2

2

2

 

น่าโมโหเป็นบ้า แต่อันองค์ก็ระงับอารมณ์ไว้ได้อย่างรวดเร็ว ความโกรธไม่เป็นปัญหาของเธอมานานแล้ว หญิงสาวเลือดเย็นกับตัวเองมากพอที่จะจัดการความโกรธได้ทุกระดับ

ความกลัวต่างหากที่เป็นปัญหาของเธอ

ดวงตาสีเขียวจ้องสีหน้าเคืองขุ่นนั้นอย่างไม่ให้พลาดสักการเปลี่ยนแปลง ใบหน้าหญิงสาวมีรอยครุ่นคิดก่อนดวงตาสีดำจะหรี่ลงนิดๆ แล้วค่อยเงยขึ้นสบตาเขานิ่งๆ เพื่อทำลายทฤษฎีการโกหกขณะบอกว่า

"คุณอัคราอาจเคยมีลูกสาว แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว หลีก!" คนพูดพยายามดันคนตัวโตซึ่งยืนขวางทางมาพักใหญ่แล้วให้พ้นทาง

แต่นอกจากไม่เป็นผลแล้ว ยังให้ผลตรงกันข้ามเพราะกาเบรียลตอบสนองการต่อต้านนั้นด้วยการก้าวเข้ามาชิดตัวยิ่งกว่าเดิม เขาดันเธอจนติดผนังข้างประตูทางหนีไฟพร้อมกับถาม

"ทำไมตอนนี้ถึงไม่มีแล้ว"

"...ตายหมดแล้ว...ไม่มีเหลือสักคน..." อันองค์พูดเสียงต่ำ หลุบตาลงอย่างใช้ความคิดว่าจะหาวิธีไหนให้ไอ้หมียักษ์ตรงหน้าหลีกทางให้เธอ

"งั้นทำไมเขาถึงยืนยันว่ามีลูกสาวล่ะ"

หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เงยมองหน้าเขาอย่างพยายามจะจับอารมณ์ให้ได้ แต่หมอนี่ก็หน้าตายชะมัด จะโกหก หรือล้อเล่น หรือไล่ต้อน อันองค์ก็ไม่เคยอ่านสีหน้าเขาออกเลย...

อ้อ ยกเว้นตอนที่เขาคุกคามนะ อันนั้นอารมณ์อย่างฆาตกรออกมาชัดแจ๋ว ไม่ต้องอ่านอารมณ์อะไรเลย

"งั้นคุณก็คงต้องไปถามเขาเองแล้วละ" คำตอบแบบกัดฟันอย่างคนหมดความอดทนทำให้ดวงตาสีเขียวเป็นประกายวูบ 

กาเบรียลยิ้มเหี้ยมเกรียมใส่ดวงตาดำจัดที่เริ่มตื่นตระหนกของหญิงสาว

"ผิด!" คนพูดจับไหล่เธอ หมุนร่างบางให้หันหน้าเข้าหาผนัง แล้วเตะขาหญิงสาวให้แยกออก กดเธออัดผนังในท่าเดียวกับที่ตำรวจใช้ตรวจค้นผู้ต้องสงสัย

อันองค์สบถขณะเจ้าของมือใหญ่ๆ ลงมือค้นตัวเธอ

"หลังจากที่คุณขึ้นมา ลิฟต์ก็ถูกปิดทาง หนีไฟโดนล็อก โทรศัพท์ของโรงแรมใช้การไม่ได้ แถมทีมบอดีการ์ดของผมยังขาดการติดต่อไปอีก มีเหตุผลดีๆ บอกผมไหมว่าทำไม" กาเบรียลเป่าลมหายใจพร้อมเอ่ยคำถามอยู่เหนือหัว มือใหญ่ตะปบแรงๆ ไปทั่วตัวเธอซ้ำๆ อย่างหยาบคายที่สุด

ชายหนุ่มพบว่าร่างบอบบางของหญิงสาวนั้นผอมกว่าที่คิดเสียอีก...แต่ก็ไม่ทั้งหมด จากสัมผัสที่เขาลูบผ่านแรงๆ อย่างจงใจเสียหลายรอบบอกให้รู้ว่านอกจากเอวคอดเล็กนิดเดียว แล้ว...ร่างบอบบางยังซ่อนเนื้อหนังในสัดส่วนที่ทรยศต่อความผอมบางของเจ้าของร่างไปหลายนิ้ว

ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีเพียงเสื้อผ้าหลวมๆ ไม่ได้ซ่อนอาวุธหรืออุปกรณ์ที่เป็นพิรุธอื่นใดไว้ได้เลย

แต่มันเป็นการไม่มีพิรุธที่มีพิรุธที่สุด นอกจากโทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดใหม่เอี่ยมเพียงเครื่องเดียว หญิงสาวไม่มีเครื่องประดับใดๆ สักชิ้น ไม่ว่าสร้อยแหวนต่างหูนาฬิกา ไม่มีแม้แต่กระเป๋าเงิน

คือ...จะไม่ยอมให้ใครระบุตัวตนเธอได้เด็ดขาดงั้นสินะ!?

"คุณเป็น เจน โด[1] หรือไง" เสียงถามดังอยู่เหนือหัวหญิงสาวขณะเขาจับดูกระทั่งในกลุ่มผมที่รวบเป็นทรงหางม้าจนหลุดลุ่ยไปหมด

"โอ๊ย!" เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นเมื่อเขาจับต้นแขนเธอหมุนตัวกลับมา

กาเบรียลมองคนถูกจับที่ส่งเสียงร้องด้วยสีหน้าเหยเกเหมือนเขาไปบีบโดนแผลเธอหรืออะไรสักอย่าง ชายหนุ่มคลายมือออก แต่ไม่ยอมปล่อยตัวเธอ เขารูดมือลงมายึดข้อมือเล็กไว้ สีหน้าเธอค่อยดีขึ้นนิดหนึ่งและยอมให้เขาพาเดินกลับมาทางห้องโถงรับรอง

อันองค์บ่นงึมงำขณะเดินตามชายหนุ่มร่างยักษ์ไป พยายามรวบผมไปด้วยขณะที่ข้อมือยังโดนล็อกไว้

กาเบรียลดึงมือเธอมาแล้วใช้ลายนิ้วมือเธอปลดล็อกโทรศัพท์ที่ยึดเอาไว้ ก่อนจะสไลด์ดูโทรศัพท์ซึ่งก็ว่างเปล่าพอๆ กันกับทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ไม่มีเบอร์โทร. เข้าออก ไม่มีรูปถ่าย เพลง คลิป ไฟล์ ไม่มีเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไอจี หรืออะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลยนอกจากข้อความเพียงไม่กี่ประโยค ซึ่งติดต่อหาผู้ติดต่อที่มีแค่คนเดียว ราวกับเธอเพิ่งได้โทรศัพท์เครื่องนี้มาเดี๋ยวนี้เอง

"เจออะไรมั้ย" 

คำถามขุ่นเคืองกับนัยน์ตาดำจัดดุดันนั้นทำให้กาเบรียลจำต้องคืนเครื่องมือสื่อสารให้เธอที่ยังไม่วายทำปากเบ้ บ่นงึมงำในคอ

เมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณโถงกลาง อเล็กซ์ก็เข้ามารายงานด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

"ทีมอื่นติดต่อไม่ได้เลย มีทีมเดลแจ้งมาว่าพบความผิดปกติรอบๆ โรงแรมครับเหมือนมีการตรึงกำลังคน แต่เราไม่ทราบฝ่าย" อเล็กซ์รีบรายงานเมื่อรู้ว่าเจ้านายอารมณ์บูด

"อรรถ?" กาเบรียลสั่งกึ่งถามเสียงห้วน ทำให้อเล็กซ์รู้ว่าผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่งยวดแล้ว

"ติดต่อไม่ได้เลยครับ" คำตอบนั้นยิ่งเรียกประกายขุ่นมัวในดวงตา และสีหน้าเหมือนจะฆ่าคนบนดวงหน้าหล่อเหลาของผู้เป็นนาย

"ทำไมคุณถึงรู้จักอรรถกับคุณอัครา?" อันองค์ถามสิ่งที่สงสัยมาสักพัก

สำหรับคนรวยระดับนี้ คุณอัคราซึ่งเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของเอเชียก็คล้ายแค่เศรษฐีบ้านนอกเท่านั้นมั้ง ไม่มีเหตุผลใดเลยที่เขาจะมาติดต่อพบปะด้วยตัวเอง ในเมื่อเขามีผู้บริหารส่วนตัว...เฉพาะธุรกิจสีขาวและสีเทา...เท่าที่รู้ก็เป็นร้อยได้มั้ง ยิ่งในพื้นที่มีคนบริหารแทนอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยิ่งไม่น่าที่จะให้คนอย่างเขาถึงกับเดินทางมาติดต่อเองได้

กาเบรียลตวัดตาขุ่นมองเธอ แต่ก่อนจะได้ระเบิดอารมณ์ใส่กัน โทรศัพท์ของอันองค์ก็สั่นระรัวขึ้นเสียก่อน   หญิงสาวก้มหน้าก้มตาพึมพำขอตัวรับโทรศัพท์ เปลี่ยนโหมดไปพูดภาษาไทยโดยไม่สนใจเรื่องมารยาท ท่ามกลางสายตาจับจ้องอย่างจะหารอยพิรุธของหมียักษ์

"ว่ามา" อันองค์พูดสายสั้นๆ ฟังอีกฝ่ายรายงานสถานการณ์อะไรบางอย่างมาได้แค่สองสามประโยคเมื่อโทรศัพท์มือถือถูกดึงจากมือเธอไปกดเปิดลำโพงอย่างถือวิสาสะที่สุด

"เฮ้!" อันองค์อุทานอย่างโมโหที่ถูกแย่งของไปซึ่งหน้า

"เจอรายงานไดนาไมต์หายไปจากคลังเหมือง A ของคุณอัครา...นั่นเสียงอะไร" เวย์หรือชื่อจริงของมันคือเวนไตย ผู้ที่ยังไม่รู้ชะตากรรมเจ้านายรายงานต่อเนื่อง เสียงดังออกลำโพงได้ยินกันชัดแจ๋ว แม้ส่วนใหญ่เป็นภาษาไทยแต่ชื่อระเบิดนั้นคงไม่มีใครไม่รู้จัก

อันองค์สูดลมหายใจลึก สบดวงตาสีเขียวเหมือนดวงตาปีศาจเหมือนจะถามว่า...

ฟังภาษาไทยออกหรือไงยะ

ถ้างั้น...ก็ดั้ย!

อันองค์มองเขาอย่างท้าทายขณะบอกคนของตัวเอง

"ไม่มีไรแค่โดนแย่งโทรศัพท์ไป ว่าต่อ ได้ของหายไปปริมาณแค่ไหน"

"...น่าจะสักยี่สิบกิโลมั้ง กับอีกเรื่องหนึ่ง คนของอรรถล้อมที่นั่นไว้หมดแล้ว...อัน"

เยี่ยม! ไดนาไมต์ยี่สิบกิโล มันมีกำลังระเบิดได้แค่ไหนนะ

"ไอ้อัน!" ลูกน้องขึ้นเสียงใส่เธอผ่านสปีกเกอร์

"อะไรเล่า" อันองค์ตวัดเสียงถามกลับไป

"ฉันบอกแกไปรึยังว่าหมอนั่นฟังภาษาไทยรู้เรื่องน่ะ"

ทำไมมันเพิ่งมาบอกตอนนี้!?

"..."

ฉิบหาย...ละสิ!

หญิงสาวตวัดนัยน์ตาดำจัดสบนัยน์ตาสีเขียวที่มีแววรู้ทัน มิน่าล่ะ ถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลที่เขายอมให้เธอพ่นภาษาที่เขาไม่รู้จักรัวๆ โดยไม่รู้ว่าพูดอะไรกับใคร

อันองค์ถอยก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณระแวงภัย ก่อนถูกคนตัวโตดึงกลับมาชิดตัว เพราะเขายังไม่ได้ปล่อยข้อมือบอบบางที่ยึดไว้

"คุณเป็นใครกันแน่?" คนเสียงห้าวถามเป็นภาษาไทยชัดเป๊ะ

เพิ่งรู้ว่าหมีกริซลีพูดไทยได้นะเนี่ย น่าจับส่งไปเลี้ยงดูอยู่สวนสัตว์เปิดซะจริง!

หญิงสาวทำปากเบ้ใส่มือใหญ่ที่กำข้อมือเธอไว้ โคตรเกลียดสีหน้าเป็นต่อและรอยเยาะหยันในดวงตาสีเขียวนี่เลย

"ฉันก็...แค่คนที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาน่ะ มิสเตอร์ คุณควรให้คนเริ่มค้นหา...ได้แล้วมั้งคะ" หญิงสาวไม่ตอบคำถาม แต่เตือนเขา เพราะควรให้ความสำคัญกับสถานการณ์คับขันมากกว่าการติดตามถามชื่อเธอ

ชายหนุ่มหรี่ตาอย่างคาดโทษก่อนหันไปออกคำสั่งกับอเล็กซ์ ที่พากลุ่มบอดีการ์ดกระจายตัวกันออกไปค้นหาวัตถุต้องสงสัยภายในบริเวณที่พักหรูหราของห้องสวีตกว้างหลายร้อยตารางเมตร มันกลายเป็นฝันร้ายของทีมทันทีเมื่อต้องตรวจหาวัตถุต้องสงสัยในพื้นที่กว้างขนาดนี้

"บอกลูกน้องคุณให้รายงานสถานการณ์มาซิ" กาเบรียลสั่ง

หญิงสาวกัดฟันกรอดกับ 'บอส' หมาดๆ ที่มาสั่งให้เธอสั่งลูกน้องอีกที

‘หน็อย...ไอ้หมอนี่!’

แล้วไอ้ลูกน้องเวรตะไลของเธอก็ดันรู้งานเป็นอย่างดี เพราะมันเปลี่ยนไปรายงานเป็นอังกฤษเสียละเอียดยิบเพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจด้วย 

"คนของอรรถราวห้าสิบคน กระจายตัวล้อมไว้อยู่ที่ด้านนอกราวยี่สิบคน ที่เหลือขึ้นชั้นบนกับลานจอดรถ คนของมิสเตอร์กาเบรียลโดนประกบไว้หมดแล้ว" 

"เหลือตรงไหนให้หนีได้บ้างยะ!" อันองค์หัวเสีย

"ระเบียงไง" เวนไตยบอกกลั้วหัวเราะที่เรียกเสียงสบถจากเจ้านายได้

จังหวะนั้นเองที่ลูกน้องของกาเบรียลเข้ามารายงานว่าเจอสิ่งที่ค้นหาแล้ว แท่งไดนาไมต์ถูกซุกซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ อย่างมิดชิดรวมเจ็ดจุด พวกมันกระจายทั่วพื้นที่อย่างไม่ยอมให้มีใครรอดจากแรงระเบิดไปได้ โชคดีที่มันเป็นแบบตั้งเวลา แต่ข่าวร้ายคือเหลือเวลาราวๆ สิบนาที

"มิสเตอร์ ลูกน้องคุณมีใครปลดชนวนระเบิดได้มั่งหรือเปล่า" หญิงสาวหันมาถามอย่างมีความหวัง เผื่อมีใครเป็นอดีตหน่วยเก็บกู้ระเบิดไง แต่เหมือนหมียักษ์จะไม่เข้าใจ เขาหันมาส่งสายตาเย็นชาใส่เธอ

"คุณยังไม่เคลียร์ตัวเองเลยนะว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือใครส่งคุณมา" กาเบรียลระบายความหงุดหงิดโดยปรักปรำใส่ผู้ต้องสงสัยตรงหน้า

"ให้มันน้อยๆ หน่อยนะ" อีตากริซลี...อันนี้กล้าเรียกแค่ในใจ ขืนรู้ว่าเธอเรียกเขาเป็นหมีคนตัวโตคงได้ตะปบเธอเข้าจริงๆ

"ฉันเป็นเหยื่อเหมือนกันย่ะ! ฉันบินมาสิบสี่ชั่วโมง ต้องมาโดนปืนจ่อพุงจากสนามบิน ข้าวเขิ้วก็ยังไม่ได้กิน นอนก็ไม่ได้นอน แถมต้องมาเจอระเบิด แล้วนายยังมาปรักปรำฉันอีกเนี่ยนะ" อันองค์รัวภาษาไทยเป็นชุด เริ่มจิตหลุดจากการไม่ได้นอนเกินยี่สิบสี่ชั่วโมง ตาดำจัดเป็นประกายวาววับขณะต่อสายตากับนัยน์ตาสีเขียวอย่างดุเดือด

"เฮ้ย ใจเย็น...อย่าเพิ่งสามัคคีกันตอนนี้ ต้องช่วยกันหาทางหนีก่อน" เวนไตยรีบห้ามศึกก่อนเจ้านายตัวเองจะกินหัวหมี

"แกปลดชนวนระเบิดผ่านโทรศัพท์ได้มั้ยล่ะ" หญิงสาวตีรวนใส่ลูกน้อง

"คนวางระเบิดแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัวนะ ไม่ใช่สายไฟสีแดงเขียวน้ำเงินเหมือนในหนัง ถ้าปลดมั่วเกิดมันระเบิดขึ้นมาไม่คุ้มกันนะเว้ย ไดนาไมต์มันยิ่งติดไฟง่ายอยู่" เวนไตยที่อยู่ปลายสายอธิบายอย่างใจเย็นได้...เพราะมันไม่ได้อยู่ในห้องที่กำลังจะระเบิดในอีกเก้านาทีไง!

"เวย์...ระเบิดยี่สิบกิโล นี่มันทำลายล้างได้แค่ไหนกันนะ ถ้า...ยืนอยู่ใกล้ๆ มีสิทธิ์ตายแบบไม่ทรมานปะ" อยู่ๆ ตาสีดำของอันองค์ก็มีประกายวิบวับขึ้นมาและถามอะไรแปลกๆ กับลูกน้องตัวเอง

"ไม่มีทาง!" เวนไตยที่ปลายสายเสียงแข็งเข้าใส่พร้อมข่มขู่ "แกอาจเละเจ็บหนัก ไส้ทะลัก ถูกเบิร์นเป็นแผลไฟไหม้ระดับสามประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของร่างกาย และไอ้อรรถอาจตามมาเก็บซากแกไปทรมานต่อทั้งอย่างนั้นโดยไม่ให้ตาย"

ริมฝีปากบางของหญิงสาวบิดเบ้อย่างขัดใจหลังฟังข้อมูลประกอบการตัดสินใจนั้นจบลง

"...โอ๊ะโอ...อัน! พวกมันถอนคนจากตึกแล้ว ได้เวลาเผ่นแล้ว...เร็ว!" เสียงเวนไตยจากสปีกเกอร์ร้อนรนขึ้น ดูเหมือนเขาอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ พอจะเห็นสถานการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

"เผ่นยังไงวะ ให้โดดจากระเบียงรึไง" อันองค์แหวใส่เมื่อลูกน้องเธอสั่งให้หนีจากห้องปิดตายชั้นสิบแปด

"ไม่น่าจะรอด แต่คงต้องลอง" ลูกน้องเธอบอกกลั้วหัวเราะ

"จะบ้าเรอะ! นี่มันชั้นสิบแปดนะเฮ้ย!" อันองค์ตะโกนโต้ตอบลั่นห้อง

"ไปที่ระเบียง" เวนไตยสั่ง คราวนี้ด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานขึ้น

กาเบรียลหันไปสั่งคนของเขาให้เตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินก่อนเดินออกมาดูที่ระเบียงโดยมือยังกำแน่นอยู่ที่ข้อมือเล็ก เลยเป็นการลากหญิงสาวออกไปด้วยพร้อมกัน

"ชะโงกดูด้านล่าง เป็นสระลึกสองเมตร" เวนไตยบอก

เมื่อชะโงกดูก็พบว่าด้านล่างเป็นสระน้ำจริงๆ สระว่ายน้ำสีฟ้าน้ำใสแจ๋วน่าเล่นที่สุด

"จะให้ฉันโดดลงจากชั้นสิบแปดเนี่ยนะไอ้บ้า!" อันองค์แหวใส่ "ความสูงขนาดนี้เท่ากับโดดใส่คอนกรีตสิวะ ฉันไม่โดดโว้ย!"

หญิงสาวขืนตัวจะหนีขณะที่ชายหนุ่มร่างยักษ์ชะโงกตัวมองลงไปเหมือนคำนวณความเป็นไปได้ ขณะยังยึดข้อมือเธอไว้แน่น

"อืม...ฉันก็ว่างั้น แกไม่กล้าโดดหรอก แถมด้านล่างยังมีคนของอรรถอยู่เต็มเลย ไม่น่าจะรอดหรอก หันมาทางซ้ายมือดิ" เสียงจากโทรศัพท์ยังยียวน 

เมื่อหันไปทางซ้ายมือตามที่บอกก็พบว่าด้านข้างของอาคารห่างไปราวๆ เกือบยี่สิบเมตรเป็นดาดฟ้าของอาคารอีกหลังหนึ่ง ต่ำกว่าชั้นสิบแปดของโรงแรมลงไปราวสองชั้นมีผู้ชายไทยร่างผอมสูงยืนยิ้มเผล่แบบโคตรกวนตีนให้อยู่ พร้อมลูกน้องอีกสองสามคนที่วิ่งวุ่นไปมาตีนแทบพลิก

"โดดข้ามมาตึกนี้สิ" เวนไตยบอกพลางโบกมือให้จากตึกข้างๆ 

คือ...มันพูดโคตรง่ายเลย จะให้โดดจากระเบียงข้ามไปดาดฟ้าตึกห่างกันเป็นสิบยี่สิบเมตรเนี่ยนะ!

"จะบ้าเรอะ! เห็นฉันเป็นสไปเดอร์แมนรึไง! คิดว่าฉันติดอุปกรณ์อะไรที่มันใช้โดดข้ามตึกมาด้วยรึไงยะ!?" อันองค์ตะโกนด่าข้ามตึก

ลูกน้องเธอหัวเราะใส่โทรศัพท์ขณะขะมักเขม้นอยู่กับรีโมตรูปร่างประหลาดในมือ อันองค์เพิ่งเห็นว่าขณะที่กวนประสาทเธออยู่ เวนไตยก็กำลังบังคับโดรนตัวหนึ่งให้บินข้ามตึกมาพร้อมด้วยเชือกนิรภัยเส้นใหญ่ยาว

"แกไปเรียนบังคับโดรนมาจากไหน" หญิงสาวถามลูกน้องคนสนิทอย่างอัศจรรย์ใจสุดๆ เพราะอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี เธอไม่เคยเห็นมันใช้อุปกรณ์ตัวนี้มาก่อน

"จากที่นี่ เดี๋ยวนี้เนี่ยแหละ" เวนไตยเฉลยพร้อมกับเกือบบังคับยานบินลำจิ๋วซึ่งบรรทุกอุปกรณ์ช่วยชีวิตทุกคนไปโหม่งตึก แต่เขารีบร้อนรนดึงมันกลับมาได้ในนาทีสุดท้าย ขณะคนฝั่งนี้กลั้นหายใจ จดจ่อรอจนใจลุ้นระทึก

เป็นชั่วเวลาแค่ราวๆ สองนาทีที่สุดแสนจะยาวนานกว่าเวนไตยจะบังคับอุปกรณ์ที่เคยจับเป็นครั้งแรกให้มาถึงจุดหมายจนได้ ท่ามกลางการถอนใจโล่งอกของทุกคน ลูกน้องของกาเบรียลรีบตะครุบอุปกรณ์ช่วยชีวิตไว้อย่างรู้งาน รีบนำเชือกเส้นนั้นไปหาที่มัดตรึงไว้อย่างแน่นหนา เพื่อสร้างสะพานเชือกให้โหนตัวข้ามตึก

"เตรียมพร้อมยอดเยี่ยมดีมาก! ฉันไม่ตัดเงินเดือนแกเดือนนี้ก็ได้" อันองค์พูดเหมือนจะตกรางวัลให้อย่างใจดี แต่ที่จริงไม่ให้อะไรเลย

"เดี๋ยวๆ เขามีแต่ต้องขึ้นเงินเดือนให้ไม่ใช่เรอะ" เวนไตยโวยวายขณะยกข้อมือดูนาฬิกา

"ทำให้ฉันตกอยู่ในอันตรายขนาดนี้ แถมยังมาช่วยช้า ยังมีหน้ามาต่อรองอีกเรอะ" หญิงสาวเข่นเขี้ยว

โดรนตัวที่สองมาพร้อมอุปกรณ์เชือกนิรภัยที่มีเข็มขัดและตะขอเกี่ยวซึ่งเป็นอุปกรณ์โรยตัวสำหรับนักปีนเขา หรือคนทำงานบนที่สูงอย่างครบคน เพราะเวนไตยเช็กจำนวนคนมาก่อนแล้ว

คนของกาเบรียลทยอยโหนตัวผ่านไปเพื่อเคลียร์พื้นที่และตรวจดูความปลอดภัยของตึกฝั่งตรงข้าม อุปกรณ์หลายอย่างของทางฝั่งนี้ที่ขนได้ถูกขนไปพร้อมกันอย่างว่องไวและเป็นมืออาชีพ เหลือคนระวังหลังอีกคนกับกาเบรียลที่ติดตั้งสายรัดนิรภัยให้ตัวเอง เสร็จแล้วชายหนุ่มหันมาส่งสัญญาณให้เธอ...เลดี้เฟิสต์

"ฉะ...ฉันไม่ไปหรอก" อันองค์ที่ยังไม่ยอมสวมอุปกรณ์ช่วยชีวิตส่ายหัว หน้าซีด

"มิสเตอร์เฮย์เดนครับ ขอความกรุณาด้วยครับ" ไอ้ลูกน้องตัวดีของเธอบอกกลั้วหัวเราะมาตามสปีกเกอร์ที่ยังเปิดสื่อสารกันอยู่ ก่อนเวนไตยจะเร่งเร้าด้วยเสียงที่จริงจังไม่มีร่องรอยสนุกสนานอีกต่อไป

"เหลืออีกไม่ถึงนาทีแล้วเร็วเข้า!" 

กาเบรียลไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายหนุ่มคล้องห่วงนิรภัยของตัวเองเข้ากับเชือก ก่อนหันมาคว้าเอวบางของหญิงสาวที่ไม่ยอมสวมอุปกรณ์ป้องกัน และถึงบังคับให้สวมก็คงไม่ทันแล้ว เขาจึงรัดตัวเธอไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งขณะใช้อีกมือควบคุมอุปกรณ์นิรภัยพาตัวเองและร่างที่หนักไม่น่าจะเกินสี่สิบห้ากิโลกรัมพุ่งออกจากตึกทันที

อันองค์ตัวแข็งค้างอยู่ในอ้อมแขนของร่างใหญ่โต เธอไม่กล้าดิ้นและไม่กล้าร้อง เพราะจะเป็นการชี้เป้าให้ศัตรูรู้ หญิงสาวทำได้เพียงซุกหน้ากับอกเสื้อสูทตัวเนี้ยบของหมียักษ์และกัดสิ่งที่อยู่ใกล้หน้าอย่างโมโหให้สมกับที่ถูกบังคับให้ทำอะไรแบบนี้!

กัดเขาเข้าไปจมเขี้ยว นึกว่ากาเบรียลจะเหวี่ยงเธอทิ้งลงกลางทางเสียแล้ว แต่เมื่อทั้งคู่ลงถึงพื้นของดาดฟ้าตึกข้างๆ เรียบร้อย เขาก็ยังไม่เหวี่ยงเธอทิ้งลงพื้น ชายหนุ่มเพียงคลายอ้อมแขน ปล่อยให้ร่างบอบบางไถลลงไปกองกับพื้นและไม่ยอมลุกขึ้นมาอีกเลย

อันองค์ไม่หือไม่อือ แม้เสียงระเบิดจะดังกึกก้อง แรงอัดอากาศกระแทกจนรู้สึกได้ เพราะอยู่ห่างกันไม่ถึงยี่สิบเมตร เปลวไฟร้อนๆ ลุกท่วมชั้นที่ทั้งหมดเพิ่งหนีตายกันออกมาอย่างเฉียดฉิว 

เวนไตยเดินมาเขี่ยลูกพี่ของเขา

"เฮ้ย!...ลุก! ต้องรีบไปแล้ว ขืนช้าอรรถได้ส่งคนมาแน่ เร็ว!" เวนไตยหิ้วคอเสื้อหญิงสาวขึ้น แต่เมื่อเขาปล่อยมือ อันองค์ก็ทิ้งตัวลงไปเหมือนเดิม

“ช่วยหิ้วฉันไปทิ้งลงจากตึกหน่อยสิ เอาหัวลงนะ” หญิงสาวสั่งลูกน้องด้วยเสียงอ่อนแรง 

“ตึกสิบหกชั้นตกลงยังไปมีเปอร์เซ็นต์ที่จะรอดแบบพิการ แถมเจ็บมากๆ ด้วยนะ” เวนไตยบอกกลั้วหัวเราะ 

“เผลอๆ เป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อีกคราวนี้ละ อรรถยิ้มเลยนะเว้ย” ชายหนุ่มขู่ก่อนดึงแขนเธอขึ้นพาดไหล่อย่างทุลักทุเล แม้เขาจะเป็นชายร่างกำยำ เพราะต้องถือวิทยุสื่อสารคอยออกคำสั่ง แล้วยังมีสายโทรศัพท์เสียบรอคำสั่งอยู่ข้างหู แถมยังหอบข้าวของอีกหลายอย่าง 

"ลุกเร็ว นี่ยังต้องวิ่งลงบันไดอีกสิบหกชั้นนะ แถมฉันต้องสั่งงานอีกนะเว้ย อย่าทำตัวเป็นภาระดิ อยากรอดไหมวะเนี่ย" ชายหนุ่มปลดเป้ออกจากหลังเจ้านายมาโยนส่งๆ ให้คนของเขาอีกคนที่ติดตามมา และทำท่าว่าต้องเข้ามาช่วยหิ้วปีกเจ้านายตัวเอง

กาเบรียลถอนใจ ตัดสินใจเดินมา 'หิ้ว' ร่างบางไปจากเวนไตยเสียเอง เมื่อสรุปสถานการณ์ได้ว่ายังต้องให้อีกฝ่ายช่วยเหลือเพื่อออกไปจากที่นี่ เพราะไม่เห็นแววว่าลูกน้องทีมอื่นของเขาจะสามารถเคลื่อนไหวได้

"มีรถมาไหม บอกทางให้ลูกน้องผมด้วย" เขาสั่งพร้อมกับช้อนอุ้ม 'ตัวภาระ' ขึ้นมาไว้เสียเอง พร้อมสั่นหัวปฏิเสธเมื่ออเล็กซ์ก้าวเข้ามา ทำท่าจะรับตัวหญิงสาวไปจากเขา

เมื่อร่างเล็กบางมาอยู่ในอ้อมแขนหมียักษ์ก็ดูไม่ค่อยเป็นภาระสักเท่าไร เวนไตยยิ้มให้แบบขอบคุณก่อนประสานงานกับคนของตัวเองและคนของชายหนุ่ม ทั้งหมดเคลื่อนขบวนลงจากตึกสิบหกชั้นไปขึ้นรถที่เตรียมรอไว้อย่างรวดเร็ว

ใช้เวลาเพียงไม่นานรถยนต์หลายคันต่างสีต่างยี่ห้อที่แทบไม่เห็นถึงความเชื่อมโยงกันก็ทยอยแล่นตามกันออกไป สวนทางกับรถตำรวจและรถดับเพลิงที่กำลังวิ่งเข้าไปในพื้นที่เกิดระเบิดกลางเมือง เสี้ยววินาทีถัดมาอาคารของโรงแรมอรรณพที่เคยเป็นโรงแรมสูงยี่สิบสองชั้นก็พลันถล่มลงมาเหลือเพียงกองซากตึก 


[1] เจน โด (Jane Doe) ชื่อในการสืบสวนที่ตั้งให้สาวนิรนามและไม่สามารถระบุตัวตน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น