๑
ตลอดชีวิตของศญาเคยนั่งรถมานับไม่ถ้วน แต่กล่าวได้ว่าไม่มีครั้งไหนทำให้เธออึดอัดใจได้เท่าเวลานี้
ก้อนเมฆหนาแบกความหนักอึ้งสีครามเข้มมาแต่ไกล เคลื่อนขยายเต็มแผ่นฟ้าจนแสงแดดพลัดหาย สองข้างทางเขียวครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งเอื้อมหากันราวรอยต่ออุโมงค์แหว่งเว้า ถนนเงียบเหงาแม้เป็นช่วงกลางวัน ความเคลื่อนไหวเดียวที่ปรากฏมีเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเร่งปั่นจักรยานสวนกันเมื่อสิบนาทีที่แล้ว กับเงาไวๆ ของนกโฉบอยู่ในอากาศสูงขึ้นไป ปีกเล็กสะบัดบินไหวๆ ท่าทางคงบอกต่อกันถึงเค้าฝนที่ใกล้เดินทางมา
เพราะบรรยากาศรอบกายนี้เอง ศญาจึงเผลอนึกถึงเมโลดีคลาสสิกเก่าๆ หรือไม่ก็เพลงช้าจำพวกสุนทราภรณ์ มิหนำซ้ำความชุลมุนของนกท้องถิ่นเมื่อครู่ยังทำให้ท่อน ‘แม้มีปีกโผบินได้เหมือนนก อกจะต้องธนูเจ็บปวดนัก ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก ให้ยอดรักเช็ดเลือดและน้ำตา...’ ผุดขึ้นในหัว ทว่าหญิงสาวไม่กล้าฮัมทำนองออกเสียงแม้เพียงเสี้ยว ไม่ใช่เพราะความหมายโศกาอาดูรพูดถึงความตายอันไม่เป็นมงคลหรอก แต่เพราะชายที่ขับรถอยู่ข้างกันนี้ต่างหาก
ความคิดนั้นทำให้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบมองร่างสูงที่ว่า ก่อนลอบถอนหายใจอีกคำรบ
นี่สิ ต้นเหตุความอึดอัดของแท้ ความขมุกขมัวของฝนใดจะชวนประหวั่นใจเท่าสีหน้าเย็นชาของคนคนนี้กัน
หญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย รู้สึกว่าตนควรปรับองศาการนั่งทั้งที่ไม่มีอะไรผิดปกติ ความจริงก็แค่ความกระวนกระวายลึกๆ ข้างในจนไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรนั่นละ บรรยากาศชวนอึดอัดทำให้เธอปล่อยความคิดไปเรื่อย เช่นถ้าที่บ้านรู้ว่าเธอนั่งอยู่ในรถกับผู้ชาย ซ้ำร้ายจุดหมายยังดูคลุมเครือด้วยเส้นทางซับซ้อนห่างไกล ก็ไม่รู้ว่าเหตุผลใดจะทำให้ศญายังเป็นลูกสาวดังที่พ่อกับแม่ต้องการได้โดยไม่ถูกกังขา ต่อให้ทั้งหมดนี้มีที่มาที่ไป และเกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์ใจก็ตาม
“เหมือนฝนกำลังจะตกนะครับ”
ราวกับรู้ตัวว่าถูกแอบมอง เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยราบเรียบ เรียบเสียจนคนฟังงุนงงชั่วครู่ว่าเขาแค่รำพึงหรือตั้งใจสนทนากับเธอ กระนั้น ศญาก็เลือกเอ่ยตอบราวกับนี่คือโอกาสสุดท้ายในการขับไล่ความเงียบ ใช่เพราะประจบประแจงหรอก แต่กลัวว่าหากปล่อยไว้นานตัวเองจะเผลอลืมวิธีพูดเข้าจริงๆ มากกว่า
“นั่นสิคะ”
ไม่ได้สิ นี่มันห้วนไป
“หวังว่าเราจะถึงที่หมายก่อนฝนลงเม็ด”
พูดแบบนี้คล้ายเร่งให้เขาขับรถเกินไปหรือเปล่านะ
“คือ...ฉันกลัวคุณลำบากขากลับค่ะ ขับรถคนเดียวตอนฝนตกมันอันตราย”
คงจริงอย่างที่เขาว่า คำพูดคือสิ่งที่ไม่อาจนำกลับคืน การแก้ประโยควกวนของศญาจึงกลายเป็นพูดมากเกินไปนิด มิหนำซ้ำทำให้เธอดูเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำโดยไม่ตั้งใจ ทั้งที่ความจริงแค่ประหม่าเท่านั้น
ก็ใครให้คู่สนทนาเป็นเขากันล่ะ
ริมฝีปากอิ่มของเธอเม้มเข้าหากันเล็กน้อยก่อนยิ้มแหย ศญาตัดสินใจพิพากษาความผิดพลาดของตัวเองด้วยการผินหน้ามองทิวทัศน์ด้านนอก ยอมรับแล้วกันว่าการสนทนาเรื่องง่ายๆ อย่างดินฟ้าอากาศกับอีกฝ่ายคงไม่เข้าท่าเท่าไร แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อทั้งสองไม่เคยคุยอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ
คุณเอก หรือ เอกภพ อัญเรศไพจิต คือเจ้านายของเธอ ผู้ว่าจ้าง คู่สัญญา หรืออะไรก็แล้วแต่ในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เขามีตำแหน่งทายาทธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่ เจ้าของร้านจิวเอลรีชื่อดังในห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายสาขา ยังมีหน้ามีตาในสังคมถึงขั้นออกข่าวแวดวงไฮโซหลายต่อหลายครั้ง ถือเป็นคนดังคนหนึ่งก็ไม่ผิดนัก ขณะที่ศญาไม่มีหน้าที่ใดในโครงข่ายอันไพศาลนั้น ไม่เฉียดใกล้สักนิด เธอเป็นพยาบาล และเอกภพจ้างเธอมาในฐานะพยาบาลดูแลผู้สูงอายุ เหตุผลแค่นี้คงเพียงพอกระมังสำหรับความเงียบระหว่างทั้งสอง
เขาแค่ขับรถมาส่งเธอยังบ้านผู้รอรับการดูแล หากพูดถึงความสัมพันธ์ให้ต้องเป็นธุระ ศญารู้เพียงอีกฝ่ายคือคุณปู่แท้ๆ ของชายหนุ่ม ผู้ชราภาพ ร่ำรวย และอาศัยในบ้านต่างจังหวัด ห่างไกลเกินกว่าจะเดินทางมาเองได้โดยปราศจากรถยนต์
ความตระหนักนั้นทำให้ศญาเหม่อมองทัศนียภาพด้านนอกอีกครั้ง ทีแรกเธอคิดจะจำทางไว้อยู่หรอก หลังจากเห็นทิวไม้ซ้ำๆ ซากๆ จนลืมนับรอบจำนวน หญิงสาวต้องเก็บความตั้งใจอย่างเสียไม่ได้ นับแต่เลี้ยวออกจากถนนสายหลักเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน สิ่งที่ไหลผ่านครรลองสายตามีแค่เรือกสวนไร่นา ป่ารกร้าง นานๆ ครั้งจะเห็นบ้านคนสักหลัง ศญาคิดว่านี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ชายหนุ่มว่าจ้างเธอมาดูแลคุณปู่ผู้ชรา อย่าว่าแต่โรงพยาบาลเลย ให้คิดหาสถานีอนามัยใกล้ๆ ยังไม่ใคร่มั่นใจนัก ในเมื่อเขาเสนอเงินดีและเธอไม่มีที่ไป การอยู่ห่างไกลก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหญิงสาวเท่าไร
“คุณเคยมาพิษณุโลกมั้ย”
อีกฝ่ายทำลายความเงียบอีกครั้ง คราวนี้ศญาผู้เพิ่งได้รับบทเรียนจากความประหม่าไม่รีบร้อนหาคำตอบอีก เธอโคลงหัวให้มั่นใจว่าถ้อยคำทั้งหลายไหลผ่านการนึกคิด แล้วค่อยยิ้มจางๆ
“ไม่ค่ะ นี่ครั้งแรก”
“อืม เหมือนผมจะเคยถามคุณแล้วตอนสัมภาษณ์”
เขาเคาะนิ้วกับพวงมาลัยเล็กน้อย คล้ายไม่ได้เอ่ยเพื่อทวนความทรงจำ แต่ต้องการย้ำถ้อยคำต่อมาต่างหาก
“ที่จริงผมไม่ค่อยสนิทกับคุณปู่เท่าไหร่ ตั้งแต่จำความได้รู้แค่ท่านไม่เคยก้าวเท้าออกจากบ้านหลังนั้นสักครั้ง”
จบคำนั้น กลายเป็นคนฟังต้องคิดตามอีกทีว่าทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร
ศญาเคยได้ยินชื่อคุณย่าของเขา...คุณรมณีย์ อัญเรศไพจิต สุภาพสตรีผู้เป็นที่นับหน้าถือตาในวงกว้าง แม้แต่ในโรงพยาบาลเก่าที่เธอเคยทำงานยังมีชื่อนี้ตามกิจกรรมบริจาคเครื่องมือแพทย์หรืองานการกุศล เพียงชื่อนี้เท่านั้น แต่ไม่มีใครกล่าวถึงสามีท่าน คนทั่วไป (เช่นศญา) คิดว่าคุณรมณีย์เป็นหญิงม่ายด้วยซ้ำ กระนั้นตัวเธอเองต้องยอมรับเช่นกันว่ารู้เรื่องเพียงผิวเผิน ศญาเป็นแค่คนนอก ไม่ใช่ธุระกงการให้ต้องสอดส่ายความอยากรู้อยากเห็นไปยังความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวคนอื่น หน้าที่เธอคือการดูแลชายชราในบ้านพักห่างไกล และจะไม่มีอะไรมากกว่านี้
“ที่นี่ไกลอย่างที่คุณเคยบอกไว้จริงๆ ด้วยค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยตอบด้วยประโยคกว้างๆ แทนที่จะซอกแซกถึงอุบัติเหตุชีวิตคู่ของใคร
“ไม่รู้ว่าเงียบมากเพราะฝนจะตก หรือปกติเป็นแบบนี้อยู่แล้ว”
ยอดไม้ไกลออกไปโยกไหวตามแรงลม คล้ายกิ่งก้านร่ายระบำกลางฝูงนกโกลาหล
“ก็...ให้พูดตรงๆ ก็นิดหน่อยค่ะ คงเพราะตื่นเต้นเรื่องต่างที่ต่างถิ่น”
“ผมชอบที่คุณตอบตรงๆ”
ชายหนุ่มไม่แสดงสีหน้าว่าพอใจตามคำพูด ทุกอย่างยังคงเรียบเฉยภายใต้ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น แต่ศญาไม่เห็นแววโกหกแฝงในน้ำเสียงเขาเช่นกัน
“ก่อนหน้านี้มีหลายคนยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าทำได้ ไม่มีปัญหาอะไร แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้”
ความระมัดระวังถูกนำกลับมาในท่าทางของหญิงสาวทันที ไม่ว่าเขาตั้งใจข่มขวัญหรือไม่ ศญามองว่านี่คือคำเตือน และอีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยด้วยเจตนาร้ายสักนิด เป็นห่วงหรือ...อาจจะใช่ หากพูดกันในฐานะผู้ว่าจ้าง
“ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดค่ะ”
หญิงสาวระบายยิ้ม แต่เธอไม่รู้ว่ายิ้มนั้นทำให้คนมองอ่านความหมายไม่ออก
เดิมศญาไม่ใช่คนเข้มงวดกวดขันกับตัวเอง ทว่าหลายสิ่งหลายอย่างกลับกลายเป็นเงื่อนไขว่า ‘ต้อง’ อยู่ให้ได้ เธอเดิมพันกับใจตนไว้เช่นนั้น ถนนทอดยาวไร้ตรอกซอยให้ลดเลี้ยวเบื้องหน้าจึงไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง หากเสมือนชีวิตปราศจากตัวเลือกของเธอเช่นกัน
คล้ายการสนทนาเป็นเพียงพิธีกรรมทำลายความเงียบตามโอกาส และการบวงสรวงด้วยถ้อยคำจบสิ้นลงแล้ว เอกภพไม่เอ่ยต่อ เขายอมรับคำตอบเมื่อครู่ก่อนและสนใจขับรถแทน ตอนนั้นเองที่ฝนเม็ดแรกตกกระทบกระจกเบื้องหน้าหญิงสาวดังแปะ เสียงมันดังจนศญานึกว่าแมลงหรือผีเสื้อบินมาชนรถตาย ยังไม่ทันหาซากร่องรอย ด้านนอกพลันปกคลุมด้วยสายฝนห่าใหญ่กลายเป็นภาพมัวทุกทิศทุกทาง กระหน่ำสาดราววงมโหรีบรรเลงเพลงเร่งเร้า ชั่วพริบตามืดฟ้ามัวดิน
“เหมือนพายุจะเข้าเลยนะคะ” เธอช้อนตามองท้องฟ้า
“จะถึงพอดี”
เอกภพเอ่ยอีกครั้งยามรถแล่นผ่านสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง ดูคล้ายยุ้งฉาง อาจเป็นโรงสีเก่า ศญามองไม่ค่อยชัดนัก วูบเดียวเห็นแค่ศาลเพียงตากลางดงหญ้ารกครึ้ม ซุกซ่อนราวซุ่มมองใครต่อใครยามผ่านทาง แต่สายฝนตกหนักเกินกว่าจะเพ่งชัดว่านั่นคือศาลจริง หรือแค่เงาตะคุ่มของเศษสิ่งก่อสร้าง
แวบหนึ่ง บรรยากาศมัวซัวคล้ายสร้างเงาราวกับมีร่างคนยืนอยู่ตรงนั้น คงแค่ภาพลวงตา
หญิงสาวรีบหันกลับทันที...ไม่ว่าเป็นอะไรก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องติดใจสงสัยทั้งสิ้น
ศญาพอจะรู้ว่าเอกภพเป็นคนเงียบขรึมและจริงจัง ตลอดการเดินทางร่วมกันหรือแม้แต่ช่วงสัมภาษณ์งานก่อนหน้านี้เธอสังเกตว่าเขาไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยถ้อยคำ เมื่อชายหนุ่มเอ่ยว่าจะถึงแล้ว นั่นคือจะถึงจริงๆ
ดังนั้นไม่ถึงนาทีหลังจากผ่านโรงสีร้าง แนวกำแพงเคหสถานเก่าแก่ก็ปรากฏสู่สายตากลางม่านฝนพรั่งพรู รั้วสูงดูมีอายุเนิ่นนาน อาจห้าสิบปี...จนถึงร้อยปี เป็นไปได้ทั้งนั้นเมื่อประเมินผ่านความไม่ชำนาญของศญา แต่ที่แน่ๆ คือมันตระหง่านปิดบังความเป็นไปภายในหมดสิ้น ด้วยถัดจากกำแพงมีจามจุรี ประดู่ มะขาม แคป่า และไม้ยืนต้นหลากชนิดซับซ้อนราวปราการสูง ทั้งเขียวครึ้ม โยกโยนตามลมพายุเหมือนฝูงปีศาจชราคอยขู่ขวัญคนผ่านทาง กระทั่งรถของเอกภพเลี้ยวเข้าขอบเขตทะมึนหม่นชวนพิศวงนั่นละ ศญาเพิ่งเห็นว่าใกล้กันนั้นมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งกุลีกุจอเปิดประตูให้พวกเธอกลางสายฝนคลุ้มคลั่ง ร่างผอมกะหร่องเปียกปอน แต่ยังฉีกยิ้มกว้าง
ราวกับรู้ว่าหญิงสาวจับจ้องไปที่ใด คนข้างกายจึงอธิบายขณะหมุนพวงมาลัย
“นั่นลุงปั่น เป็นคนดูแลสวน ประตูรั้วไม่ได้เป็นระบบอัตโนมัติ ลุงปั่นเลยต้องคอยเปิดให้ตลอด”
“อ้อ...ค่ะ”
คนฟังพึมพำรับคำไปตามเรื่อง การปล่อยให้ลุงคนที่ว่าต่อสู้กับฝนเม็ดใหญ่เท่าลูกตาแมวเพื่อรอเปิดประตูรับไม่ทำให้เธอสบายใจนัก เพื่อนหลายคนบอกว่าศญาเป็นคนขี้เกรงใจ หญิงสาวไม่เคยคิดว่าตนเป็นเช่นนั้น แต่คงจะจริง
“ที่นี่เคยเป็นบ้านตากอากาศของตระกูลอัญเรศไพจิตตั้งแต่ก่อนคุณปู่กับคุณย่าจะแต่งงานกัน ตัวตึกเลยค่อนข้างเก่าแล้ว แต่ยังได้รับการดูแลอย่างดี”
คนเสียงทุ้มข้างกายดึงความสนใจของหญิงสาวกลับมาอีกครั้ง ก่อนศญาจะเริ่มเข้าใจว่าเขากำลังอธิบายรายละเอียดคร่าวๆ ขณะขับรถผ่านทางทอดยาวตรงสู่ตึกที่ว่านั่น
“ร่มรื่นดีนะคะ” ดวงตาสีอ่อนของเธอทอดมองผ่านม่านสายฝน “เหมือนบ้านเก่าในละครย้อนยุคเลย”
ศญาไม่ได้พูดไปเรื่อยหรือเจตนาประจบประแจง อาคารเบื้องหน้าที่ตระหง่านรอทั้งสองให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
ตัวตึกปูนคล้ายผ่านมาหลายยุคสมัย แม้มีสีขาวนวลทาทั่วและประตูหน้าต่างไม้ลงสีเขียวไข่กาด้วยคงปรับปรุงนานๆ ครั้ง มีกลิ่นอายทับถมเฉพาะตัวที่มีเพียงกาลเวลาเท่านั้นบ่มเพาะได้ เฉลียงทางเข้าด้านหน้าอึมครึมจากเงาเมฆฝนทาบทับ ประดับเพียงกระถางกังไสขนาดใหญ่ใส่พุ่มเล็บครุฑขนาบประตูทั้งสองข้าง กึ่งกลางนั้นมีคนท่าทางร้อนรนระคนหวั่นใจ คือสตรีร่างท้วมผู้ไม่อาจยืนรอความเป็นไปภายใต้เสียงฟ้าคำราม หล่อนรีบกางร่มวิ่งมาหาทั้งสองทันทีที่เอกภพเลี้ยวเข้าโรงจอดรถข้างตึก แต่ยืนละล้าละลังใต้ชายคาบ้าน ไม่กล้าก้าวเท้าต่อตอนแสงวูบวาบแฉลบผ่านเงาพายุ
“ตายแล้ว รีบเข้ามาเร้วคุณเอก เดี๋ยวได้เปียกกันพอดี”
สตรีคนเดิมป้องปากตะโกน ท่าทางคงต่อสู้กับจิตใจเพื่อทำหน้าที่กางร่มให้ผู้มาเยือน ก่อนหันมากวักมือไหวๆ ให้ศญาที่ตั้งท่ายกกระเป๋าเดินทางด้วยตัวเอง
“ทิ้งไว้นั่นแหละคุณ เดี๋ยวตาปั่นแกยกขึ้นไปให้ เข้ามาก่อนเถอะ ฝนสาดหมดแล้วนั่น”
เพราะเริ่มเปียกจริงดังว่าจึงพลอยเชื่อคำผู้มากวัยกว่า เธอปล่อยมือ ชายคนใกล้กันพลันคว้ากระเป๋าไปถือโดยไม่พูดไม่จา มิหนำซ้ำยังเดินตากฝนนำเข้าตึกหน้าตาเฉย
“ขอบคุณค่ะ”
ศญาเร่งฝ่าฝนตามร่างสูงก้าวเข้าไปยืนในบ้านอันแห้งสนิทและมิดชิด กระดากอายเล็กน้อยว่าตนช่างไม่เอาไหนในการรับผิดชอบสัมภาระส่วนตัว
“นี่ป้าเอี่ยม ภรรยาลุงปั่น เป็นแม่ครัว”
เอกภพไม่ได้พูดถึงน้ำใจเมื่อครู่ เขาเริ่มแนะนำสตรีร่างอิ่มให้เธอรู้จัก ยังหันไปหาอีกฝ่ายที่ลอบพินิจกันเพื่อคลี่คลายความสงสัยอย่างเท่าเทียม
“นี่คุณศญาครับ พยาบาลคนใหม่ของคุณปู่”
“เรียกซินเฉยๆ ก็ได้ค่ะ สวัสดีค่ะป้าเอี่ยม” ผู้มาใหม่รีบยกมือไหว้ ศญาตั้งใจจะทำงานที่นี่อีกนาน เธอหวังใจว่าจะเข้ากันได้ดีกับทุกคน
“ค่ะคุณซิน ดูซิเปียกหมดเลย เดี๋ยวป้าเอาผ้าขนหนูมาให้นะคะ”
“แล้วเด็กรับใช้ล่ะครับ” หลานชายเจ้าของบ้านท้วงขึ้น
“เอ่อ...”
ป้าเอี่ยมทำท่ายึกยักขณะสบมองดวงตาคู่คม ดูเหมือนอัดอั้นตันใจ หรืออาจขอโทษขอโพย มีถ้อยคำบางอย่างส่งผ่านความเงียบภายใต้ท่าทางเหล่านั้น คล้ายว่าเอกภพเข้าใจเรื่องราวได้ทันที
คิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดเล็กน้อย “อีกแล้วหรือ”
“ค่ะ” หล่อนว่าพลางเสือกกายหมายป้องปากกระซิบ “คุณปรงเธอเนี้ยบอย่างกับอะไร คุณเอกก็รู้ นี่ก็...”
เปรี้ยง!
“ว้าย!”
หล่อนสะดุ้งแทบกระโดดโหยง คำนินทากระจัดกระจายในแสงบาดจ้าแล้วหล่นหายไม่มีชิ้นดี เบื้องหน้าตรงนั้น สาเหตุของความตกใจที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่าฟ้าผ่า ร่างหนึ่งปรากฏตัวตรงบันไดอย่างเงียบงัน ทั้งสูงโปร่งมากวัย ทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือกด้วยแรงกดดันอันไร้ถ้อยคำ อาจเพราะริมฝีปากบางเป็นเส้นตรงไร้รอยหยักยิ้ม หรือท่าทางก้าวเดินเหมือนรักษาระยะห่างจากโลกทั้งใบ โดยเฉพาะยามหยุดยืนเบื้องหน้าเอกภพก่อนผงกศีรษะ...เบา แทบไม่สังเกตเห็น ดูไว้ตัวด้วยอัตตาบางอย่างขณะเป็นฝ่ายเอ่ยทัก
“คุณมาแล้ว”
“ครับ นี่ศญา...ซิน พยาบาลคนใหม่ของคุณปู่” ผู้มาเยือนกล่าวรับอย่างเรียบเฉยพอกัน “ศญา นี่คุณปรง เป็นคนใกล้ชิดของคุณปู่ คุณปรงดูแลเรื่องทุกอย่างในบ้านหลังนี้”
“สวัสดีค่ะ”
แววไม่ยินดียินร้ายระหว่างชายต่างวัยทั้งสองสร้างความประดักประเดิดยามศญาทักทาย อีกฝ่ายไม่ตอบ และหญิงสาวรู้สึกว่าคุณปรงจ้องหน้าเธอนานเกินไป คงพินิจพิเคราะห์ ประเมินมอง หรือข่มขวัญเหมือนรุ่นพี่พยาบาลบางคนชอบทำสมัยเริ่มงานโรงพยาบาลใหม่ๆ ซ้ำร้ายยังหันหลังเดินนำขึ้นบันไดฉับพลัน ทิ้งไว้เพียงเสียงเอ่ยค่อยๆ เลือนจางตามคำรามฟ้ากระหน่ำ และเงาเคร่งขรึมของบ้านที่เฝ้ามองทุกความเป็นไป
“ขึ้นข้างบนก่อนเถอะ คุณท่านรอคุณมาพักใหญ่แล้ว”
คุณบุรี อัญเรศไพจิต รอทั้งสองอยู่จริงดังคนใกล้ชิดว่า บนเก้าอี้โยกหยุดนิ่ง กลางห้องนอนอันเซื่องซึมด้วยผ้าม่านแง้มหลังโค้งบานหน้าต่างปิดสนิท เสียงสายฝนกระหน่ำล้อมห้องขนาดหกเหลี่ยมราวมีมือรุมเคาะจากทุกทิศทุกทาง ปนเปบทเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงแผดร้องแข่งกันคล้ายบทวิวาทโหยหวน ลม...ซ่าๆ ครวญ...ซ่าๆ รักแว่ว...สีสันเดียวกลางเครื่องเรือนไม้มะเกลือคือดอกบัวในแจกันข้างเตียงสี่เสา โค้งก้านเดียวดายและปลิดกลีบหนึ่งลงเงียบงันโดยไม่มีใครแตะต้อง พร้อมกับตอนที่คุณปรงเอ่ยเรียกผู้เป็นนายพอดี
“คุณท่าน”
น้ำหนักเสียงไม่มากนัก หากได้ยินชัดเจน
“คุณเอกพาพยาบาลคนใหม่มาแนะนำให้รู้จักครับ”
เจ้าของห้องไม่ขานรับทันที คุณบุรียังคงหลับตาฟังเพลงกลางเสียงฟ้าฝน สดับท่วงทำนองที่มีแต่ตนเท่านั้นจับความทัน ปล่อยให้เงาหม่นปกคลุมใบหน้ากึ่งหนึ่งไว้ยามขยับตัวจากความคิดภายใน ก่อนค่อยๆ หันมายังหลานชายและหญิงสาวที่เพิ่งก้าวเข้ามา หลงเพ้อ...ซ่าๆ รัก...ซ่าๆ หมองไหม้...มีกลิ่นหอมรวยรินจากบัวที่กำลังสิ้นสีสดใส ปนกับความชื้นหนาแน่นในอากาศ แม้พอเห็นว่าเจ้าของห้องจับจ้องตน แต่ศญาไม่อาจพินิจใบหน้าอีกฝ่ายได้ชัดเจน เธอเห็นเพียงโครงร่างใต้เงาสลัวนิ่งค้าง เหมือนชะงักงัน เขม้นมอง ก่อนเสียงกระซิบหนึ่งจะลอยปนเปในเพลงฝนโหยหวน แผ่วจาง สั่นเครือ
“...แซน”
ไม่มีใครได้ยินว่าคุณบุรีพูดอะไรในทีแรก พวกเขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่านั่นคือถ้อยคำของชายชราหรือแว่วเสียงลมด้านนอก ทุกอย่างช่างดูเบาหวิวท่ามกลางชั่วขณะอันหนักอึ้ง บรรยากาศชวนสับสนพอๆ กับเลือนราง ระหว่างบทสรุปที่ทุกคนตัดสินใจเลือกความเงียบเป็นตัวไกล่เกลี่ยเรื่องราว เจ้าของห้องก็เอ่ยย้ำอีกครั้งโดยไม่มีใครคาดคิด
...ด้วยท่าทางราวตั้งใจสนทนากับหญิงสาวผู้มาใหม่เพียงผู้เดียว
“แซน...กิมแซน”
ศญาเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ถ้อยคำแปลกหู ไม่อาจเข้าใจความหมาย มิหนำซ้ำมีแต่ความรวดร้าวในน้ำเสียง คล้ายคนพูดถูกภาพบางอย่างในความคิดจู่โจมฉับพลัน คงมีแต่คุณปรงเท่านั้นที่เข้าใจสถานการณ์ทันที ชายชราหน้าซีดลงทุกขณะยามลอบมองสลับระหว่างหญิงสาวผู้มาใหม่กับเจ้านาย คล้ายจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่อับจนถ้อยคำด้วยเสียงกลบทับในจังหวะต่อมา
“กิมแซน...กิมแซน! กิมแซน!”
จากกระซิบเป็นร้องตะโกน และจากร้องตะโกนเป็นการยื่นมือมาหา สะเปะสะปะจับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ลุกปุบปับแล้วเซล้มลงบนพื้นทั้งที่มีผ้าคลุมตักเกี่ยวค้างไว้กับเก้าอี้ เพียงพริบตา คุณบุรี อัญเรศไพจิตก็กลายเป็นชายแก่ที่ตะเกียกตะกายอย่างน่าเศร้าท่ามกลางความตกใจของผู้มาเยือนทั้งสอง ไร้สิ้นท่าทีสุขสงบดังที่เห็นตอนแรก
“คุณบุรี!/คุณปู่!”
คุณปรงและเอกภพพุ่งเข้าหาเจ้าของบ้านแทบทันที ศญารีบสาวเท้าตามไปช่วยพยุง ชายผู้มีสิทธิ์ขาดในการจัดการทุกสิ่งหันมาตวาดใส่เสียงกร้าว
“ออกไป!”
“คะ?”
ร่างบางชะงักเกือบสะดุ้ง ทว่าสิ่งที่ทำให้ศญาหยุดนิ่งไม่ใช่คำสั่งเด็ดขาดของคุณปรง แต่เป็นความรู้สึกราวกับตนคือต้นตอเรื่องราววุ่นวายทั้งหมด รวมถึงอาการเพ้อคลั่งของคุณบุรีด้วย เธอคิดเช่นนั้นจริงๆ ทั้งที่ไม่เข้าใจสาเหตุสักนิด
“ถ้ายังไงให้ฉันช่วย...”
“ออกไปก่อน ผมจะดูคุณบุรีเอง พวกคุณออกไปให้หมด ไป!”
ไม่รอให้ถามย้ำซ้ำสอง คราวนี้หมายรวมถึงเอกภพด้วย ท่าทางแข็งกร้าวของคุณปรงบอกชัดว่าไม่มีการผ่อนปรนใดๆ ในถ้อยคำ สองแขนยังพัลวันประคองผู้เป็นนายไว้มั่น ขณะดวงตาเรียวรีผลักไสการมีอยู่ของอะไรก็ตามที่เปรียบเสมือนส่วนเกินภายในห้องนี้
...อันหมายถึงทายาทเพียงคนเดียวของอัญเรศไพจิต และพยาบาลคนใหม่อย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้
หญิงสาวลอบสบตาเอกภพ รอกระทั่งเห็นว่าเขาพยักหน้าเบาๆ แล้วก้าวเท้านำเธอออกไปข้างนอก ยินยอมให้คุณปรงจัดการเรื่องราวภายในตามเห็นสมควร
ภาพสุดท้ายที่มองเห็นจึงเป็นชายสองคนประคองกันไว้กลางความมืดหม่นกับเสียงฝนคลั่ง ผ้าม่านริมหน้าต่างไหวพะเยิบ
แล้วประตูก็ปิดลง...
ห้องคุณบุรีเป็นห้องนอนหลักบนชั้นสอง เชื่อมโถงส่วนหลังของตัวตึก ถัดไปอีกนิดเป็นระเบียงกว้างใต้การปกคลุมของเถาไม้เลื้อย ตอนศญาเดินตามร่างสูงออกมาจึงเห็นว่าสายฝนด้านนอกยังกระหน่ำซัดไร้วี่แววบางตา ท่ามกลางเสียงสาดกระทบเหล่านั้นคล้ายได้ยินเสียงตกค้างจากเหตุการณ์ก่อนหน้า...แซน...กิมแซน ถ้อยคำแปลกประหลาด สร้างแรงสั่นสะเทือนจนนึกสงสัยว่าความหมายอันใดทำให้ชายชราคนหนึ่งสูญเสียตัวตนเพียงนั้น
หญิงสาวเหลือบมองคนข้างกัน ด้วยท่าทางเก้กังทั้งที่ยังไม่ทันทำอะไรผิด พลันตัดสินใจทำลายความเงียบ
“เกิดอะไรขึ้นคะ แล้วกิมแซนแปลว่าอะไร”
“ผมก็ไม่รู้” เอกภพตอบกลับทันทีราวกับคิดเรื่องนี้เช่นกัน เขามองเธอเล็กน้อย ทิ้งสายตาตรงรอยเส้นบางๆ จากการมุ่นคิ้วก่อนระบายลมหายใจ “ขอโทษนะครับ คุณเองก็คงตกใจมาก”
“ตามที่คุณแจ้งมาท่านแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัวไม่ใช่เหรอคะ”
เธอไม่คิดเอ่ยถึงความรู้สึกตัวเอง ศญาเริ่มกังวลเรื่องคุณบุรีมากกว่า จริงอยู่ที่คนแก่ต้องถูกดูแลอย่างใส่ใจ แต่การปรนนิบัติผู้สูงอายุที่ป่วยไข้ถือเป็นอีกเรื่อง และเธอไม่อาจปล่อยให้ความไม่รู้ใดส่งผลกระทบต่อการทำงานของตน
“หรือมีโรคอะไรที่บอกตกหล่นไปหรือเปล่า”
“ผมติดต่อคุณปรงเกือบทุกสัปดาห์ มาเยี่ยมแทบทุกเดือน ไม่เห็นว่าคุณปู่จะมีอาการอย่างวันนี้”
“แต่คุณบอกเองว่าพยาบาลหลายคนก่อนหน้าอยู่กันไม่ได้” คนฟังยังไม่วางใจ
“ใช่...แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้”
แต่เป็นเรื่องอะไร เขาไม่ทันเอ่ยก็เห็นป้าเอี่ยมวิ่งมาพร้อมผ้าขนหนูสะอาดในมือ หญิงคนครัวทำท่าชะเง้อชะแง้แม้ประตูห้องคุณบุรีปิดสนิท ความใคร่รู้ช่างประดามีจนออกนอกหน้า ไม่ทันหายหอบดีหล่อนก็เบิกตากว้างอย่างพร้อมรับข่าวสาร แยกไม่ออกว่าเป็นห่วงหรือแค่หวั่นจะตกข่าวเฉยๆ
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณเอก เสียงครึกโครมไปถึงด้านล่าง”
“ไม่มีอะไรครับ”
หลานชายเพียงคนเดียวของเจ้าบ้านตอบกลับทันที เขาขีดเส้นชัดเจน เพราะน้ำเสียงราบเรียบฟังดูเด็ดขาดในความหมายนั้น ป้าเอี่ยมค่อยตระหนักว่าตนก้าวก่ายเรื่องที่ไม่ได้รับอนุญาต หล่อนยิ้มแหย เก็บกำลมหายใจหอบกระชั้นให้เหลือแค่ความเหนื่อยจากการวิ่งเท่านั้น ไม่ใช่ตื่นเต้นจากการกระหายใคร่รู้ดังเมื่อครู่
“ผ้าขนหนูค่ะ เช็ดผมเผ้าให้แห้งกันก่อนดีกว่า แล้วนี่คุณเอกจะอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนมั้ยคะ ใกล้ค่ำแล้วด้วย”
เอกภพหันไปมองสายฝนด้านนอกก่อนเหลือบมายังศญาแวบหนึ่ง เสียงลมพายุยังคำรามจากที่ไหนสักแห่งไม่ไกล ทั้งสองจ้องตากันโดยหญิงสาวไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรกันแน่
“ฝนยังไม่มีทีท่าจะหยุด คืนนี้ผมค้างที่นี่แล้วกัน รบกวนป้าเอี่ยมช่วยเตรียมห้องให้ด้วยครับ”
เขารอกระทั่งคนฟังรับคำแล้วเดินจากไปค่อยหันมายังศญาอีกครั้ง คล้ายจะเอ่ยอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายระหว่างทั้งสองเหลือเพียงความเงียบเคลื่อนผ่าน และความคิดที่ต่างเดินทางเพียงลำพัง
หญิงสาวใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมเพื่อรอจังหวะให้ใครสักคนเอ่ยคำอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกวาดมองรอบกาย สำรวจกึ่งพินิจพิเคราะห์...เป็นอย่างที่เธอคิดไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เข้ามา บ้านนี้ราวกับถูกแช่ค้างในห้วงเวลา คล้ายว่ากงล้อแห่งการเปลี่ยนผ่านหรือผกผันใดไม่เคยเอื้อมถึง ทั้งผู้คน บรรยากาศ และเครื่องเรือน แม้กระทั่งอากาศที่เธอสูดดม ศญายังรู้สึกเหมือนมันเป็นอากาศเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ใช่ลมหายใจของปัจจุบัน
ความคิดเลื่อนเปื้อนทำให้หญิงสาวเผลอมองนอกระเบียง ม่านสายฝนปกคลุมทุกทิศทุกทาง ยากจะบอกได้ว่าถัดจากสวนกว้างไกลจดชายป่าเป็นเช่นไร คล้ายความเวิ้งว้างว่างเปล่า หรือบึงน้ำ อะไรสักอย่างเร้นเงาสลัวอยู่ตรงนั้น และบางขณะ พายุลมมืดฟ้ามัวดินนั่นละที่สร้างภาพลวงตาคล้ายคนยืนโงนเงนกลางสายฝน เปียกโชกเป็นเงาเลือน เคว้งคว้างเดียวดายและจ้องมองมา...
ศญาขนลุกโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวรีบหันหน้ากลับ จังหวะเดียวกับที่คุณปรงเปิดประตูออกมาพอดี
“พวกคุณเข้าไปได้แล้ว” ชายชราเอ่ยเสียงเรียบกับผู้มาเยือนทั้งสอง
“ขอบคุณค่ะ”
มีแต่พยาบาลคนใหม่เท่านั้นที่เอ่ยตอบ เอกภพพยักหน้ารับ ตรงเข้าไปหาชายผู้เกี่ยวข้องทางสายเลือดเพียงผู้เดียวในบ้านทันที ทุกอย่างดูคลี่คลายราวกับเมื่อครู่ไม่เคยมีความวุ่นวายเกิดขึ้น คุณบุรีนั่งรอพวกเขาบนเก้าอี้โยกตัวเดิม ไม่มีดนตรีเว้าวอนจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงหรือกลีบบัวร่วงโรยใต้แจกัน ทุกสิ่งสงบนิ่ง รอบกายราบเรียบยิ่งกว่าผิวทะเลสาบไร้ริ้วระลอก เหลือแค่เสียงฝนพรั่งพรูไม่ขาดสายด้านนอกเท่านั้นที่รุมสาดซัดไม่หยุดหย่อน แม้แต่ตอนเจ้าของห้องหันมาส่งยิ้มต้อนรับจางๆ
“มานั่งนี่สิ ทั้งคู่เลย”
เสียงคุณบุรีฟังดูนุ่มละมุนเหมือนชายชราใจดี แตกต่างจากเมื่อครู่ราวกับคนละคน ยังค้อมตนลงใกล้ยามหลานชายนั่งลงข้างเก้าอี้โยก ไม่มีสักวินาทีที่ปราศจากแววเมตตา
“เอกขับรถตอนฝนตกหรือ ทีหลังไม่เอาแล้วนะ อันตราย”
“ฝนเพิ่งมาตกตอนใกล้ถึงนี่เองครับ คุณปู่สบายดีนะครับ”
เจ้านายของเธอคนนี้ก็เช่นกัน ตอบกลับราวกับนี่คือการพบกันครั้งแรก ไม่เคยมีเหตุการณ์วุ่นวายใดเกิดขึ้นก่อนหน้า
“ดี...สบายดี” คุณบุรีว่าพลางเลื่อนสายตามายังหญิงสาวหนึ่งเดียวในวงสนทนา “พยาบาลใหม่ใช่มั้ย ชื่ออะไรล่ะเรา”
“ศญาค่ะ ชื่อศญา แต่คุณท่านเรียกว่าซินก็ได้”
บางอย่างในดวงตาแห่งชีวิตขยับไหว เป็นรอยรื้นชั่วเสี้ยววินาทีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ต่อให้เจอคงแยกไม่ออกว่ามาจากห้วงอารมณ์ของคุณบุรีเองหรือเพียงเงาสลัวบังเอิญพาดผ่าน
“ซิน...ซินแบบไหน ภาษาอะไร”
“ภาษาจีนค่ะ คุณตาเป็นคนตั้งให้ ซินที่แปลว่ากลิ่นหอม”
ชายชรามองเธอเพียงครู่สั้นๆ ก่อนพยักหน้ารับพร้อมกล่าวสรุปแผ่วเบา
“เป็นชื่อที่ดี”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนติดใจชื่อนี้ ชื่อซินของเธอถูกมิตรสหายสร้างคำสร้อยไว้กระเซ้าหลายครั้ง เช่น ซินเดอเรลลา ซิน (ซิม) ซาลาบิม ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ บางทีมีคนถาม ‘ซินแปลว่าอะไร’ ‘ซินภาษาอะไร’ ศญาเผชิญหน้ากับความใคร่รู้ทำนองนี้มาทั้งชีวิต แต่เธอคงไม่เก็บคำชมของคุณบุรีมาคิดให้ใจหายวาบ หากไม่เผลอนึกถึงถ้อยคำพิลึกพิลั่นที่อีกฝ่ายเพิ่งตะโกนไม่นานนี้ พร้อมการเปรียบเทียบที่ไม่ได้ประโยชน์ใดนอกจากความสงสัยในใจ
ซิน...แซน...ซิน...ศญา...กิมแซน...
กระนั้น นี่เป็นเพียงความคิดของเธอคนเดียว แถมยังเป็นแค่ปริวิตกอันสูญเปล่า เมื่อคุณบุรีจบบทสนทนากับศญาเพียงเท่านั้น ก่อนผละความสนใจไปเอ่ยกับชายหนุ่มอีกคนแทน
“เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ ฝนยังตกหนัก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ เอกก็ค้างที่นี่ก่อนสักคืน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที”
คนเป็นหลานไม่ตอบว่าเขาตัดสินใจนอนค้างที่นี่แล้ว เอกภพเพียงพยักหน้ารับ คงเป็นอย่างที่คุณบุรีบอกนั่นละ
...พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที
แต่พรุ่งนี้ยังไม่ทันมาถึง มืดค่ำวันนั้นหลังจัดการธุระเสร็จสิ้นตั้งแต่อาบน้ำจนถึงรับประทานอาหารเย็น ขณะที่ศญาชั่งใจระหว่างจะเข้านอนทันทีหรือเปิดกระเป๋าจัดของในห้องใหม่บนชั้นสอง...ฟึ่บ! รอบกายพลันมืดดับโดยไม่ทันตั้งตัว เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นยื่นมาปิดตาทั้งสองข้าง
แต่ไม่ใช่เพียงดวงตาเธอ ทว่าตึกทั้งหลังกลืนหายไปในราตรีกลางพายุฝน เพียงสายฟ้าแลบลอดบานพับหน้าต่างพอให้เห็นแสงสลัว สลับกับมืดสนิท แล้ว…เปรี้ยง! เงาเครื่องเรือนปรากฏกลางแสงจ้า ทึมทึบรายล้อมเธอจากทุกทิศทุกทาง ก่อนกลับไปมืดดังเดิม แล้วสว่างขึ้นใหม่ วกวนซ้ำๆ กระทั่งศญาสังเกตว่าคล้ายบางอย่างในห้องขยับเคลื่อนโดยไม่มีใครรู้ คงเพราะแสงสาดผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า เงาตู้และผ้าม่านจึงสะดุดตากลางภาพทึบทะมึน ดูเหมือนร่างโงนเงนปรากฏใกล้ทุกจังหวะที่ฟ้าสว่างวาบ...
วูบหนึ่งอยู่ทางซ้ายตรงหางตา
อีกวูบหนึ่งย้ายมาอยู่หลังเงาตะคุ่มทางขวา
และข้างโต๊ะหนังสือ
และปลายเตียง...ใกล้เข้ามา
เปรี้ยง!
เฮือก!
ศญาถอยไปชนประตูห้อง อยากเลี่ยงทั้งที่ตระหนักดีว่าเป็นแค่จิตปรุงแต่ง อีกประการคือเธอคิดจะไปดูคุณบุรีสักนิด นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง คนแก่บางคนเมื่อล่วงเลยวัยมักตกใจเสียงฟ้าร้องทั้งที่เคยเฉยเมยกับมันมาทั้งชีวิต เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่ไปดูก็ไม่เสียหาย
ครืน...
เสียงฟ้าคำรามอีกครั้ง รอบกายสว่างชั่ววูบ
คราวนี้คล้ายเงาอยู่ด้านหลัง ใกล้ใบหน้า แทบชิดหลังหู...
ก๊อกๆ
มีคนเคาะประตูห้องเธอ
สติใช้โอกาสแทรกตัวกลับคืนพร้อมอาการสะดุ้ง หญิงสาวรีบเปิดประตูทันที พบว่าเอกภพยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมแสงวูบไหวจากตะเกียงเจ้าพายุในมือ คงเป็นสมบัติหลงกาลเวลาอีกชิ้นของบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไฟคงดับเพราะพายุครับ เห็นป้าเอี่ยมบอกว่าลุงปั่นกำลังไปดูเครื่องปั่นไฟสำรอง คุณไม่เป็นไรนะ” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงเรียบทุ้ม นั่นทำให้เธอรู้สึกวางใจทุกถ้อยคำที่เขาเอ่ย
“ค่ะ แต่ฉันว่าจะไปดูคุณบุรีสักหน่อย”
“ผมไปมาแล้ว คุณปรงบอกว่าคุณปู่เพิ่งเข้านอน ไม่มีปัญหาอะไร” เอกภพว่าพลางยื่นตะเกียงให้ “คุณใช้เป็นมั้ย เอาไปแก้ขัดระหว่างรอไฟมา เดี๋ยวผมหาไฟฉายให้ใหม่”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันว่าจะเข้านอนแล้ว” นี่ไม่ถือเป็นคำปด อันที่จริงศญาเพิ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้เอง เธอไม่คิดจะจัดของหรือนั่งมองเงาลวงตาบ้าๆ ระหว่างฟ้าแลบอีกแล้ว
“แน่ใจนะ”
แม้ถามย้ำ แต่เจ้าของร่างสูงไม่เซ้าซี้ต่อ เขาแค่เหลือบมองเข้ามาในห้องเธอเล็กน้อยคล้ายสำรวจความเรียบร้อย แล้วค่อยพยักหน้า
“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์”
“ค่ะคุณเอก ราตรีสวัสดิ์เช่นกันนะคะ”
คนริมฝีปากอิ่มอดยิ้มไม่ได้ ศญายืนส่งอีกฝ่าย กระทั่งเขาเดินหายไปตรงทางเลี้ยวสลัวค่อยปิดประตูตามหลัง คราวนี้แสงแปลบปลาบไม่น่ากลัวอีกต่อไป ทุกอย่างสงบ และนิ่งอยู่ภายใต้ฝนฟ้าพายุเดิมซึ่งซัดกระหน่ำตั้งแต่ช่วงเย็น กระนั้นศญาก็รู้ เธอรู้แน่ว่าการเข้านอนของตนจะเป็นไปด้วยดี จากคำว่าราตรีสวัสดิ์เสียงทุ้มต่ำเมื่อครู่
ใช่ แค่คำพูดของเอกภพคำนั้น
...และความจริงที่ว่าเธอเคยหลงรักเขาอย่างลับๆ เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
ความคิดเห็น |
---|