10

บทที่ 10



10

 

นลินหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อถึงเวลาต้องจดปากกาลงนามในทะเบียนสมรสต่อหน้าเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเขตที่ภาวินพามา ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเสียจนหญิงสาวคิดว่า นี่เธอคิดดีแล้วหรือที่ยอมร่วมมือกับเขา นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของเธอเชียวนะ แต่ยอดเงินที่ภาวินเสนอ มันเป็นจำนวนที่ไม่รู้ว่าทั้งชีวิตนี้เธอจะหามันได้หรือไม่ ถ้าไม่รีบคว้าเอาไว้ ก็คงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว

“เรียบร้อยครับ ต่อไปนี้พวกคุณทั้งสองถือเป็นคนคนเดียวกันแล้ว ยินดีกับคุณทั้งสองด้วยนะครับ”

เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้มฝืนๆ อาจเป็นเพราะไม่เคยเจอสามีภรรยาคู่ไหนมาจดทะเบียนสมรสด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกันทั้งคู่แบบนี้

ตั้งแต่มาถึงสำนักงานเขต ภาวินก็พูดน้อยจนแทบนับคำได้ เขาเป็นฝ่ายเซ็นชื่อในทะเบียนสมรสก่อน จดปากกาเซ็นแบบไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น คงคิดว่าไม่ต่างจากเอกสารในบริษัทของเขากระมัง ส่วนนลิน ก่อนเซ็นชื่อก็ถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก จนกระทั่งได้ทะเบียนสมรสมาถือไว้ในมือ เธออ่านชื่อของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ครูสาวจะยังคงเลือกใช้คำว่านางสาวนำหน้า และเลือกที่จะไม่เปลี่ยนนามสกุล แต่ชื่อของเธอก็ปรากฏอยู่ในทะเบียนสมรสอยู่ดี

“คุณพร้อมจะย้ายไปอยู่บ้านผมเมื่อไหร่”

“ฉันต้องย้ายไปบ้านคุณอย่างนั้นเหรอคะ!”

หญิงสาวถามพร้อมกับหันไปมองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสัย เพราะตอนที่เธอตอบตกลงจดทะเบียนสมรสด้วย ภาวินไม่ได้บอกว่าเธอต้องย้ายไปอยู่กับเขา

“เราจดทะเบียนกันแล้ว คุณก็ต้องย้ายไปอยู่กับผมสิ ขืนแยกบ้านกันอยู่ ไอ้องอาจมันก็รู้หมดว่าผมจดทะเบียนกับคุณเพราะอะไร”

“แต่ก่อนจดทะเบียน คุณไม่ได้บอกเงื่อนไขนี้นี่คะ”

“ถ้าคุณไม่ย้ายไปอยู่บ้านผม ผมก็จะย้ายไปอยู่กับคุณ ลองคิดดูก็แล้วกันว่าอย่างไหนสะดวกกว่า ไปอยู่บ้านผม เราแยกห้องกันนอนได้ แต่ถ้าอยู่บ้านคุณ...”

“โอเคค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”

นลินยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนักๆ อย่างนึกโมโหตัวเองที่ดันไปตกลงรับปากภาวิน โดยที่ไม่ได้ถามถึงเงื่อนไขหรือรายละเอียดให้ดีเสียก่อน

“ฉันพร้อมย้ายเข้าไปอยู่บ้านคุณ วันอาทิตย์นี้ค่ะ”

“ทำไมต้องวันอาทิตย์ ของของคุณมีอยู่เท่าไหร่กันเชียว เอาทิ้งไว้ที่บ้านเดิมทั้งหมดแล้วไปซื้อเอาใหม่ซะ”

“คุณภาวิน!”

“ภาม เรียกผมว่าภาม อย่าเรียกชื่อจริงผม ฟังแล้วดูห่างเหิน” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง

“ยังไงฉันก็ยืนยันว่าจะย้ายไปบ้านคุณวันอาทิตย์ ถ้าคุณไม่โอเคก็ยกเลิกทุกอย่างซะ แล้วไปหย่ากันตอนนี้เลยดีไหม” หญิงสาวพูดออกไปด้วยความโมโห จนลืมไปว่าเพิ่งจดทะเบียนสมรสกับภาวินได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ

“โอเค...วันอาทิตย์ก็วันอาทิตย์ แปลว่าผมต้องไปค้างบ้านคุณอีกสองคืนรวมคืนนี้”

“ถ้าคุณไม่สะดวกมาค้าง ก็ให้ฉันอยู่กับองศากันสองคนก็ได้นี่คะ” นลินพูดน้ำเสียงอ่อนลงเมื่อภาวินยอมทำตามที่เธอต้องการเช่นกัน

“ทำแบบนั้น องศาก็ยิ่งมองผมเป็นคนอื่นน่ะสิ ยังไงผมก็จะไปค้าง”

ภาวินยืนยันด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับยกข้อมือดูนาฬิกาอยู่เป็นระยะๆ ทำให้นลินพอจะเข้าใจว่า เขาคงมีธุระสำคัญที่ต้องไปทำและไม่มีเวลามากพอที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับเธอ

“ก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณเลย ก็ที่นั่นมันบ้านคุณนี่คะ”

“ขอบคุณที่เข้าใจ อ้อ...เย็นนี้ผมมีประชุม น่าจะเลิกค่ำ คุณพาองศานั่งแท็กซี่กลับบ้านได้เลย และไม่ต้องรอทานข้าวเย็น ทำงานเสร็จแล้วเดี๋ยวจะเข้าบ้านเอง ผมมีกุญแจแล้ว” บอกตารางเวลาของตัวเองเสร็จก็เดินนำหญิงสาวไปที่รถ

นลินเดินไปขึ้นรถของชายหนุ่มโดยไม่อิดออด เพราะเธอเองก็ลางานมาแค่ครึ่งวันเหมือนกัน

 

นลินกลับมาที่โรงเรียนในเวลานอนกลางวันของเด็กๆ พอดี คุณครูที่มาดูแลนักเรียนแทนหญิงสาวเล่าว่าองศาไม่ยอมนั่งเรียนรวมกับเพื่อนๆ เอาแต่ชะเง้อคอรอ พร้อมกับถามซ้ำๆ ว่าครูลินของเขาไปไหน เด็กน้อยยังไม่ยอมนอนกลางวัน แถมยังไปนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ตรงมุมห้อง

นลินเห็นอย่างนั้นก็เดินเข้าไปหา เมื่อเห็นว่าคุณครูของเขากลับมาแล้ว เด็กชายที่นั่งซึมอยู่ก็ลุกขึ้น โถมตัวไปหานลินที่อ้าแขนรอ สวมกอดเด็กน้อยที่ร้องไห้โฮ และพูดเสียงสั่นราวกับเสียขวัญ

“ครูลินไปไหนมา ครูลินอย่าหายไปเหมือนแม่สิครับ” เด็กน้อยกอดครูของเขาแน่น ซบหน้ากับอกเธอและร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร

“ครูไปทำธุระมาค่ะ ไม่ได้ทิ้งองศาไปไหนเสียหน่อย” ครูสาวปลอบลูกศิษย์ตัวน้อย

“ไม่จริง!” เด็กน้อยผละหน้าออกห่างจากอกคุณครู และส่ายหัวดิกพร้อมกับทำหน้ามุ่ย ย่นคิ้วด้วยอารมณ์น้อยใจ “ครูลินจะทิ้งองศาให้อยู่กับลุงภามเหมือนอย่างที่แม่ทำใช่ไหม”

“เปล่านะคะ” นลินรีบแก้ตัว ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องราวทั้งหมดมันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เธอรับจ้างจดทะเบียนสมรส เพื่อที่จะทำให้องศาได้อยู่กับภาวิน และเมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว เด็กน้อยก็จะต้องอยู่กับลุงของเขาโดยที่ไม่มีเธออีกแล้วก็ได้

“ครูลินอย่าทิ้งองศาไปนะครับ องศาไม่อยากอยู่กับลุงภาม องศาอยากอยู่กับครูลินคนเดียว” เด็กน้อยอ้อนวอนเสียงสั่น

นลินเข้าใจความรู้สึกขององศาเป็นอย่างดี ว่าความรู้สึกของการถูกทิ้งมันเหงาและทรมานแค่ไหน

“หยุดร้องได้แล้วค่ะคนเก่ง ต่อไปนี้ครูลินจะไปอยู่กับองศา เราจะได้อยู่ด้วยกันทุกวัน แต่ว่าตอนนี้ไปนอนกลางวันได้แล้ว ถ้าองศาเป็นเด็กดีเชื่อฟังครู คืนนี้ครูลินจะเล่านิทานเรื่องใหม่ให้ฟังก่อนนอนด้วย ตกลงไหมคะ”

“เย้ๆ” องศาดีใจลุกขึ้นกระโดดโลดเต้น จากนั้นก็รีบไปล้มตัวลงนอนบนเบาะนอนประจำตัว ปิดเปลือกตาลง และนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว

 

นลินรู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้รับข้อความจากภาวินตอนหัวค่ำว่ามีเรื่องด่วนมากที่ต้องไปจัดการ หลังจากนั้นเขาก็เงียบหายไปเลย เงียบหายไปกระทั่งดึกดื่นจนนลินอดเป็นห่วงไม่ได้

“คุณภาม...คุณ...โอเคใช่ไหมคะ”

หญิงสาวทำเสียงกระซิบผ่านโทรศัพท์มือถือเมื่อได้ยินเสียงคนโหวกเหวกโวยวาย และเสียงคล้ายวิทยุสื่อสาร บวกกับสัญญาณเสียงจากรถตำรวจผ่านเข้ามาในโทรศัพท์

“ผมโอเค ไม่ต้องเป็นห่วง” ชายหนุ่มตอบ และยิ้มเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจจากปลายสาย

“แล้วนี่ คุณอยู่ที่ไหนคะ ทำไมฉันได้ยินเหมือนเสียงรถตำรวจ”

“ก็อยู่บนรถตำรวจไง”

“อะไรนะคะ!” นลินทำเสียงตกใจพร้อมกับอึ้งไปครู่หนึ่ง “ไหนว่าคุณโอเคไง แล้วทำไมอยู่บนรถตำรวจ”

คราวนี้เธอได้ยินเสียงหัวเราะพลิ้วผ่านทางโทรศัพท์ อยากจะเห็นหน้าเขาตอนนี้จริงๆ เชียว ทีตอนอยู่ด้วยกันแม้แต่ยิ้มยังยาก แต่ดันหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตอนที่บอกว่าอยู่บนรถตำรวจเสียได้

“ลูกน้องผมถูกคนร้ายจับตัวไปน่ะ เลยต้องตามตำรวจมาช่วย แต่ตอนนี้ทุกอย่างโอเคแล้ว กำลังแยกย้ายกันกลับ”

ภาวินเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ถึงรสา ลูกน้องของตนที่ดันไปพัวพันกับกลโกงของบริษัทลูกค้าจนถูกปองร้าย

“แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนอีก ดึกแล้วนะ”

“ก็...เป็นห่วงคุณน่ะค่ะ เห็นว่าดึกแล้วยังไม่กลับ”

“อืม...กำลังจะกลับแล้ว”

เสียงทุ้มฟังดูไพเราะกว่าทุกวัน นลินคงไม่รู้ว่าภาวินกำลังยิ้มด้วยดวงตาเป็นประกายหยอกล้อแสงไฟสีแดงวูบวาบของรถตำรวจกองปราบปรามอยู่

“ถ้ากลับไปบ้านคุณสะดวกกว่าก็กลับไปนอนบ้านคุณเถอะค่ะ” นลินรีบบอก

“ไม่อะ คิดถึง...” ภาวินทอดเสียงจนคนฟังหัวใจกระตุก ก่อนจะลงท้ายด้วยคำว่า “คิดถึงองศา หลานผมเป็นไงบ้าง”

“อ๋อ...ค่ะ...กลับจากโรงเรียนก็เล่นกับลูกหมาจนเหนื่อย เลยหลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้วค่ะ” เมื่อรวบรวมความรู้สึกของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้ ก็ตอบเรื่องหลานชายของคนที่พูดว่าคิดถึงหลานให้เขาฟัง

“ถ้าอย่างนั้นก็วางสายเท่านี้ก่อนเถอะ เดี๋ยวองศาตื่น”

“ค่ะ ถ้าคุณมาถึงหน้าบ้านแล้วก็โทร. หาฉันนะคะ จะรอเปิดประตูให้”

ภาวินทำเสียงรับรู้ ก่อนที่จะกดวางสาย ริมฝีปากหยักได้รูปยังคงคลี่ยิ้มด้วยความรู้สึกอุ่นวาบในอกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แค่นึกถึงคนที่โทร. หาด้วยความเป็นห่วง รอที่จะเปิดประตูบ้านให้แม้จะรู้ว่าเขามีกุญแจบ้าน แค่นี้เขาก็หายเหนื่อยหายเพลียเป็นปลิดทิ้งแล้ว

 

ภาวินมาถึงบ้านของนลินในสภาพมอมแมมกว่าทุกวัน หญิงสาวหน้าซีดเล็กน้อยเมื่อเห็นคราบเลือดบนอกและแขนเสื้อเชิ้ตที่เขาสวม แต่เมื่อชายหนุ่มอธิบายว่าเป็นคราบเลือดที่เกิดจากการอุ้มลูกน้องขึ้นรถพยาบาล นลินก็โล่งใจ

“ลูกน้องคุณคนนี้คงสำคัญมากสินะคะ คุณถึงได้ตามไปช่วยแบบไม่ห่วงชีวิตแบบนี้” หญิงสาวถาม ในขณะที่ยังสำรวจร่างกายของชายหนุ่มว่าไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนจริงหรือไม่

“ลูกน้องผมก็สำคัญกับผมทุกคนนั่นแหละ แต่คนนี้ผมเอ็นดูเหมือนน้องสาว เพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับภัทร”

“อ้าว เป็นผู้หญิงเหรอคะ แล้วเป็นอะไรมากไหม เธอบาดเจ็บมากไหมคะ” หญิงสาวถาม เพราะไม่คิดว่าเหตุการณ์ร้ายๆ จะเกิดขึ้นกับผู้หญิง

“เท่าที่ดูก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนะ และตอนนี้ก็อยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว แฟนเขาก็ดูแลอย่างใกล้ชิด คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พรุ่งนี้เช้าหมอคงให้เยี่ยมได้ คุณไปกับผมสิ พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ”

“คะ?” คนถูกชวนทำหน้างง

“พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปซื้อของใช้เพื่อเตรียมตัวย้ายไปอยู่กับผม และจะแวะเยี่ยมลูกน้องของผมที่โรงพยาบาลก่อน เสร็จแล้วจะพาองศาไปเที่ยวสวนสัตว์ด้วย” ชายหนุ่มอธิบาย

“ค่ะ ฉันไปเยี่ยมลูกน้องคุณกับตามไปดูแลองศาตอนไปเที่ยวสวนสัตว์ได้ แต่เรื่องซื้อของ ฉันคิดว่าไม่ต้องซื้ออะไรหรอกค่ะ เอาจากที่นี่ก็ได้”

นลินพูดด้วยน้ำเสียงเกรงใจ เธอรู้ดีว่าหากไปซื้อของกับภาวิน เขาก็คงจะไม่ยอมให้เธอควักเงินตัวเองซื้ออีกตามเคย

“คุณไม่ได้ไปอยู่แค่วันสองวันนะลิน อีกอย่างบ้านผมมีผมอยู่คนเดียว ดังนั้น อะไรที่เป็นของใช้ของผู้หญิง คุณต้องเป็นคนไปเลือกเอง”

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำอย่างขี้เกียจเถียง

“ไปนอนได้แล้ว ผมอาบน้ำเสร็จก็จะตามเข้าไปนอนเหมือนกัน” ชายหนุ่มพูดเสียงนุ่ม แม้สีหน้าจะบ่งบอกว่าอิดโรย ทว่าดวงตายังมีประกายสดใสอยู่

“ฉันจะซักเสื้อให้คุณก่อนน่ะค่ะ” นลินพูดพร้อมกับมองคราบเลือดที่เลอะบริเวณหน้าอก สายตาเจ้ากรรมดันมองทะลุเข้าไปภายในเสื้อที่กระดุมหลุดออกเผยให้เห็นแผงอกแน่น เป็นแผงอกที่ไร้ขนก็จริง แต่เห็นจุดขี้แมลงวันชัดเจนเพราะความเนียนขาวของผิว

ในขณะที่นลินกำลังมองอยู่อย่างเคลิบเคลิ้มนั้นเอง ภาวินก็จับเสื้อของตัวเองขึ้นมาเพื่อมองสำรวจคราบเลือดบ้าง การดึงรั้งให้เสื้อสูงขึ้นนั้นทำให้ชายเสื้อของเขาลอยสูงขึ้นจากขอบกางเกง สายตาของนลินจึงเปลี่ยนตำแหน่งมองต่ำลงมายังเอวสอบที่มีขอบกางเกงเกาะอยู่หลวมๆ เขาไม่มีไขมันส่วนเกินที่หน้าท้องเลย ลอนกล้ามเนื้อทั้งหกมีให้เห็นพองาม ที่สำคัญคือสะดือของเขาสวยและเซ็กซี่มาก

“ลิน!”

“คะ!” หญิงสาวขานรับเสียงตะกุกตะกัก แก้มของเธอร้อนผ่าวเมื่อเห็นภาวินอมยิ้ม เขาคงรู้ตัวว่าถูกเธอแอบมองแผงอกและหน้าท้องของเขา แต่ก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่พูดอะไรให้นลินอายไปมากกว่านี้

“คุณไม่ต้องซักหรอก เดี๋ยวผมเอากลับไปให้แม่บ้านของผมซักให้ก็ได้”

ชายหนุ่มเห็นว่าไม่ได้เปื้อนมากนัก แม้เสื้อตัวนี้จะเป็นเสื้อสีขาว แต่ก็เป็นเนื้อผ้าชนิดพิเศษ ที่ซักคราบสกปรกออกง่าย หรือถ้าซักไม่ออกก็แค่ทิ้งไป เพราะเขามีเสื้อเชิ้ตสีขาวแบบนี้อีกตั้งหลายตัวในตู้เสื้อผ้า

“เสื้อเปื้อนคราบเลือด ทิ้งไว้ข้ามคืนจะยิ่งซักออกยากนะคะ คุณอาบน้ำเสร็จก็เข้านอนก่อนได้เลย ฉันซักเสื้อแป๊บเดียวก็เสร็จ แล้วจะตามไป”

ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างต้านทานความอ่อนล้าเอาไว้ไม่อยู่ เขาไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ยื่นเสื้อเปื้อนคราบเลือดให้นลินซัก แล้วเข้าห้องไปนอนบนเตียงฝั่งที่เป็นของเขา โดยมีองศานอนดูดนิ้วอยู่ตรงกึ่งกลางของเตียงนอนนั้น

นลินใช้เวลาไม่นานก็ซักเสื้อจนสะอาดหมดจด เธอกลับเข้ามาในห้องนอนก็เห็นว่าภาวินนอนหลับไปแล้ว เสียงลมหายใจเข้าออกลึกสม่ำเสมอทำให้หญิงสาวมั่นใจว่าชายหนุ่มหลับสนิท เธอนอนลงบนเตียงอีกฝั่งที่ยังว่างอยู่ ตะแคงตัวเท้าแขนรองรับศีรษะมองชายหนุ่มที่นอนตะแคงหันหน้ามาทางเธอพอดี

หญิงสาวไม่เคยกล้ามองเขานานๆ แบบนี้มาก่อน ไม่กล้าที่จะไล่สายตาไปบนหน้าผากโหนกได้รูป คิ้วหนาดกดำ แพขนตาหนางอนงามราวกับขนตาของผู้หญิง จมูกโด่งเป็นสัน และปลายจมูกเชิดขึ้นจนทำให้ริมฝีปากของเขาเป็นรอยหยักชัด

“ไม่ไหวแล้ว” หญิงสาวพึมพำ ก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้ หัวใจเธอเต้นระรัว รู้สึกถึงเลือดที่สูบฉีดแรงจนร้อนผะผ่าวไปทั้งร่าง นี่เธอต้องย้ายไปอยู่ร่วมบ้านกับเขาจริงๆ หรือ เธอจะทำใจไม่คิดอะไรเลยเถิดกับเขาได้หรือไม่

ในขณะที่ความคิดของนลินกำลังฟุ้งซ่านไปไกล หญิงสาวก็รู้สึกถึงสัมผัสบางอย่างโอบกอดเอวคอดของเธอ

“งึมๆๆๆ” เสียงงึมงำไม่เป็นศัพท์ดังพร้อมกับการกอดก่าย เป็นองศาที่เบียดตัวเข้ามาหาเธอ พอหาที่กอดและก่ายขาได้ก็นอนนิ่ง หยุดทำเสียงที่ฟังไม่รู้เรื่องไปในที่สุด

เวลานี้นลินหาทางออกให้ตัวเองได้แล้ว ต่อไปนี้เธอจะให้ความสำคัญแก่องศา เพื่อลดความสนใจในตัวภาวินให้น้อยลง คุณลุงของลูกศิษย์เธอก็ไม่ต่างกัน เพราะทุกลมหายใจเข้าออกของเขาก็มีแต่หลาน ดังนั้น หากวันใดที่องศาอยู่กับภาวินได้โดยที่ไม่มีเธอ วันนั้นก็คงเป็นวันที่หญิงสาวเดินออกมาโดยไม่มีความสำคัญใดๆ กับภาวินแม้แต่นิดเดียว

 

เมื่อมาถึงที่โรงพยาบาล นลินก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วลูกน้องที่ภาวินพูดถึง คือรสาเพื่อนสนิทของเธอเอง ชายหนุ่มชักสีหน้าหงุดหงิด ก่อนจะหันมาถามนลินด้วยน้ำเสียงเข้ม

“คุณรู้จักกับแอมด้วยเหรอ แล้วทำไมไม่เคยบอกผม”

“แอมก็เพิ่งรู้ว่าลินรู้จักกับบอสเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ” รสาช่วยแก้ตัวให้นลินที่ยืนงงอยู่ พร้อมด้วยองศาที่ตอนนี้เกาะติดนลินแจก็แหงนมองหน้าผู้ใหญ่ทีละคนตาปริบๆ

ภาวินพยักหน้ารับรู้ ก่อนตวัดสายตาที่สวยราวดวงตาของผู้หญิงไปทางนลินพร้อมๆ กับทำปากยื่น กิริยานี้เกิดขึ้นเพียงวูบเดียวเท่านั้น แต่รสาเห็น เธอเป็นพนักงานที่ทำงานกับภาวินมานาน เรียกได้ว่าแค่เขาขยับคิ้วก็รู้แล้วว่าเจ้านายของเธออยู่ในอารมณ์ไหน แล้วนี่...อาการมองค้อนพร้อมกับทำยื่นปาก นี่คือคนกำลังงอนชัดๆ

‘งอน! บอสเนี่ยนะงอน’ รสาคิดในใจ แต่ดันเผลอยิ้มออกมา

ภาวินมองสีหน้ารู้ทันของลูกน้องสาวแล้วก็ได้แต่กระแอมกระไอเพื่อเตือนรสาให้หยุดยิ้มเสียที

“คุณช่วยพาองศาไปเดินเล่นข้างนอกก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องจะคุยกับแอม”

“ค่ะ” นลินทำเสียงรับทราบ ก่อนจะจูงมือเด็กน้อยออกจากห้องพักคนไข้ตามคำสั่งของชายหนุ่ม

 

ภาวินพูดคุยกับนทีและรสาได้ไม่นาน นลินก็พาองศากลับมายังห้องคนไข้พร้อมกับข้าวของเต็มสองมือ ซึ่งประกอบไปด้วยอาหารเม็ดและเสื้อผ้าลูกสุนัขตัวจิ๋วที่ตัดเย็บเป็นลายซูเปอร์ฮีโรที่องศาชอบ

“ไปไหนกันมา แล้วนั่นซื้ออะไรกันมาเยอะแยะ” ภาวินถามด้วยน้ำเสียงปกติ ทว่าองศาเอาแต่หลบอยู่ด้านหลังคุณครูสาว

“ข้างๆ โรงพยาบาลมีตลาดนัดน่ะค่ะ มีของขายเต็มเลย ใช่ไหมคะองศา”

นลินพยายามดึงเด็กน้อยให้มีส่วนร่วมในการสนทนากับคุณลุงของเขา แต่องศากลับทำแค่พยักหน้าพลางเอาหน้าซุกกับขาของเธอ

“องศาครับ ไปซื้ออะไรมา ไหนเอาให้ลุงดูซิ” คราวนี้ภาวินเดินเข้าไปหา ย่อตัวลงพร้อมกับยื่นมือไปขอสิ่งที่องศากอดเอาไว้แนบอกแน่น

“ให้ลุงภามดูสิคะองศา แล้วก็บอกไปเลยว่าองศาอยากจะขออะไร จำได้ไหมคะ ที่ครูลินบอกว่าลุงภามใจดี องศาอยากจะขออะไรก็ได้” นลินบอกลูกศิษย์

ภาวินรอคำตอบด้วยใจจดจ่อ แต่องศาไม่พูดอะไร ทำเพียงยอมยื่นชุดลูกสุนัขลายซูเปอร์ฮีโรที่กอดไว้แน่นให้คุณลุงของเขาโดยไม่กล้าเอ่ยปากอะไรเลย

“แกอยากเอาลิปดาไปเลี้ยงที่บ้านน่ะค่ะ” นลินตอบภาวินแทนเด็กน้อยที่เอาแต่เงียบ ก่อนจะหันไปพูดกับรสาต่อ “ลูกหมาที่แอมเอามาฝากเลี้ยงนั่นน่ะ องศาชอบ ยกให้องศาได้ไหม”

“เอ่อ...คือว่า ฉันยกให้ได้ แต่ว่าบอส...”

“ผมไม่ชอบสัตว์เลี้ยง”

ในขณะที่รสายังอ้ำอึ้ง ภาวินก็โพล่งออกมาเสียก่อน นัยน์ตาขององศาไหววูบ ปากน้อยๆ เม้มแน่น แม้ไม่มีเสียงสะอื้น แต่น้ำใสๆ ก็ไหลออกมาจากดวงตาอ้างว้างคู่นั้น ภาวินมองชุดซูเปอร์ฮีโรตัวจิ๋วในมือสลับกับหลานชายแล้วถึงกับสะท้อนใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน

“องศาชอบซูเปอร์ฮีโรเหรอครับ”

“ครับ” เด็กน้อยตอบเสียงอ่อยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“อยากพาลิปดาไปเลี้ยงที่บ้านเราใช่ไหม” ภาวินถามต่อ

“ครับ” เด็กน้อยยังคงตอบแบบก้มหน้าก้มตา

“เอาสิ จะเลี้ยงหมากี่ตัวก็ได้ ตลาดนัดอยู่ไกลไหมลิน ช่วยพาผมไปหน่อยสิ เผื่อจะมีชุดซูเปอร์ฮีโรสำหรับเด็กที่เข้าชุดกับชุดนี้ แล้วพวกโล่ ชุดเกราะ แล้วก็หน้ากากซูเปอร์ฮีโรมีขายไหม ผมจะซื้อให้องศา”

เด็กชายตัวน้อยได้ยินอย่างนั้นก็ทำตาโต ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาแบบลวกๆ แล้วยิ้มออกมาได้ทั้งที่น้ำตายังไม่แห้งด้วยซ้ำ

“ไม่ไกลค่ะ จริงๆ องศาอยากได้ชุดให้หมาหลายชุด แต่ฉันมีเงินติดไปไม่มาก เลยได้มาแค่ชุดเดียว”

“อืม เอาสิ เราไปเลือกซื้อกัน ทั้งของคนของหมาเลยดีไหม” พูดแล้วก็ยื่นมือไปหาหลานชาย องศาจึงยื่นมือมาให้ผู้เป็นลุงจับมือของเขาได้แบบกล้าๆ กลัวๆ

“ฉันไปก่อนนะนัท หายไวๆ นะแอม” บอกลาเพื่อนและลูกน้องสั้นๆ จบ ภาวินก็เดินเคียงข้างไปกับนลิน โดยมีองศาอยู่ตรงกลาง ถูกจูงแขนคนละข้างโดยคุณลุงและครูของเขา

“คุณเห็นอย่างที่ผมเห็นใช่ไหมแอม” นทีถามหญิงคนรัก ที่ตอนนี้ดวงตาของเธอมีแววปลาบปลื้มอย่างเห็นได้ชัด

“เห็นค่ะ และฉันก็เชื่อว่าบอสจะผ่านเรื่องยุ่งๆ ครั้งนี้ไปได้ด้วยดี...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น