บทที่ ๕

โดยปกติสำรับเที่ยงของคุณบุรีเริ่มเวลาบ่าย ศญาคิดอยากลองปรับให้เร็วกว่านี้บ้าง แต่ทั้งนายและบ่าวของบ้านอัญเรศไพจิตไม่มีใครเห็นดีเห็นงามกับเธอ

ทั้งที่มีบุคลิกเรียบง่ายและใจดี ทว่าเอาเข้าจริงคุณบุรีดูรั้นเกินคาด เช่นยามเย็นแดดร่มลมตกเมื่อวันก่อนพยาบาลคนใหม่ถือโอกาสชวนเจ้าของบ้านลงไปเดินเล่น หมายมาดว่าโปรแกรมออกกำลังกายที่ร่างไว้จะเริ่มใช้อย่างแนบเนียนเหมือนเมนูโภชนาการก่อนหน้านี้ กระนั้น สิ่งที่ได้รับกลับเป็นน้ำเสียงปฏิเสธเด็ดขาด เกือบแข็งกร้าวด้วยซ้ำ ชายชราไม่คิดก้าวขาออกจากตึกใหญ่สักเสี้ยวขณะ กิริยาปิดกั้นนี้ถูกถ่ายทอดสู่เหล่าคนรับใช้เงียบๆ และชัดเจนตอนประเด็นมื้อเที่ยงถูกปัดตกอย่างไร้เยื่อใย ป้าเอี่ยมปฏิเสธการทำอาหารให้เร็วขึ้นอีกนิดด้วยเหตุผลว่าคำนวณเวลาไม่ทัน และคุณปรงเอง...รายนั้นไม่เคยชมชอบข้อเสนอแนะใดที่สร้างความเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

เพราะไม่ยอมออกไปไหน โลกอันมั่นคงของคุณบุรีนับแต่ฟ้าสางจดเย็นย่ำจึงเป็นบริเวณระเบียงชั้นสอง ที่ซึ่งปกคลุมด้วยเถาไม้เลื้อยซับซ้อน หันหน้าสู่บึงบัวตลอดกาล และรับกลิ่นรวยรินจางๆ ยามสายลมพัดเชย หนังสือถูกสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาวางบนโต๊ะข้างเก้าอี้แก้เบื่อทุกวัน ล้วนแต่ผ่านการเลือกหยิบโดยคุณปรงจากห้องหนังสือ...ที่มีแต่เขาเท่านั้นเข้าไปได้ บทเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงมักถูกเปิดช่วงบ่าย บางทีลากยาวกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ก่อนบ้านทั้งหลังจะตกสู่ความเงียบดิ่งลึกเช่นเดียวกับความมืด ครั้นศญาเข้ามาก็กลายเป็นผลดีอีกแง่หนึ่ง เพราะความลับคือเจ้าของบ้านชอบเต้นรำ ที่ผ่านมาไม่มีใครเต้นกับเขาเลย

ด้วยเหตุนี้ แม้โปรแกรมเดินออกกำลังกายถูกปิดตายไม่เหลือชิ้นดี แต่หญิงสาวค้นพบกิจกรรมใหม่ให้ชายชราเคลื่อนไหวบ้างแล้ว ด้วย ‘แม้เราจะอยู่ไกลกันฉันคงรักมั่นยืนยง ด้วยจิตพะวงผูกพันซื่อตรงฝังตรึง[1]’ หรือบางคราว ‘เมื่อยามจะนิทรา หลับตายังมิลง จิตใจพะวงหลงคอยเธอเรื่อยมา[2]’ หรือหากลองขยับจังหวะเร็วขึ้นก็ต้องควิกวอลตซ์ ‘อยู่เดียวเปลี่ยวอกเอ๋ย ฉันเคยฟังเธอพร่ำ นั่งเคียงกอดชื่นล้ำ หวานคำฉ่ำทรวงใน[3]’ คู่เต้นรำยามบ่ายแก่จะขยับกายใต้เงาแดดเคลื่อนคล้อย เนิบนาบในโลกที่หยุดหมุนด้วยดนตรี แม้พยาบาลสาวก้าวขาถูๆ ไถๆ คล่อมจังหวะไปด้วย แต่คุณบุรีเองก็ไม่ว่าอะไร เขาไม่เคยตำหนิการเต้นอันบกพร่องของเธอ ที่จริงดื่มด่ำกับบทเพลงเสียส่วนใหญ่ ด้วยเนื้อความแห่งรักรอคอย เฝ้าฝัน คิดถึง เพ้อรำพึง โหยหาแต่ผู้เป็นที่รัก

...พร้อมกับตัวตนสตรีคนหนึ่งค่อยๆ ทิ้งเงาลงในถ้อยคำของคุณบุรีอย่างแช่มช้า แต่ทว่ามั่นคงราวกับหล่อนยังอยู่ตรงนั้น มุมไหนสักแห่งในบ้าน ไม่เคยจางหาย

สิ่งที่ศญาเริ่มสังเกตและไม่อาจเอ่ยได้คือกิมแซนเริ่มมีตัวตนมากขึ้นในบทสนทนา ไม่ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหรือไม่ก็ตาม...

“จำได้ว่าตาตั้งให้ใช่มั้ย ชื่อซินนี่”

เวลาบ่าย ขณะหญิงสาวจัดเตรียมโต๊ะสำหรับมื้ออาหาร ชายชราเจ้าของบ้านก็ทำลายความเงียบด้วยหัวข้อเรื่องชื่อเธอจากเก้าอี้หวายบุนวมข้างกัน ถามปุบปับคล้ายคิดถึงบางอย่างแล้วบังเอิญนึกได้ และไม่มีเหตุผลให้ศญาต้องเมินเฉย เป็นข้อปฏิบัติของคนรับใช้ในบ้านว่าไม่ควรให้เจ้านายเป็นฝ่ายปิดบทสนทนา ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม คุณปรงเคยสอนงานไว้เช่นนี้ แม้เจ้าตัวฝ่าฝืนบ่อยๆ ก็เถอะ

“ค่ะ ส่วนมากก็เรียกซินกัน มีแต่ตากับยายที่บางทีเรียกว่าซินซิน” คนพูดลอบอมยิ้ม เธอไม่อธิบายต่อว่าน้ำเสียง ‘ซินซิน’ ที่ตายายใช้เรียกฟังดูอ่อนโยนเพียงใด และชัดเจนแค่ไหนในความทรงจำ

“บางทีก็แซนเฉยๆ นะ แต่ส่วนมากฉันจะเรียกเธอว่ากิมแซนมากกว่า”

“คะ?”

หญิงสาวงุนงงทันที การเอ่ยถึงบุคคลที่สามกะทันหันทำให้เธอหันไปหาคนพูด ด้วยคิดว่าตนอาจจับเนื้อหาสนทนาไม่ครบถ้วน แต่คุณบุรีเพียงยิ้มจางๆ อย่างนั้น ราวกับเขากล่าวถึงกิมแซนตั้งแต่แรก

“แล้วเธอก็ไม่ได้เรียกฉันว่าบุรีด้วย เธอเรียกฉันว่าแองเอย”

“แองเอย” ศญาเผลอพึมพำตาม คำคำนี้ฟังดูคุ้นชอบกล

“ใช่ เธอเรียกฉันว่าแองเอย...” คราวนี้ชายชราเอ่ยพลางพินิจใบหน้าเธอ

“แปลว่าอะไรเหรอคะ”

ดวงตาซึ่งแบกแววชีวิตร่วงโรยสบมองมา ก่อนเบือนหนีช้าๆ สู่การครุ่นคิดที่แม้แต่ตนเองยังเอื้อมคว้าไม่ได้ ยินเพียงเสียงถอนหายใจแผ่วเบาขณะอ้าปากตอบ

“แปลว่า...”

“สำรับเที่ยงพร้อมแล้วครับ”

ช่วงเวลาแน่นิ่งถูกทำลายเหมือนลูกไก่ถูกกะเทาะเปลือก ด้านหลังไม่ไกลกันคือคุณปรงผู้ยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถัดไปเป็นป้าเอี่ยมยืนถือถาดอาหารด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน หล่อนหลุบตาต่ำ ไม่กล้ามองมาทางเจ้านาย คล้ายเพิ่งได้ยินคำต้องห้าม ซ้ำร้ายถูกครอบด้วยความกลัวจนตัวงองุ้มเช่นนั้น กระทั่งจัดสำรับเรียบร้อยแล้วถอยกลับออกไป

เหลือไว้เพียงพยาบาลคนใหม่ผู้จนแล้วจนรอดยังไม่รู้เรื่องราวใด กับเจ้าของบ้านที่เลิกสบตาทุกคนด้วยการผินหน้าไปนอกระเบียง เงียบงัน ห่างเหิน ปิดกั้นจากทุกสิ่งรอบกาย แม้กระทั่งคุณปรงผู้เคียงข้างกันมาหลายปี

...ราวกับเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน

คงเพราะบ้านอัญเรศไพจิตมีต้นไม้ใหญ่รายล้อมแทบเรียกได้ว่าเขียวครึ้ม ยามบ่ายแก่ที่แดดควรจัดจ้าจึงเหลือแต่ริ้วแสงเล็ดลอดผ่านม่านใบหนาตา โดยเฉพาะฝั่งปีกซ้ายอันเป็นครัวของตัวบ้านซึ่งติดด้านหลังโรงสีร้างข้างกัน ต้นไม้ฝั่งนั้นระเกะระกะ เต็มไปด้วยบรรยากาศซากกาลเวลา รกชัฏ และทึบหม่น ยังถ่ายทอดกลิ่นอายให้ห้องครัวซึมซับความอึมครึมด้วย แม้ไม่อยากใส่ใจนัก แต่ต้องยอมรับว่าศญาอึดอัดทุกครั้งเวลาอยู่ที่นี่คนเดียว ครั้งที่ว่าหมายถึงครั้งนี้เช่นกัน

มันเป็นหน้าที่เธอต้องยกถาดลงมาหลังมื้ออาหารของชายชราเสร็จสิ้น หญิงสาวจะส่งต่อให้ป้าเอี่ยมซึ่งมักรอรับอยู่ในครัว บางครั้งกำลังเตรียมอาหารมื้อต่อไป บางคราวนั่งอู้งานฟังละครวิทยุที่เพิ่งรู้ว่าสมัยนี้ยังมีอยู่ หรือบางคราวหล่อนนั่งแทะเมล็ดฟักทอง แตงโม ทานตะวัน ถั่วลิสง อะไรก็ตามที่ทำให้หญิงคนครัวทำปากแจ๊บๆ คล้ายช่วยบรรเทาอาการกระวนกระวายจากการไม่ได้พูดลงบ้าง และรู้กันระหว่างทั้งสองว่าให้เก็บเป็นความลับ อย่าเผลอฟ้องคุณปรงเด็ดขาด

การก้าวเท้าเข้ามาพบเพียงความว่างเปล่าครั้งนี้ ทำให้ศญานึกถึงตอนอีกฝ่ายแอบต้มงู รอบกายเงียบเชียบ บรรยากาศแทบเหยียบไปใช้คำว่าวังเวง...เป็นเช่นนั้นแม้มีแสงส่องลงมา

ศญาไม่ชอบอะไรแบบนี้ เธอตั้งท่าเรียกหาป้าเอี่ยมทันที ออกมายืนข้างเตาอั้งโล่บวมผงเถ้าเพื่อหันซ้ายหันขวาด้วยซ้ำ หากเสียงนั้นไม่ดังขึ้นก่อน

เสียงคล้ายมีบางอย่างขยับ

พึ่บพั่บเหมือนอากาศโกลาหลในโหลแก้ว เถาไม้เลื้อยตรงกำแพงไม่ไกลจากตรงนั้นสั่นไหว มันรกเรื้อ มีดงผักสวนครัวปลูกไม่เป็นระเบียบของป้าเอี่ยมขวางกั้น กอขิงหรือข่าหรือว่านบางอย่างชูเรียวใบทอดยาวจดต้นแคป่าสูงใหญ่ และหญิงสาวรู้ดีว่าอีกฟากของแนวกำแพงที่พืชคลุมแทบมองไม่เห็นคือโลกซึ่งถูกทิ้งร้าง มีแต่ต้นไม้กับสัตว์เท่านั้นจะดำรงชีพ มันคือพื้นที่โรงสีเก่าไร้ผู้คน ไม่มีมนุษย์อื่นใดใช้ชีวิตอยู่

ความปอดแหกของศญาเริ่มทำงานตั้งแต่วินาทีนั้น ลมพัดผ่านยอดไม้ส่งเสียงเสียดสาก วูบหนึ่งคล้ายพรูพลิ้วใส่กลางหลัง เธออยากหันหลังกลับเข้าครัวพร้อมควบคุมจินตนาการเตลิดไกลทั้งหลายของตัวเอง แต่ต้องชะงักเมื่อเสี้ยวสายตาสุดท้ายบังเอิญเห็นที่มาของการไหวสั่นไกลๆ 

เสียงพึ่บพั่บไม่สม่ำเสมอ บางคราวรุนแรง สลับกับเหนื่อยอ่อน...นก

มันคือนกอะไรสักอย่าง กระจ้อยร่อยไม่ทราบชื่อ บินหากินอย่างไรไม่รู้จึงถูกเครือไม้บนกำแพงเกี่ยวขา ความตระหนกคงทำให้เจ้านกตีปีกอาละวาด แต่ยิ่งดิ้นยิ่งรัด ยิ่งขยับยิ่งพันธนาการ หากศญาถูกอารมณ์ประหวั่นของการคิดไปเองควบคุมมากกว่านี้ เธอคงวิ่งเข้าบ้านโดยไม่มีวันรู้ และเจ้านกคงติดอยู่ในการกักขังของเถาไม้จนแห้งตายตลอดกาล

พืชที่เลื้อยคลุมกำแพงเขียวเข้มเป็นมันวาว ใบดกจนรกครึ้ม ปลายแหลมคล้ายใบโพ เมื่อเดินไปใกล้จึงรู้ว่าคือต้นพลูที่เอาไว้ห่อหมาก หญิงสาวจำได้ ยายพุ่มที่ชอบมานั่งแคร่หน้าบ้านสมัยเด็กเป็นคนเคี้ยวหมาก เคยกระทั่งสอนให้เธอลองห่อหมากเป็นคำๆ ด้วยส่วนประกอบมากมายคล้ายกรรมวิธีแม่มดปรุงยา แล้วตะบันในครกก่อนเอาเข้าปาก การคายน้ำสีแดงก่ำแล้วยิ้มอวดฟันดำวับวาวคือสิ่งที่หญิงชราพอใจรองจากการเล่าเรื่องเรื่อยเปื่อย

กระนั้น จากความทรงจำวัยเยาว์มากมายของศญา ยังไม่มีพลูต้นไหนใหญ่และรกเท่าพลูบนกำแพงบ้านอัญเรศไพจิตต้นนี้มาก่อน

“ทำอีท่าไหนถึงขาติดได้เนี่ย”

ด้วยท่าทางระมัดระวัง เธอประคองนกน้อยราวกับมันประกอบจากแก้วบางใส เครือพลูซ้อนทับบนกำแพงที่บางส่วนเริ่มมีรอยแตกร้าว จุดหนึ่งใต้รากพันเลื้อยเหล่านั้นคล้ายมีรูโหว่เล็กๆ ของอิฐกร่อนพัง คงต้องแจ้งคุณปรงให้ทราบก่อนกำแพงทั้งแถบจะถล่มลงมา

“ชู่...ใจเย็นๆ จะออกแล้...”

ศญาไม่ได้ตั้งใจ แค่เสี้ยววินาทีตอนเผลอเหลือบมองช่องว่างตรงนั้นอีกครั้ง ก่อนความรู้สึกหนาวยะเยือกจะแล่นปลาบฉับพลัน 

เมื่อรูที่ควรทะลุไปเป็นเงาไม้อีกฝั่งถูกแทนที่ด้วยดวงตาข้างหนึ่งซึ่งจ้องตรงมา!

“ว้าย!”

พึ่บๆ

นกตัวจ้อยหลุดจากพันธนาการ ศญาผงะล้มพร้อมหัวใจแทบเต้นทะลุอก อาการหวาดผวาบินกระหึ่มคล้ายฝูงผึ้งรอบตัว เธอไม่กล้ามองช่องเดิมอีก แต่ภาพดวงตาเดียวดายนั้นติดเข้ามาในความคิด เหนียวแน่นโดยไม่ได้รับเชิญ

“คุณซิน ไปทำอะไรตรงนั้นคะ ออกมาค่ะออกมา เผื่อมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอมันอันตราย”

ไม่รู้ว่ามาจากไหน และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมเพิ่งโผล่มาป่านนี้ หญิงคนครัวรีบก้าวฉับๆ ผ่านแปลงผักไร้ระเบียบมาพยุง ขณะที่ศญาหน้าซีดและทำได้แค่ปล่อยให้อีกฝ่ายจับลุก

“ป้า...ป้าเอี่ยม” นั่นคือทั้งหมดที่ตอบกลับได้ เธอไม่สนใจปัดเศษดินออกจากกระโปรงด้วยซ้ำ

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ ทำอีท่าไหนถึงล้มได้”

“ข้างหลัง...ข้างหลังกำแพง”

แทนที่จะแปลกใจหรือสงสัยตามกัน ป้าเอี่ยมกลับมุ่นคิ้ว หญิงวัยกลางคนมองเธอสลับรูโหว่ว่าง ราวกับศญาคนบาปเพิ่งรุกล้ำสวนสวรรค์ต้องห้าม ก่อนจับเถาพลูรกเรื้อกลับเข้าที่เข้าทาง ปิดบังร่องรอยสิ่งที่เพิ่งถูกหญิงสาวพบพานเมื่อครู่

“แหวกพุ่มพลูป้าทำไมคะเนี่ย เดี๋ยวใบก็เสียหมด นี่ป้าเก็บไว้ฝากขายกับรถพุ่มพวงค่ะ ยังมีคนเฒ่าคนแก่หมู่บ้านแถวนี้เคี้ยวหมากกันอยู่”

แม้พอเข้าใจว่ากำลังเฉไฉ แต่ศญาไม่อยากปล่อยให้เรื่องราวถูกกลบเกลื่อนง่ายดายถึงเพียงนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กรณีที่เธอเพิ่งพบเจอสิ่งชวนพรั่นพรึงมากับตา ร่างระหงยืนนิ่งตรงที่เดิม การจ้องหน้าป้าเอี่ยมทำให้เธอสบายใจกว่าการหันไปมองกำแพงหลายเท่า

“ป้าเห็นรูตรงกำแพงมั้ยคะ”

“เห็นสิคะ มีมานานแล้ว” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ไยดี

“แล้วได้บอกคุณปรงมั้ยคะว่ากำแพงแตก”

“โอ๊ย จะบอกให้ยุ่งยากทำไมคะคุณซิน ขืนคุณปรงรู้มีหวังป้ากับตาปั่นโดนใช้มาวุ่นวายซ่อมอีกแน่ๆ นี่อุตส่าห์ให้พลูคลุมไว้แล้ว คุณซินเองก็ช่วยทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วกันนะคะ”

หญิงสาวไม่เอ่ยตอบ เธอไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ โดยเฉพาะหลังจากเพิ่งเจออะไรแปลกๆ เมื่อครู่ ขณะที่ป้าเอี่ยมไม่ตามเซ้าซี้เอาคำตอบ มืออวบของหญิงคนครัวยังจัดแต่งเครือพลูบังช่องโหว่ ส่วนปากเปรยเปลี่ยนเรื่อง

“ดูคุณท่านจะชอบคุยกับคุณนะคะ”

“คะ?”

ศญาไม่เข้าใจ แปลกตรงไหน ในเมื่อเธอเป็นพยาบาลดูแลคุณบุรี จะคุยกันบ่อยก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติมิใช่หรือ

“นานๆ ทีหรอกป้าถึงจะได้ยินคุณท่านคุยกับคนอื่น นอกจากคุณเอกกับคุณปรง พยาบาลหลายคนก่อนหน้าก็ไม่มีใครคุยกับคุณท่านแยะเท่านี้หรอกค่ะ” คู่สนทนาโคลงศีรษะ บ่งบอกชัดเจนว่าจะไม่พูดเรื่องก่อนหน้าอีก “พูดถึงรถพุ่มพวง จะว่าไปก็ถึงกำหนดมาวันนี้นี่นา คุณซินเองก็ไปเลือกของด้วยกันมั้ยคะ ตรงหน้าบ้านนี่เอง ช่วงเย็นๆ เดี๋ยวป้าขึ้นไปเรียกอีกทีค่ะ”

“อ้อ...ค่ะ ก็ได้ค่ะ”

มีเสียงกระพือปีกของนกบางชนิดบนยอดแคป่า รอยแสงลอดใบไม้ตกกระทบหน้าป้าเอี่ยมมองคล้ายลายกระดำกระด่าง ส่งผลให้สตรีที่แต่แรกยังไม่คุ้นเคยกลับกลายเป็นคนแปลกหน้ายิ่งขึ้น แล้วนกข้างบนก็ร้องอาละวาดท่ามกลางความเงียบราวตื่นอะไรสักอย่าง มันไม่ใช่นกตัวเดิมกับที่ศญาเพิ่งช่วยเมื่อครู่นี้ อย่างน้อยตัวที่ติดเถาพลูนั่นก็คงไม่มีเสียงแหบกระด้างและโชยสาบสางจนต้องย่นคิ้ว

...กลิ่นแห้งผาก และตรม และบ่มโศก

ราวกับกลิ่นของความตาย

เวลาเกือบห้าโมงเย็น หลังการเต้นรำแห่งห้วงคำนึงกับคุณบุรีจบลงพร้อมดนตรีโน้ตสุดท้ายลากครวญ ศญาก็เห็นเงาร่างป้าเอี่ยมยึกยักอยู่มุมห่างไกลราวจำกัดอาณาเขตตนไว้แค่นั้น หญิงคนครัวไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาชั้นสองตามใจชอบ หล่อนเหลียวซ้ายแลขวาตลอดเวลา สะดุ้งด้วยซ้ำยามพบว่าพยาบาลสาวสังเกตเห็นตนทั้งที่ตั้งใจมาหา ป้าเอี่ยมกวักมือเรียกเธอยิกๆ เร่งเร้ากับความเงียบคล้ายระแวงว่าคุณปรงจะเดินออกจากเงามืดสักแห่ง เพื่อบริภาษกิริยา คนบ้านอัญเรศไพจิต เขามักทำเรื่องง่ายๆ ให้เต็มไปด้วยพิธีรีตองโดยไม่จำเป็น แต่เธอก็เริ่มชินบ้างแล้ว

รถพุ่มพวงมาตามนัดหมายจริงดังว่า กระบะต่อเติมหลังคาสูง ห้อยหิ้วด้วยของทุกอย่างที่คนปรารถนาจนอัดแน่น ผักสด ถุงแกงอาหารคาวหวาน ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เครื่องมือเครื่องใช้ มีดพร้า อุปกรณ์ครัว ถัง กะละมัง หมวกทำไร่ ผลไม้ตามฤดูกาล เด็กสาวคนขายนั่งเป็นใบ้เฝ้าของตรงตั่งเล็กด้านในสุด น้อยครั้งจะเอ่ยคำ ทั้งหมดล้วนเป็นตัวเลขราคา และ ‘ใช่’ และ ‘ค่ะ’ และ ‘ลดไม่ได้’ ความลับคือเด็กสาวเป็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย แต่มีเพียงหล่อนคนเดียวที่คิดว่ายังเป็นความลับ ส่วนนายจ้างเจ้าของรถมีหน้าที่ขับและคอยชวนใครต่อใครสนทนา ตาเถ้าแก่สุนัยคนนี้ขายเก่งพอๆ กับความตระหนี่ละ เขาเป็นชายอ้วนลงพุง มีกระเป๋าคาดเอวตลอดเวลาจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เงินทั้งหมดจะอยู่ในนั้น ไม่มีทางให้ใครแตะต้อง

ศญารับรู้เรื่องทั้งหมดในเวลาอันสั้น เพียงชั่วขณะเดินจากตึกใหญ่มาถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ด้วยพรสวรรค์การนินทาของป้าเอี่ยมอันรวบรัดแต่ครบถ้วน แถมไหลลื่นจวบจวนทั้งสองมายืนข้างแผงถุงหูหิ้วเรียงราย หญิงคนครัวยังมีเรื่องให้บรรยายไม่จบสิ้น

“มีตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบค่ะ อยากได้อะไรคุณซินบอกเถ้าแก่ไว้เลย ถ้าไม่มีในนี้แกจะหามาให้ อย่าตำหนิว่าเป็นรถขายของไก่กาเชียวนะคะ” หล่อนว่าพลางหันไปยังเจ้าของรถที่มองศญาอยู่ก่อนแล้ว “พยาบาลใหม่ เพิ่งมาเมื่อสี่ซ้าห้าวันนี่เอ๊ง”

คนฟังรีบตอบรับตามนิสัยช่างเจรจาทันที “โฮ่ อยู่จะครบอาทิตย์แล้วเรอะ เก่งนะเนี่ยคุณพยาบาล”

“คะ?”

“แถวนี้คนสาวๆ อยู่กันไม่ค่อยได้หรอก...เอ้อ ว่าแต่เรื่องโจรงัดบ้านเป็นยังไงบ้างล่ะ” ประโยคหลังหันไปถามหญิงคนครัวด้วยเสียงบีบแผ่ว เพียงพริบตาความเร่าร้อนแห่งวงนินทาก็แตะประกายไฟแล้วพลันปะทุ

ป้าเอี่ยมขยับเข้าใกล้อีกฝ่าย เหลียวซ้ายแลขวาก่อนป้องปากกระซิบ

“ไม่รู้สิ ไม่เห็นคุณๆ เค้าว่ายังไง แล้วเรื่องคดีที่บ้านคุ้มท้ายนั่นล่ะ ถึงไหนแล้ว” มิวายแสดงน้ำใจด้วยการหันมาอธิบายให้แก่กัน “เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเพิ่งมีผู้หญิงถูกฆ่าท้ายทุ่ง ฝั่งหมู่บ้านทางโน้นค่ะคุณซิน”

เถ้าแก่สุนัยรีบจุปากสมทบ “ยังจับมือใครดมไม่ได้เลย กลัวแต่พวกตำรวจมันจะปล่อยให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ นี่สิ เฮ้อ ว่าแล้วก็สงสาร อายุราวๆ คุณพยาบาลนี่เองมั้ง นังหนูนั่น”

ขอบคุณค่ะคุณลุง ช่วยให้สบายใจขึ้นเยอะ...

เพราะกล่าวถึงความตาย ครั้นจะยิ้มรับก็ทำไม่ลง แต่ให้ร่วมวงก็ทำไม่ได้ สุดท้ายศญาจึงผละมาเลือกผลไม้เงียบๆ กับเด็กสาวไม่ยอมพูดแทน ก่อนชะงักอีกครั้งด้วยเสียงล้อยางบดเศษหินบนถนนดังแกรกๆ เมื่อรถคาริเบียนสีดำคันหนึ่งวิ่งมาจอดใกล้กัน พร้อมการปรากฏตัวของคนที่ไม่อยู่ในหัวสักนิด...ด้วยกลิ่นดอกไม้หอมเย็น อาทิตย์ใกล้อัสดง และใบหน้างดงามเท่าที่ชายคนหนึ่งจะทำให้นึกถึงดวงจันทร์ยามราตรีได้

“อ้าว ผู้หมวด จะไปไหนคะเนี่ย”

เสียงป้าเอี่ยมประกาศการมาเยือนของเขาชัดเจน หล่อนกับเถ้าแก่สุนัยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สันติและเป็นมิตรราวกับเมื่อครู่ไม่มีใครนินทาตำรวจแม้ครึ่งคำ ยังยกมือรับปลกๆ เมื่อเห็นทาวัตลงจากรถพลางยกมือไหว้

“ผ่านแถวนี้พอดี เห็นคุณป้ากับเถ้าแก่เลยแวะมาทักทายครับ”

“ว่าแต่คุณผู้หมวดขา เรื่องโจรงัดบ้านถึงไหนแล้วคะ”

แม้ช่างนินทาและบางทีถึงขั้นปากว่าตาขยิบ ทว่าหญิงคนครัวยังถือว่าตนอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านอัญเรศไพจิต หล่อนไม่สนว่าผู้มาใหม่ชะงักหรือมีอาการจืดเจื่อนเช่นไร ป้าเอี่ยมไม่ใช่คนเกรงใจจนไม่กล้าวิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว ชีวิตที่ไม่ได้รับการปกป้องจนฝังใจทำให้หล่อนไร้ซึ่งศรัทธาต่อหน่วยงานภาครัฐเป็นทุนเดิม

“ยังอยู่ในกระบวนการสืบสวนครับ ผมเองก็ตามเรื่องนี้ให้อยู่ หวังว่าจะมีอะไรคืบหน้าเร็วๆ...ทางแถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ถ้ายังไงผมจะผ่านมาบ่อยๆ นะครับ”

นอกจากไม่แสดงท่าทางขุ่นเคืองจากการถูกทวงถาม ชายหนุ่มยังอธิบายด้วยสีหน้าสุภาพ ใจเย็น กึ่งขอโทษขอโพยด้วยซ้ำ แม้ป้าเอี่ยมรับคำอย่างขอไปทีแล้วหันไปตั้งวงนินทากับเถ้าแก่สุนัยต่อ หมวดทาวัตยังรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้โดยไม่ขาดตกบกพร่อง พลางหันมาสนทนากับศญาแทน

“จำได้ว่าครั้งล่าสุดคุณไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ดีขึ้นหรือยังครับ”

มือที่เลือกผลส้มชะงักทันที อย่างที่เคยว่าไว้ เธอไม่อยากให้ใครพูดถึงอาการวูบของตนอีก

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ อันที่จริงต้องขอบคุณผู้หมวดด้วยนะคะที่ช่วยกันวันนั้น”

“เรียกทาวัตเฉยๆ ก็ได้ครับ”

“ค่ะ...คุณทาวัต”

แดดยามเย็นส่องกระทบใบหน้าเขา ขับให้ผิวขาวจัดมีรอยเรื่อดุจแผ่นฟ้า กลิ่นดอกไม้หอมที่เธอทำชื่อสูญหายกระจายจางยามลมพลิ้วผ่านร่างสูง แล้วทาวัตก็ยิ้มช้าๆ เมื่อทั้งสองสบตากัน

แต่นั่นก่อนรถคุ้นตาอีกคันจะขับเข้ามา แล้วชะลอพร้อมเปิดกระจกลงมองขณะเลี้ยวเข้าประตูรั้วบ้านอัญเรศไพจิต จังหวะไหวหวั่นกับความสนใจทั้งหมดของหญิงสาวพลันเบนไปหาผู้มาใหม่ ดังดอกทานตะวันหันตามอาทิตย์เคลื่อนคล้อย ได้ยินแต่เสียงป้าเอี่ยมพึมพำอย่างงุนงง

“อ้าว คุณเอกเพิ่งมาเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับมาอีกล่ะ”

“เห็นว่าจะมาอยู่ที่นี่สักพักจนกว่าเรื่องเรียบร้อยค่ะ” ศญาตอบทั้งที่สายตายังจับจ้องเขา “เดี๋ยวซินเปิดประตูให้เองค่ะ”

ไม่รอให้หญิงคนครัวตอบรับหรือรอจนเห็นเงาลุงปั่นจากฝั่งสวนหน้าบ้าน เธอผละไปเปิดประตูรั้วให้อีกฝ่ายทันที ขณะที่เอกภพเอ่ยทักทายยามร่างระหงเข้าไปใกล้

“ทำอะไรกันอยู่”

เรียบง่าย ไม่เป็นทางการ ราวกับทั้งสองคุ้นเคยกันแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็โทร. คุยกับเธอนานสองนานจริงๆ นั่นละ

“ซื้อของค่ะ ป้าเอี่ยมบอกว่ารถพุ่มพวงจะมาจอดขายหน้าบ้านทุกสามสี่วัน”

“คุณน่าจะบอกผมไว้ว่าอยากได้อะไร จะได้ซื้อเข้ามาให้เลย” คิ้วเข้มของเขาขมวดเล็กน้อย ดูไม่เข้าใจมากกว่าติติง

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังหล่อมากอยู่ดี เอกภพสวมเสื้อเชิ้ตพับแขนสีดำ นาฬิกาปาเต็ก ฟิลิปป์สายหนังจระเข้สีน้ำตาลเข้มซึ่งบอกเวลาห้าโมงเย็น แวบหนึ่งเขาทำให้เธอนึกถึงมือที่กางร่มอย่างมั่นคงหน้าหอสมุดวันฝนตกเมื่อเจ็ดปีก่อน

“ฉันยังไม่มีของอยากได้หรอกค่ะ แค่มาช่วยป้าเอี่ยมเลือกของสด พอดีเพิ่งปรับเมนูโภชนาการให้คุณบุรี”

การพูดถึงคุณปู่ทำให้เขาเคร่งขรึมขึ้น เอกภพเหลือบมองป้าเอี่ยมซึ่งทำทีเลือกของทั้งที่ลอบเงี่ยหูฟัง สลับกับเถ้าแก่สุนัยที่ลอกเลียนท่าทางอยู่ข้างกัน และทาวัตพยักหน้าทักอย่างตรงไปตรงมาพร้อมรอยยิ้ม เขาจำได้ทันทีว่านั่นคือผู้หมวดหนุ่มที่มาเรื่องโจรงัดบ้านครั้งก่อน แต่เพียงจำได้เท่านั้น เพราะสุดท้ายคนที่เขาเลือกคุยด้วยยังเป็นเธออยู่ดี

“คุณปู่เป็นไงบ้าง”

“ท่านเพิ่งเต้นรำเสร็จค่ะ ตอนนี้เอนหลังอยู่ตรงระเบียงชั้นสอง”

“เต้นรำ? คุณปู่ผมเนี่ยนะ”

น้ำเสียงคู่สนทนาฟังดูประหลาดใจชัดเจน ชั่วขณะหนึ่งศญารู้สึกว่าเขาไม่เชื่อเธอด้วยซ้ำ

“ค่ะ ท่านชอบเต้นรำมากนะคะ”

ชายหนุ่มทำท่าจะเอ่ยอะไรต่อ แต่แล้วเก็บถ้อยคำคืนและเพียงพยักหน้ารับเบาๆ เอกภพเบือนสายตาไปยังผู้อยู่นอกการสนทนาทั้งสามอีกแวบหนึ่ง ก่อนหันมาจ้องมองริ้วแสงลาลับสีส้มจางบนปรางเนียน มีเสียงระบายลมหายใจที่แทบไม่ได้ยิน ท่าทางเขาบอกชัดว่ามีเรื่องจะคุยกับเธอ และต้องการความเป็นส่วนตัวมากกว่านี้

“ไว้เจอกันบนตึก”

จบคำก็ปิดกระจกแล้วขับรถเข้าไปในเขตบ้าน เหลือแต่ศญายืนมองตามจนสุดสายตา และวงนินทากลับมาเร่าร้อนทันทียามปราศจากผู้มาเยือน

เถ้าแก่สุนัยถองศอกใส่ป้าเอี่ยมยิกๆ ดูถูกใจทั้งฐานะและรูปลักษณ์ของทายาทบ้านอัญเรศไพจิตจนอดจุปากไม่ได้

“นั่นเรอะหลานเจ้าของบ้าน เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ...หล่อจริงๆ”

“ได้ปู่มาเยอะ”

หญิงร่างท้วมยืดอกภูมิใจในฐานะที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ผลตอบรับกลับเป็นท่าทางสั่นสยองของคนฟังแทน

“วุ้ย อย่าพูดถึงเจ้าของบ้านให้ฉันได้ยินเลยยายเอี่ยม ดูซิขนลุกหมดแล้ว”

“คนนะไม่ใช่ผี จะมาขนลุกขนเลิกอะไร ถ้าพูดถึงคุณปรงก็ว่าไปอย่าง”

เจ้านายเด็กสาวต่างด้าวผู้ผูกร่างติดกระเป๋าเงินคาดเอวพ่นลมหายใจดังพรืด เขาหันหลังให้ฝั่งตัวตึกชัดเจน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีทางเหลือบตาไปทางนั้นแม้เพียงเสี้ยว

“คนนั้นฉันไม่รอจนขนลุกหรอก แค่เห็นเงาก็เผ่นแน่บแล้ว...”

ในความลับมากมายเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะแบกรับไว้เพียงผู้เดียวได้ หนึ่งในความลับของศญาตั้งแต่มาอยู่บ้านหลังนี้คือ เธอมักอ่อนไหวต่อเสียงระหว่างความเงียบ

ลมกระซิบในคืนแผ่วหวิว ตู้ไม้พ่ายแพ้ต่ออากาศเปลี่ยนแปลงจนเดาะลั่น นกกาเหว่าจากฟ้าเวิ้งกว้างโฉบเกาะกลางเถาการเวก ใบไม้ส่ายเสียด จิ้งจกตีหาง หรือกระทั่งเสียงหายใจของเธอยามเคลิ้มหลับ บางคราวชัดเจนปุบปับราวมีคนเป่ารดข้างหู มันคือความระแวดระวังปนหวาดระแวง และประกาศการมีอยู่ของมันทุกครั้งเวลาเธออยู่คนเดียว...ไม่ว่าทบทวนอีกกี่ครั้ง สงบใจตัวเองอีกกี่คราว นานวันเข้า ศญาเริ่มไม่มั่นใจว่าทั้งหมดเป็นเพียงเหตุผลอธิบายถึงอาการจิตปรุงแต่ง หรือบ้านทั้งหลังคือสิ่งมีชีวิตลึกลับ เฝ้ามองมนุษย์ห้าชีวิตภายในตัวมันเพื่อรอวันกลืนกิน

ในจำนวนเสียงล่อลวงทั้งหลาย ศญาอ่อนไหวกับเสียงจากห้องหนังสือมากที่สุด ถือเป็นจุดเริ่มต้นก็ไม่ผิดนัก เพราะคืนแรกที่มาถึง เสียงลมดังวี้ดๆ ราวเปรตครวญจากหน้าต่างห้องหนังสือปลุกเธอตื่นกลางดึก ตามด้วยเหตุการณ์งัดแงะซึ่งสร้างความกังวลให้สมาชิกบ้านอัญเรศไพจิตจนถึงตอนนี้

การมีห้องนอนอยู่ข้างห้องหนังสือทำให้หญิงสาวตื่นตัวเสมอ และเป็นสาเหตุที่ลึกๆ แล้วยังไม่มีใครไว้ใจเธอ

ดังนั้น มืดค่ำหลังมั่นใจว่าคุณบุรีหลับแล้วและจัดการธุระส่วนตัวเสร็จสิ้น ยามกลับมาอยู่กับตนเองจริงๆ กลางห้องนอนซึ่งยังปฏิบัติต่อกันราวคนแปลกหน้า ศญาพบว่ามีการเคลื่อนไหวในห้องหนังสือจากเสียงเลื่อนโต๊ะ ขยับข้าวของ และอีกสารพัดที่ทำให้เธอไม่อาจข่มตาหลับ ทว่าครั้งนี้บางอย่างต่างออกไป ไม่ใช่ความกลัวแบบเดิมที่คอยหลอกหลอนหญิงสาวทุกเมื่อเชื่อวัน ศญารู้ว่าเสียงเหล่านั้นเกิดจากใคร จะว่าไปเธอก็อยากพบเขาด้วย

เอกภพกำลังจัดส่วนหนึ่งของห้องหนังสือเป็นสถานที่ทำงาน เขาเปลี่ยนความว่างเปล่าบนโต๊ะไม้ด้วยคอมพิวเตอร์ออลอินวัน แล็ปท็อป ไอแพด ถาดสี อุปกรณ์เขียนภาพ แฟ้มเอกสาร ร่างเครื่องประดับทั้งที่เสร็จแล้วและวาดค้างไว้ ส่วนนี้สร้างความประหลาดใจให้ศญาเล็กน้อย เธอรู้ว่าเขาดูแลธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับของตระกูล แต่ไม่รู้ว่าร่วมสร้างผลงานเองด้วย

“ฉันช่วยค่ะ”

หญิงสาวแจ้งการมีอยู่ของตน โดยสาวเท้าเข้าไปช่วยเขายกเครื่องพรินต์วางบนโต๊ะ พยายามไม่ทิ้งสายตายังแบบภาพทั้งหลายเบื้องหน้า นึกกังวลแค่ว่าคอลเลกชันใหม่ของธุรกิจชื่อดังเช่นนี้ควรเป็นความลับสุดยอด อย่างน้อยจากพยาบาลผู้ตกเป็นเป้าสงสัยตั้งแต่มาเยือนวันแรกอย่างเธอ

คล้ายเอกภพไม่ใส่ใจเรื่องนั้น เขาพูดหัวข้ออื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันสิ้นเชิง

“พรุ่งนี้ผมว่าจะให้คนมาเดินสายไวไฟ ที่ผ่านมาคุณคงไม่สะดวกหลายเรื่อง”

ความจริงประเด็นเรื่องสัญญาณอินเทอร์เน็ตถูกพูดถึงตั้งแต่ครั้งแรกที่ตกลงจ้างงาน เขาชี้แจงกับเธอตรงไปตรงมาว่าบ้านหลังนี้ไม่มีไวไฟ เสนอด้วยซ้ำว่าจะติดตั้งให้หากศญาเห็นว่าจำเป็น แต่เธอปฏิเสธ ศญาไม่มีตัวตนบนโลกโซเชียลพักใหญ่แล้ว อันที่จริงนอกจากโทร. คุยกับเขาบางครั้ง เธอก็ไม่ติดต่อใครอีกเลย

“ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ค่อยได้ใช้เท่าไหร่”

เพราะเกรงจะต้องอธิบายต่อว่าทำไม หญิงสาวทำทีผละไปปิดหน้าต่างแทน

“หือ”

ศญาชะงัก เบื้องหน้าท่ามกลางความรกครึ้มไกลออกไป อีกฝั่งกำแพงที่ละอองจันทร์ส่องไม่ถึง ในซากปรักหักพังของโรงสีร้างซึ่งตระหง่านเหมือนปีศาจเฒ่าร่างพรุน ปรากฏแสงหรุบรู่ สีส้มนวล เล็กจ้อยเท่าดวงเทียนลอยล่อง วูบวาบก่อนดับหาย!

หัวใจหญิงสาวกระตุกทันที เธอตาไม่ฝาดแน่ ความเคลื่อนไหวราวภาพลวงนั่นคือของจริง ตามด้วยอาการแข็งค้างอยู่ตรงหน้าต่างเช่นนั้น กระทั่งร่างสูงก้าวมายืนข้างอย่างสงสัย

“มีอะไรหรือ” เอกภพมองไปเบื้องหน้าตามทิศทางสายตาเมื่อครู่ เหล่าเงาไม้ลดหลั่นนิ่งงันใต้ความมืด

“ฉันเห็น...ไม่มีอะไรค่ะ”

เกิดการชั่งน้ำหนักในความคิดชั่วครู่ ศญาตั้งใจปัดเรื่องให้ผ่านไปเหมือนหลายครั้งก่อนหน้านี้ แต่จนแล้วจนรอด ตระหนักหนึ่งคือคนที่เธอพึ่งพิงได้มีแต่เขาเท่านั้น

“เมื่อกี้ฉันเห็นแสงไฟแวบๆ จากฝั่งนั้นค่ะ” หญิงสาวกระซิบพลางขยับหลบทางให้เขามองชัดเจนขึ้น

“คุณแน่ใจหรือ ตรงนั้นมันโรงสีร้างนะ”

คำตอบของเอกภพไม่ต่างจากที่คิดไว้สักนิด ความกังขานั้นถูกต้องแล้วและเป็นสิ่งที่ศญาต้องยอมรับ คำพูดเธอคงเพ้อเจ้อเกินไปหากว่ากันตามจริง กระนั้น เสี้ยวขณะของการคลำหาที่ทางของตนเพื่อจำกัดขอบเขตใต้เส้นกั้นอันเดิม อีกฝ่ายพลันเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้ชะงักอีกครั้ง

“ไว้พรุ่งนี้ไปดูกัน”

“คะ?”

“ถ้าคุณไม่สบายใจ พรุ่งนี้ไปดูที่นั่นให้หายสงสัยกัน” ดวงตาคู่คมสะท้อนความมืดภายนอกจนเกิดเงาลึกล้ำ มิหนำซ้ำยังสร้างแรงกระเพื่อมสักแห่งกลางอก

“คุณ...เอ่อ...เราเข้าไปได้เหรอคะ”

“ที่ตรงนั้นเจ้าของปล่อยทิ้งมานาน ผมติดต่อขอซื้อหลายครั้งแล้วก็ยังเงียบ นี่เราแค่จะเข้าไปดูเพราะเห็นอะไรแปลกๆ เท่านั้น ไม่ได้จะขโมยของหรือทำอะไรไม่ดีสักหน่อย” เขานิ่งคิดอีกครั้ง “หรือถ้าคุณไม่สบายใจ เดี๋ยวผมไปดูคนเดียวก็ได้”

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร ไว้พรุ่งนี้เราไปด้วยกันนะคะ”

หญิงสาวตอบรับทันที เธอไม่มองไปตรงไหนแล้วท่ามกลางเงาทึบทะมึนสุดสายตา อาจเพราะความหนักแน่นที่ชายหนุ่มส่งมา หรือความสบายใจลึกๆ ข้างในของเธอเอง ภาพเอกภพเบื้องหน้าจึงชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใดในเวลานี้

นานมากแล้ว...นั่นคือทั้งหมดที่ศญารำพึงกับใจตน ใช่ นานมากแล้วที่ไม่มีใครให้น้ำหนักกับคำพูดและความรู้สึกของเธอ...นานมากแล้วจริงๆ ที่ไม่มีใครรับฟัง

ความคิดถูกดึงกลับก่อนล่องไปไกล เพื่อหวนสู่ความตั้งใจแรกอย่างประดักประเดิด ศญานึกอาย เธอต้องเก็บอารมณ์ไหวหวั่นทั้งหลายไว้ก่อนเขาจะสังเกตเห็น

“จริงด้วย เหลือจัดของตรงไหนอีกมั้ยคะ ฉันตั้งใจมาช่วยคุณแท้ๆ ดันสนใจอะไรก็ไม่รู้”

“ที่จริงเรียงแฟ้มอีกนิดหน่อยก็เสร็จแล้วครับ ขอบคุณมาก”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรมากมายเลยค่ะ” หญิงสาวกระซิบเสียงอ่อน เธอเบือนสายตาไปยังชั้นหนังสือเรียงรายอีกด้าน จับจ้องสันหุ้มปกทั้งที่ไม่มีอะไรให้มอง ทำท่ารีรออีกทั้งหน้าเห่อร้อน เมื่อหางตาพบว่าอีกฝ่ายพินิจกันโดยไม่ปิดบัง เอกภพยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทิ้งเวลาให้เหยียบย่างผ่านพ้นอีกครู่ค่อยเอ่ยคำ

“ก่อนหน้านี้คุณบอกว่าคุณปู่ชอบเต้นรำ”

ศญาไม่นึกว่าเขาคิดเรื่องนี้อยู่ ช่างขัดเขินเสียเปล่าโดยแท้

“ใช่ค่ะ พักหลังมานี้ฉันเต้นรำกับท่านตอนบ่ายทุกวัน ตอนแรกฉันชวนคุณบุรีไปเดินเล่นข้างนอกแต่ถูกปฏิเสธ ยังคิดอยู่เลยว่าโชคดีอย่างน้อยท่านยอมลุกขึ้นมาขยับตัวบ้าง”

“ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าคุณปู่ชอบเต้นรำ คงต้องไปถามคุณย่าดู...ถ้ายอมตอบน่ะนะ” ชายหนุ่มรำพึงก่อนอธิบายให้ฟัง “พวกท่านแยกกันอยู่ตั้งแต่พ่อผมยังเล็กๆ ปกติย่าไม่ค่อยพูดถึงปู่มากนัก”

แม้รู้ดีว่านี่คือเรื่องครอบครัวอื่น แต่กลิ่นบางอย่างพลันพัดผ่านห้วงอารมณ์เข้ามา หอมรวยริน บ่มโศก ศญารู้สึกอยากหลั่งน้ำตาแด่รักชอกช้ำของหัวใจที่ไม่ได้เป็นของเธอเอง ราวกับว่าไกลออกไปมีดอกบัวใกล้ปลิดโรยโยกโยนกลางบึงกว้าง ส่งกลิ่นหอมเย็นมาตามลมราวจะเหลือทิ้งดั่งการเต้นรำครั้งสุดท้าย สะอื้นร่ายกำจายละอองอย่างเศร้าสร้อย บอกลาเพื่อสักวันจะกลับมาเบ่งบานอีกครั้ง...

“คุณรู้จักชื่อกิมแซนมั้ยคะ”

เธอกระซิบก่อนทันรู้ตัวว่าพูดอะไรไป

คนฟังไม่ชะงักด้วยซ้ำ “ไม่เคยได้ยิน...ชื่อแปลก ทำไมหรือ”

“คุณบุรีบอกว่าเป็นภาษาเวียดนามค่ะ ท่านชอบพูดถึงคนชื่อกิมแซนบ่อยๆ เหมือนว่าจะเป็น เอ่อ...”

“คนรัก?” คู่สนทนาต่อคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่เป็นไร คุณพูดได้ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ ปู่กับย่าแยกกันอยู่นานแล้ว”

ศญานิ่งคิดเพียงเพื่อได้ข้อสรุปว่ากระทั่งบัดนี้ จนแล้วจนรอด ไม่ว่ารับรู้เรื่องราวมากน้อยเพียงใดหรือแยกแยะจริงเท็จได้แค่ไหน เหตุผลที่เธอต้องใส่ใจชื่อปริศนานั่นมีเพียงข้อเดียว...

“บางครั้งตอนเต้นรำกัน ฉันรู้สึกเหมือนท่านไม่ได้เต้นกับฉัน แต่เป็นกิมแซนคนนั้นค่ะ”

เอกภพยังจ้องตรงมา ดวงตาคู่คมตรึงหญิงสาวไว้โดยไร้แววสั่นไหว

“คุณปรงเคยพูดถึงเรื่องนี้มั้ย”

“ฉันไม่เคยถามคุณปรงค่ะ...อันที่จริงไม่ค่อยได้คุยกันอยู่แล้ว”

“ผมเข้าใจ เอาไว้ผมจะลองถามคุณย่าดู นี่ก็ดึกแล้ว คุณพักผ่อนเถอะ”

มันเป็นการจบบทสนทนาที่รวบรัดและครบถ้วน แม้ศญาคิดเอ่ยคำกลับก็ยังอับจน บุคลิกเงียบขรึมรวมถึงท่าทีนิ่งเฉยของเขาทำให้รูปประโยคของเธอดับดิ้น เหลือเพียงการตอบรับว่าราตรีสวัสดิ์อย่างเรียบง่าย แวบหนึ่งคิดลองถามเรื่องหีบในบึง แต่กลัวจะดูก้าวก่าย แต่อย่างน้อยก็ได้บอกเรื่องกิมแซนไปแล้ว

“ผมดีใจที่คุณเล่าเรื่องนี้ให้ฟังนะศญา”

เขาเอ่ยก่อนเธอก้าวออกจากห้องหนังสือ

เจ้าของชื่อชะงักแล้วหันไปอีกครั้ง ภาพสุดท้ายที่เธอเห็นคือร่างสูงของเอกภพยืนข้างหน้าต่างเปิดกว้าง พลางทอดตามองฝ่าความมืดของโรงสีร้างฝั่งตรงข้าม เพิ่งนึกได้ประเดี๋ยวนั้นว่ามันคือหน้าต่างบานเดียวกับที่ส่งเสียงหวีดครวญคืนฝนตก

เมื่อเธอเริ่มเข้ามาในบ้านหลังนี้ และมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

บันทึก วันที่ 9 กรกฎาคม 25XX

เหมือนที่คิดไว้ คุณงดงามยิ่งกว่าภาพเฝ้าฝันทั้งหมดในหัวผมก่อนหน้า เมื่อเรากลับมาพบกันอีกครั้ง

ผมมองเห็นคุณทันทีท่ามกลางใบหน้าที่ไม่คู่ควรต่อการจดจำเหล่านั้น ใต้ท้องฟ้าสีส้มและลมยามเย็น คุณยืนด้วยท่าทางเดียวดายเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน เรือนร่างบอบบางราวกับกลีบดอกไม้...ดอกไม้ จะว่าไประยะหลังนี้ผมเรียกดอกไม้ทุกดอกด้วยชื่อของคุณเช่นกัน ศญาที่ผลิแย้ม ศญาที่โรยร่วง ศญาที่ตูมเต่ง ศญาที่เหี่ยวเน่า คุณที่แตกดับและกลับมาใหม่ เทพีในปกรณัม คุณคือนิรันดร์เหมือนรักของเรา

ผมชอบที่คุณตัวสูงและผอมเหมือนพวกนังแม่มดแพศยาที่ถูกไล่ล่าในยุคกลางกระโปรงพลิ้วๆ นั่นดูเหมาะกับคุณมากกว่าอะไรทั้งหมด ปลายผ้าพะเยิบเหนือเรียวขาทำให้ผมนึกถึงดอกบัวสีชมพูอ่อนยามชูช่อกลางบึง แน่นอนว่าต้องเป็นดอกสวยที่สุด คุณไร้ที่ติ ความโดดเดี่ยวของคุณทำให้ผมสุขใจ

...โดดเดี่ยว เปลี่ยวเหงา ร้าวราน คุณมีทุกอย่างที่ผมตามหา แววโศกเศร้าเหล่านั้นไม่มีทางโกหกผมได้ ต่อให้คุณพยายามปกปิดมันแค่ไหนก็ตาม

ใช่แล้วศญา เอาแบบนี้ ในอนาคตตอนเรากล่าวคำสาบานรัก เราจะเป็นคู่รักที่แสดงความซื่อสัตย์ต่อกันด้วยความโดดเดี่ยวตลอดชีวิต คุณต้องชอบความคิดนี้แน่ จินตนาการดูสิว่าโลกที่มีแค่ผมกับคุณเพียงสองคนจะน่าอยู่เพียงใด จะไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาในสรวงสวรรค์ของเราได้ ไม่มีทาง

ท่าทางวันนี้ยืนยันทุกอย่างหมดแล้ว คุณดูอึดอัดต่อการสร้างมิตรภาพปลอมๆ กับผู้คนรอบกาย โอ...ศญา ผมอยากตะโกนออกไปตอนนั้นเลยว่าเราเหมือนกัน! คุณ-ผม เราคือคนประเภทเดียวกัน คุณแปลกแยก ผมก็แปลกแยก คุณมีความลับ ผมเองก็มีความลับเช่นกัน เราสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ได้อย่างแนบเนียน แต่ไม่มีวันเป็นหนึ่งในพวกมัน คนพวกนั้นไม่มีใครคู่ควรจะได้คุยกับคุณแม้สักครึ่งคำ เกะกะมาก ผมอยากเห็นพวกมันตายไปให้พ้นๆ

ในวินาทีแรกที่คุณเห็นผม คุณคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายเจอผมก่อน และผมก็รักคุณมากพอจะปล่อยให้เป็นแบบนั้น ไม่บอกหรอกว่าแอบจ้องคุณตั้งแต่ขับรถเข้าไปแล้ว เหมือนหัวใจจะทะลุออกจากอกตอนที่เราเผชิญหน้า ผมตื่นเต้น กลัวคุณจำได้ การเฝ้ามองระหว่างเราเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะเปิดเผยโดยง่าย

เพราะสิ่งหนึ่งที่มั่นใจคือไม่ว่าผมอยู่ที่ไหน คุณจะหาผมเจอเสมอ

เหมือนที่เราได้สบตากันผ่านช่องกำแพงครั้งนั้น


 

[1] เพลง “ฝากรัก” ขับร้องโดย บุษยา รังสี

[2] เพลง “ฉันยังคอย” ขับร้องโดย สุนทราภรณ์

[3] เพลง “คะนึงครวญ” ขับร้องโดย เพ็ญศรี ชุ่มชูศรี

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น