๑๐
พบคนหน้าแดงถึงสองคน
“ตำไมจุนพ่อกับจุนแม่หน้าแตงๆ”
เจ้าตัวเล็กนั่งอยู่ตรงกลางคั่นระหว่างมารดาที่พิงหัวเตียงซึ่งยกให้สูงขึ้น กับบิดาที่ยืนบิดผ้าขนหนูผืนน้อยอยู่ข้างเตียง ถ้าเป็นคนอื่นคงจะมองไม่เห็นความผิดปกติของบิดาที่มีผิวคล้ำ แต่เจ้าตัวเล็กอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่ายมาเกือบสี่ปี เธอดูออก ใบหน้านั้นกำลังแดงก่ำเลย
“จุนแม่ไม่ฉะบาย จุนพ่อไม่ฉะบายต้วยยื้อป่าว จุนหมอบอกแย้วนะไม่ฉะบายต้องไม่จินน้ำแจ้วเตียวจัน น้องหนูไม่อยู่ จุนพ่อแอบจินน้ำแจ้วเตียวจับจุนแม่ยื้อป่าว บอกซะตีๆ” นิ้วชี้เล็กๆ หันไปคาดโทษบิดาตากลมแป๋ว
“ท่านประธานครับ คุณพ่อรู้หรอกนะว่าไม่สบายห้ามกินน้ำแก้วเดียวกัน พ่อก็ไม่ได้กินด้วย แค่...”
เผลอกินแม่ไปหน่อยเดียวเท่านั้น ชานนท์จับนิ้วชี้นั้นมาจุ๊บเบาๆ มองเลยลูกสาวไปยังคนข้างๆ ที่หน้าแดงไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ก็ไม่ใช่เพิ่งเคยใกล้ชิดกันหนแรก ถึงจะปล่อยไก่ นกกระจอกไม่ทันกินน้ำจะครั้งแรกก็เถอะ เหตุผลก็เพราะห่างกันนานเกินไป อะไรๆ ที่เคยอึดเคยทนก็ย่อมประสิทธิภาพด้อยลงเป็นธรรมดา ลองให้เขาฝึกฝีมือบ่อยๆ เข้า มีแต่จะร้องครวญให้เสร็จเร็วขึ้นเพราะทานทนไม่ไหว
“คุณแม่น่ะสิ...”
“คุณแม่ก็ไม่ได้กินน้ำแก้วเดียวกับคุณพ่อนะคะ ไม่ได้กินอะไรเลยด้วย”
ร้อนตัวแล้วหนึ่ง...ชานนท์อมยิ้ม
“คุณพ่อก็ไม่ได้จะว่าคุณแม่กิน...อะไรๆ พ่อสักหน่อย เราก็แค่รู้สึกว่าอากาศร้อนไปนิด จึงหน้าแดง น้องหนูไม่รู้สึกเหรอครับว่าร้อนแปลกๆ”
“น้องหนูไม่ย้อน”
“นั่นก็เพราะว่าน้องหนูของคุณพ่อเพิ่งอาบน้ำมา เลยไม่รู้สึกร้อน คุณแม่ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า”
‘ตอบลูกซิ...’
‘คุณก็ตอบไปแล้ว ยังจะยื่นไม้ต่อมาให้อีก’
‘ตอบลูก เร็วเข้า’
‘คุณตอบ’
‘ได้’
“หรือว่าเราจะเผลอ...”
“น้องหนูคะ” คนบ้าเอ๊ย! จามิกรค้อนขวับวงโต “แม่ว่าน้องหนูเพิ่งอาบน้ำเลยไม่รู้สึกร้อน อากาศตอนนี้มันร้อนหน่อยๆ จริงๆ นะ ลองจับหน้าผากแม่ดูซิ มีเหงื่อด้วย”
“จริงด้วย” เจ้าตัวเล็กดึงมือที่วางตรงหน้าผากมารดาออกมาโชว์ให้บิดาดู “จุนพ่อเย็วๆ เจ้า เช็ดตัวให้จุนแม่เร็ว จุนแม่ร้อน”
“ได้เลยครับท่านประธาน” ได้ดั่งใจพ่อที่สุด คนจะเช็ดตัวให้ แต่ถูกบ่ายเบี่ยงไม่ยินยอมมานานสองนานขยับเข้าไปหามารดาของลูกในทันที “ลูกสั่งนะ คุณจะขัดใจท่านประธานหรือไง”
“คุณมันร้ายกาจ เจ้าเล่ห์ อันตรายที่สุด” อุตส่าห์ปฏิเสธมาได้ตั้งนมนาน มาถูกเขาไล่ต้อนจนมุมจนได้ จะหันไปบอกว่าไม่ร้อนตอนนี้เจ้าตัวเล็กก็ปักใจเชื่อไปแล้ว จะปฏิเสธดวงตารอคอยเช่นนั้นได้อย่างไร
“ผมที่ไหน ลูกสาวคุณสั่ง คุณก็ได้ยิน อย่าปรักปรำกันนักสิ”
“คุณมันร้ายกาจ”
“เอ้า...จะให้ผิดให้ได้เลย งั้นก็ได้ รู้ว่าร้ายก็รู้จักยอมตั้งแต่แรกบ้าง จะได้ไม่ต้องเปลืองแรงคิด”
“สักวันลูกต้องรู้ว่าคุณมันไม่ได้ดีอย่างที่คิด ใช้ความไร้เดียงสาของแกหาผลประโยชน์ส่วนตน”
“วันไหนคุณกล้าบอก ก็คงรู้วันนั้นแหละ กล้าหรือยังล่ะ” เห็นดวงตากลมๆ นั้นใครจะกล้า ชานนท์กระตุกยิ้มกว้างอีกนิด “ถอดเสื้อออกจะได้เช็ดตัวง่ายๆ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องอาย ผมเห็นทุกวันจนเบื่อแล้ว”
คนเบื่อให้เวลาคนป่วยได้ถอดเสื้อด้วยการก้าวเข้าไปหาเจ้าตัวเล็ก
“น้องหนูครับ คุณพ่อพาไปนั่งดูการ์ตูนบนโซฟาแป๊บนึงดีไหม”
“อื้ม” สองมือเล็กยื่นออกไปให้บิดารับร่างเล็กลงจากเตียง ไม่วายจะหันกลับมากำชับเสียงใสหลังจากคว้าลำคอบิดาไว้ได้ “จุนแม่อย่าติ้นนะ จุนพ่อตำไม่เจ็บ น้องหนูก็เตยเช็ดตัว ต้าไม่ติ้นไม่เจ็บเยย”
“คุณแม่จะไม่ดิ้นหรอกครับ คุณพ่ออยู่ทั้งคน”
“จุนพ่ออย่าตีจุนแม่นะ”
“แล้วถ้าคุณแม่ดื้อล่ะ ตีเบาๆ ได้ไหม”
“ไม่ไต้ๆ ไม่ตี จุนพ่อต้องจุ๊บแจ้มแบบนี้ จุนแม่ก็ไม่ตื้อแย้ว” เสียงจ๊วบดังขึ้น แก้มสากถูกประทับฟอดใหญ่
ชานนท์ยิ้มอบอุ่น ไม้ตายของเขาไม้นี้ ต่อให้จามิกรอยากจะหนีอีกหนก็คงไม่มีความกล้าเพียงพอเช่นเดิมอีกแล้ว เขากล้าเอาศีรษะตัวเองเป็นประกันเลย
“รอคุณพ่อกับคุณแม่สักครู่นะครับ เดี๋ยวเราก็จะได้นอนด้วยกันแล้ว” เขาวางเจ้าตัวเล็กลงบนโซฟา ให้รางวัลตอบแทนเป็นหอมฟอดใหญ่พอกัน
“จั๊บผม” สามนิ้วตะเบ๊ะตรงคิ้วพอดิบพอดี
ภาพที่เกิดขึ้นไม่คลาดไปจากสายตาจามิกร เธอรู้สึกตัวว่ากำลังยิ้มก็ตอนที่ชานนท์ย้อนกลับมาแล้วดีดหน้าผากเธอเบาๆ
“ลูกของเราน่ารักที่สุดเหมือนคุณ” ชานนท์รูดม่านเข้ามาปิดครึ่งหนึ่ง ยังเหลือพื้นที่เล็กน้อยให้พอจะมองเห็นลูกสาวตรงโซฟา “แต่เขาเข้มแข็งเหมือนผม เวลาเสียใจมากๆ เขาจะไม่เอะอะโวยวาย แต่จะหาที่เงียบๆ ระบายความในใจ ที่ประจำของเขาคือตู้ที่มีเสื้อผ้าของคุณอยู่ และที่เลือกตรงนั้นก็เพราะมันเป็นที่เดียวที่ได้ใกล้ชิดกับคุณที่สุด”
“ขยับมาหน่อย ผมจะได้ดึงเสื้อออกได้” เขาให้เวลาแล้ว แต่คนป่วยก็ทำเพียงปลดเชือกผูกง่ายๆ ด้านหน้าออกเท่านั้น ตัวเสื้อยังปกปิดทุกส่วนสมบูรณ์แบบ
“ทำไมคุณถึงไม่บอกเขา..บอกว่าแม่ตายไปแล้วก็ได้” มันเป็นเหตุผลที่ง่ายที่สุดสำหรับความเข้าใจของเด็กและเธอคิดว่าเขาควรทำ มันคงจะดีกว่าให้ลูกเข้าใจว่าเธอยังอยู่และโหยหาถึงเธอทุกนาที จามิกรขยับเล็กน้อยตามเขาบอก เธอเหนื่อยจะทะเลาะกับชานนท์แล้ว เลยยินยอมให้ทำๆ ไปจะได้จบ
“บอกไปคุณจะเชื่อไหมล่ะ” ชานนท์ค่อยๆ แหวกสาบเสื้อผ่าหน้าซึ่งคาดทับกันอยู่ออกจากกัน เปิดเปลือยผิวเนื้อด้านใน แล้วดึงให้พ้นจากแขนทั้งสองข้าง “ผมอยากให้ลูก...รักคุณเหมือนผม”
คำว่า ‘รัก’ ชานนท์พูดขณะเลื่อนสายตามาบรรจบกับดวงตาคู่งาม แล้วเธอก็เบือนหน้าหลบ ความจริงจังจึงถูกปัดทิ้งไปพร้อมกับเสียงขึ้นจมูก
“อย่าถามในสิ่งที่คุณยังไม่พร้อมจะเชื่อ เพราะคนพูดซ้ำๆ จะเหนื่อยเอาได้” ถึงจะยังไม่ใช่เขาในตอนนี้ แต่คนพูดไม่เก่งอย่างเขามักจะลืมว่าต้องพูดคำนี้ และจะกลายเป็นว่าเคยชินกับการไม่พูดอีกตลอดไป “เห็นไหมว่าลูกรักคุณมากแค่ไหน เขาผูกพันกับคุณไม่แตกต่างจากที่คุณอยู่กับเขาในทุกวันเลย”
“ฉันรู้ และเรื่องนี้ฉันก็รู้ว่าต้องขอบคุณคุณ” สำหรับเรื่องนี้ ขอบคุณชานนท์เท่าไร เธอก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ “ขอบคุณนะคะที่ทำหน้าที่นี้แทนฉันอย่างดี คุณเลี้ยงเขามาได้ดีมาก”
“เหนื่อยมากๆ เช่นกัน” เด็กคนหนึ่งกว่าจะโตต้องอดนอนกี่ร้อยคืน กินไม่เป็นเวลากี่พันมื้อ คนเป็นพ่อแม่เต็มเวลาเท่านั้นถึงจะเข้าใจ “ใครที่บอกว่าเลี้ยงลูกสบาย มาต่อยกันสักรอบไปเลย ผมนี่แหละจะดวลให้เห็นดำเห็นแดงกันไปข้าง” ต่อให้ฟันร่วงหมดปาก เขาก็จะสู้ไม่มีถอย
“นิสัยแบบนี้เลี้ยงลูกมาได้ดีแบบนี้ได้ยังไงกันนะ”
ห่าม ดิบ เถื่อน ออกจะร้ายกาจอยู่ไม่สุข เธอคิดมาตลอดว่าลูกสาวที่เติบโตมาด้วยสองมือของผู้ชายคนนี้จะต้องก๋ากั่น ยิงนกตกปลาตั้งแต่จำความได้
จามิกรนึกภาพสองคนพ่อลูกตอนยังแบเบาะไม่ออก นึกแล้วก็ทำให้ขำ
“ก็บอกแล้วไงว่าลูกของเราจะต้องเหมือนคุณ” เพราะเขาชอบความเป็นเธอ ชอบสิ่งที่เรียกว่าจามิกร จึงอยากให้ลูกได้ความน่ารักน่าเอ็นดู ความสดใสร่าเริงเช่นเดียวกันกับมารดา น่ารักน่าทะนุถนอมดุจเดียวกัน
“...” คราวนี้คนหลุดขำถึงกับผงะ เพราะคนเช็ดตัวก้มลงมาจนได้กลิ่นลมหายใจเข้มข้นแบบผู้ชาย
“น่ารักแบบเดียวกันนี้เลย” ความจริงลูกสาวของเขายังมีมุมดื้อรั้นที่หาใดเปรียบได้ แต่เพราะเป็นลูกสาวของเขา ทุกอย่างจึงไม่ใช่ปัญหา
ชานนท์เป่าลมใส่ปลายจมูกที่ใกล้แค่เอื้อม ความน่ารักที่อยากจะกัดคำโตๆ
“คุณเช็ดตรงนั้นนานเกินไปแล้ว เร็วๆ หน่อยฉันหนาว”
จามิกรขยับหนี หัวใจและร่างกายเจ้ากรรมสั่นไม่แพ้กัน ดวงตาเปล่งประกายของเขาเหมือนว่าปล่อยกระแสไฟได้ และเธอก็รับมันมาทั้งหมด
“เขินมากกว่า” รอยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว เกือบได้แถมคนน่ารักเป็นจ๊วบใหญ่ๆ “แก้มแดงเป็นตูดลิงแล้ว”
ผ้าขนหนูแปะลงบนแก้มก่อนจะถูกนำไปชุบน้ำใหม่ แล้วกลับมาเช็ดต่อ
“หันหลังไปหน่อย ขืนยังเช็ดหน้าอกคุณต่อ ผมได้ตบะแตกแน่”
คนอะไรขาวจั๊วะ อวบอิ่ม น่ากลืนกินไปซะทุกที่!
“ก็เช็ดแต่ที่เดิมวนไปมาอยู่นั่นแหละ มีที่อื่นให้เช็ดอีกเยอะแยะ โรคจิต”
จามิกรพลิกตัวหันหลังให้ คว้าผ้าห่มมาปกปิดความอวบอิ่มของตนทันที
“โรคจิตกับเมียก็ดีกว่าโรคจิตกับคนอื่นละน่า เอาตรงๆ นะ คนของขาดนานแบบผมแค่เห็นเล็บเท้าเพียวๆ ของคุณ ผมก็ตบะแตกได้ง่ายๆ แล้ว” ไม่ต้องพูดถึงทรวงอกอวบอิ่มที่รู้รสชาติดีอยู่แล้วว่าหวานล้ำปานใด
“อย่าเว่อร์ ฉันไม่มีทางเชื่อหรอกว่าสี่ปีมานี้คุณไม่เคยอะไรกับใครเลย”
ชานนท์หยุดชะงัก ชะโงกหน้าข้ามไหล่บอบบางไปด้านหน้า...
“นกกระจอกไม่ทันกินน้ำขนาดนั้น ถ้ามีคนอื่นมันจะอ่อนหัดขนาดนั้นได้จริงเหรอ แม้แต่มือผมยังใช้มันน้อยที่สุด ตั้งใจเก็บทุกเม็ดไว้ให้คุณทั้งนั้น ทำดีไม่ได้ดีเลยจริงๆ”
“หลั่งเร็วหลั่งช้าพิสูจน์อะไรได้ คุณอาจจะ...ฉันหมายถึงอาจจะแค่อายุมากขึ้นเลยหมดสมรรถภาพทางเพศก็ได้”
“เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้ดู” หมดไม่หมดสมรรถภาพ เธอได้รู้แน่ๆ ชัดๆ ขอเวลาฝึกปรือฝีมือเจ้าน้องชายก่อนเถอะ บ้าเอ๊ย ทำไมรู้สึกเหมือนถูกพรากพรหมจรรย์แต่ผู้ชายกลับบอกว่า ‘ใช่เหรอ’ อย่างไรอย่างนั้นเลย คนถอยกลับมาหัวเสีย “หัวเราะอะไรไม่ทราบ”
“ก็ดูทำหน้าเข้าสิ มันไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องจริงจังขนาดนั้นสักหน่อยน่า”
“ใช่สิ อุตส่าห์รักษาตัวไว้ให้เมียดิบดี แต่เมียกลับดูถูกขนาดนี้ จะยอมได้ยังไง”
“ก็ไม่มีอะไรพิสูจน์ได้นี่ จะให้เชื่อยังไง ซ้ำขึ้นชื่อว่าผู้ชายจะทนได้ยังไงตั้งหลายปี” ไม่ใช่เดือน แต่เป็นปีๆ ย่อมเชื่อได้ยากเป็นธรรมดา “นี่เช็ดเบาๆ หน่อยก็ได้ หนังฉันจะหลุด”
“จะได้รู้ไงว่าการอดทนมันทรมาน ยิ่งการอดทนนั้นไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่มีหลักฐาน”
คิดว่าง่ายนักเหรอที่ต้องอดทนอดกลั้นไม่กินเรี่ยราด คว้าใครหน้าไหนก็ได้มาแก้ขัด คิดว่าทำได้สบายๆ หรือที่ต้องนอนหนาวเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ในขณะที่ร่างกายยังรับรู้ยังต้องการ ยิ่งถูกความคิดถึงรุมเร้า ร่างกายท่อนล่างก็ยิ่งทรมานจะตายวันละหลายๆ หน กว่าจะผ่านไปได้ในแต่ละวันแต่ละคืน เขาสะบักสะบอมขนาดไหน
“คนใจดำ”
“เป็นงั้นไป ฉันผิดอีก”
“เงียบไปเลย ไม่งั้นจะปล้ำมันตรงนี้แหละ ให้เห็นชัดๆ ไปเลยว่าทั้งที่คิดถึงขนาดนี้ เจ้านั่นยังอ่อนหัด เพราะไม่ได้ฝึกปรือฝีมือขนาดไหน”
“ฮ่าๆๆๆ”
“ยังจะหัวเราะอีก”
“คุณทำให้ฉันลืมชานนท์ที่ขู่คนก่อนหน้านี้ไปเลย ตาแก่โรคจิตเอ้ย รู้ไหมว่าตอนนี้คุณน่ะเหมือนตาเฒ่าที่ฟาดงวงฟาดงาตอนไม่ได้ดั่งใจเป๊ะเลย ฮื้อ...กัดทำไม เจ็บ!”
“หวาน”
“เจ็บ”
“หัวเราะอีกสิ”
“ไม่แล้ว พอแล้ว ไม่หัวเราะแล้ว”
“ถ้ามีคราวหน้าจะกัดให้เนื้อหลุดเลย” ก่อนจะคายคมเขี้ยว ชานนท์ทิ้งคิสมาร์กไว้จุดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าสะเทือนอารมณ์จามิกรจนตัวเกร็ง “นกเขาไม่ทนก็ใช่ว่าผมจะไร้น้ำยา ยังเหลืออีกหลายทางให้ใช้ทรมานคุณ หายก่อนเถอะ เตรียมตัวไว้เลย สามวันสามคืนอย่าได้ออกจากห้อง”
“ยิ้มอะไรอีก ไม่เชื่อหรือไง”
“ฮื้อ...”
จามิกรส่ายหน้าระรัว เธอเชื่อ และกำลังคิดว่าจะหนีจากโทษทัณฑ์นั้นอย่างไร แต่มันก็อดยิ้มไม่ได้ เธอเคยเห็นชานนท์มาดนี้เสียที่ไหน เมื่อก่อนวันๆ เอาแต่ดุ เวลาอยู่บนเตียงก็รุนแรงราวกับสัตว์ป่า เช้ามาขาเธอแทบก้าวลงเหยียบพื้นไม่ได้ ใครจะคิดว่าคนอย่างเขาจะมีวันนี้
“ฝากไว้ก่อนเถอะ แม่ตัวดี”
นาทีนี้ทำอะไรไม่ได้ก็แล้วไป แต่ทีใครทีมัน ถึงทีเขาอย่าได้มาขอความปรานีก็แล้วกัน!
แล้วการเช็ดตัวที่ปกติจะอ้อยอิ่งไปพักใหญ่ก็จบลงอย่างรวดเร็ว เตียงเล็กๆ ที่เดิมมีจามิกรนอนเพียงคนเดียว วันนี้มีคนตัวใหญ่ขายาวเพิ่มมาหนึ่งและคนตัวเล็กแขนขานิดเดียวเพิ่มมาอีกหนึ่ง พวกเขาทั้งคู่พร้อมใจกันยกเธอไปอีกด้าน ยกตำแหน่งกลางให้ท่านประธานสุดที่รัก ขนาบข้างอีกด้านด้วยบิดาตัวโตๆ
“จุนแม่จายับเจ้าน่อย จุนพ่อมือๆ ไว้ตงนี้” เจ้าตัวเล็กสุดบนเตียงจัดท่านอนให้แต่ละคน ดึงมือมารดามาวางตรงหน้าท้อง ดึงมือบิดามาทาบตาม รั้งพวกเขาทั้งสองให้ขยับมาใกล้ๆ จนจมูกทั้งสองสัมผัสแก้มนุ่ม “แบบนี้เยย น้องหนูต้อบ”
ริมฝีปากเล็กแย้มกว้างสุดขอบเขตที่สามารถไปถึง ดวงตากลมโตที่ทอประกายความสุขจนล้นปรี่มองขึ้นไปบนเพดานสีขาว ก่อนจะปิดลงและเอ่ยถ้อยคำสุดท้าย
“ฝันตีค่ะจุนพ่อจุนแม่”
“ฝันดีค่ะคนเก่ง”
จามิกรฝังจมูกกับแก้มนุ่มเบาๆ แตกต่างจากชานนท์ที่แตะริมฝีปากกับแก้มนุ่ม และค้างเอาไว้จนลมหายใจสม่ำเสมอจึงได้ถอยออกมา
ความสุขของเขาก็แค่ได้เห็นหัวใจดวงน้อยนี้พองโต ได้เห็นเด็กน้อยคนนี้มีความสุข
“ฝันดีครับคนดีของพ่อ” คนดีของเขาและคนที่เขารัก “ฝันดีครับจ๋า”อยากโน้มไปหอมเธออีกฟอด แต่เกรงว่าจะรบกวนการนอนเจ้าตัวเล็ก จึงทำเพียงส่งสายตาให้เธอรู้ว่าเขาคิดอย่างไร
“ฝันดีค่ะ”
จามิกรยิ้มให้เขาและปิดตาลง ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา นี่คือครั้งที่สามหรือแค่สี่ที่เขาพูดคำคำนี้กับเธอ คืนนี้เธอคงจะได้พบกับฝันดีจริงๆ
ความคิดเห็น |
---|