9

9

 

   เพล้ง !

เจ้าของมือบางเผลอปล่อยช้อนส้อมร่วงกระทบจาน ศกุนตลาลำคอแห้งผาก ช้อนตาขึ้นมองคนถูกเรียกตัวเข้ากองบินที่กำลังสบตาบิดากับเพื่อนสนิทคล้ายหารือ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ” อัปสรนภาที่นั่งอยู่อีกโต๊ะวิ่งเข้ามาเกาะไหล่ศกุนตลา ถึงแม้จะพอเดาสถานการณ์ได้ลางๆ แต่กระนั้นก็อดที่จะถามไม่ได้

อนิลบถกับมนตรีลุกขึ้นยืน ศกุนตลาเอียงหน้าขึ้นมองอัปสรนภา สองสาวถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหาคนเป็นพี่พร้อมกัน 

อนิลบถกางแขนออกทั้งสองข้าง ศกุนตลากับอัปสรนภาโผเข้าไปกอดแล้วซบหน้าลงซบไหล่คนละข้าง คนเป็นพี่ริมฝีปากลงบนกลุ่มผมหอมกรุ่น พึมพำเสียงอ่อนโยน

“พี่มีงานด่วน แต่ไม่ต้องห่วง สนุกกันให้เต็มที่ ไว้เสร็จงานจะมาชดเชยให้นะคะ”

อัปสรนภาพยักหน้ารับทั้งที่ยังซุกซบอยู่กับลาดไหล่ ส่วนศกุนตลานั้นผินหน้าขึ้น อนิลบถหลุบตาลงมองแล้วยกมุมปากขึ้น 

“พี่จะรีบกลับ”

ศกุนตลาพยักหน้ารับแล้วซุกซบลงบนไล่กว้างเพื่อซึมซับความอบอุ่นอีกรอบ มนตรีทอดสายตามองสามคนที่กอดกันกลมแล้วระบายยิ้มบางๆ เขาเพิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งวันนี้ว่าการมีน้องสาวดีแบบนี้นี่เอง

“อย่าประมาท อย่าหลงกลแผนยั่วยุ มีสติให้มาก” พลโทนภตบบ่าบุตรชายและมนตรี

“ครับ” อนิลบถกับมนตรีรับคำเสียงหนักแน่น จากนั้นจึงเดินทางไปกองบิน และแล้วก็เป็นไปดังที่ทั้งสองคาดคิด เมื่อได้รับคำสั่งให้เดินทางไปยังชายแดนโดยด่วน

   บรรยากาศความครื้นเครงในงานเลี้ยงเล็กๆหงอยเหงาลงถนัดตาเจ้าของวันเกิดที่ยิ้มกว้างมาทั้งวันทำแค่เพียงอมยิ้มมุมปาก ส่วนคนที่ถูกจูงมานั่งข้างๆเจ้าของวันเกิดนั้นแทบไม่ได้สนใจบทสนทนาบนโต๊ะ เหม่อลอยและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่

   “พี่จะรีบกลับ”

   เสียงทุ้มที่รับปากว่าจะรีบกลับมาหายังดังกล้องอยู่ในหู แต่เธอรู้ว่าคงไม่ใช่ภายในวันสองวันนี้ ด้วยเมื่อครู่นายทหารคนเดิมที่มาแจ้งข่าวเมื่อช่วงบ่าย กลับมาแจ้งข่าวกับพลโทนภอีกรอบ ว่าอนิลบถกับมนตรีมีภารกิจต้องขึ้นบินด่วน และแน่นอนว่าไม่อาจระบุได้ว่าภารกิจในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด

   ‘นภาอยู่กับเพื่อนไปก่อนนะ ปักษาจะไปดูคุณป้ากับคุณลุง’

   อัปสรนภาหลุบตาอ่านข้อความบนหน้ากระดาษแล้วพยักหน้า ศกุนตลาจึงลุกขึ้นกวาดสายตาส่งยิ้มให้เพื่อนๆของอัปสรนภาที่นั่งอยู่บนโต๊ะ จากนั้นจึงหันหลังเดินเข้าไปในบ้าน 

   “ปักษาไปไหนน่ะนภา” เนตรสุดาเอ่ยถาม

   “ไปดูคุณพ่อกับคุณแม่น่ะ ... ” อัปสรนภาเว้นวรรคแล้วระบายยิ้มบางๆ “หรือไม่ก็แอบไปร้องไห้เป็นห่วงพี่เวหา”

   “โถ ... ปักษา” ยุดารัตน์ถอนหายใจ ด้วยรู้จักมักคุ้นกับอีกฝ่ายดี จึงรับรู้มาตลอดว่าครอบครัววงศ์คคนานต์คือที่พึ่งหนึ่งเดียวสำหรับศกุนตลา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะห่วงใยอนิลบถถึงเพียงนั้น

   “ความจริงพี่เวหายังมีเวลาพักอีกหลายสัปดาห์ ปักษาคงเตรียมใจไม่ทัน” อัปสรนภาตอบ ใช่จะเป็นแค่ศกุนตลาเสียเมื่อไหร่ที่เตรียมใจไม่ทัน ตัวเธอเองก็เช่นกัน วูบโหวงในอกตั้งแต่มีทหารมาตามพี่ชายให้เข้ากองบินด่วน ห่วงแสนห่วงเมื่อได้รับข่าวอีกรอบว่าคนเป็นพี่มีภารกิจด่วนและต้องเดินทางทันที แต่ที่ยังฝืนยิ้มก็เพราะยังต้องต้อนรับขับสู้เพื่อนๆที่เธอเชิญมาร่วมงานเลี้ยงอยู่นั่นเอง

 

   ภายในห้องพักผ่อนของครอบครัว พลโทนภนอนอ่านหนังสือบนเก้าอี้โยก คุณหญิงบุหงานั่งถักเสื้ออยู่บนโซฟาตัวยาว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาในห้อง ทั้งสองจึงละสายตาจากงานอดิเรกที่ทำแล้วเหลือบตามอง และเมื่อเห็นว่าผู้ที่เดินเข้ามาคือใครจึงยิ้มรับบางๆ ศกุนตลาย่อตัวลงบนพื้นชิดโซฟาตัวยาวก่อนจะเอนศีรษะลงนอนบนตักของคุณหญิงบุหงา สองผู้อาวุโสสบตาแล้วยิ้มให้กัน

   “เป็นห่วงพี่เวหาสินะเรา” คุณหญิงบุหงาถามพร้อมลูบศีรษะของหญิงสาวไปด้วย

   ศกุนตลาพยักหน้ารับกับตักอุ่น คุณหญิงบุหงาถอนหายใจแล้วหลับตาลง ด้วยเธอเองก็ห่วงใยในตัวบุตรชายอยู่ไม่น้อยหรือแม้กระทั่งสามีที่เป็นรั้วของชาติก็มีสีหน้ากังวลใจเช่นกัน และที่ทั้งสองปลีกตัวมานั่งทำงานอดิเรกก็เพียงเพื่อบรรเทาความห่วงใยที่มีต่ออนิลบถเท่านั้น

 

   เคอร์ติส ฮอว์กสี่ลำบินเหนือน่านฟ้าชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน สกัดกั้นเครื่องบินรบของฝ่ายตรงข้ามไม่ให้มีโอกาสทิ้งโจมตีทิ้งระเบิดลงบนผืนแผ่นดินไทยอย่างเช่นสองสัปดาห์ก่อน หลังจากผลักดันเครื่องบินรบของฝ่ายตรงข้ามสำเร็จแล้ว อนิลบถ มนตรี บรรจบ และศรุตยังคงบังคับอากาศยานคู่ใจลาดตระเวนต่อตามแผนที่วางไว้ เพื่อสอดส่องป้องกันไม่ให้มีการเคลื่อนกำลังทางบกข้ามเขตแดนเข้ามา

   “วันนี้พวกคุณทำดีมาก ไปพักเอาแรงกันก่อน เผื่อคืนนี้ฝั่งนั้นจะมาป่วนอีกรอบ”

   “ครับ” อนิลบถ มนตรี บรรจบ และศรุตขานรับ ทำความเคารพผู้บังคับบัญชา จากนั้นจึงกลับไปยังเรือนพักชั่วคราว 

   

   ความมืดในคืนเดือนแรมแผ่คลุมเรือนนอนอันเงียบสงัด เหล่าทหารกล้าที่เหนื่อยล้าจากภารกิจมาทั้งวันต่างพากันเข้าสู่ห้วงนิทรา ทว่ามีทหารนายหนึ่งที่ยังคงลืมตามองม่านมุ้ง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นก่ายหน้าผาก พลางนึกย้อนถึงบทสนทนาระหว่างตนเองกับเพื่อนร่วมทีม

   ‘ฉันว่าพวกมันรุกรอบนี้ไม่จบง่ายๆแน่ว่ะ’ บรรจบเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งสี่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และขึ้นไปนั่งเอนหลังพิงหัวเตียงเรียบร้อยแล้ว

   ‘นั่นสิ วันนี้ก็เกือบเสียท่าไปหลายรอบ’ ศรุตว่าต่อ

   ‘นายก็อย่าใจร้อนตามเกมส์ของพวกมันสิวะ บินตามแผน’ อนิลบถกล่าว 

   ‘ขอโทษว่ะ ฉันแค่อยากปิดงานนี้ไวๆ’ ศรุตอ้อมแอ้มตอบ

   ‘ฉันรู้ว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกมันกดดันเรามากแค่ไหน แต่นายอย่าลืมสิว่าถ้าพวกเราคนใดคนหนึ่งผิดแผนจะพังกันไปหมด นายด้วยมนตรีอย่าร้อนตามไอ้รุตอีกคน’ อนิลบถเอ่ยกับศรุต แล้วหันไปปรามมนตรีในท้ายประโยค

   ‘โทษทีว่ะ วันนี้เป็นฉันเองที่ใจร้อน ถ้าไม่ได้ไอ้รุตบินตามไปช่วย ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นไงบ้าง’ มนตรีตอบ

   ‘เอาเถอะแต่ต่อไปต้องมีสติให้มาก มากันสี่คนก็ต้องกลับพร้อมกันทั้งสี่คน’ บรรจบสรุป

   ‘ฉันจะไม่ยอมเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่อย่างวีรบุรุษเด็ดขาด เสร็จภารกิจกลับพระนครเมื่อไรฉันจะไปฝากท้องที่บ้านไอ้เวหาทุกวัน’

   ‘...’

   อนิลบถ บรรจบ และศรุตหันไปมองคนที่เพิ่งประกาศว่าจะไปฝังตัวอยู่บ้านคนอื่นทุกวันอย่างพร้อมเพรียง มนตรีอ่านคำถามผ่านแววตาของเพื่อนร่วมทีมทั้งสามแล้วไหวไหล่เบาๆก่อนขยายความต่อ

   ‘ก็วันนั้นฉันยังกินข้าวมันไก่ไม่หมดจาน กลับไปรอบนี้จะขอลองฝีมือปักษาเมนูอื่นบ้าง’

   อนิลบถถอนหายใจ พลิกตัว หรี่ตามองคนที่ทิ้งประโยคปริศนาเอาไว้แต่เพียงเท่านั้นแล้วรีบทิ้งตัวลงนอนปิดทุกบทสนทนา ที่ไม่ว่าเขา บรรจบ และศรุตจะทั้งฉุดทั้งรั้งขึ้นมาคาดคั้นต่อสักเพียงใด แต่มนตรีก็ยังคงหลับตาฮัมเพลงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว นานหลายนาทีจนพวกเขาถอดใจ แยกย้ายกันไปนอน 

   “นายกำลังคิดบ้าอะไรอยู่” อนิลบถพึมพำกับตัวเองอยู่ในความมืด พลิกตัวขึ้นนอนหงายอีกรอบ ยกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วถอนหายใจ 

 

   ตูม !

   ตูม !

   ตูม !

   เสียงกัมปนาทของอาวุธที่มีอำนาจในการทำลายล้างสูงดังขึ้นสามครั้งติด ในช่วงยามสามย่างสามสี่ สร้างความโกลาหลให้แก่ฐานรบอย่างสุดประมาณ นายทหารที่อยู่ในเวรยามต่างกระโดดเข้าที่กำบัง ส่วนนายทหารที่ผลัดไปพักผ่อนรีบสวมเครื่องแต่งกายแล้ววิ่งออกไปรอรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอย่างทันท่วงที เมื่อได้รับยุทธวิธีจากผู้บังคับบัญชา มนตรีกับบรรจบจึงวิ่งขึ้นไปประจำตำแหน่งบนเคอร์ติส ฮอว์กส่วนอนิลบถนั้นขึ้นไปเตรียมพร้อมบนวอจ์ต คอร์แซร์ในตำแหน่งนักบิน ส่วนศรุตขึ้นประจำตำแหน่งพลปืนหลัง

   สองเครื่องบินขับไล่พร้อมหนึ่งเครื่องบินโจมตีทะยานขึ้นสู่ฟ้า แม้นว่าแสงจันทร์ในคืนแรมจะมืดสลัว ทว่านั่นกลับไม่เป็นปัญหาต่อการทำยุทธเวหากับผู้รุกรานแม้แต่น้อย อนิลบถนำวอจ์ต คอร์แซร์เข้าสกัดเครื่องบินรบของฝ่ายตรงข้ามตามยุทธวิธีที่เคยฝึกฝนมา เมื่อสบจังหวะศรุตจึงยิงเครื่องบินรบลำแรกที่อยู่ในวิถีได้อย่างแม่นยำ นกยกปีกเหล็กเคว้งคว้างกลางอากาศก่อนจะร่วงลงสู่พื้น 

   “แจ๋ว !” ศรุตเฮลั่น ส่วนอนิลบถนั้นเพียงแค่ยกมุมปากขึ้น เพ่งสายตาและสมาธิไปกับการบินหลบกระสุนของฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับหาโอกาสให้ศรุตได้เผด็จศึกอย่างเช่นก่อนหน้า

   เครื่องบินฝ่ายตรงข้ามสองลำทะยานขึ้นสูงก่อนจะกดหัวลงหวังไล่กวดวอจ์ต คอร์แซร์ ซึ่งอนิลบถเองก็ไม่ยอมเป็นเป้านิ่งกดหัวเครื่องบินโจมตีลงเพื่อหนี ก่อนจะเชิดหัวอย่างรวดเร็วจนฝ่ายไล่กวดไม่ทันตั้งตัว เมื่อบินสวนขึ้นในระยะที่พอเหมาะศรุตจึงสาดกระสุนใส่เจ้านกเหล็กลำที่สองและสามราวจับวาง 

   “กระสุนจะหมดว่ะ”

   “อืม” อนิลบถฮัมฮัมรับ ตั้งสติและประคองเครื่องเพื่อกลับฐาน ทว่าฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ปล่อยให้เขาบินออกจากวงล้อมไปได้ง่ายๆ 

   “จัดการพวกมันได้อีกกี่ลำ”

   “หนึ่ง” ศรุตตอบโดยละคำว่าหากสามารถเล็งเป้าได้อย่างแม่นยำไว้ในใจ

   อนิลบถกวาดสายตามองเครื่องบินรบสามลำที่สลับการสาดกระสุนใส่ไม่ยั้ง ประเมินจากสายตาและประสบการณ์ หากฝ่าวงล้อมออกไปไม่ได้ในตอนนี้ ไม่แคล้วว่าจะต้องกลายเป็นวีรบุรุษอยู่ที่นี่ ในขณะที่วอจ์ต คอร์แซร์กำลังตกที่นั่งลำบากอยู่นั้นเคอร์ติส ฮอว์กสองลำก็แหวกวงล้อมเข้ามาช่วย มนตรีและบรรจบบังคับเครื่องยนต์ขับไล่ฝ่ายตรงข้ามจนร่นถอยออกไปจากน่านฟ้า 

อนิลบถคำนวณระยะการบินเพียงชั่วลมหายใจเข้าออก เมื่อประเมินได้ว่าตนสามารถนำเครื่องเข้าไปในเขตของฝ่ายตรงข้ามได้ จึงบังคับวอจ์ต คอร์แซร์ข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม

ตูม!

ตูม !

ตูม !

วอจ์ต คอร์แซร์ระดมทิ้งระเบิดใส่จุดยุทธศาสตร์ต่างๆ แม้ว่าจะด้วยความมืดจึงไม่อาจเล็งเป้าภาคพื้นได้แม่นยำนัก แต่อนิลบถกับศรุตก็มั่นใจว่าฐานเสบียงคือหนึ่งในนั้นที่เละเป็นจุล

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น