1
ในชีวิตการเป็นครูสอนเด็กอนุบาลของนลิน ไม่มีวันไหนเลยที่จะปวดหัวเท่าวันนี้ วันที่มีเด็กชายตัวน้อยที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในห้องซึ่งเธอเป็นครูประจำชั้น ทำให้ครูสาวถึงขั้นเพลียจิต เพราะในขณะที่เด็กคนอื่นๆ ในชั้นต่างนอนกลางวันกันตามปกติ แต่เด็กชายองศากลับเดินตามเธอต้อยๆ!
“ครูลินครับ...ครูลินคร้าบ”
เอาอีกแล้ว เรียกเป็นครั้งที่ร้อยได้แล้วละมั้งวันนี้ องศาเป็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าชัง รูปร่างจ้ำม่ำ ผิวขาวจัด แก้มป่องสีแดงระเรื่อบ่งบอกว่าเป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูล แหงละ ก็ผู้อำนวยการฝากฝังเธอมาเสียดิบดีว่าเป็นหลานชายของเพื่อนรุ่นพี่ เลยต้องดูแลประคบประหงมกันหน่อย ขนาดไม่ยอมไปนอนรวมกับเพื่อนๆ เธอยังไม่กล้าดุเลย แล้วไง ก็ต้องยอมให้เด็กน้อยเดินตามต้อยๆ อยู่อย่างนี้แหละ
ฟอด!
“องศา!” คุณครูสาวดุเสียงเข้ม พร้อมกับยกมือขึ้นมาถูแก้มตัวเองที่โดนขโมยหอมฟอดใหญ่ ทำให้องศามีสีหน้าผวาเล็กน้อย ก่อนจะทำปากยื่นใส่
“องศาแค่หอมนิดเดียวเอง ทำไมครูลินต้องดุองศาด้วย!”
“นิดเดียวอะไรกันคะ นี่มันครั้งที่สิบแล้วมั้งองศา หนูจะทำแบบนี้กับครูไม่ได้นะ รู้ไหมคะ”
“ก็ครูลินหอมเหมือนแม่”
“วะ...ว่าไงนะคะ!” หัวใจครูสาวอ่อนยวบ นึกถึงเรื่องราวที่เด็กชายองศาต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้กลางเทอมด้วยความรู้สึกที่หดหู่อย่างบอกไม่ถูก แม่ของเด็กชายจากไปก่อนวัยอันควรด้วยอุบัติเหตุ แต่นี่ไม่ใช่การกำพร้าครั้งแรกของเขา นลินรู้มาว่าองศากำพร้าพ่อมาก่อน พ่อ...ผู้ทิ้งเขาไปตั้งแต่เขาอยู่ในท้องของแม่
“แม่ให้องศาหอมตลอดๆ ไม่ดุเหมือนครูลินด้วย แต่ตอนนี้แม่ไปอยู่ที่สวรรค์ ไม่ยอมกลับมาเสียที ถ้าแม่กลับมาเมื่อไหร่ องศาก็จะไม่ง้อครูลินหรอก โธ่...”
เด็กน้อยทำหน้าบึ้งพร้อมกับกอดอกทำท่าฮึดฮัด ทว่าเสียงเล็กๆ ที่สั่นเครือนั้น นลินรับรู้ถึงความอ้างว้างของเขาได้อย่างลึกซึ้ง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าความอ้างว้างมันทรมานแค่ไหน เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลก นลินก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครคือพ่อและแม่ของเธอ เด็กที่เติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ดีแค่ไหนที่ได้รับการศึกษา บวกกับความมุมานะ เรียนไปทำงานไปจนจบปริญญาตรีแล้วมาเป็นครูสอนเด็กอนุบาลอยู่ที่นี่ เธออาจจะไม่ได้ตัวหอมเหมือนแม่ขององศาหรอก แต่คนที่มีอะไรเหมือนๆ กันมักจะสื่อความรู้สึกถึงกันได้
“เอาละองศา ครูอนุญาตให้กอดครูได้ และให้หอมได้อีกหนึ่งครั้ง หลังจากนี้องศาต้องไปนอนเหมือนเพื่อนๆ เข้าใจไหมคะ”
“คร้าบ” รับคำเสร็จก็ยิ้มแป้น โผเข้ากอดคุณครูสาว เขย่งปลายเท้าพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นหอมแก้มคุณครูประจำชั้นที่โน้มใบหน้าลงมาหาฟอดใหญ่ ก่อนจะยอมเดินไปนอนบนเบาะนอนที่เตรียมไว้ และหลับไปแต่โดยดี
หลังเลิกเรียน ผู้ปกครองต่างทยอยมารับบุตรหลานของตัวเองกลับบ้านไป เหลือก็แต่นลินกับเด็กชายองศาที่ยังนั่งแกร่วกันอยู่ที่สนามเด็กเล่น
“องศา คุณลุงได้บอกไหมคะว่าจะมารับองศากี่โมง” คุณครูประจำชั้นถามหลังจากมองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าเลยเวลาเลิกเรียนมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว แต่ผู้ปกครองของเด็กชายองศาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมารับเขากลับไปเสียที
“ไม่รู้ครับ องศาไม่รู้ว่ากี่โมงคืออะไร”
“ตอบง่ายดีแฮะ” ครูสาวทั้งขำทั้งหงุดหงิด แต่จะทำไงได้ เด็กอนุบาลก็ตอบได้แค่นี้แหละ คนที่ควรจะตอบคำถามได้ดีที่สุดควรจะเป็นผู้ปกครองของเด็กน้อยมากกว่า ดูเอาเถอะ นี่ก็ค่ำมืดแล้วยังไม่มารับหลานกลับบ้านไปเสียที แต่เท่าที่ดู เด็กน้อยเองก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเพราะยังคงวิ่งไปเล่นสไลเดอร์นับสิบรอบอยู่อย่างสนุกสนาน จนเม็ดทรายกระเด็นเลอะเทอะไปหมดทั้งตัว หัวเราะเอิ๊กอ๊ากโดยที่ไม่รู้เลยว่าคุณครูประจำชั้นนั้นหงุดหงิดแค่ไหน
“องศาไม่อยากกลับบ้านเลย องศาอยากอยู่กับครูลินที่นี่ ลุงภามดุ๊ดุ”
เมื่อนลินได้ยินที่องศาพูด ภาพคนแก่จู้จี้ขี้บ่นก็ลอยมาแต่ไกล เธอไม่เคยเจอคุณลุงขององศามาก่อน เพราะเมื่อเช้าตอนที่เธอไปรับตัวเด็กน้อยมาจากห้องผู้อำนวยการ คุณลุงของลูกศิษย์ก็ต้องรีบไปทำงานแล้ว ปล่อยเด็กชายวัยห้าขวบนั่งดูดนิ้วโป้งอยู่อย่างอ้างว้าง เมื่อเช้าก็เอามาทิ้งไว้แล้ว ตอนเย็นยังจะมารับช้าอีก คุณลุงของลูกศิษย์เธอคงจะเป็นตาแก่ขี้ลืมสินะ ถึงได้ลืมไปว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว
“คุณลุงขององศาชอบดุองศาเหรอคะ” ครูสาวชวนลูกศิษย์คุยเพื่อฆ่าเวลา
“เปล่าครับ แต่ว่าลุงภามน่ากลัว ลุงภามตัวใหญ่” เด็กน้อยบอก
นลินจินตนาการไปเองว่าลุงภามขององศาคงจะเป็นคนแก่ที่อ้วนลงพุง แถมยังหน้าดุ หรือไม่ก็หน้าเหี่ยวจนเด็กกลัว
“แล้วอย่างนี้องศาจะกล้าบอกคุณลุงไหมคะเนี่ย ว่าพรุ่งนี้ให้มารับองศาเร็วๆ หน่อย อย่าปล่อยให้รอนานๆ แบบนี้ ถ้าไม่กล้าบอกเดี๋ยวครูลินจะบอกให้เองค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เด็กน้อยก็ทำหน้าจ๋อย แม้เขาจะก้มหน้าลงแล้ว แต่นลินยังเห็นริมฝีปากบนที่ยื่นขึ้นมาแทบจะแตะจมูก บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังน้อยใจ
“เป็นอะไรไปคะองศา”
“องศาอยากอยู่กับครูลิน”
“อยู่กับครูไม่ได้ค่ะ องศาอยู่กับคุณลุง ก็ต้องกลับบ้านไปกับคุณลุงนะคะ อีกไม่นานคุณลุงก็คงจะมารับแล้วละค่ะ”
นลินพูดกับลูกศิษย์ยังไม่ทันขาดคำ รถสปอร์ตสุดหรูสีดำสนิทก็แล่นมาจอดถึงข้างสนามเด็กเล่น นลินไม่คิดว่าจะเป็นรถของคนที่เธอกำลังเฝ้ารอ คนแก่คราวลุงไม่น่าจะขับรถสปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด แถมยังมีชุดแต่งครบชุดขนาดนี้
“ลุงภาม!”
เด็กน้อยเอ่ยชื่อผู้ที่เปิดประตูลงจากรถด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ เขาสไลด์ตัวลงจากสไลเดอร์ที่เล่นอยู่ รีบปัดฝุ่นและเศษทรายออกจากเสื้อผ้า แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนที่ฝากครูประจำชั้นถือมาสะพายหลังเอาไว้
“นะ...นั่นน่ะเหรอคุณลุงขององศา”
คุณครูประจำชั้นเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เนื่องจากภาพคุณลุงที่เธอจินตนาการกับคุณลุงตัวจริงนั้นต่างกันอย่างลิบลับ คุณลุงของลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้ายังหนุ่มฟ้อ แถมยังหล่อเฟี้ยว ผิวขาวออร่า เสื้อผ้า หน้า ผมหรือก็เนี้ยบเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่านี่ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว เสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก กระดุมตรงปกเสื้อก็คลายออกเนื่องจากไม่มีเนกไทผูกไว้ แต่ถึงอย่างไร ชายเสื้อก็ยังคงอยู่ในกางเกงจนเห็นช่วงเอวสอบตึงเปรี๊ยะไร้ไขมันส่วนเกิน แถมยังเดินเหินแผ่นหลังตรงแน่วราวกับอยู่บนรันเวย์ตลอดเวลา
“ขอโทษนะครับที่มารับช้า พอดีผมติดประชุมสำคัญจนยืดเยื้อไปหน่อย”
“นี่คุณลุงของน้ององศาขอโทษดิฉัน หรือขอโทษน้ององศาคะ”
“ครับ?”
เขาตวัดหางเสียงขึ้นสูง พร้อมกับเอียงหน้ามองคนถาม ดวงตาคมปลาบหรี่มองผู้หญิงที่ดูก็รู้ว่าอายุน้อยกว่าเขาหลายปี ทำเอาคนถูกมองชาไปทั้งร่าง ถึงว่าสิ องศาถึงได้พูดว่าคุณลุงของเขาดุ๊ดุ เพราะแค่มองยังขนาดนี้ ถ้าดุจริงๆ จะขนาดไหน ดูเอาเถอะ เด็กขี้อ้อนอย่างองศาเวลาอยู่ต่อหน้าลุงนี่หงอจนไม่ยอมพูดไม่ยอมจาอะไรเลย ได้แต่ยืนนิ่งๆ พร้อมกับหันมามองคุณครูของเขาตาละห้อย
“ฉันหมายถึง ถ้าคุณลุงของน้ององศาจะมารับแกช้า ก็น่าจะโทร. มาบอกกันบ้าง ไม่ใช่ให้รอไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผอ. ได้ให้เบอร์โทร. ของดิฉันไว้รึเปล่าคะ”
“เปล่า” ถามคำตอบคำ ดูเย็นชาขึ้นไปอีก
“อ้อ งั้นนี่ค่ะ เบอร์โทร. ของดิฉัน”
นลินยื่นกระดาษแผ่นเล็กที่พิมพ์ชื่อและเบอร์โทร. แบบง่ายๆ ให้ชายหนุ่ม เธอแอบมองใบหน้าเรียวได้รูปที่ประดับด้วยขนคิ้วหนาเข้ม ขับดวงตายาวรีให้ยิ่งคมกริบ ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันครู่หนึ่ง ก่อนจะคลายออกเมื่อเขาขยับปากพูดอีกครั้ง
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มยื่นมือมารับ นลินจึงได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้สมบูรณ์แบบไปทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ นิ้วของเขาเรียวยาว เล็บตัดสั้นปลายมนสวยแบบว่าดูดียันลายเล็บเลยก็ว่าได้ เขาไม่พูดอะไรกับนลินอีก หญิงสาวสังเกตว่าชายหนุ่มไม่ได้มองชื่อและเบอร์โทรศัพท์ที่เธอส่งให้ด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ยัดมันไว้ในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกแล้วหันไปย่อตัวลงอุ้มหลานชายที่ตอนนี้ตัวแข็งทื่อราวกับอุ้มหุ่นปั้น
“สวัสดีครับคุณครูก่อนครับองศา” ถึงแม้จะดูเฉยเมยเย็นชาไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็สอนให้หลานไปลามาไหว้
เด็กน้อยกระพุ่มมือไหว้ตามคำสั่ง แต่แทนที่ไหว้เสร็จแล้วจบกัน องศากลับยื่นมือไปข้างหน้าแล้วโน้มตัวเข้าหานลิน จนผู้เป็นลุงถลาตามน้ำหนักตัวของหลานชายที่โถมไปทางคุณครูสาว
ฟอด!
ไม่รู้ว่าองศาติดอะไรเธอนักหนา ก่อนกลับบ้านยังต้องหอมกันอีกฟอด ช่างไม่รู้เสียเลยว่าทำแบบนี้เป็นการดึงให้คุณลุงของเขาเข้ามายืนห่างจากเธอแค่คืบ นลินรู้สึกว่าเขาตัวสูงมากจริงๆ เพราะส่วนสูงของครูสาวซึ่ง
ไม่ใช่ผู้หญิงตัวเตี้ยเท่าไรนักยังสูงแค่ระดับไหล่ของเขา แก้มของนลินแดงระเรื่อ ไม่ใช่เพราะเขินที่ถูกเด็กหอม แต่รู้สึกประหม่าเมื่อดวงตาแข็งกร้าวเปลี่ยนเป็นไหวระริกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปคมกล้าตามเดิม
“องศา! ทำแบบนี้กับคุณครูไม่ได้นะครับลูก” เสียงทุ้มนั้นนุ่มนวลเกินกว่าจะเป็นเสียงดุ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เด็กชายตัวแข็งทื่อขึ้นมาได้อีกครั้ง
“อย่าดุแกเลยค่ะ วันนี้ก็โดนหอมมาทั้งวัน เริ่มชินแล้วละค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาลูบแก้มข้างที่โดนขโมยหอมช้าๆ
ชายหนุ่มมองครูสาวอย่างพิจารณามากขึ้น มองจนคนถูกมองเริ่มทำหน้าไม่ถูก
“คุณครู ชื่อว่าอะไรครับ”
“ฉันเพิ่งให้ชื่อกับเบอร์โทร. คุณไปเมื่อกี้ ไม่ได้อ่านเหรอคะ” พูดแล้วก็ชี้ไปที่กระเป๋าตรงอกเสื้อของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มล้วงมือข้างที่ยังว่างหยิบกระดาษใบน้อยขึ้นมาอ่าน
“นลิน” อ่านชื่อครูสาว พร้อมกับจับจ้องเธอด้วยสีหน้าใช้ความคิด
“ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูองศาให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของครูประจำชั้นที่ต้องรอส่งนักเรียนกลับบ้านให้ครบทุกคนอยู่แล้ว แต่ทางที่ดี วันหลังคุณลุงของน้ององศาควรจะตรงเวลาหน่อยนะคะ หรือไม่ก็โทร. มาบอกกันก่อน”
“ครับ คุณครู” ชายหนุ่มตอบรับเสียงเรียบ แต่ริมฝีปากเขากระตุกยิ้มเล็กน้อย พาให้ใบหน้าหล่อเข้มของเขากระจ่างตาขึ้นมาทันทีทันใด
จากที่ได้พูดคุยกันไม่กี่คำ ครูสาวไม่ได้รู้สึกว่าคุณลุงของลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอจะ ‘ดุ๊ดุ’ อย่างที่องศาบอก ออกจะใจดีและเอ็นดูหลานชายมากเสียด้วยซ้ำ แต่คงเป็นเพราะสีหน้าที่ค่อนข้างเคร่งขรึมของเขากระมังที่ทำให้เด็กน้อยกลัวจนไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้ แล้วไหนจะท่าทางอุ้มเด็กแบบเก้ๆ กังๆ นั่นอีกที่ครูสอนเด็กอนุบาลอย่างเธอพอจะดูออกว่าผู้ชายคนนี้คงจะไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน
ทั้งสามเดินออกจากสนามเด็กเล่นพร้อมกัน เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของคุณลุงยังมองมาที่ครูประจำชั้นของเขาตาละห้อย ทำให้ชายหนุ่มหันกลับมามองครูสาวเป็นระยะๆ นลินยืนรอให้คุณลุงของลูกศิษย์วางองศาไว้บนคาร์ซีต จากนั้นเขาก็ลดกระจกลง บอกหลานชายให้โบกมือบ๊ายบายคุณครู ก่อนจะเคลื่อนรถจากไป
สองลุงหลานขับรถออกนอกรั้วโรงเรียนไปแล้ว นลินจึงเดินไปที่ป้ายรถเมล์หน้าโรงเรียนเพื่อเดินทางกลับบ้านพักของตัวเองบ้าง การรอรถโดยสารประจำทางในตอนค่ำออกจะวังเวงไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับตอนโรงเรียนเลิกใหม่ๆ แม้จะเป็นที่ประจำที่นลินจะต้องมานั่งรอรถเมล์อยู่ทุกวัน แต่ก็อดหวาดระแวงไม่ได้ เนื่องจากรอบกายของเธอขณะนี้เริ่มมืดสลัว
หญิงสาวมองนาฬิกาที่ข้อมือแล้วถอนใจออกมาด้วยความเบาใจเพราะยังทันรถเที่ยวสุดท้าย ไม่อย่างนั้นก็คงต้องขึ้นแท็กซี่ซึ่งค่าโดยสารแพงกว่าค่ารถประจำทางมาก นลินเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีญาติคนไหนให้พึ่งพา เพราะแม้แต่พ่อกับแม่ของเธอ นลินก็ยังไม่รู้เลยว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน ครูสาวเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาพร้อมกับชีวิตที่ต้องดิ้นรนจนแทบจะทุกลมหายใจ ตั้งแต่จำความได้ บ้านหลังแรกของนลินคือสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนบ้านหลังที่สองก็คือบ้านเช่าหลังน้อยที่เธอกำลังจะขึ้นรถเมล์กลับไป
แสงไฟจากรถส่องเจิดจ้าอยู่ไม่ไกลจากเก้าอี้รอรถโดยสารมากนัก ทว่านั่นไม่ใช่แสงไฟจากรถประจำทางที่หญิงสาวรอ แต่เป็นรถสปอร์ตสุดหรูคันสีดำสนิทที่เพิ่งแล่นออกจากโรงเรียนไป
“ครูลินคร้าบ...ครูลิน”
กระจกรถข้างหนึ่งถูกลดลง เสียงเด็กน้อยดังออกมาจากรถคันนั้น ทว่าต้นเสียงไม่ได้ลงจากรถเพราะถูกจับให้นั่งล็อกตัวอยู่บนคาร์ซีต จะมีก็แต่ประตูด้านคนขับที่ถูกเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงซึ่งเป็นคุณลุงของลูกศิษย์ที่ลงจากรถแล้วเดินมาหาเธอ
“ขึ้นรถสิครับ บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”
“คะ?” นลินหันซ้ายหันขวาเพื่อให้แน่ใจว่าคุณลุงของลูกศิษย์คุยกับเธอ เมื่อแน่ใจว่าใช่เพราะบริเวณนั้นมีเธอนั่งอยู่แค่คนเดียวจึงหันไปพูดกับชายหนุ่ม
“เอ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวรถเมล์ก็มาแล้ว เกรงใจค่ะ”
“เกรงใจไม่ได้ครับ นี่ก็มืดค่ำแล้ว เป็นผู้หญิง เดินทางคนเดียวแบบนี้ได้ยังไง” ภาวินพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม เขาเคยชินแต่กับการได้รับการตอบสนองต่อคำสั่ง ไม่เคยชินกับการถูกปฏิเสธแบบนี้
“เดินทางคนเดียวที่ไหนกันล่ะคะ เดี๋ยวขึ้นรถเมล์เพื่อนก็เพียบแล้ว เผลอๆ เพื่อนเยอะจนไม่มีที่นั่ง ต้องยืนไปตลอดทางด้วย”
“คุณครูนลินครับ!” น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นอีกระดับ ดวงตาคมมองเธอพร้อมกับที่เขานิ่วหน้า ยกมือหนาขึ้นเสยผมอย่างคนที่เริ่มจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเข้าให้แล้ว
ความเงียบเข้าครอบงำทั่วทั้งพื้นที่ นลินได้แต่ภาวนาให้รถเมล์วิ่งมาเสียที เธอจะได้วิ่งหนีขึ้นรถให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ลุงภามคร้าบบบ...องศาปวดฉี่” เสียงเล็กๆ ดังมาจากด้านในรถอีกครั้ง
ผู้เป็นลุงหันไปมองหลานชายที่นั่งกุมเป้ากางเกงอยู่บนคาร์ซีต แล้วหันมามองคุณครูสาวด้วยสายตากดดัน
“บ้านคุณครูอยู่ไกลไหมครับ สงสัยต้องรบกวนคุณแล้วละ องศาไม่ชอบเข้าห้องน้ำปั๊ม แกจะอั้นฉี่จนกว่าจะถึงบ้าน”
ครูสาวมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอนึกอยากจะปฏิเสธ แต่พอหันไปเห็นลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังกุมเป้ากางเกงอยู่ พร้อมกับทำปากเดี๋ยวเม้มเดี๋ยวจู๋อย่างอัดอั้นแล้วก็สงสาร
“ไม่ไกลค่ะ ถัดจากนี้ไปสี่ป้ายรถเมล์ก็ถึงแล้ว” ตอบแล้วก็เดินไปที่รถของชายหนุ่ม
ภาวินเป็นคนเปิดประตูให้เธอนั่งและปิดประตูให้ ภายในรถสปอร์ตสี่ที่นั่งของเขาหรูหรามีระดับสมราคาที่เป็นรถสุดหรู ตกแต่งด้วยวัสดุอย่างดีและดีไซน์ที่ล้ำสมัย ทว่าทุกอย่างดูแปลกออกไปเมื่อมีคาร์ซีตของเด็กติดตั้งอยู่ และใกล้กับคาร์ซีตมีนมกล่องแบบยกแพ็กวางอยู่ ทำให้รถที่ออกแบบมาให้ดูโฉบเฉี่ยวน่าเกรงขามบนท้องถนน กลายเป็นรถของพ่อลูกอ่อนไปโดยปริยาย
ความคิดเห็น |
---|