1

อาชีพนักเขียน



1

อาชีพนักเขียน

 

อาชีพหาเงินง่าย หยิบได้จากอากาศ พิชามลคิดถึงประโยคที่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเคยบอกแกมแขวะตอนเธอจะลาออกจากอาชีพไอที (IT) หรืออินฟอร์เมชันเทคโนโลยี (Information Technology) ของบริษัทเงินเดือนดี มาเป็นนักเขียนอิสระ

ตอนนั้นเธอปราศจากคำพูด ไม่อยากจะเสียเวลาอธิบายให้คนที่ไม่คิดจะเข้าใจความฝันของคนอื่นฟังว่ามีอะไรหลายอย่างมากกว่าอากาศสำหรับกระบวนการกลั่นกรองมาเป็นไอเดียเขียนหนังสือ ส่วนตอนนี้เธอมองอากาศขมุกขมัวเพราะค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานตรงหน้า แล้วคิดว่าไม่ได้มีเพียง PM2.5 ที่ทำให้สมองของเธอปราศจากไอเดีย

เป็นเวลาสามเดือนแล้วที่พิชามลไม่ได้มีผลงานเขียนออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ที่จริงมันก็ไม่ได้นานเท่าไร หากเธอไม่ได้มีใบแจ้งหนี้ต่างๆ ให้ต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงติดอันดับขายดีทุกเล่มยังอาศัยเงินจากงานชิ้นเก่าๆ มายังชีพได้บ้าง แต่เธอเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงในระดับ B+ กับผลงาน B+ อันเป็นที่จดจำในวงแคบๆ ช่างสุ่มเสี่ยงเหลือเกินกับคำว่าอดตาย

‘กลับไปทำงานประจำดีกว่ามั้งลูก’ คำถามจากแม่

‘อาชีพนักเขียนมันไม่มั่นคงไม่ใช่เหรอ’ คำถามจากพ่อ

‘ถ้ารู้สึกว่ามันเครียด ลองทำเป็นงานอดิเรกดีไหม’ คำถามจากพี่สาวฝาแฝดนุ่มนวลต่อหูที่สุดแล้ว แต่ที่แย่คือเป็นคำพูดของคนที่เข้าใจเธอที่สุด

ความเชื่อมั่นของคนในครอบครัวช่างทำให้รู้สึกดีเสียนี่กระไร พิชามลถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านพลางมองหาไอเดียเขียนเรื่องใหม่จากอากาศตรงหน้าต่อ แทนที่จะกลับเข้าไปเล่นโซเชียลแล้วริษยาเพื่อนๆ นักเขียนที่ติดอันดับขายดี หรือเขียนงานปีละเล่มก็มีเงินไปเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นนักเขียนอายุน้อยไอเดียกระฉูดที่แค่ดูซีรีส์รักก็นำความฟินมาเขียนงานได้ไวราวกับเสก ส่วนเธอทั้งที่อายุยังไม่มาก แค่เฉียดจะเหยียบคานไปก้าวเดียวกลับนึกถึงความรักใสๆ ใดๆ ไม่ออก รู้สึกสมองตีบตันไปหมด

แต่พอปิดอินเทอร์เน็ต เธอก็ไม่รู้จะทำอะไรดี เธอไม่ปลูกต้นไม้ ไม่เลี้ยงสัตว์ เพราะแค่เลี้ยงตัวเองยังเอาตัวจะไม่รอด ทั้งที่ไม่ได้มีภาระต้องผ่อนจ่ายอะไรเหมือนหนุ่มสาวสมัยใหม่ บ้านหลังนี้ได้รับมาจากพ่อแม่ รถก็ไม่ได้ซื้อ เพราะไม่มีปัญญาขับ

ด้วยความว่างจนน่าเบื่อ ชามลเลยแอบชะเง้อไปบ้านข้างๆ ต่อให้เชฟรูปหล่อไม่อยู่ อย่างน้อยก็มีสิ่งมีชีวิตอื่นให้เธอดูแก้เซ็ง อย่างเช่นเจ้าหมาหน้าตาเซ่อซ่าชื่อเฉาก๊วย ที่กัสจังหรือกังสดาลเพิ่งรับมาเลี้ยง ด้วยเหตุผลที่ว่าสงสารที่มันโดนทิ้ง และเธอต้องอยู่บ้านตามลำพัง เนื่องจากอาร์ม หรืออจล แฟนหนุ่ม ต้องเดินทางไปทำงานบนเรือสำราญนานหลายเดือน แต่พิชามลที่เฝ้าสังเกตกังสดาลมานานด้วยความไร้ไอเดียเรื่องงานย่อมรู้ดีว่านางแบบสาวเอาหมาจรมาเลี้ยงเพียงเพื่อสร้างภาพ เพราะอีกฝ่ายอุ้มหมาเฉพาะเวลามีกล้องถ่ายรูปอยู่ตรงหน้าถ่ายคลิปอัปช่องยูทิวบ์ ใช้หน้าตาหากินในฐานะเน็ตไอดอล ส่วนเธอซึ่งไม่อาจเอาหน้าตาระดับ B- ไปหากินได้ อาศัยแอบเล่นกับหมาเป็นพักๆ แก้เซ็ง

ฉากเด็ด ของดี เป็นคำที่สมองเอื่อยเฉื่อยของพิชามลผุดขึ้นมาขณะมองข้ามรั้วไปบ้านข้างๆ และสิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่เจ้าเฉาก๊วย

การเห็นหน้ากังสดาลกับมงคล หรือแมน ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ตรงไหน เพราะนับจากเป็นเพื่อนบ้านกับอจลมาได้สองปี พิชามลเห็นหน้าสองพี่น้องมากกว่าหน้าเจ้าของบ้านข้างๆ เสียอีก บางครั้งยังถึงขั้นทักทายกันยามเดินไปทิ้งขยะลงถังเดียวกัน หรือตะโกนถามว่าไฟฟ้าดับหรือเปล่า แต่เท่าที่เธอเห็นในยามนี้คือไฟสวาท

ถ้าอยู่หน้าคอมพิวเตอร์หรือขอแค่มีปากกาในมือ สกิลการเขียนบรรยายท่าทางในฉากเลิฟซีนของพิชามลคงพุ่งสูงยามเห็นสองพี่น้องที่คงไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ ปลุกไฟให้กันด้วยริมฝีปากและเรือนร่าง คำว่าบดจูบเบาไปเลยสำหรับใช้บรรยายการกระทำของทั้งคู่ มือข้าง

หนึ่งของกังสดาลขยุ้มลงไปบนเส้นผมของมงคล ขณะอีกมือจิกลงไปบนบ่า ส่วนมือทั้งสองข้างของมงคลก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สองมือของเขาแทบจะฝังลงไปบนเนื้อสะโพกงอนงาม ดันมันมาด้านหน้าขณะเดียวกับที่เขาแอ่นเอวออกไปเสียดสีอีกฝ่ายในจุดที่สนิทชิดเชื้อ

เมื่อไฟสวาทร้อนถึงจุดเดือด หรือไม่อนุสติก็คงเตือนว่าตรงนี้ไม่ใช่บริเวณที่เหมาะจะสานต่อ กังสดาลจึงผลักไหล่มงคลให้ออกห่าง ตามด้วยหันไปเปิดประตูเข้าบ้าน แล้วปิดมันหนีสายตาสอดรู้สอดเห็นที่เธอไม่รู้ว่ามีตาคู่หนึ่งกำลังแอบมองอยู่พร้อมจินตนาการบรรเจิด

อีกด้านของรั้ว ในมุมที่คนฝั่งนั้นไม่เห็น หญิงสาวคนหนึ่งเกาหัวแกรกๆ ใคร่ครวญว่าควรบอกเจ้าของบ้านหลังข้างๆ ดีหรือไม่ ว่าพี่ชายน้องสาวไม่ยืนจูบกันหน้าบ้านหรอก แล้วเธอก็เกาหัวอีกหลายแกรก ก่อนจะมองที่หัวไหล่ตัวเอง

ได้เวลาเปลี่ยนไปใช้แชมพูขจัดรังแคแล้วสินะ

ขจัดรังแค = กำจัดรังแค = สังหารรังแค จากขจัดไปเป็นสังหาร เป็นการทำงานของสมองที่ยากจะอธิบายเป็นคำพูดว่าเอาทั้งหมดมาเชื่อมโยงกันได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อพิชามลเชื่อมโยงต่อไปถึงการฆาตกรรม

สองพี่น้องไม่แท้ทำอะไรในบ้านที่ปิดประตู พิชามลไม่มีวันได้รู้ เพราะสมองของเธอกำลังเปิดเรื่องราวที่มีฉากพิศวาสฆาตกรรม

อาชีพนักเขียนหยิบเรื่องได้จากอากาศจริงๆ แต่มันต้องรวมเข้ากับความสอดรู้สอดเห็น และสมองที่คิดแตกต่างจากคนทั่วไป

 

อาชีพเชฟบนเรือสำราญไม่ใช่อาชีพที่คนทั่วไปคิดถึง แต่ไม่ใช่อาชีพที่ยากเกินความสามารถของอจลที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ แม้ว่ามันจะตรงข้ามกับชีวิตส่วนตัวของเขาก็ตาม

อีกไม่ถึงเดือนจะพ้นวัยยี่สิบเก้าปี เป็นครั้งแรกที่อจลรู้สึกถึงคำว่ามรสุมชีวิต เขาเกิดมาในครอบครัวมีฐานะ พ่อแม่รักใคร่กันดี มีน้องชายน้องสาวซึ่งไม่เคยก่อความรำคาญ และเนื่องจากไม่มีพี่ชาย เขาเลยไม่เคยรู้สึกถึงการเปรียบเทียบ จำความได้ว่ากิจการร้านอาหารริมทะเลของที่บ้านก็ไปได้สวย เขาเองก็ไม่มีอารมณ์ต่อต้านการรับสืบทอดกิจการครอบครัวเหมือนเด็กยุคใหม่ไร้ความคิดบางคน ดังนั้นจึงเข้าเรียนบริหารในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ในเมืองไทย โดยไม่มีความต้องการจะทำอาชีพอื่น เพียงแค่ลองไปทำงานบริหารในบริษัทชั้นนำเพื่อหาประสบการณ์เท่านั้น แต่แล้วก็มีทางแยกเข้ามาในชีวิต เมื่อเขาเกิดคำถามว่าแค่เรียนบริหาร ทำงานในตำแหน่งสูงมาหลายปี เพียงพอหรือไม่กับการรับผิดชอบร้านอาหาร

การที่นักศึกษาเกียรตินิยมอันดับสองจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทำงานในบริษัทชั้นนำ ลาออกจากตำแหน่งที่ได้เงินเดือนดี เบนเข็มเข้าไปเรียนวิชาชีพเพื่อเอาประกาศนียบัตรสำหรับสมัครงานทำอาหารบนเรือ น่าจะก่อให้เกิดปัญหาขัดแย้งในครอบครัวเพราะความเป็นห่วงของพ่อแม่ แต่ไม่เลย

ครอบครัวของอจลเคารพในการตัดสินใจของลูกชาย หนำซ้ำยังส่งกำลังใจเพื่อเขาจะได้ทำตามความฝันที่จะเป็นเชฟบนเรือสำราญ ได้เดินทางไปตามคาบสมุทรต่างๆ และได้พบปะกับนักกินชาวต่างชาติ

อาชีพที่อจลเลือกก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน ถึงเขาจะเริ่มหัดทำอาหารอย่างจริงจังตอนอายุยี่สิบห้าปี แต่เขามีประสบการณ์จากการช่วยงานที่บ้านยามคนงานขาดแคลนมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ หลังจากจบการศึกษาหลักสูตรระยะสั้น เขาเข้าไปเป็นผู้ช่วยในครัวบนเรือสำราญอยู่สามปี ก่อนจะขยับขึ้นมาเป็นหัวหน้าเชฟในปีนี้ และนั่นกลายเป็นปัญหาของชีวิตเขา หรือจะพูดให้ถูกก็คือปัญหาในชีวิตรักของเขา

‘ขอโทษนะอาร์ม เราเลิกกันเถอะ’

เลิกกัน คำสั้นๆ แต่ซ่อนความหมายของอีกหลายๆ คำ เอาไว้ยืดยาว เช่นเหตุผลในการบอกเลิกทางสายโทรศัพท์ ซึ่งกังสดาลไม่อยากเอ่ย แต่อจลอยากรู้ เพราะมันยุติความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่กินเวลามานานกว่าสี่ปีลงไป

ทั้งสองคนอาจจะคบกันในฐานะคนรักไม่นาน เพราะอจลกับกังสดาลเป็นเพียงเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาก่อนที่จะตัดสินใจคบกันหลังจากเรียนจบหลายปี แล้วหลังจากนั้นเขาก็ต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนเรือมากกว่าเจอหน้าแฟน เพราะรอบการทำงานของพนักงานบนเรือสำราญอย่างที่เขาทำอยู่คือ แปดเดือนทำงาน ก่อนจะได้พักสองเดือน

เมื่อได้มีเวลาใคร่ครวญ เขาก็พบว่าการครองรักโดยมีระยะห่างคงเป็นปัญหาระหว่างทั้งคู่ แม้ลึกๆ อจลจะรู้แก่ใจดีว่าสาเหตุสำคัญของการบอกเลิกไม่ใช่ ‘ไปกันไม่ได้’ อย่างที่กังสดาลอ้าง แต่เป็นเพราะ ‘มือที่สาม’ อย่างที่เธอพยายามปิดบังเขามาตลอด

โทรศัพท์มือถือที่พึ่งพาสัญญาณอินเทอร์เน็ตของเรือสำราญสำหรับใช้โปรแกรมสนทนาต่างๆ แจ้งเตือนการเรียกเข้าจากเพื่อนในกลุ่มมหาวิทยาลัยทำให้อจลขมวดคิ้ว ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบหน้าคนที่ติดต่อเข้ามา เพียงแต่เพื่อนๆ ที่พอจะเรียกได้ว่าสนิทสนมต่างรู้กันดีว่างานของเขาหนักและเหนื่อย มีเวลาส่วนตัวน้อย จึงไม่ค่อยอยากรบกวนโดยไม่จำเป็น

ที่สำคัญเพื่อนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับที่มีกังสดาลเป็นสมาชิกในกลุ่ม เมื่อเพื่อนสองคนเลิกรากันแบบไม่ค่อยดีนัก แม้ส่วนใหญ่จะเข้าข้างคนที่ถูกทอดทิ้ง แต่ก็มีบางส่วนที่แสดงความเห็นใจคนผิดเพราะความสนิทสนมที่มีมากกว่า เกิดเป็นความกระอักกระอ่วนในหมู่เพื่อน ทำให้ไม่อยากจะติดต่อกับเขาเพื่อคุยเล่น

“เดี๋ยวฉันจะส่งลิงก์นิยายไปให้” ประโยคบอกเล่าแบบไม่มีหัวมีท้ายทำให้คิ้วคนฟังขมวดมุ่นขึ้นไปอีก

“นิยายอะไร” อจลไม่ใช่นักอ่าน เขาชอบความบันเทิงในรูปแบบการท่องเที่ยวหรือดูหนังฟังเพลงมากกว่านอนอ่านหนังสือ นิยายส่วนใหญ่ที่เขาอ่านมักจะเป็นหนังสือชุดสืบสวนสอบสวน ซึ่งก็แทบจะไม่ได้แตะนานแล้วเพราะไม่สะดวกหอบหิ้ว และเขาไม่ได้นิยมอีบุ๊ก

“อ่านแล้วแกก็จะรู้” น้ำเสียงลำบากใจอย่างนี้คนพูดเคยใช้เพียงครั้งเดียวตอนที่บอกข่าวร้ายว่าแฟนสาวของเพื่อนนอกใจไปคบชู้ ที่สำคัญมันฟังดูแย่กว่าครั้งก่อนเป็นไหนๆ ชวนให้คนฟังสังหรณ์ร้าย

ในบ้านแห่งรัก ชื่อนิยายไม่ได้กระตุ้นความสนใจเท่าไรนัก นามปากกา ‘พิมพ์นภา’ ก็ไม่ได้คุ้นตาอจลเลยสักนิด เขาจำไม่ได้ว่ามีเพื่อนหรือคนรู้จักใช้นามปากกานี้

อจลกวาดตามองข้อมูลในหน้าเว็บไซต์อ่านนิยายออนไลน์ พบว่าอีกไม่นานจะจัดจำหน่ายในรูปแบบอีบุ๊ก ซึ่งจะสะดวกแก่การอ่านของเขามากกว่าการเปิดอ่านทีละตอน ราคารวมก็ย่อมเยาว์กว่าด้วย ตามปกติเขาคงปิดมันแล้วรออ่านในภายหลังที่สะดวกกว่านี้ แต่คำโปรยนิยายสะดุดใจเขาอย่างแรง

ไม่มีอะไรทำลายหัวใจอรุชได้ดีไปกว่าการกลับบ้านหลังจากทำงานเป็นเชฟบนเรือสำราญมาพบกับสิ่งที่เขาไม่มีวันคาดคิดว่าจะเจอ

บ้านซึ่งควรจะเปี่ยมไปด้วยความรักและการรอคอยของภรรยา กลับกลายมาเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยการหักหลังอย่างไม่น่าให้อภัย

บ้านที่เขาสร้างขึ้นด้วยความรัก กลับเป็นบ้านที่เธอมอบการทรยศ

เขาจะทำอย่างไร ในเมื่อความแค้นนี้ไม่อาจจะจบลงเพียงการเลิกรา

พระเอกชื่อ อรุช ซึ่งแปลว่า ผู้ไม่โกรธ มีอาชีพเป็นเชฟบนเรือสำราญ เขาใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีก็เดาได้ว่าคนเขียนใช้ใครเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้

อรุชมีความคล้ายชื่อของอจล ทั้งพยัญชนะและคำแปล ที่สำคัญ อจลไม่ใช่ชื่อที่พบเห็นได้ทั่วไป พ่อของเขานำชื่อมาจากส่วนหนึ่งของนาม พระอจลนาถ เพื่อให้เขาเติบโตมาเป็นคนมุ่งมั่น ไม่หวั่นไหวกับความยากลำบากหรือสิ่งไม่ดี แต่ตอนนี้เขาหวั่นใจว่าจะเกิดแรงกระตุ้นที่ไม่ดีหลังจากได้อ่านนิยายเรื่องในบ้านแห่งรัก

ถึงจะคาดเดาได้จากน้ำเสียงลำบากใจของเพื่อนว่าเขาต้องโกรธมากหากอ่านงานชิ้นนี้ แต่อจลก็ยังเปิดอ่านทีละตอน เสียเงินซื้อเหรียญเพื่อเปิดอ่านในตอนที่ไม่ได้เปิดให้อ่านฟรี ซึ่งรวมๆ แล้วมีราคาแพงยิ่งกว่าซื้อหนังสือเล่มเสียอีก จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาใช้เวลาเกือบสองเดือนก่อนหมดเวลาทำงานในทะเลไปกับการวางแผนฆาตกรรมคนเขียน

อจลไม่รู้จักนักเขียนที่ใช้นามปากกาพิมพ์นภามาก่อน แต่เขาไม่คิดว่าเป็นการยากเท่าไรในการตามล่าฆ่าคนเขียน เพราะปมลึกลับในเรื่องถูกคลี่คลายโดยหญิงสาวข้างบ้าน ซึ่งมีอาชีพเป็นนักเขียนชื่อดัง แล้วบังเอิญเหลือเกินที่เขาก็รู้จักผู้ที่ทำอาชีพนี้อยู่คนหนึ่งพอดี

 

การเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อมีชื่อเสียงในทางลบ และมีนิสัยชอบเปิดอ่านคอมเมนต์แย่ๆ ที่พาให้ใจตัวเองห่อเหี่ยว

ขยะในเว็บขายนิยาย

ควรมีช่องทางคืนเงินให้คนอ่าน

งานเขียนทำลายสังคม

อยากจะอาเจียนกับจินตนาการของคนเขียน

ยังจะกล้าเรียกของแบบนี้ว่านิยาย ไม่หน้าด้านก็ไม่มีจิตสำนึก หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง

พิชามลเป็นคนหน้าด้านพอประมาณ และมีจิตสำนึกอยู่บ้างเล็กน้อย ตอนนี้หัวใจดวงน้อยๆ ของเธอเลยห่อเหี่ยวเป็นอย่างยิ่ง

เธอก็สงสัยเหมือนกันว่าอะไรดลใจให้เขียนนิยายเรื่องนี้ หญิงสาวได้แต่หวังให้คนลืมมันไปตามกาลเวลา ขณะเดียวกันความโลภก็อยากให้มันอยู่ติดอันดับขายดีไปนานๆ เพราะเธออาศัยแค่การดูยอดโหลดซื้อนิยายเรื่องในบ้านแห่งรักหล่อเลี้ยงจิตใจไม่ให้ทุกข์ระทมนัก

การที่นิยายถูกสับแหลกเละคาหน้าจอไม่ได้แปลว่าจะไม่มีคนซื้อ ตรงข้าม บางครั้งคนอ่านก็อยากจะรู้เหตุผลในการถูกวิจารณ์ในแง่ลบ และยังมีนักอ่านบางกลุ่มที่นิยมสายฮาร์ดคอร์และพร้อมจะจ่ายเงินเพื่อเสพผลงานที่มีนักวิจารณ์บอกว่าไม่ควรค่าแก่การเสียเวลาอ่าน

ผลจากกระแสที่แรงร้อนในอินเทอร์เน็ตส่งผลต่อยอดโหลดที่สูงจนคนเขียนยังไม่อยากจะเชื่อสายตา เงินที่เข้ามาทุกเดือนสูงกว่าห้าเท่าของเงินเดือนจากงานประจำในอดีตของพิชามล มันทำให้เธอเลิกห่วงภาวะอดตายในอนาคตอันใกล้ เปลี่ยนเป็นกังวลว่าจะเขียนงานชิ้นใหม่อย่างไร

ไม่ใช่ว่าเธอเขียนไม่ได้ ที่จริงหลังจากเรื่องในบ้านแห่งรัก พิชามลเกิดไฟลุกเขียนงานได้อย่างสนุกสนานจนจบอย่างรวดเร็วได้หนึ่งเรื่อง และต่อเรื่องที่สองได้ในทันที ผลงานเรื่องแรกนั้นได้บรรณาธิการซึ่งเคยร่วมงานกันมานำไปอ่าน และพร้อมจะตีพิมพ์ในเร็วๆ นี้พร้อมด้วยความคิดเห็นในทางบวก

แปลว่าอาชีพของพิชามลกำลังไปได้ดี ยกเว้นแต่เพิ่งรู้สึกว่าผลงานชิ้นเอกที่ครั้งหนึ่งเธอเคยภาคภูมิใจเป็นผลงานที่ผิดพลาด และสมควรแก่การละอายใจ

มุมมองความคิดของเธอทำร้ายคนอื่น ตอนโดนวิจารณ์เธอก็ห่อเหี่ยวว่าทำไมใครๆ ถึงรังเกียจงานของเธอ มาตอนนี้พอใช้สติปัญญาคิดวิเคราะห์ เธอก็ยิ่งห่อเหี่ยวยกกำลังสอง ด่าตัวเองในใจเป็นสิบๆ รอบ อาศัยเพียงแค่ความนิ่งสงบจากข้างบ้านปลอบใจตัวเองว่าอจลไม่ได้อ่านนิยายของเธอ ไม่อย่างนั้นเขาคงส่งคนมาฆ่าเธอแล้ว ในฐานะคนที่ทำลายชื่อเสียงของเขา หรือบางทีเขาอาจจะรู้ แต่ไม่ใส่ใจ

พิชามลหลอกตัวเองให้กลบความรู้สึกผิดไปซะ เพราะไม่เหมาะจะยกธูปเทียนแพไปขอขมาอจลแล้วให้เขาจับได้ว่าเธอทำอะไรลงไป ต่อให้รู้สึกผิดต่อเขาแค่ไหน ก็ย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่การรู้ว่าควรเดินหน้าไม่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเขียน มีแต่จะดิ่งลงจนงานค้างอยู่กลางเล่ม โดยเฉพาะเมื่อเธอหันไปปรึกษากองบรรณาธิการที่สนิทกัน แล้วเขาแนะนำอย่างอ้อมค้อมว่า

‘ในบ้านแห่งรักพี่ไม่ได้อ่าน แต่งานที่ผ่านมาพี่ว่าดีทีเดียว’ ฟังแล้วเหมือนเป็นคำปลอบใจ พิชามลจึงตื๊อจนอีกฝ่ายยอมขยายความมากขึ้น

‘พี่ว่าฉากบรรยายเลิฟซีนของบีมันยังไม่ค่อยดีเท่าไรนะ ลองปรับดูไหม’

จากนิสัยประนีประนอมรักษาน้ำใจของบรรณาธิการคนนี้ พิชามลตีความได้ว่าเลิฟซีนของเธอไม่ได้เรื่อง ทั้งที่งานเขียนสองชิ้นหลังของเธอเน้นฉากบนเตียง

เสียงจากคนอ่านก็เช่นเดียวกับที่บรรณาธิการติง

‘บรรยายได้น่าเกลียดยิ่งกว่าหนังสือโป๊’

พิชามลอยากจะเถียงว่าไม่จริง ในฐานะผู้ครองความโสดอย่างเหนียวแน่น เธอคัดลอกฉากเลิฟซีนในหนังสือโป๊มาปรับปรุงคำบรรยายให้ดีขึ้น อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช้คำแทนอวัยวะตรงๆ แต่เธอต้องยอมรับว่าการขโมยตัดต่อผลงานของนักเขียนจากเว็บไซต์ใต้ดิน โดยตัดส่วนอนาจารอันเป็นจุดขายทิ้ง ส่งผลให้ท่วงท่าและลีลาของตัวละครของเธอไม่หลากหลายพอ รวมความก็คือการบรรยายฉากเลิฟซีนของเธอช่างแข็งทื่อและปราศจากความกระตุ้นเร้าอารมณ์

แต่เธอจะเอาอารมณ์มาจากไหน ในเมื่อไม่มีต้นแบบดีๆ เข้ามาในชีวิตเลย พิชามลจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นเพศชายแล้วใจเต้นนั้นเมื่อไร น่าจะเป็นตอนที่เห็นอจลก่อนที่เขาจะเดินทางไปทำงานเมื่อแปดเดือนก่อน ผิวสีแทนของเขากับแววตาจริงจังชวนฝันคู่นั้นเป็นสิ่งน่าประทับใจจนเธอเอามาใช้เป็นอิมเมจพระเอกนิยายได้สองเรื่องติดต่อกัน เล่มที่กำลังเขียนอยู่นี้จึงต้องเปลี่ยนแนวให้เป็นชายสะโอดสะองแนวเมโทรเซ็กซ์ชวลแทนหนุ่มหล่อล่ำ ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยเหตุนี้หรือเปล่าเธอถึงปิดต้นฉบับไม่ได้สักที

หญิงสาวสังหารเวลาให้เสียเปล่าด้วยการหยิบมือถือมาเล่นเกมปัญญาอ่อน ซึ่งเธอเล่นแต่ด่านเดิมซ้ำๆ เพราะฝ่าด่านใหม่ไม่ได้ สักพักใหญ่ก็หันกลับไปท่องอินเทอร์เน็ตต่อ แล้วก็ไม่ได้ประโยชน์ใดๆ เลย เพราะหัวข้อใหญ่ที่เธอใส่ใจคือประเด็นดรามาของนักเขียนด้วยกัน

เขาลอกพลอตกันจริงเหรอ

อันนี้น่าสนใจจนเธอต้องร่วมวงวิจารณ์ไปค่อนชั่วโมง เพื่อพลอตเรื่องที่ไม่ได้ก่อประโยชน์ใดๆ ต่องานของเธอเลย

ปกโป๊เป็นบ้า

อย่างนี้แหละที่ขายดี

โดยส่วนตัวเธอชอบแนวเปลือยๆ กับท่วงท่าชวนคิด ทว่าอนาจารมันก็เกินไปนิด หัวข้อนี้เลยทำให้เธอเสียเวลาเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์อีกหนึ่งชั่วโมง ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีผลงานทำมือจะไปจ้างนักวาดทำปกด้วยซ้ำ

เลื่อนทำมือเพราะเป็นมะเร็งแหละ

มะเร็งที่ไหนล่ะ แค่ซีสต์ในมดลูก แต่จะว่าไปพวกเธอก็ไปตรวจบ้างนะ อายุสามสิบแล้ว ถ้ายังไม่มีสามีเสี่ยงจะเป็นมะเร็งปากมดลูก

จากประเด็นงานไปยังมะเร็งได้อย่างไร พิชามลไม่อาจทราบ แต่การที่เดินขึ้นคานแล้วยังต้องมีความเสี่ยงจะป่วยหนักช่างเป็นภาวะสวรรค์ลำเอียงขั้นสุด มโนภาพตัวเองไปนอนงอขาอ้าซ่าบนเตียงตรวจ ยกขาสองข้างพาดสูงให้หมอก้มลงมองส่วนละเอียดอ่อนที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเคยเข้าใกล้แล้ว พิชามลก็รู้สึกอยากจะกรี๊ด ที่สำคัญคนที่แนะนำอายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปี มีสามีสุดหล่อที่เรียนร่วมคณะ

เดียวกัน ปัจจุบันมีลูกชายหญิงสองคน มันเลยเพิ่มระดับความเจ็บขึ้นไปอีกสองเลเวล จึงตัดสินใจออกจากวงสนทนาทางอินเทอร์เน็ตเงียบๆ แล้วไปหาแรงบันดาลใจที่อื่น

คิดงานไม่ออกให้ออกไปนอกบ้านเป็นสิ่งที่นักเขียนหลายคนทำแล้วได้ผล แต่ที่พิชามลยอมลุกจากหน้าคอมพิวเตอร์เพราะเข็มนาฬิกาชี้ไปยังเวลาห้าโมงเย็น ใครบางคนหรือบางตัวผิดเวลาไม่ได้

“รู้แล้วน่าเฉาก๊วย จะร้องโหยหวนทำไม” มือของพิชามลผสมอาหารเปียกเข้ากับอาหารเม็ด ส่วนปากก็ดุเจ้าหมาสีดำให้เลิกครวญครางเหมือนโดนทารุณกรรม

หลังจากวางกะละมังอาหารให้สุนัขที่ย้ายจากข้างบ้านข้ามรั้วมาอยู่บ้านของเธอ พิชามลก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ระลึกได้ว่าเวรกรรมที่แท้จริงในการเขียนนิยายเรื่องในบ้านแห่งรัก อยู่ในรูปแบบหมานี่เอง เพราะเธอเป็นต้นเหตุให้มันไร้ที่อยู่จนต้องมาเบียดเบียนเธอ

‘เพื่อนที่กัสจังจะเอาเฉาก๊วยไปให้เป็นเพื่อนของอาร์มด้วยค่ะ เขาโกรธกัสจัง เฉาก๊วยเลยไม่มีที่ไป ยังไงก็ฝากพี่บีเลี้ยงมันเอาไว้ก่อนนะคะ’ เป็นคำขอร้องที่คล้ายกับคำกล่าวหา ขาดก็แต่กังสดาลไม่ได้ชี้หน้าต่อว่าพิชามลเรื่องที่เอาความผิดของเธอไปแฉในอินเทอร์เน็ต

สุนัขประเภทเดียวที่พิชามลจะเลี้ยงก็คือสุนัขที่สร้างจากคอมพิวเตอร์กราฟิกในเกมมือถือ แต่เมื่อมองสุนัขพันธุ์ผสมขนาดกลางสีดำที่มีขนสีน้ำตาลประดับสี่ขา ปลายคาง หน้าท้อง โคนหาง กับสองหย่อมเหนือดวงตาเหมือนคิ้ว รูปร่างคล้ายสุนัขพันธุ์ดุรอตไวเลอร์ผสมลิง แต่นิสัยเหมือนพุดเดิลที่สมองได้รับความกระทบกระเทือน ขาดคนคอยดูแลไม่ได้ หนำซ้ำยังไร้ที่ไป เธอเลยยอมเอามันมาอยู่ด้วยชั่วคราว

ทว่าหลังจากเฉาก๊วยก้าวเข้ามาอยู่ใต้ชายคาระเบียงบ้านพิชามลได้แค่ไม่นาน มันก็รับรู้ถึงความใจอ่อนของเธอ แสดงนิสัยเสียออกมาด้วยความย่ามใจ เช่นกัดข้าวของกระจุย ที่สำคัญต้องกินอาหารตรงเวลาทุกมื้อ เธอเลยซาบซึ้งใจกับคำว่าเจ้ากรรมนายเวรในรูปหมา

ให้ข้าวหมาเสร็จ พิชามลก็นึกได้ว่าเธอยังไม่ได้กินอะไรจริงจังมาตั้งแต่เมื่อวานเย็น หนำซ้ำยังเป็นขนมขบเคี้ยวพวกช็อกโกแลตแท่ง ตอนรู้สึกว่าสมองไม่แล่น แต่ห่อสุดท้ายหมดไปจากตู้เย็นแล้ว และการเดินออกไปยังร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอยก็กินแรงเกินคนขี้เกียจจะทำไหว

สองขาของพิชามลดูจะอ่อนแรงนิดๆ ตอนพาร่างกลับไปหน้าคอมพิวเตอร์ ลังเลว่าควรสั่งอาหารออนไลน์ก่อน หรือควรเค้นสมองในตอนท้องว่างดี บางทีการใกล้ตายเพราะขาดอาหารอาจจะช่วยปลุกไอเดีย เธอไม่ต้องลังเลนานก็มีเสียงกดกริ่งดังขึ้นขัดจังหวะ และเพราะความอ่อนเพลียเธอเลยไม่สังเกตเสียงเห่าต้อนรับใครบางคนอย่างร่าเริงของเฉาก๊วย ซึ่งไม่น่าจะเป็นคนส่งของ

ประตูรั้วทำจากเหล็กดัดแบบโปร่ง พิชามลจึงเห็นใบหน้าของอจลที่อยู่อีกฝั่งของประตู เขายังเป็นอย่างที่เธอจำได้ นิยามของคำว่า หล่อล่ำ

เขายังคงสูงกำยำเหมือนเดิม แต่ผิวคล้ามแดดดูจะเข้มขึ้นทำให้ยิ่งดูดีในชุดเสื้อโปโลสีขาวปักลายโลโก้บริษัทเรือสำราญตรงกระเป๋าเสื้อเหนืออกซ้าย สายตาเธอตวัดมองเขาทั้งตัว เพราะเขาเป็นภาพที่น่ามอง จากช่วงขายาวเหยียดในกางเกงแสล็กสีดำ สะโพกแน่นๆ ข้างใต้ เอวเพรียวสอบเน้นย้ำด้วยเข็มขัดหนัง บ่ากว้างอกแน่นจนเสื้อตึง และมันยิ่งตึงเมื่อเขากอดอกปกป้องสายตาลวนลามของเธอ

เพราะสมองเบลอพิชามลเลยทำไปตามความเคยชิน ยิ้มหวาน หยิบกุญแจปลดล็อกประตูรั้ว เดินไปเปิดให้เพื่อนบ้านเข้ามา แล้วค่อยสังเกตเห็นอย่างล่าช้าว่าอจลกำลังส่งยิ้มเครียดๆ พร้อมแววตากรุ่นโกรธคล้ายอยากจะฆ่าใครให้เธอ หญิงสาวไม่ต้องเดานานก็พอจะรู้ว่าคนไหนเข้าข่ายเหยื่อคดีฆาตกรรมมากที่สุดในเวลานี้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันเสียอีก

“ถ้าจำไม่ผิดคุณเป็นนักเขียนใช่ไหมครับ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น