2
อาชีพเชฟบนเรือสำราญ
ข้อดีของการเป็นเชฟบนเรือสำราญคือรายได้งาม ได้ท่องเที่ยวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ข้อเสียก็คือต้องทำงานตามสัญญาให้ครบแปดเดือน ขึ้นฝั่งกลับบ้านไม่ได้ หรือในที่นี้คือมาข้างบ้านแล้วจัดการเพื่อนบ้านให้สาสมกับสิ่งที่เธอได้ทำกับชีวิตของเขาไม่ได้
ขณะอจลกำลังซึมเศร้าร้องเพลง “เมียพี่มีชู้” เรื่องของเขาก็รู้ไปทั่ว เพราะมีนิยายออนไลน์ที่โดนสังคมประณามด้านศีลธรรมจนโด่งดังเกี่ยวกับ
‘ชายที่ออกไปทำงานเป็นพ่อครัวบนเรือสำราญปล่อยแฟนสาวเอาไว้กับหมาที่บ้าน แล้วโดนสวมเขา สุดท้ายชายหนุ่มก็ฆ่าภรรยาและชู้รัก ข่มขืนศพชู้ (?)’
พลอตมันไม่แค่ดาร์ก การบรรยายยังเข้าข่ายอนาจาร แต่อ่านแล้วเขาก็รู้สึกเดจาวู เพราะยกเว้นเรื่องฆ่าข่มขืนแล้วมันตรงกับเขาทั้งชื่อและอาชีพ เขาไม่ต้องเสียเวลาใช้สมองมากนักก็พร้อมไปเคาะประตูบ้านคนข้างบ้านที่ในนิยายบอกว่าเป็นนักเขียนชื่อดัง (?) เพื่อถามหาความรับผิดชอบ
อจลใช้เวลาสองเดือนที่เหลือในสัญญาจ้างงานคิดกลับไปกลับมาว่าควรจะทำอย่างไรกับพิชามลดี ซึ่งความคิดของเขาส่วนใหญ่ผิดกฎหมายอาญาขั้นรุนแรง
ดังนั้นทันทีที่ขาของอจลเหยียบแผ่นดินไทย เขาจึงเสียเวลาแค่โยนกระเป๋าเดินทางเข้าไปในบ้านของตน ก่อนจะเดินมาเรียกร้องหาความรับผิดชอบจากพิชามล น่าเสียดายที่กว่าจะเอ่ยปากได้ เขาต้องรับการทักทายจากเฉาก๊วยที่ร่าเริงเสียจนเขาหักใจไล่มันไปไกลๆ ไม่ได้แม้ว่าเขาจะไม่โปรดปรานสัตว์หน้าขนที่กังสดาลทิ้งเอาไว้ให้เขาช้ำใจ และเสียเวลาไปพักใหญ่กว่าจะมานั่งประจันหน้ากับเจ้าของบ้าน โดยไม่มีสิ่งมีชีวิตที่สามคอยขัดคอ
เธอยังนั่งส่งยิ้มร่าเริงแบบหลอกๆ ให้เขา ทำตัวเหมือนไม่รู้สักนิดว่าอาจจะถูกฆาตกรรม ยกเว้นดวงตาที่คอยเหลือบมองไปรอบๆ กับการแอบผลักของที่น่าจะใช้ทุบหัวเธอได้ให้ย้ายไปอยู่ไกลๆ มือของเขา สองคนนั่งจ้องตากัน แล้วก็เป็นอจลที่เปิดปากถากถางก่อน
“คุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอกับการมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น นิยายที่คุณเขียนบ่อนทำลายชีวิตของผมรู้ไหม” ในที่สุดอจลก็ทำให้พิชามลรู้สักทีว่าตัวเองก่อเรื่องอะไรเอาไว้ แล้วเปลี่ยนยิ้มต้อนรับของเธอเป็นยิ้มแหยๆ
“ฉันขอโทษ เอางี้ไหม ฉันจะแบ่งค่าต้นฉบับพาคุณไปเลี้ยงหมูกระทะหน้าปากซอย เบคอนย่างอร่อยนะ”
“...” ถ้าเบคอนย่างแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง สงครามมันจะเกิดไหม ในฐานะเชฟมืออาชีพ อจลมองการแก้ปัญหาของพิชามลว่าทั้งชุ่ยทั้งไร้รสนิยม ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดเบคอนย่าง แต่เขาเริ่มอยากจะจับเธอไปย่างนิดๆ แล้ว
มีคนเคยบอกว่าอจลใช้แค่สายตาก็สลายการวิวาทได้ คาดว่าคนที่พูดจะไม่เคยพบพิชามล เขาถลึงตาแทบหลุด เธอก็ยังไม่รู้สึกถึงอันตราย ชายหนุ่มเลยใช้เวลาในการจ้องหน้าสำรวจเพื่อนบ้านที่รู้จักกันมาหลายปี ทว่าไม่เคยได้นั่งคุยกันเป็นกิจจะลักษณะสักครั้ง หญิงสาวตัวเล็กทรงป้อม ไม่เคยมีแรงดึงดูดใดๆ ต่อเขามาก่อน อย่างเดียวที่อจลคิดว่าน่ามองบนใบหน้าของพิชามลก็คือฟันเขี้ยวหนึ่ง ลักยิ้มหนึ่ง ที่พอเธอยิ้มก็จะทำให้ดูอายุน้อยกว่าความเป็นจริงหลายปี แม้ว่าเธอจะอายุมากกว่าเขาครึ่งปีอย่างที่กังสดาลเคยเล่าให้ฟัง แล้วเรียกเธอว่าพี่นับจากครั้งแรกที่เจอ
คิดถึงแฟนเก่าที่ทำให้เขาเสียใจแล้วอจลก็เพิ่มแรงพยาบาทส่งต่อไปทางสายตาให้พิชามลอีกระดับ แต่เธอคงเข้าใจไปว่าเขาสนใจในตัวคนที่เขียนงานบั่นทอนสุขภาพจิตเขา
“ตกลงคุณอ่านนิยายของฉันใช่ไหม มันเป็นยังไงบ้างคะ” สายตาของเธอคาดหวังคำชม ซึ่งเขาไม่มีให้
“ความสัมพันธ์ของผมเพิ่งจะพัง ผมเจ็บปวดจากการโดนทรยศ แต่ผมมีแค่นิยายของคุณเป็นเพื่อนตอนทำงานอยู่กลางทะเล มันทำให้ผมเข้าใกล้อาการซึมเศร้าที่สุดตั้งแต่ผมเกิดมาเลย”
ลักษณะที่เธอปากอ้าตาค้างเพราะคำบรรยายของเขาทำให้อจลรู้สึกผิดนิดๆ ต่อให้นิยายของพิชามลถูกนักวิจารณ์สับแหลกว่าเป็นขยะวรรณกรรม เขาก็ไม่ควรจะเอามันมาโยนใส่หน้านักเขียนอย่างนี้ น่าเสียดายที่ความรู้สึกผิดของเขาอายุสั้นกว่าการกะพริบตา
“แสดงว่าฉันเขียนเข้าถึงความรู้สึกของคนอ่านมากใช่ไหม ขนาดต้นแบบยังเศร้าเลย” คำถามของเธอช่างน่าอัศจรรย์จนเขาอยากจะทึ้งผม
“เข้าถึงตรงไหนเล่า! ผมจะเปรียบเทียบให้ฟังนะ มันก็เหมือนกับการที่คุณทำสปาเกตตีเส้นดำด้วยการใส่สี แทนที่จะใช้หมึกดำจากปลาหมึก สีอาจจะเหมือน แต่มันก็เป็นแค่การปลอมเปลือกนอก เพราะคุณไม่อาจเอารสชาติกับรสสัมผัสของแท้ใส่เข้าไปได้ ในเมื่อเทียบจากประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์แล้วคุณทำได้แค่ตาเห็น คุณเลยสอบตกเพราะขาดรส กลิ่น เสียง สัมผัส”
คราวนี้แทนที่จะจ้องหน้าอจล พิชามลหันหน้าไปทางอื่น เขาเกือบจะคิดว่าเธอรู้สึกผิดจนไม่อยากสบตาเขาตอนเธอหันจากซ้ายไปขวา เพื่อหาของบางอย่าง
“ขอฉันหาปากกาจดก่อนนะ ฉันว่าถ้าเอาคำพูดตะกี้ไปใส่นิยายเรื่องใหม่ต้องดังระเบิดแน่”
“...” ระเบิดแน่ เขาไงที่จะระเบิดอารมณ์ อจลพูดได้สี่ภาษา ไทย อังกฤษ ฝรั่งเศส กับจีนอีกนิดหน่อย แต่เขาหมดคำพูดเพราะเธอ
ชายหนุ่มคิดว่าสมควรแก่การปิดประชุมว่าด้วยจิตสำนึกนักเขียนเสียที แต่การขยับลุกหนีอย่างปุบปับของเขาทำให้เธอตะลีตะลานลุกตาม
“ขอโทษนะคะ สมองของฉันเบลอไปหน่อย ที่จริงฉันอยากจะบอกว่าเสียใจ” เสียงของเธอจบลงพร้อมกับการย่อเข่าลงกระแทกพื้นด้วยความรุนแรงพอจะทำให้สะบ้าเข่าอักเสบ
“เฮ้ย! คุณไม่ต้องคุกเข่าขอโทษก็ได้”
เขาถลาไปจับบ่าเธอให้ลุกขึ้นยืน แล้วจังหวะต่อมาร่างอุ่นๆ ก็เซเข้ามาซบอกของเขา ก่อนอจลจะทันได้สงสัยในเจตนาของพิชามลว่าจงใจอ่อยเขาหรือไม่ เธอก็สารภาพเสียงอ่อย
“เปล่าค่ะ ฉันแค่หิวมากไปเลยเข่าอ่อน”
มีหลายอย่างที่พิชามลควรทำนับจากเห็นหน้าอจล อย่างแรกคือยกมือไหว้ขอขมาลาโทษแล้วอ้อนวอนให้เขาโปรดอภัยในความผิดของเธอ แต่พอสบตาที่เหมือนกำลังเลือกอุปกรณ์ฆ่าหั่นศพอยู่ในใจของเขา เธอก็โดนความหล่อแบบเหี้ยมๆ ทำให้ไขว้เขว พอเข้ามาในบ้าน แทนจะรีบทำสิ่งที่สมควรทำ เธอเลยมองซ้ายมองขวาหวังจะกำจัดอุปกรณ์การฆ่าก่อนจะได้เจรจาสันติ
สรุปก็คือพิชามลเป็นคนที่เรียงลำดับความสำคัญไม่เป็น นอกจากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรก่อนหลัง เธอยังลืมว่าควรทำอะไรก่อน ตอนที่กำลังเจรจาขอยอมความกับอจล หลังตาเธอก็ปรากฏเงาดำวูบวาบ เธอไพล่คิดไปถึงวิญญาณอาฆาต อาการเนื้องอก ซึ่งทั้งสองอย่างนำมาต่อยอดลงไปในงานเขียนได้ แต่แล้วท้องของเธอก็ส่งเสียงโครกครากประท้วงขัดแย้งความคิด เข่าของเธออ่อนเปลี้ยลงหาพื้น เป็นการพิสูจน์ว่าเธอวินิจฉัยอาการป่วยของตนเองผิด และสิ่งที่เธอควรทำก็คือหาข้าวกินก่อนจะเป็นลมเพราะความหิว
“ตามปกติฉันดูแลตัวเองดีกว่านี้นะคะ แต่พอดีงานมันจะเดดไลน์แล้ว ฉันเลยลืมไปว่าควรกินข้าว ก็แค่ลืมไปสามสี่มื้อเท่านั้น”
ถึงเข่าของพิชามลจะอ่อนแรง แต่ปากของเธอยังทำงานได้ดี ทว่าจากสายตาที่อจลตวัดมอง เธอคาดว่าเขาอยากให้เธอรับบทเจ้าของบ้านผู้เงียบงันมากกว่า แล้วปล่อยให้แขกสำรวจครัวว่ามีของอะไรที่จะนำมาแปรรูปเป็นอาหารได้บ้าง แต่แค่กวาดตามองเขาก็น่าจะสรุปได้ว่ามันเป็นครัวที่ขาดแคลนจนเข้าข่ายน่าสงสาร
“เราโทร. สั่งของเข้ามาไหมคะ ฉันไม่ค่อยมีของสดติดตู้เย็น”
เธอโกหก ทั้งที่เขามองเห็นได้ด้วยตาตัวเอง เพราะของสดอย่างเดียวที่เธอมีคือไข่ไก่สำหรับใส่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งซองสุดท้ายเธอกินไปเมื่อหลายวันก่อน นอกนั้นเป็นผักสดที่พิชามลเคยจินตนาการว่ามันน่าจะเอาไปทำเมนูหรูเลิศ ก่อนความขี้เกียจจะครอบงำจนปล่อยให้พวกมันสลายกลายเป็นปุ๋ยในตู้เย็น
“ทำไมหม้อข้าวมาอยู่ในนี้” ของในมืออจลคือด้านในของหม้อหุงข้าวไฟฟ้าที่มีข้าวสุกบรรจุอยู่เกือบเต็ม ส่วนที่พร่องไปคือส่วนที่พิชามลนำไปกินกับปลากระป๋องซึ่งเป็นกระป๋องสุดท้ายเมื่อวาน
“ฉันหุงเมื่อวาน กลัวมันเสียเลยใส่ตู้เย็นเอาไว้”
หม้อขนาดสามลิตรเป็นมรดกของครอบครัว พิชามลรู้ว่าขนาดมันใหญ่เกินไปสำหรับคนที่อยู่ลำพัง แต่ขี้เกียจเกินกว่าจะไปเดินเลือกซื้อหม้อขนาดเล็ก เลยอาศัยหุงครั้งหนึ่งเสร็จแล้วก็แช่ตู้เย็นเอาไว้กินทีหลังจนกว่าจะหมด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะจบลงที่กลายเป็นอาหารให้เฉาก๊วย
อจลไม่ถามว่าสมองเพี้ยนๆ ส่วนไหนของเธอคิดว่าควรหุงข้าวทีละเยอะๆ แล้วเอาไปแช่ตู้เย็น แต่ก้าวยาวๆ เอามันกลับไปยังที่ที่มันควรอยู่ ใช้ทัพพีบี้ข้าวก้อนๆ ให้กระจาย เสียบปลั๊กไฟอุ่นข้าวเย็นให้เปลี่ยนเป็นข้าวร้อน แล้วค่อยย้อนกลับไปยังตู้เย็น หยิบไข่ไก่ออกมาห้าฟอง
“กว่าจะสั่งอาหารให้มาส่งก็เสียเวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง ผมทำได้เร็วกว่านั้น ที่สำคัญผมก็หิวข้าวเหมือนกัน” อจลตอบคำถามก่อนหน้านี้ พร้อมกับอธิบายเสียงเรียบที่แฝงความเย็นเยียบเอาไว้ ซึ่งเป็นการบอกพิชามลว่าความอยากจะฆ่าเธอยังไม่หมดไปจากใจเขา
“เอ่อ...ก่อนหน้านี้คุณโมโหหิวเหรอคะ”
ขนาดอยู่ห่างกันกว่าเมตร พิชามลยังเห็นหนังตาอจลกระตุกด้วยโทสะ เธอเลยคิดว่าบางคำถามอย่าได้อยากฟังคำตอบจะดีกว่า
เมื่อไม่มีโอกาสขยับปาก และอจลห้ามขาดไม่ให้พิชามลขยับตัวมาช่วยเขาปรุงอาหาร เพราะเกรงว่าเธอจะหน้ามืดจากความหิวแล้วเอาหัวทิ่มลงเตา และทำให้เขาเสียเวลาทำกับข้าว เธอจึงเอาเวลามาสังเกตความสามารถทางด้านการทำอาหารของเชฟมืออาชีพแทน
อจลวางหม้อแบบมีด้ามที่ใส่น้ำลงไปบนด้านซ้ายของเตาทำอาหารแบบสองหัว ส่วนเตาด้านขวาที่ติดกับเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร เขาวางกระทะก้นแบนลงไป ระหว่างรอกระทะร้อนเขาก็เอื้อมมือไปเด็ดใบโหระพาในกระถางเล็กซึ่งวางอยู่ข้างอ่างล้างจานมาประมาณครึ่งกำมือ ทำให้พิชามลนึกได้ว่าเธอมีผักสดอยู่ในบ้านหนึ่งอย่าง แต่เธอไม่นึกภูมิใจในฝีมือทำสวนครัวเท่าไรนัก เพราะที่มันรอดชีวิตมาได้เพียงเพราะมันอยู่ข้างอ่างล้างจาน เธอเลยไม่ลืมว่าควรรดน้ำรักษาชีวิตของมันเอาไว้ มาจวบจนวันนี้เจ้าใบเขียวๆ เพิ่งจะมีโอกาสตอบแทนบุญคุณของเธอ
การเคลื่อนไหวของอจลว่องไวมาก เขาล้างใบโหระพาแล้ววางพักให้สะเด็ดน้ำ หันไปเทน้ำมันพืชสองสามช้อนลงไปในกระทะ ตีไข่สองฟองเสร็จ น้ำมันก็ร้อนได้ที่ให้เขาเทไข่ที่ปรุงรสเล็กน้อยพร้อมกับใส่ใบโหระพาลงไปทอด ด้วยน้ำมันที่น้อยและการเทที่ไม่สูงทำให้ไข่หนา ไม่ฟู ระหว่างรอให้ด้านหนึ่งเหลือง เขาก็เอื้อมไปหยิบกระปุกใส่เครื่องปรุงเพื่อเอาผงปรุงรสก้อนมาบิใส่หม้อที่น้ำเดือดแล้วครึ่งก้อน ก่อนหรี่ไฟลง พิชามลมองแล้วอดถามไม่ได้
“พวกเชฟนี่เขาใช้รสดีทำกับข้าวด้วยเหรอคะ”
“คุณจะรอให้ผมเคี่ยวน้ำซุปกระดูกหมูสองชั่วโมงไหมล่ะ” เป็นอีกครั้งที่เสียงเย็นๆ ของอจลทำให้พิชามลเลือกหุบปาก
ข้อเสียของคนมีอาชีพใช้จินตนาการคือหยุดความมโนในสมองไม่ได้ แล้วตอนนี้หญิงสาวก็เริ่มนึกภาพเขายกกระทะฟาดหัวเธอจนสมองไหลได้อย่างชัดเจน ยังดีที่เขาหันไปสนใจไข่เจียว ทำให้เธอไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะตายในสภาพไหน หรือเขาจะเอามันสมองของเธอไปประกอบเมนูอะไรได้บ้าง
อจลพลิกไข่เจียวในกระทะด้วยความชำนาญ แล้วตัดเป็นชิ้นๆ พิชามลเลยเลิกสงสัยว่าเขาจะทำอะไรเป็นมื้อเย็นให้เธอ แต่ก่อนที่เธอจะขยับไปคดข้าวรอกินกับแกงจืดไข่น้ำ เขาก็ขยับตัดหน้าไปคดข้าวสวยใส่ลงในชามเปลพักไว้ แล้วตักไข่เจียวออกจากกระทะมาใส่หม้อ หันมามองอีกเตาแล้วเติมน้ำมันพืชลงไปในกระทะสองช้อน ตอกไข่สามฟองแบบที่ไข่แดงแตกกระจายเต็มกระทะ รอจนมันจับตัวเป็นวุ้นเล็กน้อยก็เทข้าวลงไปคลุกเคล้า ทำให้ไข่เคลือบบนผิวข้าวโดยไม่ทำให้ข้าวแฉะ เปิดกระปุกเกลือป่นแล้วสาดลงไปสองช้อน ตามด้วยน้ำตาลอีกหนึ่งช้อน เขาผัดข้าวเร็วมากจนเธอมองแทบไม่ทัน ปิดท้ายด้วยเหยาะซีอิ๊วขาวสูตรผสมเห็ดหอมเพื่อชูกลิ่นข้าวผัดไข่ร้อนๆ ให้หอมฟุ้ง
เชฟหนุ่มแบ่งข้าวผัดไข่ออกเป็นสองจาน เช่นเดียวกับที่แบ่งแกงจืดไข่น้ำเป็นสองถ้วย จัดเป็นชุดอาหารมาวางตรงหน้านักเขียนสาวหนึ่งชุด แล้วหยิบช้อนกับส้อมมาสองคู่ ส่งให้เธอหนึ่งคู่ ก่อนจะไปนั่งกินฝั่งตรงข้ามเงียบๆ และส่งเสียงอือเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนักตอนพิชามลกล่าวขอบคุณ
กลิ่นอาหารช่างยั่วใจจนพิชามลแทบจะเอาหน้าจุ่มลงไป เธอตักข้าวผัดสีเหลืองอมน้ำตาลเพราะซีอิ๊วเข้าปาก รสชาติมันอร่อยเกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเขาใช้เวลาทำไม่ถึงสิบนาที และใช้วัตถุดิบเพียงหกชนิด ซึ่งรวมน้ำมันพืชเข้าไปด้วย ข้าวไม่แฉะและไม่แข็งกระด้าง รสชาติของมันล้ำลึกด้วยเกลือทะเลป่น ตัดด้วยหวานนิดๆ จากน้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาวเห็ดหอมที่ใส่ลงไปหลังสุดมีผลทางด้านกลิ่นมากกว่ารสชาติ หญิงสาวมั่นใจว่าต่อให้เธอไม่ได้หิวจนหน้ามืดก็คงจะกินข้าวผัดจานนี้อย่างเอร็ดอร่อยไม่ต่างกัน
หญิงสาวนึกสงสัยว่าเหตุใดเชฟหนุ่มถึงต้องทำแกงจืดไข่น้ำด้วย หรือเป็นเพราะอาชีพ เขาเลยต้องจัดชุดอาหารให้สมบูรณ์ แต่เธอไม่มีปัญหาอะไรกับการตักมันใส่ปาก ความอุ่นร้อนเคลื่อนผ่านคอกระจายลงสู่กระเพาะช่วยปลอบประโลมความว่างเปล่าของท้องให้มีชีวิตชีวา ยิ่งเมื่อเธอตักไข่ที่มีใบโหระพาเข้าปาก ท้องของเธอก็แทบจะเต้นระบำด้วยความยินดี พิชามลไม่รู้ตัวว่าการยิ้มจนตาหยีช่วยให้คิ้วที่แทบจะขมวดเป็นปมแบบถาวรของอจลคลายตัวลง
“แกงจืดไข่น้ำใส่ใบโหระพานี่มันสุดยอดจริงๆ นะคะ เป็นตำรับลับของคุณใช่ไหมคะ” อย่างน้อยนี่ก็เป็นการชวนคุยอย่างเข้าท่าเพราะพิชามลเห็นอจลยักไหล่ก่อนจะต่อบทสนทนา
“ไม่เชิงเป็นตำรับลับอะไร เรียกว่าเป็นตำรายาดีกว่า คุณอดอาหารซะจนหน้ามืด ควรมีของร้อนๆ เข้าไปอยู่ในท้อง และใบโหระพาก็ช่วยในการย่อยอาหาร เพราะกระเพาะของคุณต้องย่อยของหนัก ผมหมายถึงข้าวผัดมันหนักกว่าข้าวต้ม และแกงจืดไข่น้ำใส่ใบโหระพาจะช่วยไม่ให้คุณปวดท้องทีหลัง”
“คุณเรียกต้มจืดว่าแกงจืดเหมือนฉันเลย” เธอยิ้ม ขณะที่เขาทำสีหน้าพิศวงเพราะการกระโดดจากเรื่องอาหารไปยังเรื่องภาษาไทยวันละคำของเธอ ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องชมที่เขามีมารยาทมากพอจะต่อบทสนทนา
“ตอนผมยังเด็กเคยชินกับการที่คนแก่ๆ ที่บ้านเรียกต้มจืดว่าแกงจืด แล้วสี่เทคนิคพื้นฐานทำอาหารไทยก็มาจากแกง ทอด ผัด ย่าง”
“สโลแกนที่ว่า ต้ม ผัด แกง ทอด หอมอร่อยในพริบตาคู่ครัวรสดี ใช้ไม่ได้แล้วสินะคะ” คราวนี้การกระโดดเปลี่ยนบทสนทนาไปอีกเรื่องของเธอไม่ได้รับการตอบสนอง
พิชามลรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนิดๆ กับการมานั่งกินกับข้าวฝีมือผู้ชายที่เจอหน้ากันน้อยเสียจนแทบจะเรียกได้ว่าแปลกหน้า แต่ที่น่าหนักใจที่สุดก็คือการมานั่งกินของที่อจลทำ หลังจากที่เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าผลงานเขียนของเธอทำร้ายความรู้สึกของเขาแค่
ไหน ความรู้สึกผิดเกาะกินใจ แต่เธอไม่อาจหยุดมือที่ตักอาหารเข้าปากได้เพราะเขาทำอร่อยเหลือเกิน ที่สำคัญการพูดคนเดียวก่อให้เกิดเดดแอร์ที่ทำให้เธอหน้าร้อนผ่าว เรียกว่าความเคร่งขรึมของเขาทำเธอหุบปากได้นานหลายนาที ก่อนจะรวบรวมความกล้าชวนคุยอีก
“แล้วคุณจะทำอะไรต่อคะ” การกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่สนใจคนทำดูจะเป็นการเสียมารยาท พิชามลจึงเอ่ยปากชวนคุย
“นอกเหนือจากการวางแผนฆ่าคุณน่ะเหรอ”
“...” พิชามลคิดว่าการกินเงียบๆ น่าจะเป็นมารยาทในโต๊ะอาหารที่เหมาะสมกับช่วงเวลานี้
ความคิดเห็น |
---|