บทที่ ๖

ยามเช้าหลังคืนอันเงียบสงบยิ่งกว่าคืนใดตั้งแต่ศญามาอยู่ที่นี่ ขณะเตรียมโต๊ะอาหารให้คุณบุรีพลางครุ่นคิดถึงแสงเรืองปริศนาจากโรงสีร้าง พร้อมความจริงพุ่งมาฉับพลัน เพื่อกระตุกขวัญว่าเธอจะได้เข้าไปที่นั่นภายในวันนี้ ศญาก็ถูกเรียกสติคืนโดยร่างสูงซึ่งก้าวมาใกล้อย่างไร้สุ้มเสียง กลิ่นหอมเหมือนไม้กฤษณาจากกายเขาเป็นกลิ่นเดียวกับที่หญิงสาวจำได้เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เอกภพประคองปู่อย่างมั่นคง แต่สายตาจ้องตรงมายังเธอ

“ปกติคุณทานข้าวที่ไหน”

เขาว่าพลางขยับเก้าอี้ให้ชายชราก่อนนั่งลงข้างกัน คุณปรงเดินตามหลังมาที่ประจำฝั่งตรงข้ามเจ้าของบ้าน ท่าทางนิ่งเฉยราวบทสนทนาตรงหน้าเป็นเพียงเสียงลมไร้ตัวตนเมื่อรุ่งสาง

“ในครัวค่ะ” ศญาตอบ

“คนเดียว?”

หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนฉงนกับถ้อยคำต่อมาของเขา

“เปลี่ยนมาทานด้วยกันดีกว่า”

คราวนี้ไม่ใช่แค่ศญา คุณปรงก็ชะงักเช่นกัน ชายชราหันไปมองหลานชายของเจ้านาย และเอกภพดูจะรู้ตัวดี กระนั้น เขายืนยันคำเดิมด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ นอกจากคุณบุรีผู้มีสิทธิ์ออกคำสั่งทั้งหมด

“นั่งทานข้าวด้วยกันคุณปู่จะได้ไม่เหงา คุณเองก็ไม่ต้องขึ้นลงให้ลำบากด้วย คุณปู่คิดว่ายังไงครับ”

เจ้าของชื่อไม่ได้จดจ่อกับบทสนทนาตั้งแต่แรก คุณบุรี อัญเรศไพจิตนิ่งเฉยขณะเหม่อมองบึงบัวอันเป็นของเขา และแย้มกลีบบานเพื่อเขาเพียงผู้เดียว ปล่อยให้ความเงียบเรืองรองลงพร้อมแดดวันใหม่ กางกั้นราวกับพาตนเองไปอยู่มิติทับซ้อนของโลกซึ่งไม่มีใครก้าวถึง จังหวะที่ศญาลอบคิดว่าเห็นทีเอกภพต้องทวนคำถามซ้ำกระมัง ชายชราพลันหันมาส่งยิ้มให้หลานชายพลางพยักหน้ารับ

“ดี อยู่ด้วยกันเยอะๆ...ครึกครื้น”

เป็นอันเข้าใจกันโดยไม่ต้องอธิบายย้ำ ต่อแต่นี้ศญาได้รับอนุญาตให้ร่วมโต๊ะกับเจ้าของบ้าน สำรับแต่เดิมจัดเพียงสองต้องเปลี่ยนเป็นสี่ ด้วยเหตุนี้ คนที่เธอนึกเกรงมากที่สุดจึงเป็นคุณปรงผู้ชิงชังต่อความผกผันทุกอย่างบนโลก แต่อีกฝ่ายรับมือเรื่องราวทั้งหมดอย่างเรียบเฉยเกินคาด ยังหันขวับไปสั่งป้าเอี่ยมที่เพิ่งยกถาดข้าวต้มมา

“ได้ยินแล้วใช่มั้ย ไปเอาข้าวต้มมาให้คุณพยาบาลอีกชุด”

“ซินไปเอาเองดีกว่าค่ะ” เหมือนตื่นตัวอยู่บ้างทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องประหม่าเรื่องอะไร การกินข้าวกับคนทั้งสามไม่ต่างจากย่างเท้าเข้าเขตหวงห้าม ขณะเธอเองยังเป็นแค่คนใจเสาะเพียงเท่านี้

“อยู่นี่แหละ เอาเก้าอี้มานั่งข้างฉัน”

‘ข้าง’ ของคุณบุรีที่ว่าอยู่ฝั่งซ้าย ตรงข้ามกับเอกภพพอดี เมื่อเธอไม่ปฏิเสธ ชายชราก็หันไปชวนคนสนิทคุยด้วยเรื่องที่เข้าใจกันแค่สองคน

“พร้อมหน้ากันเหมือนตอนนั้นเลย ว่ามั้ยปรง”

“ศญาเพิ่งร่วมโต๊ะกับเราครั้งแรกครับ” คุณปรงตอบกลับโดยไม่สบตาใครเลย

“ไม่สิ ไม่ใช่...”

“คุณท่านรู้ดีแก่ใจ”

คราวนี้น้ำหนักเสียงกดลึกจนหลานชายเจ้าของบ้านมุ่นคิ้ว ศญากลับรู้สึกว่าเนื้อความทั้งหลายเริ่มห่างไกลจากตัวเธอทุกที ทั้งที่มีชื่อตนอยู่ในนั้น และเช่นเดิม คุณปรงยังคงจ้องมองความว่างเปล่าข้างแจกันดอกบัวตลอดการสนทนา ไม่สบตาใครแม้แต่คนเดียว

“มันไม่มีอะไรเหมือนตอนนั้นสักนิด”

แต่เหมือนอะไรหรือเคยมีอะไรเกิดขึ้น ยังเป็นปริศนาในที่ทางของมันโดยไม่มีใครแตะต้องได้ คุณบุรีหยุดพูดตลอดมื้ออาหารและใช้ความเงียบห่อหุ้มตนไว้ บ้านทั้งหลังถูกปล่อยให้เข็มนาฬิกาจูงสู่ความเป็นไปอันสามัญเท่าที่การดำรงอยู่ของมันควรเป็น หมดมื้อเช้าชวนอึดอัดใจ คุณปรงก็เดินหายไปจัดการธุระบางอย่างโดยไม่มีใครทันเห็นเงา ปล่อยพยาบาลสาวนั่งอ่านหนังสือให้ผู้เป็นนายฟังตรงระเบียงเดิม เรื่องใหม่-หน้าปกเขียนตัวบรรจงว่าต้นส้มแสนรัก เรื่องราวเด็กชายโฆเซผู้สมควรได้รับความรักดังที่เด็กคนหนึ่งควรมี 

กว่าจะถึงช่วงสายจนแดดจ้านั่นละ เอกภพจึงผละจากงานในห้องหนังสือกลับมาหาอีกครั้ง เพื่อยืนยันกับเธอว่าคำรับปากเมื่อคืนนี้ยังไม่ถูกลืม

“ผมไม่ได้บอกคุณปู่ว่าเราจะเข้าไปในโรงสี ถ้าท่านถามคุณอีกครั้ง แค่บอกว่าไปเดินดูอะไรแถวนี้ก็พอนะครับ” ร่างสูงกระซิบขณะที่ทั้งสองเดินลงบันได “ท่านไม่ชอบที่นั่น แค่ได้ยินชื่อยังไม่ได้”

หญิงสาวพยักหน้ารับ เธอไม่เอ่ยตอบหรือถามกลับว่าทำไม...เหตุผลเดียวคือกลัวคุณปรงได้ยิน

ภาพโรงสีร้างที่เด่นชัดในความคิดของศญาเป็นภาพติดตาวันแรกตั้งแต่นั่งรถผ่าน เรียวหญ้ารกชัฏลู่ใบจากสายฝนกระหน่ำเหมือนฝูงชนคุกเข่าร่ำไห้ เครือเถาวัลย์ไต่เลื้อยสูงถึงหลังคา แตกใบคลุมครึ้ม ยังมีต้นไทรไร้ที่มาแทรกตัวตึกราวปรสิตกัดกินร่างกาย ทิ้งรากยาวเคว้งคว้างกลางอากาศ แผ่กิ่งก้านขนาบข้างเป็นแฝดสยามกับตัวอาคาร

ทุกอย่างช่างมืดหม่น เปลี่ยวเหงา ซบเซาราวกับถูกห้วงอวสานครั้งใหญ่หล่นทับฉับพลัน โดยเฉพาะศาลไม้เก่าๆ ที่ไม่รู้ใครเอามาตั้งด้านหน้า มันหันมาคล้ายจ้องมองความเคลื่อนไหวทั้งหมดจากโลกอีกฝั่ง ไม้แห้งผากปรากฏรอยปริไม่สมบูรณ์แทบเห็นความดำมืดด้านใน มีหุ่นปั้นนางรำสามตัวแขนหาย คอหัก และขาดครึ่งท่อน ข้างกันคือดอกไม้แห้งกรังกับก้านธูปโหรงเหรงปักคาดิน ร่องรอยกราบไหว้ร้างหายไม่ต่างจากตัวสถานที่เอง

สำหรับศญาผู้ยอมรับอย่างกล้าหาญว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาดตาขาว การประคองตนยืนอย่างมั่นคงได้นับว่าควรได้รับคำชมแล้ว เธอหน้าซีด แต่ยังแสดงออกอย่างเรียบเฉยจากพรสวรรค์การเก็บงำอารมณ์ ความคิดในหัวเหลือเพียงคำถามวกวนซ้ำๆ ว่าคิดดีแล้วใช่ไหมที่ตัดสินใจจะเข้าไปในนั้น อันที่จริงหญิงสาวมีคำตอบว่าคงหันกลับบ้านอัญเรศไพจิตและล้มเลิกความอยากรู้อยากเห็นทั้งหลายไปแล้ว เธอจะทำเช่นนั้นจริงๆ หากไม่มีเอกภพอยู่ข้างกาย

เขานิ่งเฉยกว่ามากเมื่อเทียบกับพยาบาลสาว แทบไม่แสดงอาการใดๆ ด้วยซ้ำ นอกจากขมวดคิ้วยามพบว่าต้นหญ้าด้านหน้าสูงบังทางเดินหมดสิ้น แวบหนึ่งคล้ายดวงตาคู่คมลอบเหลือบมองกัน ก่อนศญาจะช้อนตาสบเพื่อพบแววที่ทำให้หัวใจไหวสั่นไม่หยุดพัก และค้างในภวังค์หลงใหลจนถึงคืนวันพรุ่งนี้ ด้วยเกือบตกหลุมรักเขาอีกครั้ง เสียงรถคันหนึ่งก็ดังเรียกความสนใจเธอเสียก่อน

รู้กันดีว่าน้อยคนนักจะขับรถผ่านเส้นทางนี้...และน้อยยิ่งกว่าสำหรับรถคาริเบียนสีดำ

“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับ”

ผู้หมวดทาวัตเปิดกระจกทักทายทั้งสอง แดดยามสายส่องกระทบความงามทันทีทันใด ทำให้หญิงสาววิงเวียน ซ้ำร้ายต้องลอบให้คำมั่นกับใจตนว่า อย่าเผลอยกยอหน้าตาอีกฝ่ายว่าละม้ายภาพวาดสตรียุคคลาสสิกเพียงใด หากเขาไม่เกริ่นอนุญาต ไม่ใช่ทุกคนจะพอใจกับคำชมเช่นนั้น ผู้ชายบางคนเชื่อว่าการชื่นชมแง่สวยงามคือคำหยามหยัน ศญารู้จักคนประเภทบูชาความเป็นชายให้เอกอุเหนือสิ่งอื่นใด ต้องแมน ต้องแข็งแกร่ง ต้องแบกรับความภาคภูมิใจของตระกูล บิดาของเธอคือตัวอย่างอันดับหนึ่ง

“คุณทาวัตมีธุระแถวนี้หรือคะ”

หญิงสาวทักถามก่อนความคิดจะเตลิดไกล เธอลืมตอบคำถามก่อนหน้าไปสนิท และเขาก็ไม่ถือสา

“ผมมาหาคุณเอกภพครับ ผ่านทางนี้พอดี ว่าจะแจ้งความคืบหน้าเรื่องโจรงัดบ้านด้วยเลย ว่าแต่จะไปไหนกันหรือครับ ผมมาผิดเวลาหรือเปล่า”

“ไปดูโรงสีร้างข้างๆ ค่ะ บังเอิญเมื่อคืนฉันเห็นอะไรแปลกๆ นิดหน่อย”

“โรงสีร้าง? เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ”

เหมือนสัญชาตญาณครั้งเอ่ยปฏิญาณตนรับใช้ประชาชนจะถูกกระตุ้น ผู้หมวดหนุ่มเคร่งขรึมขึ้นทันที  เขาสลับมองคนทั้งสอง ราวกับจะค้นหาหรือประเมิน หรือแค่เป็นห่วงในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ทั้งที่ไม่มีความผิดใดให้กังวล แต่ศญาคล้ายร้อนตัวจากดวงตาเผาไหม้คู่นั้นจนมือไม้เกะกะ

“แค่เห็นแสงแวบๆ ค่ะ อาจตาฝาดไปเองก็ได้ ถ้าคุณทาวัตสนใจไปดูด้วยกันมั้ยคะ”

“ครับ? ผมเหรอ”

“ไปด้วยกันสิครับ มีตำรวจไปด้วยคุณน่าจะอุ่นใจขึ้น”

เอกภพเอ่ยครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มสนทนา แถมประโยคหลังแค่หันมาพูดกับเธอ ก่อนเดินนำเข้าที่รกร้างกลางพงหญ้าสูง เปิดโอกาสให้หญิงสาวก้าวตาม โดยมีตำรวจหนุ่มผู้แม้ติดค้างความงุนงงแต่อุตส่าห์เดินรั้งท้าย นั่นเพิ่มความสบายใจให้ศญามากโข เธอรู้สึกปลอดภัยกับการมีทั้งแนวป้องกันด้านหน้าและฝ่ายระวังหลัง เงาลึกลับรอบกายต่างเคร่งขรึมเป็นเอกเทศในที่ทางของมัน ดำรงอย่างห่างเหินจากคนทั้งสาม โรงสีแห่งนี้ทึบเกินคาด ต้นไม้หนาตาดูซับซ้อน แทรกกระไอกลิ่นสาบอบอวล มันคาว และฉุนจาง...บางขณะรู้สึกราวกับกลิ่นศพ

“คุณทาวัตเป็นตำรวจที่นี่นานแค่ไหนแล้วคะ” 

ศญาตัดสินใจชวนอีกฝ่ายคุยแทนการกวาดตามองโดยรอบ เธอไม่อยากสังเกตเห็นอะไรมากกว่านี้ รากไทรเคว้งคว้างพวกนั้นจับจ้องกันเกินพอแล้ว

“สองปีครับ”

“หือ นึกว่านานกว่านั้นอีกค่ะ เห็นคุณดูสนิทกับคนที่นี่”

เขาหัวเราะในลำคอพลางยื่นมือปัดยอดหญ้าที่จะโน้มลงมาออก “น่าจะเพราะชาวบ้านที่นี่เป็นกันเองอยู่แล้วมั้งครับ คุยง่าย อย่างป้าเอี่ยมกับเถ้าแก่สุนัย คุณศญาน่าจะเห็น”

หญิงสาวหลุดขำ ศญาเห็นชัดจริงดังเขาว่า ทั้งท่าทีกระซิบกระซาบ ปากว่าตาขยิบ และวงสนทนาแลกเปลี่ยนข่าวสารอย่างเร่าร้อน เธอประจักษ์ดีโดยไม่ต้องใช้คำอธิบาย

แต่คนเราก็เป็นเช่นนี้

พยาบาลสาวรำพึงในใจ ที่นินทากันอยู่ก็สนุกทั้งนั้นแหละ ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง

เธอพูดคุยกับเขาต่ออีกสองสามคำขณะเดินตามเอกภพไปข้างหน้า ศญาไม่หันไปมองอีกฝ่าย มีแต่ความรู้สึกยุบยิบ ยามตระหนักว่าดวงตางดงามที่สุดในโลกคู่หนึ่งอาจจับจ้องแผ่นหลังตนอยู่ ผู้หมวดทาวัตเองก็แสดงท่าทีสุภาพด้วยการเว้นระยะห่างแต่พอดี หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกวนใจเธอบ้าง คงเป็นความเงียบของนายจ้างหนุ่ม ผู้จนแล้วจนรอดก็ไม่มีท่าทีจะเข้าร่วมบทสนทนาสักนิด

จังหวะการเดินของเอกภพมั่นคงเทียบเท่าตัวตนของเขา ด้วยส่วนสูงราวร้อยแปดสิบขึ้นไป ยิ่งทำให้ศญาเห็นอีกฝ่ายเป็นดั่งขุนเขาสงบนิ่งกลางหมอกหนาว เขาไม่ว่อกแว่กหรือหวั่นเกรงการข่มเหงจากบรรยากาศรอบกาย เอกภพเหยียบย่างกอหญ้ารุงรัง เดินผ่านซุ้มไทรสูงอย่างง่ายดาย ลอดคานไม้เก่าๆ ที่คงเคยเป็นทางเข้า เพื่อตามหาสิ่งที่พอจะเป็นคำตอบของแสงวาบวับเมื่อคืนได้

ตอนนั้นเอง ครั้งแรกนับแต่มาเยือนสถานที่นี้...ที่ชายหนุ่มพลันชะงัก

นี่คือการชะงักจริงๆ ไม่ใช่แวะพักหรือหอบเหนื่อย ร่างสูงหยุดนิ่งราวกับมีบางสิ่งขวางกั้นเขาไว้ ไอหนาวและกลิ่นสาบคลุ้งรอบกาย ความเงียบกระซิบไล่ผ่านรอยรากไทรตามผนังจดซอกมุมมืดดำไร้แสงส่อง แผ่นหลังกว้างยังตั้งตรง เขาไม่ว่อกแว่กด้วยซ้ำ ดวงตาคู่คมเพียงจ้องไปเบื้องหน้า เงียบงัน และเคร่งขรึม

“คุณเอกคะ?”

“คุณศญา ระวัง...” แว่วเสียงจากด้านหลัง

ตุ้บ!

เธอไม่ทันฟัง หญิงสาวคิดจะก้าวเข้าไปใกล้คนตรงหน้า แต่วินาทีที่จับจ้อง สองเท้ากลับสะดุดแผ่นไม้ระเกะระกะจนล้มลงไป

ศญานึกอาย...หากนั่นเทียบไม่ได้กับสิ่งที่ปรากฏยามเธอช้อนตา

เหนือคานขึ้นไป ใต้เก่าร้างควรมีแต่ความว่างเปล่า กลับมีเชือกบางอย่างผูกไว้ สี่...ห้า...หกเส้น...เว้นระยะเท่ากัน ทว่าใช่เพียงเชือกธรรมดา กลับมัดบางสิ่งห้อยโงนเงนเป็นชิ้นยาวต่อลงมาอีกที

...สิ่งนั้นประกอบด้วยเกล็ดเลื่อมทั้งตัว คอขาด และทิ้งหยดเลือดกระจายเกลื่อนพื้น

งูหกตัวถูกตัดหัวจับห้อยกับขื่อคาน...โยงระย้าราวกับนิทรรศการแห่งความตาย!

เฮือก!

เหมือนครั้งถูกเลือดงูสาดเข้าตา ความทรงจำเก่าๆ พุ่งใส่หญิงสาวอีกครั้ง คาวโลหิตแห้งกรังเบื้องหน้าตัดสลับภาพแอ่งสีแดงฉานเจิ่งนองใต้ร่างหนึ่งซึ่งไม่มีวันฟื้นคืนตลอดกาล ก่อนข้อความหนึ่งจะฉายชัด...‘ฉันหวังให้มันตาย’

แล้วคลื่นอาเจียนก็พุ่งจุกลำคอ พร้อมอาการวิงเวียนเช่นคนถูกความเครียดจู่โจมฉับพลัน ศญามือสั่น เหงื่อเย็นๆ ผุดเต็มแผ่นหลังจนเธอไม่อาจฝืนยืนได้ หญิงสาวยันกายอย่างทุลักทุเล เกือบทรุดลงอีกครั้งหากเอกภพไม่เข้ามาจับไว้

“คุณไหวมั้ย”

“คะ...ค่ะ แต่งูพวกนี้...”

“เหมือนมีคนทำไว้”

ผู้หมวดทาวัตพึมพำพลางฉายไฟจากโทรศัพท์มือถือส่องศพงูทีละตัว กลิ่นคาวตลบจากด้านบนและแอ่งเลือดด้านล่าง เงาขมุกขมัวรอบกายคล้ายไอวิญญาณรุมเลียซากโลหิตซึ่งแห้งติดพื้น

“ฉัน...ฉันขอออกไปสูดอากาศข้างนอกหน่อยนะคะ”

“ผมพาไป” เอกภพยังจับแขนเธอไว้

“ผมช่วยครับ” ทาวัตเข้ามาประคองอีกข้าง

ศญาไม่อยากให้ทั้งคู่ใส่ใจอาการบ้าๆ ของตน แต่ไม่ต้องการอยู่ที่นี่ต่อ หญิงสาวปล่อยให้ชายทั้งสองพยุงออกจากโรงสีโดยดี และไม่ยอมพูดเด็ดขาดว่าทั้งๆ ที่หัวงูพวกนั้นไม่ปรากฏ ณ จุดใด แต่เธอรู้สึกถึงดวงตาวิญญาณอสรพิษทั้งหลายที่จ้องมองตลอดการเคลื่อนไหว ลิ้นยาวสองแฉกยังคงแลบระริกกลางความว่างเปล่า เสียงฟ่อเจือจางอยู่หลังมุมเงาราวจะเพ่งติดตามจวบจนทั้งสามลับหาย

อาฆาตแค้นหรือ...อาจจะใช่ หากนี่คือความตายที่สูญสิ้นด้วยน้ำมือคน

ลมยามสายพัดต้อนรับทั้งสามทันทีที่ก้าวออกจากโรงสีร้าง ศญาเพิ่งรู้ว่าตนโหยหาอากาศปลอดโปร่งเพียงใดหลังถูกกดทับอย่างหนักอึ้งเมื่อครู่ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนสะท้านทีหลังขณะหายใจออก เมื่อตระหนักว่าจากแสงแวบวับกลางดึกเพียงเสี้ยววินาทีนั้น กลับกลายเป็นภาพสยดสยองและพิลึกพิลั่นเกินจินตนาการเอื้อมไหว ซ้ำร้ายทำให้เธอจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าชายทั้งสองคุยอะไรกันระหว่างเดินออกมา เอกภพมาส่งเธอกลับบ้านก่อนตั้งใจจะไปลงบันทึกประจำวันอีกครั้ง ส่วนผู้หมวดทาวัตคงกลับไปสำรวจนิทรรศการวิญญาณอสรพิษอีกหน ศญาเองก็ยุ่งอยู่กับการประคองสติโดยกีดกันภาพซ้อนทับทั้งหลายจากอดีต

เพียงโถงบ้านถัดจากประตูกระถางกังไสนั่นเองที่หญิงสาวพบว่าความผิดปกติแผ่ลามมาถึง คุณปรงยังคงมีบรรยากาศทึบหม่นเคียงข้างชั่วฟ้าดินสลาย แต่ชายชราไม่ได้ยืนคนเดียว ข้างกันมีเด็กสาวร่างสะโอดสะองคนหนึ่งตั้งใจฟังทุกอย่างที่ผู้ดูแลบ้านอธิบาย ดวงตากลมโตสีอ่อนกวาดทั่วบริเวณ เดี๋ยวซ้ายเดี๋ยวขวา ท่าทางตื่นเต้นและตื่นตัว หล่อนเป็นคนสวยมากหากกล่าวตามจริง ทว่าผิวขาวจัดแทบไร้สีเลือด บางขณะคล้ายแผ่นกระดาษบางๆ ถูกแปะกลางพื้นหลังขมุกขมัว เมื่อหันมาเห็นสองชายหญิงแปลกหน้าเดินเข้าไปพลันเก้กังอย่างประหม่า ดูขัดเขิน แต่ไม่เกรงกลัว

“คุณสองคนกลับมาพอดี นี่เด็กรับใช้คนใหม่ ชื่อลินจง”

ชายชราเอ่ยโดยไม่รอให้ใครทัก “นี่คุณเอก เป็นหลานของคุณท่าน ช่วงนี้คุณเอกจะมาอยู่ที่นี่สักพัก ส่วนนี่ศญา เป็นพยาบาลส่วนตัวของคุณท่าน”

“ผมไม่ยักรู้ว่าวันนี้จะมีเด็กรับใช้คนใหม่เข้ามา”

อันที่จริงอย่าว่าแต่เอกภพเลย ตัวศญาอยู่บ้านตลอดเวลาแท้ๆ ยังไม่รู้

“ผมเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็เลยไม่ได้บอก”

คุณปรงตอบกลับอย่างเรียบเฉย นัยหนึ่งมีความหมายคือ ไม่สนใจสักนิดว่าหลานชายเจ้าของบ้านคิดเห็นเช่นไร เขาแค่แจ้งให้ทราบ ไม่ได้ขออนุญาต เมื่อแนะนำตามมารยาทเสร็จก็ถือว่าการสนทนาจบสิ้นแล้ว

น่าแปลกที่เอกภพไม่เอากิริยาอริเหล่านั้นมาใส่ใจ ดวงตาคู่คมทอประกายครุ่นคิดชั่วครู่ พลันเอ่ยต่อด้วยหัวข้อใหม่

“ผมคิดว่าจะพาคุณปู่ออกไปอยู่ที่อื่นสักพัก”

“คุณรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าคุณท่านจะไม่ยอม” คู่สนทนาตอบกลับทันที ราวกับนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอกภพเสนอความคิด

“แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นบ่อย ผมไม่วางใจ”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณท่านก็ไม่ยอมไปจากบ้านหลังนี้อยู่ดี” คุณปรงจ้องกลับราวจะย้ำชัดทุกพยางค์คำ ก่อนระบายลมหายใจ “เอาเถอะ ผมจะลองช่วยพูดอีกที แต่คุณเองน่าจะรู้ว่าเสียแรงเปล่า เราพยายามพาคุณท่านออกไปจากที่นี่กันกี่ครั้งแล้ว...”

ไม่มีคำตอบกลับจากชายหนุ่ม คล้ายว่าเขาเองก็จมอยู่กับปัญหาเรื้อรังนี้มานานแล้วเช่นกัน

“ตามฉันมา จะพาไปดูห้องพัก”

ชายชราเอ่ยกับเด็กรับใช้ใหม่ก่อนก้าวนำไปส่วนอื่น ปล่อยให้ลินจงยกมือไหว้ทั้งสองปลกๆ แล้วเร่งติดตามไป และเช่นเดิม...ไม่สนใจสักนิดว่าหลังจากนั้นเอกภพจะหันมาหาศญาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นชัดว่าไม่พอใจ การเป็นไม้เบื่อไม้เมากันดูจะเป็นแผลเรื้อรังเกินเยียวยา

“คุณรู้เรื่องที่คุณปรงรับเด็กเข้ามาใหม่มั้ย”

“รู้แค่วันก่อนคุณท่านบอกให้คุณปรงรีบหาเด็กรับใช้ได้แล้วค่ะ แต่จะเป็นใครหรือไปสมัครรับตอนไหนฉันก็ไม่รู้”

นี่ไม่ใช่คำโกหก ศญารู้แค่นี้จริงๆ คุณปรงไม่ใคร่พูดกับใครมากนักนอกจากคุณบุรี กับใช้เวลาส่วนใหญ่...หากไม่เดียวดายก็มีกันและกันอยู่เท่านั้น บางสิ่งบางอย่างขวางกั้นชายชราทั้งสองออกจากคนในบ้านและกาลเวลา เป็นปราการหนาที่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ก้าวข้ามไป และเธอรู้สึกว่า...

“แปลก”

หญิงสาวชะงัก คำที่เอกภพเอ่ยคือสิ่งที่อยู่ในใจเธอไม่ผิดเพี้ยน

“คุณหมายความว่ายังไงคะ”

ชายหนุ่มจ้องมองมุมม่านสงบนิ่งตรงหน้าต่างฝั่งปีกซ้าย มันแข็งทื่อด้วยผ้าสีกลีบบัวหม่นๆ ซ้อนลูกไม้ขาวไร้ทีท่าจะปลิวไหว บางขณะเท่านั้นที่เงาหม่นรอบกายสร้างรูปทรงผิดตา คล้ายหญิงสาวคนหนึ่งยืนเหม่อมองไปด้านนอก...ผ่านศาลาและกอดาหลารกครึ้ม สู่บึงกว้างซึ่งเต็มไปด้วยบัวบานสะพรั่ง

“เปล่าครับ แค่รู้สึกว่าที่นี่มันแปลก...แปลกทุกอย่าง”

แม้ศญาเห็นด้วยกับความแปลกที่เอกภพพูดถึง แต่เธอไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นติดต่อกันหลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งวัน

ช่วงบ่ายก่อนเวลาเต้นรำจะเริ่ม ขณะที่คุณบุรีพักสายตาอยู่บนเก้าอี้หวายบุนวมตัวเดิม และศญาเก็บหนังสือต้นส้มแสนรักที่เพิ่งอ่านจบ พลางครุ่นคิดว่าจะเลือกดนตรีทำนองไหนดีที่จะทำให้เธอลืมภาพงูห้อยหัวช่วงเช้า เด็กลินจงผู้เพิ่งมาถึงวันนี้และเริ่มงานทันทีก็ถือถาดน้ำชาเข้ามาอย่างทุลักทุเล หล่อนมองเจ้าของบ้านและพยาบาลสาวสลับกัน รีๆ ขวางๆ จนน้ำร้อนกระฉอกจากกา ยังประหม่าจนเอ่ยเสียงเบาแทบกระซิบ

“ชาค่ะคุณ”

ลินจงวางถาดบนโต๊ะแทนหนังสือซึ่งเพิ่งเก็บไป ปากอธิบายทั้งที่สายตาลอบพินิจ “ป้าแม่ครัวบอกว่านี่เป็นเวลาดื่มชาของคุณท่าน ให้หนูยกขึ้นมาเสิร์ฟค่ะ”

“ชาผู่เอ๋อร์หรือเปล่าจ๊ะ” ถามไปทั้งที่ศญามีคำตอบในใจแล้ว

“ผู...ผูอะไรเหรอคะ หนูเห็นมีชาอยู่สองสามกล่อง นึกว่าหยิบอันไหนก็ได้”

“คุณบุรีดื่มแค่ชาผู่เอ๋อร์เท่านั้น รบกวนลินจงเอาลงไปเปลี่ยนทีได้มั้ยจ๊ะ คราวนี้บอกป้าเอี่ยมหยิบให้ดูก่อน ชาผู่เอ๋อร์ในกล่องแยกเป็นก้อนเล็กๆ ไว้ หยิบก้อนเดียวพอ ส่วนแบบใบแห้งๆ นี่สีเข้มคล้ายกันก็จริงแต่เป็นชาอัสสัม กลิ่นหอมเข้มต่างกันจ้ะ คนบ้านนี้เอาไว้ชงใส่นมกับพุทราเชื่อม เสิร์ฟเป็นของหวาน” พยาบาลสาวอธิบายอย่างใจกว้างและดื่มด่ำความรู้สึกของการเป็นรุ่นพี่ชี้แนะเด็กใหม่ เดิมทีศญาไม่ใช่คนสันทัดเรื่องชา แต่ภายใต้การสอนงานอันเคร่งครัดของคุณปรง สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้ขึ้นมา

กระนั้น แทนที่จะรีบนำชาลงไปเปลี่ยน เด็กรับใช้กลับหน้าเผือดสีทันที

“หนู...คุณพยาบาลขา หนูไม่กล้า หนูกลัวป้าแม่ครัวดุ แกปากร้าย”

ศญาอึ้ง เธอไม่คิดว่าป้าเอี่ยมแสดงแสนยานุภาพไวขนาดนี้ โดยเฉพาะกับเด็กสาวที่ยังไม่รู้อะไรหรือกระทั่งรู้จักใครในบ้าน หากเทียบกันแล้ว ตอนเริ่มทำงานวันแรกคล้ายหญิงคนครัวเกรงใจเธอมากกว่าหลายส่วน คุณพยาบาลคะ คุณพยาบาลขา ป้าอย่างนั้น ป้าอย่างนี้ แถมยังต้อนรับดีกว่าด้วยซ้ำ

การเลือกปฏิบัตินี้นำมาซึ่งความรู้สึกผิดโดยไม่ทันตั้งรับ เหมือนเธอโกงบางอย่างทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรเลย อาศัยเพียงต้นทุนทางสถานะและหน้าที่การงานเท่านั้น ยิ่งคิดว่าที่ผ่านมาตนถูกพินอบพิเทาเพียงเพราะสิ่งเหล่านี้ ศญายิ่งรู้สึกอีหลักอีเหลื่อจนต้องถือถาดชาเสียเอง อย่างว่านั่นละ เธอเป็นคนขี้เกรงใจ ต่อให้ตนไม่ใช่สาเหตุหลักของความกดดันทั้งหลายที่ลินจงได้รับ ศญายังรู้สึกติดค้างหล่อนอยู่ดี

“งั้นฉันเอาไปเปลี่ยนเอง ฝากลินจงเฝ้าคุณท่านสักแป๊บนะ”

นอกจากไม่ปฏิเสธแล้ว เด็กสาวยังยิ้มกว้างพร้อมพยักหน้าหงึกหงักทันที

“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ หนูว่าแล้วเชียวว่าคุณพยาบาลทั้งสวยทั้งใจดี”

มันคือคำเปี่ยมล้นด้วยเจตนาประจบจนศญาไม่คิดถือสา เธอเพียงทิ้งสายตาสำรวจว่าคุณบุรียังนั่งอย่างสงบที่เดิม เวลาเปลี่ยนน้ำชาคงไม่ถึงสิบนาที รีบไปรีบกลับคงไม่มีปัญหา

ทว่า นั่นเป็นเพียงความคิดตื้นเขินของพยาบาลสาวฝ่ายเดียว เพราะไม่มีใครเดาได้ว่าหลังจากแผ่นหลังบางพ้นครรลองสายตาไม่ถึงเสี้ยววินาที เด็กรับใช้คนใหม่จะค่อยๆ ยอบกายลงข้างเก้าอี้หวายของชายชรา ดวงหน้าเนียนรูปไข่เอียงน้อยๆ ด้วยอาการไร้เดียงสายามเจ้าของบ้านเผลอปรายตามาสบ ชั่วขณะเมื่อลมพัดกลิ่นบัวหอมรวยรินมาจากบึง หล่อนก็แย้มยิ้มอ่อนหวาน เพื่อกระซิบถ้อยคำที่ได้ยินกันเพียงสองคน

“จำฉันได้มั้ย แองเอย...”

เพล้ง!

เสียงแก้วแตกดังขึ้นตอนศญาลงบันไดได้ครึ่งทาง สัญชาตญาณสั่งเธอทิ้งถาดแล้ววิ่งกลับไปทางเดิมทันที ก่อนพบว่าเบื้องหน้า ณ ระเบียงซุ้มไม้อวลกลิ่นบัวไม่รู้คลาย ก็คือคุณปรงผู้ก่อนหน้ายังอยู่ในห้องหนังสืออีกฝั่งซึ่งไกลกว่ากันแท้ๆ นั่งกึ่งชันเข่าบนพื้นอย่างเครียดขึงราวถูกโลกทั้งใบบีบคั้น ในอ้อมกอดคือคุณบุรีที่มีอาการสะท้านไม่ต่างจากเหตุการณ์ตอนเธอมาที่นี่วันแรก ชายชราเจ้าของบ้านแทบไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ผ้าคลุมตักตกอยู่ปลายเท้า มือสั่นเทาชี้ลินจงที่ผงะล้มไม่ไกลกัน แวกตระหนกกระจัดกระจาย

“แซน...เธอ...เธอ...”

เด็กสาวหน้าซีด หล่อนยันเท้าถอยหลัง ส่ายหน้าตกประหม่าพลางมองศญาและคุณปรง

“หนู...หนูเปล่านะคะ”

“เอาเด็กคนนั้นออกไปก่อน!”

เสียงคนดูแลบ้านดังเกือบตะคอก กีดกันทุกสิ่งรอบกายและไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น อาการผลักไสจริงจังเสียจนศญานึกหวั่น เธอเข้าไปประคองเด็กสาว แวบหนึ่งคล้ายปลายนิ้วคุณบุรีเปลี่ยนทิศทางมายังตน

“แซน...”

“ลินจง ออกมากับฉันก่อน” ศญากระซิบเร่งทันที

ชั่วอึดใจกว่าลินจงจะจำชื่อตัวเองได้ หล่อนเกาะคุณพยาบาลพลางกระถดห่างจากเหตุการณ์เบื้องหน้า ทำตัวอ่อนปวกเปียกให้ศญาหิ้วออกจากบรรยากาศบีบคั้นทั้งหลาย แล้วค่อยพบวิธียืนเองได้เมื่อถึงบันได เด็กสาวหันซ้ายหันขวาคล้ายมองหาขวัญที่กระเจิดกระเจิงรอบบ้าน ก่อนชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของเอกภพเดินขึ้นบันไดมา เขาเพิ่งกลับจากโรงพักเพื่อลงบันทึกประจำวันเรื่องศพงูพิสดารในโรงสีร้าง และคงได้ยินเสียงเอะอะพอดี

“มีเรื่องอะไรกัน”

เขาถามศญา สบตากันด้วยซ้ำ ทว่าเด็กสาวอีกคนคว้าความรับผิดชอบในการตอบมาเสียเองด้วยท่าทีหวาดหวั่น ไหล่บางสั่นเทาราวลูกนกกลางสายฝน ดูเปียกปอนท่ามกลางแสงหม่นรอบกาย

“หนูไม่รู้ค่ะ อยู่ดีๆ คุณท่านก็ล้มจากเก้าอี้ แถมยังพูดอะไรแปลกๆ ด้วย”

คนฟังขมวดคิ้วทันที

“แปลกที่ว่าคืออะไร”

“ไว้ฉันจะเล่าให้คุณฟังค่ะ” ศญาแทรกกลางบทสนทนาก่อนความวิตกจะวิ่งพล่านมากกว่านี้ เธอยังไม่กล้าไว้ใจเด็กที่เพิ่งทำงานวันแรก และไม่อยากให้หล่อนสรุปเรื่องราวรวบรัดเองด้วย

“ลินจงลงไปข้างล่างก่อนเถอะ ทางนี้คุณปรงจัดการแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”

ทั้งๆ ที่เมื่อครู่ปล่อยให้ศญาลากจูงตามใจ แต่เวลานี้เด็กสาวคล้ายหูดับไปแล้วเมื่อเห็นที่พึ่งพิงคนใหม่ ลินจงไม่ฟังเธอ ดวงตากลมโตรื้นน้ำฉ่ำวาว พลางเสือกกายไปใกล้หลานเจ้าของบ้าน ท่าทางเหน็บหนาวสั่นระริก

“แต่หนู...หนูตกใจค่ะคุณ หนูกลัว...”

“เมื่อกี้ฉันวางถาดชาค้างไว้ตรงขั้นบันได เอาลงไปเก็บให้หน่อยสิจ๊ะ กลัวคนอื่นเดินผ่านเผลอเตะเข้า”

ศญาเอ่ยต่อพร้อมรอยยิ้มเดิมที่ไม่มีวี่แววเสื่อมสลาย เอกภพเองก็ไม่พูดรั้งเด็กสาว เขายืนมองหล่อนอย่างเรียบเฉยกระทั่งลินจงละล้าละลังก้าวลงบันได แล้วหันมาสบตากันอีกครั้งตอนศญากระซิบด้วยเสียงซึ่งปรารถนาอย่างยิ่งว่าจะไม่มีใครได้ยิน ทั้งผู้คน เครื่องเรือน ความว่างเปล่า...หรือบ้านทั้งหลัง

“ฉันไม่ได้พูดบีบคั้นหรือเร่งเอาอะไรกับคุณหรอกนะคะ ถ้าเป็นไปได้...ฉันอยากรู้จริงๆ ค่ะ ว่ากิมแซนคือใคร”

วินาทีนั้น ยามน้ำหนักถ้อยคำร่วงลงมา เธอค่อยตระหนักว่าตนเอ่ยเช่นนั้นโดยไม่มีอะไรรับรองเลย ว่าหากทั้งสองรู้ความจริงหมดแล้ว เส้นทางที่ทั้งเธอกับเอกภพต่างหยัดยืน...จะยังเป็นฝั่งเดียวกันหรือไม่

คุณรมณีย์ อัญเรศไพจิต นั่งอ่านบทความวิเคราะห์ตลาดหุ้นประจำสัปดาห์ก่อนเข้านอนขณะโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงชราไม่กดรับทันที นางมองชื่อหน้าจอและดื่มด่ำอาการแปลกใจของตนครู่สั้นๆ คุณรมณีย์มีโทรศัพท์มือถือสองเครื่องไว้ติดต่อเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานโดยเฉพาะ อย่างหลังเลขาฯ คนสนิทรู้ดีว่าสตรีเปี่ยมชื่อเสียงและอำนาจผู้นี้แยกแยะเวลาชีวิตชัดเจน ลูกน้องไม่มีใครกล้าโทร. หาคุณรมณีย์กลางดึก หากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ส่วนโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกไม่มีความเคลื่อนไหวจากการดำรงอยู่ของมันระยะหนึ่งแล้ว บุตรชายกับสะใภ้อาศัยในขอบรั้วอันไพศาลของบ้านกลางเมืองหลวงแห่งเดียวกัน เดินมาเคาะประตูห้องยังง่ายกว่า ดังนั้นคนที่กล้าปลุกชีพโทรศัพท์ส่วนตัวของคุณรมณีย์จึงเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น

และเป็นชายที่หญิงชราสัญญากับตัวเองว่าจะรักเท่าชีวิตตั้งแต่วินาทีที่เขาเกิดมา เป็นสัญญาดุจเดียวกับครั้งนางให้กำเนิดพ่อเขา

“ฉันยังงอนอยู่นะยะ บอกไว้ก่อน”

ไม่รอปลายสายเอ่ยทัก คุณรมณีย์กรอกเสียงแง่งอนลงไปทันที ครั้งล่าสุดที่หญิงชราคุยกับหลานชายคือครั้งเขาบอกว่าเกิดเรื่องขึ้น และจะไปอยู่บ้านปู่ที่พิษณุโลกสักระยะ ใช่...บ้านหลังนั้น บ้านเก่าแก่ห่างไกลที่ไม่มีอะไร นอกจากบึงบัวดูดวิญญาณนั่น

นางไม่ชอบให้เอกภพใกล้ชิดคนทางนั้นมากเกินไป รู้ดีด้วยว่าห้ามอะไรเขาไม่ได้

“คุณย่าทำอะไรอยู่ครับ”

นอกจากไม่สำนึกผิดหรือหวั่นเกรงให้ชื่นใจ หลานคนเดียวกลับหัวเราะอย่างผ่อนคลาย น้ำเสียงก็เช่นกัน อ่อนนุ่มชวนรักใคร่ จนคนที่แต่เดิมหลงหลานหัวปักหัวปำนึกฉุนไม่ลง

“ก็อ่านนั่นอ่านนี่ไปตามเรื่อง เราเถอะ นึกยังไงถึงโทร. หาย่าเวลานี้”

“ผมมีเรื่องอยากถามคุณย่านิดหน่อยครับ”

“เกี่ยวกับปู่เราหรือเปล่า”

“ครับ...”

ความตรงไปตรงมานั้นทำให้คุณรมณีย์เงียบครู่หนึ่ง นางไม่เคยห้ามลูกหรือหลานติดต่อสามี นามสกุลยังใช้ของเขาอยู่ กระนั้น ตัวคุณรมณีย์เองกลับไม่ข้องเกี่ยวอันใดกับชายคนนั้นนานมากแล้ว และค่อนข้างอึดอัดอยู่บ้างหากมีคนพูดถึงเขา มันเป็นความรู้สึกเดียวกับเวลาได้ยินชื่อคนตาย

แต่เหมือนคนแก่ทั้งหลาย คุณรมณีย์ชอบเสมอเวลาลูกหลานเห็นว่านางพึ่งพาได้

“ถ้าตอบได้หรอกนะ”

หญิงชราถอนหายใจ บทวิเคราะห์หุ้นอะไรก็วางไว้ก่อน คืนนี้คงไม่มีอารมณ์อ่านจนจบแล้ว ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบุรี อัญเรศไพจิต กินพลังชีวิตนางเสมอมา

“คุณย่ารู้จักคนชื่อกิมแซนมั้ยครับ”

“กิมแซน...กิมแซน...”

คนฟังทวนคำทำทีครุ่นคิดทั้งที่จำชื่อนั้นได้ตั้งแต่แรก เพื่อใช้เวลาจัดการอารมณ์ข้างในให้เยือกเย็น

“คุ้นหู แต่ไม่รู้จักหรอก”

“คุณย่าเคยได้ยินจากไหนเหรอครับ”

“คงจะตอนปู่เราละเมอมั้ง หรือไม่ก็เหม่อแล้วเผลอเรียก ย่าจำไม่ค่อยได้”

ที่จริงนางจำได้ เขาทำมันทั้งสองอย่างที่ว่ามา

“ตอนแต่งเข้าไปย่าก็ไม่เห็นคนชื่อกิมแซนที่ว่านั่นแล้ว ที่อยู่กับปู่เรามาตลอดมีแต่คุณปรงนั่นแหละ เห็นดูแลกันมาตั้งแต่เด็กยันแก่ ไม่ลองถามดูล่ะ”

“รายนั้นคงจะบอกหรอกครับ คุณย่าก็รู้ว่าผมไม่ถูกกับคุณปรง”

เพียงเท่านั้น หญิงชราผู้ที่ใครต่อใครนอบน้อมทุกครั้งยามปรากฏตัวก็หลุดหัวเราะ เผลอคิดเป็นตุเป็นตะว่าความเป็นอริต่อคุณปรงอาจเป็นมรดกทางพันธุกรรมลึกลับฝั่งตน ถ่ายทอดตั้งแต่ตัวคุณรมณีย์เอง สู่บุริณฑ์ผู้เป็นบุตรชาย คราวนี้เด่นชัดผ่านหลานด้วยท่าทางไม้เบื่อไม้เมาที่เจ้าตัวไม่คิดปิดบังสักนิด

“ถอนหงอกคนแก่ไปกี่เส้นแล้วล่ะเรา”

“ถอนหงอกที่ไหนกันครับ ผมแค่พูดสิ่งที่ควรพูดเท่านั้น”

“จ้ะ จ้ะ ใครจะไปเถียงเราได้” ผู้เป็นย่ายังคงหัวเราะด้วยเอ็นดูเป็นนักหนา พลันเคร่งขรึมในวินาทีถัดมาด้วยถ้อยคำจริงจังจนไม่อาจปล่อยผ่าน “แต่อย่าดูถูกคุณปรงไปนะเอก ตาแก่นั่นทำอะไรได้มากกว่าที่หลานคิด”

เอกภพเป็นคนประเภทดื้อเงียบอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับหัวรั้นจนไม่ฟังคำใคร เขาฟังการตักเตือนโดยดี มิหนำซ้ำชวนคุยเรื่องอื่นครู่หนึ่งก่อนวางสาย เพื่อปล่อยให้ความเงียบโอบกอดคุณรมณีย์อีกครั้ง เหมือนที่มันซื่อสัตย์ต่อนางมาตลอดนับแต่วันแต่งงาน

...เงียบเหงา เดียวดาย เป็นเช่นนี้เสมอ แม้แต่วินาทีที่ยังมีบุรี อัญเรศไพจิตอยู่ข้างกาย

“กิมแซน...”

หญิงชรากระซิบพลางเอนตัวลงบนพนักพิง นางหลับตา กลิ่นบัวจางๆ คล้ายลอยละล่องจากที่ไหนสักแห่ง หวานขมจนหนักอึ้งทั้งสรรพางค์ เหนือสิ่งอื่นใด คงมีแต่ตัวคุณรมณีย์ที่รู้ดีว่า ภาพฝังใจเด่นชัดที่สุดไม่ใช่น้ำเสียงสามียามเอ่ยชื่อนั้น

...หากเป็นแววตาคุณปรงที่สะท้อนความเจ็บช้ำบางอย่างเสี้ยววินาที ขณะยืนนิ่งใต้เงาหม่นของตัวบ้าน

ยิ่งกว่าความร้าวรานใดที่มนุษย์คนหนึ่งจะกดเก็บไว้ได้

ตั้งแต่จำความได้ คุณรมณีย์เชื่อเสมอว่าเส้นชีวิตของตนต้องทอดไปสู่ปลายทางอันยิ่งใหญ่

ตระกูลของนางเป็นเชื้อสายขุนนางสืบสายโลหิตย้อนไกลถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยบทบาทจารึกในตำราประวัติศาสตร์อันยาวนานหนึ่งบรรทัด การรับราชการไม่ต่างจากประเพณีที่หัวหน้าครอบครัวทุกรุ่นต้องสืบทอด คุณพ่อของนางเช่นกัน เขามีตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงด้วยร่วมกลุ่มอุดมการณ์ทรงอิทธิพลต่อการปกครองทั้งประเทศ แอบมีนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างเยี่ยงลูกผู้ดีที่ถูกสอนว่าตนเลิศเลอกว่าคนทั่วไป แต่ไม่ส่งผลต่อการคบค้าหรือสมาพันธ์กับเหล่าเศรษฐีใหม่ คุณรมณีย์จำได้ว่าแทบทุกเย็นมีแขกของคุณพ่อคนหรือสองคนแวะมาร่วมโต๊ะอาหารเสมอ บางทีจัดปาร์ตี้ จ้างวงดนตรีเล่นเพลงของ เอลวิส เพรสลีย์ ที่ลูกสาวโปรดปราน แม้มีพวกหวังผลประโยชน์แอบแฝงมาส่วนใหญ่ บิดาก็สนุกกับการมีเพื่อนมาก โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นแสงสว่างยามชีวิตผกผันที่แท้จริง

เหมือนตำนานการล่มสลายของอาณาจักรนับร้อยบนโลกใบนี้ ไม่มีความยิ่งใหญ่ใดจีรังตลอดกาล

ปีนั้นด้วยอายุสะพรั่งย่างยี่สิบ ท่ามกลางเหตุการณ์รัฐประหารนำไปสู่ยุคพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ ซึ่งกินเวลาถึงสิบหกปี สำเภาตระกูลอันยิ่งใหญ่และยาวนานของคุณรมณีย์ถึงคราวอับปาง กระแสธารแห่งชีวิตบิดม้วนเป็นเกลียวคลื่นล้มครืนลงต่อหน้า เดิมทีอำนาจบิดาง่อนแง่นจากรัฐประหารคราวก่อนราวสิบปี ถึงคราวภินท์ลงไม่เหลือดีในรอบนี้ เพื่อนเก่าแก่ของเขาส่วนใหญ่ลี้ภัยนานแล้ว บ้างชุลมุนหาลู่ทางเอาชีวิตรอด บางคนเก็บตัวเงียบเสมือนตายจาก และส่วนมากหันหลังให้ราวกับไม่เคยข้องแวะกัน

ช่วงที่ผู้เป็นพ่อถูกไล่ต้อนสู่ยอดผาสูงชัน กระทั่งก้มลงเจอแต่มือวิญญาณรอกระชาก เพื่อนคนหนึ่งซึ่งติดต่อกันนานๆ ครั้ง และไม่มีชื่อในเป้าหมายการขอความช่วยเหลือ พลันยื่นมือมาพยุงไว้ทันเวลา ด้วยข้อเสนอง่ายดาย เพียงต้องการให้ลูกของทั้งสองแต่งงานกัน

อาจฟังดูน่าขันสักนิด ชายผู้นั้นเป็นเศรษฐีร่ำรวยด้วยธุรกิจอัญมณีพ่วงสัมปทานหลายแห่ง เขามีบุตรชายสุดที่รักอายุย่างสามสิบ บุรี อัญเรศไพจิต...คนหนุ่มผู้ประเสริฐ รูปงาม สุภาพอ่อนโยน มีทรัพย์สมบัติมหาศาล เพียบพร้อมด้วยทุกสิ่ง ยกเว้นเพียงสายเลือดซึ่งถูกมองว่าบกพร่องด้วยไม่เกี่ยวดองกับเชื้อผู้ดี อย่างหลังคือสิ่งเดียวที่ตระกูลของนางเหลืออยู่พอดี

แรกรู้ว่าถูกจับคลุมถุงชนกับชายแก่กว่าตนเกือบสิบปี คุณรมณีย์ต่อต้านถึงขั้นขู่กินยาฆ่าตัวตาย บิดาต้องสั่งคนเอายาทุกชนิดในบ้านเททิ้งน้ำ ให้พระแม่คงคาแบกรับชะตากรรมฉับพลันนี้แทน สร้างโชคชะตาใหม่เองกับมือ โดยพาครอบครัวหนีหัวซุกหัวซุนไปขออาศัย ณ บ้านห่างไกลในจังหวัดพิษณุโลก ที่ซึ่งบุตรชายผู้นั้นของสหายพักอาศัยก่อนแล้ว นัยหนึ่งคือเห็นพ้องกันว่าจะลองหวังพึ่งรักแรกพบให้ทำหน้าที่ของมัน...แล้วได้ผลเสียด้วย

ทีแรกคุณรมณีย์ไม่รู้ว่าถูกหลอก เข้าใจเพียงว่าที่นั่นคือบ้านตากอากาศของเพื่อนคุณพ่อ เป็นที่ซุกหัวนอนช่วงชีวิตจนตรอก ต่อให้จับสังเกตได้ว่าล้วนเป็นพวกผู้ใหญ่จัดฉาก วินาทีที่เด็กสาวยืนชมสวนริมบึงกว้าง กลิ่นบัวรวยรินรอบกาย และบังเอิญเงยหน้าสบตาชายคนหนึ่งบนระเบียงบ้าน เพื่อพบว่าสีสันโลกทั้งใบเปลี่ยนแปลง ทิฐิหรือแม้แต่คำคัดค้านทั้งหลายก็หมดสิ้นไปเสียแล้ว

รักแรกพบมีพลังอำนาจเพียงนี้ เหวี่ยงหมุนหัวใจสั่นสะท้าน ไม่อาจนำภาพอีกฝ่ายออกจากหัวได้ ทั้งยามตื่นหรือนอนฝัน คุณรมณีย์ตัดสินใจแต่งงานกับเขาทันทีท่ามกลางความยินดีของบิดา ก่อนพบความจริงอันเจ็บปวดภายหลังว่าคุณบุรีก็เหมือนตนก่อนหน้า คือไม่สนใจการสานสัมพันธ์สักนิด

เขาสุภาพก็จริง แต่ทิ้งระยะห่างประหนึ่งยืนคนละฝั่งฟ้า รักท่วมท้นที่นางมอบให้กลายเป็นเงาเลือนไร้สิ่งชัดเจนกลับมา ไหนจะคุณปรงคนสนิทที่มองด้วยสายตาหยามหยัน ราวกับนางเป็นแมลงวันผิดที่ผิดทางกลางสวนดอกไม้นั่นอีก กระนั้น ด้วยใจศรัทธา คุณรมณีย์แน่วแน่ว่าสักวันทั้งสองจะกลายเป็นสามีภรรยาเทิดทูนเพียงกันและกัน ความผูกพันจะค่อยๆ ถักทอ และเติบโตเป็นรักแท้เหมือนนิยายประโลมใจ ว่าด้วยเรื่องตัวเอกถูกเจ้าคุณปู่หรือคุณหญิงแม่จับแต่งงาน ก่อเกิดความสุขชั่วฟ้าดินสลายตอนท้ายก่อนคำว่าจบบริบูรณ์

แต่ทันทีที่บุตรสาวเป็นฝั่งเป็นฝาไม่ถึงสัปดาห์ บิดาผู้โหยหาความรุ่งโรจน์ในอดีตตระหนักถึงความจริงของชีวิตทันใดขณะเดินเล่นริมบึงบัว ซ้ำร้ายตระหนกกับการล่มสลายของตระกูลจนหัวใจวายตายตรงนั้น ทิ้งให้คุณรมณีย์ใช้ชีวิตท่ามกลางทุกสิ่งที่ไม่คุ้นเคย ด้วยความหวังบ้าๆ เพียงอย่างเดียวว่าจะรอให้ผัวหันมารัก รอ...กระทั่งเกือบลืมไปว่าคนเดียวที่หยัดยืนข้างนางได้ในวินาทีที่ความเปลี่ยวดายท่วมทับคือตัวนางเอง

เช้ามืดวันหนึ่งหลังบุริณฑ์บุตรชายเพิ่งอายุห้าเดือน ความกลัวจู่โจมคุณรมณีย์ทันทีที่ลืมตา ด้วยความคิดว่าสักวันในอนาคตนางจะตื่นมาพบสามีในสภาพร่างเปื่อยเน่า อืดบวม หนอนไช ตกตายอย่างเงียบเชียบและเฉยชาดังที่เป็นมานับแต่วันแรกพบ เพียงเท่านั้น ความคิดที่ว่าตนอาศัยอยู่กับศพซึ่งมีลมหายใจทำให้คุณรมณีย์สะอิดสะเอียน หมดสิ้นทั้งรักและปรารถนาประเดี๋ยวนั้น ลุกมาโพล่งถ้อยคำเสียงดังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางว่า ‘ฉันจะไปจากที่นี่’ ก่อนอาเจียนบนเตียงที่ทั้งสองใช้ร่วมรักแทบนับครั้งได้ตั้งแต่แต่งงาน

คุณบุรีตื่นเพราะเสียงตะโกนไร้ที่มาของภรรยาสาว รวมถึงกลิ่นคาวน้ำดีแฉะชื้น นอกจากไม่งุนงงแล้วเขากลับยอมรับ และปล่อยเธอเป็นอิสระจากชีวิตที่ไม่เคยก้าวผ่านอดีตของตนทันที  ไม่มีการหย่าร้าง คุณรมณีย์แค่จากไปเหมือนตอนก้าวเข้ามา พร้อมลูกชาย โกศของพ่อ รวมถึงสิทธิ์ขาดในธุรกิจสินทรัพย์มหาศาลซึ่งให้สัตย์สาบานว่าจะทำให้มันงอกเงยทบทวี หากคุณบุรีมอบทุกอย่างให้ตนดูแล แลกกับการยอมให้ลูกหลานกลับมาเยี่ยมที่นี่ได้ตามต้องการ

และเหมือนสามีที่ไม่เคยก้าวออกจากบ้านหลังนั้น คุณรมณีย์เองก็เช่นกัน

...ไม่มีความคิดจะกลับไปที่นั่นอีกเลย

บันทึกวันที่ 13 กรกฎาคม 25xx

หัวใจของผมแทบทะลุออกจากอกด้วยความตื่นเต้น ตอนคุณได้รับของขวัญชิ้นแรกระหว่างเรา

งูในโรงสีร้างมีมาก แต่ไม่ยากในการฆ่า ผมทำเรื่องนี้ได้ดี ถนัดที่สุด การมอบความตายเป็นเรื่องรื่นเริงและบางครั้งสร้างความปีติจนสั่นสะท้าน โดยเฉพาะเวลาเข่นฆ่าโดยนึกถึงหน้าคุณไปด้วย ศญา และเลือด และศญา และเลือด เลือด เลือด...โอ ที่รัก ผมถึงกับหลุดหัวเราะหลายครั้งเวลาตัดคอพวกมัน คุณต้องซาบซึ้งใจถ้ารู้ว่าผมทำทั้งหมดนี้เพื่อใคร

คุณกลัวงู ผมรู้ ผมรู้ ผมรู้ เพราะงั้นผมเลยกำจัดพวกมันจนหมด งูทุกตัวต้องตาย พวกมันไม่มีสิทธิ์อยู่ใกล้คุณ ผมทำได้ดีมากใช่มั้ย งูที่ถูกห้อยกับขื่อเหมือนเครื่องตกแต่งอันศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือเปล่า คืองี้นะศญา ความจริงผมตั้งใจจะทำให้มันเป็นลานเต้นรำของเรา คุณชอบเต้นรำนี่ เราสองคนจะโอบกอดและขยับกายไปตามจังหวะดนตรี คุณจะสง่างามกลางฝนเลือดจากคองูที่หยดลงมา เราจะเปียกปอนเหมือนในหนังรักโรแมนติกทั้งหลาย แดงฉาน หยอกเย้า มีแค่เราสองคนบนโลกใบนี้

น่าเสียดายที่เวทีทั้งหมดถูกคุณค้นพบก่อนจะเสร็จดี แต่คุณก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว ผมไม่ว่าอะไรหรอก คุณจะหาผมเจอเสมอไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไหร่ แผนการเต้นรำที่ล่มไปจึงไม่สำคัญเลย หากเทียบกับความสุขใจเมื่อใกล้คุณ

จะดีกว่านี้ถ้าเราเข้าไปที่นั่นด้วยกันเพียงสองคน ไอ้ตัวเกะกะส่วนเกินนั่นทำให้ผมรำคาญมาก ไม่ชอบเลย ผมเกลียดที่คุณเรียกชื่อมัน ไอ้หมอนี่ต้องตายเป็นคนแรก


 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น