก กอดความเสียใจ กอดความโกรธ กอดความเศร้า กอดตัวตนที่ศญามองว่าอัปลักษณ์ไม่เหลือดี กอดชนิดที่แม้แต่เธอยังไม่เคยกอดตนเองเช่นนี้

ความร้าวรานที่ทับถมมาเนิ่นนานอันตรธานชั่วพริบตา ศญาเพิ่งตระหนักว่านี่กระมังสิ่งที่เธอเฝ้าปรารถนา ไม่ใช่การให้อภัยต่อความลับทั้งหลายหรืออารมณ์ร่วมไม่มีที่มาที่ไป สิ่งที่เธอเฝ้าฝันมีเพียงแค่นี้เท่านั้น...แค่การได้ร้องไห้โดยมีใครสักคนเคียงข้าง นับแต่ได๋ตาย...นี่คือครั้งแรกที่ศญาร้องไห้ต่อหน้าใครสักคน

แสงจันทร์ยังสาดส่อง ละอองน้ำค้างยังหยาดพรม ชายหนุ่มผู้รับฟังความลับกับหญิงสาวผู้เปิดเปลือยเรื่องราวกอดกันและกันโดยไร้ถ้อยคำใด เขากำลังฉุดรั้งและเธอก็กำลังไขว่คว้า การปลอบโยนอันเงียบงันค่อยๆ กระหวัดห้วงอารมณ์บางอย่างข้างในให้ขยับใกล้ เหมือนหนังสือที่เคยคิดว่าจบกลับมีบรรพใหม่เมื่อพลิกหน้ากระดาษ

แวบหนึ่งนั้น ศญารู้สึกราวกับย้อนกลับไปยังบันไดหน้าหอสมุดเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว

ตอนที่เธออยู่ในอ้อมกอดของเขาครั้งแรก

แล้วความรักก็เกิดขึ้น


 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น