3
ช่วยมาเติมเต็มความรู้บนโต๊ะ (เตียง) ให้ที
แม้จะมีอาหารแค่สองอย่าง แต่รวมแล้วก็มีปริมาณไม่น้อยต่อหนึ่งคน และถึงพิชามลจะหิวมาก เธอก็ยังเคยชินกับการละเลียดกินของอร่อยช้าๆ ส่วนอจลก็ดูท่าจะมีนิสัยเคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ทั้งคู่จึงต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าอาหารชุดเล็กตรงหน้าจะเกลี้ยงเกลา
“ฉันล้างเองค่ะ” พิชามลกระวีกระวาดจัดเก็บจานชามไปยังอ่างล้างจาน หลังจากกระเพาะถูกเติมเต็ม พลังงานของเธอก็กลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
“เฉาก๊วยมาอยู่ที่บ้านคุณได้ยังไง”
การที่จู่ๆ อจลเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาสร้างความประหลาดใจแก่พิชามล โดยเฉพาะเมื่อคำตอบพาดพิงไปยังแผลใจของเขา
“กัสจังบอกว่าเพื่อนคนที่จะรับเลี้ยงเฉาก๊วยโกรธที่เกิดเรื่องระหว่างคุณสองคน เธอเลยต้องหาคนเลี้ยงใหม่ เธอเองก็ไม่สะดวกเลี้ยงมัน แต่ระหว่างนั้นมันต้องมีบ้านอยู่”
พิชามลไม่คิดจะอธิบายว่าเธอเลี้ยงเฉาก๊วยเพราะความรู้สึกผิดที่ตนนำเรื่องลับของอจลกับกังสดาลไปเขียนอย่างเมามันจนกลายเป็นนิยายเรื่องดัง และทำให้ความลับกลายเป็นไม่ลับ เพราะแค่นี้ดวงตาของคนตรงหน้าก็หรี่ลงด้วยท่าทางของหมาป่าที่ถูกแหย่ให้โกรธ โชคดีที่เขาปล่อยให้เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกด้วยการเฉลยว่าเขาไม่ได้โมโหเธอ
“มันไม่ควรมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ผมเตือนกัสจังแล้วว่าไม่ควรอาสาอุปถัมภ์หมาข้างถนนระหว่างที่โครงการช่วยเหลือหมาจรหาเจ้าของถาวรให้มัน ถ้าเธอไม่ได้อยากเลี้ยงมันจริงๆ เพราะมีความเป็นไปได้ว่าจะไม่มีใครขอมันไปเลี้ยง คนส่วนใหญ่ไม่อยากรับเลี้ยงหมาโตแล้วต่อจากคนอื่นหรอก ตอนมันมาก็อายุสี่ห้าเดือนแล้ว สอนอะไรไปก็ไม่จำสักอย่าง” น้ำเสียงของอจลบ่งบอกว่าในความเห็นของเขาเฉาก๊วยจัดระดับเป็นหมาเกรดโง่
พิชามลค่อนข้างเห็นด้วยกับเขา แต่อยากปกป้องสิ่งมีชีวิตที่ไร้ปากเสียง
“ที่จริงมันก็ไม่โง่ซะทีเดียวนะคะ มันจำเวลากินข้าวได้ ตอนแปดโมงเช้ากับห้าโมงเย็น ถ้าให้อาหารช้ามันจะร้องลั่นซอยเลย”
สายตาที่เขาเอ่ยแทนคำพูดบอกว่าสมองของเธออยู่ระดับเดียวกับเจ้าสัตว์หน้าขนนั่น ทำให้พิชามลเลิกคิดที่จะปกป้องเฉาก๊วยไปเลย แม้ว่านอกจากรู้เวลากินข้าว เฉาก๊วยยังมีความสามารถในการยอมนั่งสองขาตอนเธอสั่งให้นั่งรอก่อนให้อาหาร เธอคาดว่าตามมาตรฐานหมาฉลาดของอจลมันน่าจะกระโดดลอดบ่วงไฟเพื่อยังชีพได้ ซึ่งเจ้าหมาด้อยไอคิวที่อาศัยระเบียงบ้านเธออยู่ตอนนี้เกือบจะทำได้แล้วถ้ากลับชาติไปเกิดใหม่ เพราะขนาดแมวจรจัดพลัดเข้ามาในบ้าน มันยังสับสนว่าควรวิ่งไล่หรือวิ่งหนีดี
“นี่มันจะหกโมงแล้ว เฉาก๊วยกินข้าวหรือยัง”
การที่ปากของอจลบอกว่าไม่ชอบเฉาก๊วย แต่ยังห่วงมัน ทำให้พิชามลยิ้มก่อนตอบ
“กินแล้วค่ะ” ถึงเธอจะไร้ระเบียบในการดำรงชีวิต แต่เธอไม่เคยทอดทิ้งให้หมาตาดำๆ อดข้าว ความจริงก็คือเฉาก๊วยไม่ยอมปล่อยให้พิชามลลืมมัน
“คุณเป็นคนดีมากที่ห่วงหมามากกว่าตัวเอง”
มันคงเป็นคำชมถ้าพิชามลมองข้ามการเน้นเสียงตรงคำว่า ‘คนดีมาก’ กับคำห้อยท้ายที่เปรียบเทียบเธอกับหมา แต่นิสัยชอบปลอบประโลมใจตนเองด้วยการพยายามมองโลกในแง่ดี แม้จะเป็นโลกแบบบูดๆ เบี้ยวๆ ส่งผลให้เธอละเลยการประชดประชันของอจล
ไปได้ และการยิ้มรับอย่างไม่สะทกสะท้านทำให้เขาทำหน้าบึ้ง ตามด้วยถอนใจในท้ายที่สุด กระตุ้นให้เธอทำใจกล้าหน้าด้านลองถามเกี่ยวกับงานเขียนของตนอีกครั้ง
“ฉันขอโทษนะคะที่เอาเรื่องของคุณมาเขียนงาน แต่พลอตมันก็ต่างจากเรื่องจริงไปเยอะ ฉันอยากรู้ว่า...” เธอยังถามไม่ทันจบก็โดนขัดคอเสียก่อน
“ต่างเยอะเลยแหละ ผมแน่ใจว่าตัวเองมั่นใจในความเป็นชายของตัวเองเกินกว่าจะข่มขืนศพชายชู้ ดีนะที่คุณไม่ยัดเยียดบทคนวิปริตข่มขืนหมาให้ผมด้วย”
จากสีหน้าของอจล พิชามลรู้สึกว่าไม่ควรบอกความจริงที่เธอเองก็นึกถึงงานเขียนสายดาร์กทารุณกรรมทางเพศสัตว์อยู่เหมือนกัน แต่นอกจากเธอจะไม่แน่ใจในกระบวนการทางกฎหมายว่าเขาต้องจ่ายสามหมื่นเป็นค่าปรับหรือไม่ การเขียนถึงจุดนั้นมันก็เกินขีดที่เธอจะเขียนถึง ซึ่งเป็นโชคดีของทั้งคู่
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันมั่นใจว่าคุณมีความเป็นชายมากพอ” พิชามลหลุดปากยืนยันก่อนจะทันคิด อจลก็ตอบรับโดยไม่คิดด้วยการย้อนถามเช่นกัน
“จริงเหรอ แต่เรื่องชู้...” เขาละคำถามกลางคัน แต่สีหน้ากระอักกระอ่วนของอจลบอกพิชามลว่าสิ่งที่เขาสงสัยค้างคาใจคือเรื่องใด
จากนิยายใต้ดินที่เธอเคยอ่าน ปัจจัยหลักที่แฟนสาวนอกใจคนรักมักจะมาจากเรื่องบนเตียง ฝ่ายชายไร้ความสามารถ หรือไม่ก็ลีลาไม่ถึงอกถึงใจ ส่วนฝ่ายชายชู้นอกจากเครื่องมืออลังการแล้วยังมีเทคนิคแพรวพราว
“คุณก็อ่านที่ฉันเขียนแล้ว เป็นเพราะคุณ เอ่อ...ฉันหมายถึงอรุช พระเอกในเรื่องเซ็กซ์จัดเกินไป ลีลาเด็ดเกินไป เลยทำให้นางเอกเสพติดเซ็กซ์ พอเขาไม่อยู่นานๆ เธอเลยหันไปหาชายชู้ ที่คุณข่มขืนศพ ขอโทษทีค่ะ ยืมอิมเมจมานานเลยเผลอไป ที่พระเอกข่มขืนศพชู้ก็เพราะอยากแสดงให้เห็นว่าความสามารถของเขาเหนือกว่า”
“แล้วทำไมต้องข่มขืนศพชู้ คนตายมันทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกนะครับ แล้วอย่าหาว่าผมสอนเลย ไอ้ที่คุณบรรยายฉากเลิฟซีนน่ะมันผิด หลังจากตายแล้ว ศพคนมันจะ...เอาเป็นว่าผมไม่สามารถข่มขืนด้านหลังศพได้แล้วกัน ถ้าคุณเขียนว่าผมข่มขืนแล้วฆ่าชู้น่าจะสมเหตุสมผลกว่าอีก หรือว่าแบบนั้นพลอตมันจะไม่ดาร์กพอ”
พิชามลไม่ตอบคำถาม เพราะทั้งเขาและเธอต่างรู้ดีแก่ใจว่านิยายเรื่องนี้คงทำเงินได้น้อย ถ้ามันไม่เกิดจากจินตนาการหลุดโลกแทบจะหาความสมจริงไม่ได้
“เมื่อตะกี้คุณอยากจะถามอะไรผมครับ”
“ขอถามคุณตรงๆ นะคะ นอกจากพลอตเรื่องแล้ว งานของฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ มีคนบอกว่าเลิฟซีนมันห่วยขนาดสู้หนังสือโป๊ไม่ได้เลย”
“ผมจำเป็นต้องตอบคุณไหม”
อจลเก่งด้านประชดประชันเสียจนพิชามลอยากถอนใจใส่ แต่นี่คือคนอ่านตัวเป็นๆ เพียงหนึ่งเดียวที่เธอจะมีโอกาสสัมภาษณ์สด เธอเช็ดมือที่เปียกจากการล้างจานบนกางเกงลวกๆ จนเขาซึ่งน่าจะชินกับความสะอาดเป็นระเบียบนิ่วหน้า ก่อนจะขยับมายืนตรงหน้าเขา
“ตะกี้ฉันไม่ได้เจตนาคุกเข่าขอโทษ แต่ตอนนี้ฉันยินดีคุกเข่าขอร้องให้คุณตอบนะคะ”
เขาโกรธ เขาเหนื่อย เขาหิว แต่เขายังต้องมาทำอาหาร และตอนนี้ยังต้องมาพยายามทำความเข้าใจกับนักเขียนที่ดูจะมีแนวคิดแตกต่างจากเขาและมนุษย์ทุกคนบนโลก อจลไม่รู้ว่าเพราะพิชามลเกลี้ยกล่อมเก่ง หรือเขาเพลียสมองเพราะเธอจนหาข้อปฏิเสธไม่ได้กันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือเขาหมดอารมณ์อยากฆ่าเธอไปแล้ว เพราะมันคงยากที่จะฆ่าใครหลังจากช่วยชีวิตอีกฝ่ายให้รอดจากการอดอาหารตาย
แต่ที่สำคัญก็คงเพราะแววตาของเธอ อจลไม่เคยเห็นใครมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน พิชามลทำให้เหมือนการผัดข้าวเป็นภารกิจยิ่งใหญ่ระดับเดียวกับการกอบกู้โลก หรือเขาเป็นคนสำคัญระดับเดียวกับประธานาธิบดีอเมริกา ดังนั้นเขาเลยยอมตามเธอเข้าห้องทำงานเพื่อช่วยให้ข้อมูลการเขียนนิยายอย่างว่าง่ายจนแปลกใจตัวเอง ระหว่างเธอหันไปหาอุปกรณ์จดบันทึก เขาก็ยื่นมือไปจับสันหนังสือบนโต๊ะทำงาน พบว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับงานในครัว เขาไม่รู้ว่าเธอวางเอาไว้ตั้งแต่เขียนเรื่องในบ้านแห่งรัก หรือจะใช้เขียนเรื่องใหม่ แต่เขาอยากจะแจกแจงข้อมูลบางอย่างให้เธอเข้าใจ
“จริงๆ แล้วอาชีพของผมจะเรียกว่าหัวหน้าเชฟก็ได้ แต่ถ้าให้เจาะจงก็ต้องบอกว่าเป็นหัวหน้าเชฟแผนกอาหารเอเชีย การเรียกว่าหัวหน้าเชฟสั้นๆ อาจจะทำให้คนอ่านเข้าใจว่าผมเป็นเอกเซกคูทิฟเชฟ” เอกเซกคูทิฟเชฟเป็นตำแหน่งที่เชฟทุกคนใฝ่ฝัน เพราะมีอำนาจที่สุดในห้องครัว เขาจึงต้องท้วงติงเธอเพื่อกันไม่ให้ใส่ข้อมูลที่อาจจะทำให้คนอ่านเข้าใจผิด
“อ้อ ขอโทษนะคะ ฉันคงสื่อคำไม่ชัด”
“ก็ไม่ถึงกับผิดหรอก เพราะคุณบอกแล้วว่าถ้าอยู่ในโรงแรมหรือร้านใหญ่ๆ ผมจะมีตำแหน่งก้ำกึ่งระหว่างเดมี่เชฟกับเชฟเดอปาร์ตีจะว่าไปมันก็ใช่”
ตำแหน่งงานในครัวเป็นเหมือนการดำเนินงานในประเทศเล็กๆ เดมี่เชฟที่เขาพูดถึงเป็นระดับย่อยสุดของหัวหน้าเชฟที่จะมีผู้ช่วยเชฟคอยช่วยงาน สูงขึ้นไปคือเชฟเดอปาร์ตี ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมแผนกใหญ่ๆ ในครัว หรือเป็นผู้ช่วยหัวหน้าเชฟ จึงเป็นตำแหน่งที่รองจากหัวหน้าเชฟโดยตรง แต่ในบางที่ก็จะเป็นซูส์เชฟทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าเชฟแทน
ในครัวแต่ละที่มีการแบ่งแยกงานและแผนกแตกต่างกันไป ด้วยฝีมือของอจล ถ้าทำงานในโรงแรมคงไม่อาจเป็นถึงหัวหน้าเชฟ แต่เพราะการทำงานในเรือสำราญมีข้อจำกัดมากกว่าบนบก ที่แน่ๆ ก็คือพวกเขาต้องมีความอดทนสูงกว่า และทำงานแทนตำแหน่งอื่นได้ ทำให้อจลที่ทำหน้าควบคุมแผนกอาหารเอเชียมีเงินเดือนสูงกว่าเชฟในร้านอาหารทั่วไป และได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าเชฟคนหนึ่ง
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด อจลถึงไม่อยากให้พิชามลเข้าใจผิดว่าเขาเก่งกาจกว่าที่เขาเป็นจริงๆ แต่ดูเหมือนสำหรับเธอ ข้อมูลของเชฟคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับเขา ราวกับเขาก็คือเขา พิเศษกว่าคนอื่น ชายหนุ่มจึงพยายามอธิบายความแตกต่างหวังจะให้เธอเข้าใจลักษณะของเชฟแต่ละระดับ
แล้วเธอก็ถามรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ หลายอย่าง แต่แทนที่จะจดใส่สมุดในมือ เธอก็เอาหนังสือที่เขาแตะเมื่อครู่มาเปิดให้เห็นว่าเธอใส่กระดาษโน้ตแทรกเอาไว้ ระหว่างพิชามลจดข้อมูลเพิ่มเติมก็สอบถามเขาทีละข้อ ทำให้อจลต้องทึ่งกับความเข้าใจของเธอ ซึ่งยิ่งทำให้เขาประหลาดใจว่าทำไมการสื่อสารด้วยคำพูดของเธอถึงไม่เก่งเหมือนเวลาสื่อสารด้วยตัวอักษร คงเป็นเพราะเธอมีอาชีพนักเขียนนั่นเอง แต่เขาไม่กล้ายืนกรานความคิดนี้ เนื่องจากนักเขียนที่เขารู้จักมีเธอเพียงคนเดียว และเขายังไม่รู้ว่าควรจัดประเภทเธอเป็นนักเขียนที่มีความเพี้ยนสูงดีหรือไม่
“เอาละค่ะ คุณช่วยบอกข้อเสียในการบรรยายฉากเลิฟซีนของฉันมาเป็นข้อๆ ได้ไหมคะ” พิชามลตั้งท่าพร้อม โดยมีกระดาษปากกาในมือ
บรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนเป็นจริงจังเมื่อเธอเข้าสู่โหมดทำงาน ส่งผลให้อจลพยายามทำความเข้าใจในคำถามและหาคำตอบที่เหมาะสม ระหว่างนั้นเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องทำงานของเธอ ซึ่งมันบอกอะไรหลายอย่างแก่เขา พิชามลไม่ใช่คนเจ้าระเบียบ ตรงข้ามเธอเป็นคนไร้ระเบียบแบบแผนที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ
ห้องทำงานของพิชามลมีตู้หนังสือสูงจดเพดานเกือบทุกด้าน ยกเว้นตรงส่วนที่ใช้วางโต๊ะทำงานกับโซฟาที่สามารถปรับเป็นเตียงนอนขนาดเล็ก แต่บนฟูกก็ยังมีหนังสือวางระเกะระกะอยู่เต็มจนหาช่องว่างแทบไม่เจอ จะว่าไปแทบทุกส่วนในห้องนี้เต็มไปด้วยหนังสือ สำหรับคนที่จริงจังกับอาชีพของตนเช่นกัน อจลอดที่จะนับถือความมุ่งมั่นในการทำงานของพิชามลไม่ได้ อย่างน้อยเธอก็รักในสิ่งที่เธอทำ แม้ว่าข้อมูลที่เธอใช้ในการเขียนจะไม่ได้มาจากข้อมูลจริงก็ตาม เห็นได้จากบทบรรยายของเธอ
“ผมให้ข้อใหญ่ๆ ข้อเดียวเลย คุณเขียนโดยใส่จินตนาการล้วนๆ ในเมื่อคุณขอให้ผมพูดตรงๆ ผมก็จะบอกว่าฉากเลิฟซีนพวกนั้นมันขายให้แก่พวกที่ชอบเพ้อฝันได้ แต่ถ้าเอาไปวิเคราะห์ มันก็จะพบความไม่สมเหตุสมผลหลายอย่างที่ทำไม่ได้จริง เอาง่ายๆ ถึงผมจะอดอยากแค่ไหน ผมก็ทำไม่ได้ตลอดคืนจนแฟนสลบคาเตียงหรอก ไม่ต้องพูดถึงอวัยวะใดๆ ที่ไม่เอื้อเลยด้วย” เขายอมรับว่าวิจารณ์โดยใส่อารมณ์ส่วนตัวลงไปด้วย เลยไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นผลลัพธ์เช่นนี้
แก้มสีแดงที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความโกรธไม่ใช่สิ่งที่อจลคาดว่าจะได้เห็น ครั้งสุดท้ายที่เขาพบผู้หญิงเขินอายจนหน้าแดงคงเป็นตอนเขาอายุสิบสี่ ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาเลยเป็นไปเช่นเดียวกับตอนวัยรุ่น
“ผมไม่ได้พูดอะไรทะลึ่งซะหน่อย” เขาออกตัวเสียงดัง ก่อนจะโพล่งคำถามแบบไม่ผ่านสมองออกไป “อย่าบอกนะว่าคุณเขียนจากจินตนาการ แต่ไม่เคยจริงๆ”
ไม่รู้ว่าอจลเดาถูกได้ยังไง แต่พิชามลพยักหน้ากระตุกๆ เหมือนตุ๊กตาหุ่นเชิด พลอยทำให้ชายหนุ่มหน้าแดงตามไปด้วย ค้นพบว่าการสนทนาที่ควรจะเป็นไปในเชิงวิชาการอย่างที่เขาคิดตอนแรกกระโดดห่างไปจากจุดเดิมประมาณหนึ่งล้านปีแสง
อจลเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ในห้องปิดประตูสองต่อสองกับผู้หญิง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ทำมาแปดเดือน และที่ผ่านมารสนิยมของเขาคือนางแบบสูงยาวเอวบาง ซึ่งมักจะขาดแคลนหน้าอก หรือไม่ก็ห้ามจับเพราะไปเสริมขนาดห้าร้อยซี.ซี. มาสองรอบแบบกังสดาล แต่เวลานี้การมองพิชามลที่อวบอิ่มไปทั้งร่าง ซึ่งแทบจะนิยามได้ว่าเนื้อ นม ไข่ น่ากอดน่ากัด น่าฟัดไปทั้งตัว ทำเอาเขานั่งเกร็งจนอยากจะเผ่นหนีออกนอกห้อง เพราะเกรงว่าตนเองจะกระโจนเข้าใส่เธอ
“ที่จริงการเขียนหนังสือ นักเขียนไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์จริงก็ได้” พิชามลอ้อมแอ้มแก้ต่างให้ตนเอง แต่อจลไม่นิยมคนแก้ตัว
“นั่นเท่ากับหลอกลวงคนอ่านไม่ใช่เหรอ ถึงที่จริงคงมีนักเขียนทำอย่างนั้นก็เถอะ ไม่อย่างนั้นงานเขียนฆาตกรรมหรือสยองขวัญจะเกิดขึ้นได้อย่างไร” แต่ขณะนี้อจลไม่ได้คิดไปถึงเรื่องพวกนั้น เพราะปัญหาของพิชามลคือการบรรยายออกมาได้ไม่โดนใจเขาสักนิด
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นเขาอ่านแล้วรู้สึกยังไง แต่ผมไม่อิน ผมไร้อารมณ์ร่วมกับมัน”
นั่นเป็นปัญหาใหญ่ของฉากเลิฟซีนจากนิยายเรื่องในบ้านแห่งรัก ส่วนปัญหาใหญ่ของอจลก็คือ ตอนนี้เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ากำลังมีอารมณ์กับนักเขียนที่กำลังนั่งแก้มแดงอยู่ตรงหน้า
“นักอ่านคนอื่นก็ว่าอย่างงี้เหมือนกันค่ะ ฉันรู้ว่าการเขียนงานโดยอาศัยอ่านเอาจากหนังสืออย่างว่ามันไม่สามารถถ่ายทอดภาพให้คนอ่านจินตนาการตามได้ ฉันคงจะไร้ความสามารถจริงๆ”
การยอมรับด้วยน้ำเสียงท้อแท้ของพิชามลส่งผลให้อจลสงสารจนเผลอขยับไปตบบ่าเธอเบาๆ แม้ว่าในฉากที่เธอเขียนเขาจะเป็นตัวเอกวิปริตที่ใช้ท่วงท่าห่างจากมาตรฐานส่วนตัวของเขาไปไกล กระทำการต่ำช้าก็ตาม และการสัมผัสเบาๆ บนผิวนุ่มๆ หลังจากห่าง
หายไปนานในการแตะต้องผู้หญิงก็ทำให้เขาต้องรีบถอยห่าง บอกตนเองว่าเธอคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เขียนฉากเลิฟซีนให้เขาข่มขืนศพผู้ชาย
น่าเสียดายที่ระหว่างเห็นใจพิชามล อจลลืมเรื่องชาวนากับงูเห่า ความเมตตามักชักพาเรื่องเดือดร้อนเข้าหาคนดีมีน้ำใจ
“ในเมื่อคุณรู้ปัญหาของฉันแล้ว จะช่วยมาเป็นวิทยากรให้หน่อยได้ไหมคะ”
คำถามของเธอทำเอาเขาเอนหลังหนี จ้องเขม็งด้วยความหวาดระแวง
“คุณไม่ได้หมายความตามที่ผมคิดใช่ไหมครับ” แต่เขาสังหรณ์ว่าเธอหมายความตามนั้นเป๊ะๆ สมองของเขาต่อต้านอย่างมาก ในขณะที่ร่างกายให้ความสนอกสนใจ
“ไหนๆ คุณก็ว่างอยู่ ช่วยมาเติมเต็มความรู้ด้านนั้นให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันสัญญาว่าจะไม่ขอความรู้จากคุณโดยไม่มีของตอบแทน”
“หะ! เดี๋ยวนะ เติมเต็มความรู้นี่มัน...”
“ค่ะตามนั้น เติมเต็มความรู้บนเตียง” เธอพยักหน้าราวกับกำลังขอร้องให้เขาสอนเรื่องที่มีเหตุมีผลแบบที่คนทั่วไปพึงเข้าใจได้
ตอนก้าวขาเข้ามาในห้องทำงานแห่งนี้ อจลมั่นใจว่าเขาเพียงแค่อยากจะเติมเต็มความรู้บนโต๊ะให้พิชามลเท่านั้น แต่เธอทำหน้าจริงจังแล้วขอไกลไปถึงเรื่องบนเตียง
“ผมมีอาชีพเป็นเชฟเท่านั้นครับ” อจลเน้นเสียงบอก ทั้งที่รู้ว่าพิชามลไม่ได้ประสาทเสื่อมลืมเลือนอาชีพของเขาไป แต่อาการทางประสาทอื่นๆ ของเธอ เขาไม่แน่ใจ
“อาชีพเชฟนี่เขาไม่ได้ห้ามมีเซ็กซ์กับนักเขียนไม่ใช่เหรอคะ”
ความคิดเห็น |
---|