3

3

3

 

"นี่มันคุกลับอิหร่านที่ไว้ทรมานเชลยหรือไง

กาเบรียลถึงกับอุทานเมื่อมองสำรวจไปโดยรอบ เขาไม่เคยเห็นบ้านใครที่เป็นสีขาวขนาดนี้มาก่อน เป็นสีขาวไปหมดทุกหนแห่ง ขาวล้วนจนแสบตาโดยไม่มีสีอื่นเจือปน

ปกติหลักการทาสีขาวในการตกแต่งบ้านมักเจือสีอื่นเพื่อไม่ให้ความขาวเจิดจ้าจนแสบตา แต่ที่นี่ทั้งผนัง ฝ้าเพดาน บานประตู รวมถึงทุกวัสดุที่ใช้ปูเดินล้วนเป็นสีขาวสะอาด แม้แต่ขอบพื้นห้องยังเพิ่มความสว่างเข้าไปอีกด้วยการเจาะช่องใส่หลอดไฟแทนตรงตำแหน่งบัวพื้น ให้แสงสีขาวสว่างออกมาให้ความรู้สึกเหมือนมีช่องแสงธรรมชาติจากภายนอกสาดเข้ามาช่วยลดความอึดอัด ภายในห้องนิรภัยที่ปิดทึบไม่มีหน้าต่างทั้งหลังนี้

แม้แต่ส่วนครัวก็เป็นสีขาวไปหมด ตั้งแต่กระเบื้องปูพื้น ผนัง เพดาน ชุดตู้ ซิงก์ล้างจาน เตาอบ แม้แต่ตู้เย็นที่เวนไตยเปิดเอานมสดออกมารินใส่แก้วสีขาวก่อนอุ่นในเตาอบเมื่อเห็นเจ้านายเดินมา

อันองค์ดูขาวซีดในเสื้อคลุมอาบน้ำขนหนูฟูหนาสีขาวกับรองเท้าแตะนิ่มๆ ที่เป็นขนฟูสีขาว มีผ้าขนหนูขาวสะอาดอีกผืนพาดคอ หญิงสาวใช้มันขยี้ผมหมาดๆ ที่ยุ่งเหยิงและมีกลิ่นแชมพูรวยริน หญิงสาวพาตัวเองมาปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สตูลสีขาวหน้าเคาน์เตอร์ครัวโดยไม่ลืมตา เธอดูเหมือนคนยังไม่ตื่น ทั้งที่หลับไปสิบกว่าชั่วโมง

"ทำไมฉันยังไม่ตาย" นั่นเป็นประโยคแรกที่เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง

มันเป็นประโยคทักทายแบบไหนกัน...

"เพราะฉันเก่งไง" เวนไตยหันมาแยกเขี้ยวยิ้มให้ขณะเอานมอุ่นวางให้ตรงหน้า 

หญิงสาวย่นจมูกพลางหยิบแก้วนมมาสูดกลิ่น แกว่งแก้วดมอยู่หลายทีเหมือนกำลังจะดื่มไวน์ สักพักก็ค่อยๆ ดื่มเหมือนกำลังวิเคราะห์รสชาติเพื่อทำรายงานสักยี่สิบหน้า

นมหมดไปครึ่งแก้ว หญิงสาวถึงเพิ่งลืมตาขึ้น แต่เหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ดวงตาคู่นั้นเหม่อลอยเหมือนอยู่ในภวังค์อันล้ำลึก

"ฉันคิดๆ เกี่ยวกับระเบิดเมื่อวานนะ ถ้าเราสร้างวัสดุที่ทำลายแรงระเบิดได้..."

"ยังไงล่ะ" เวนไตยถามขณะลงมือกวนอะไรสักอย่างสีขาวข้นในหม้อร้อนๆ แล้วเตรียมถ้วยสีขาวรอไว้

"ถ้าเราหาวิธีสร้างกระบวนการย้อนกลับปฏิกิริยาของการระเบิดได้..." หญิงสาวพ่นสูตรฟิสิกส์อะไรออกมาอีกสองสามประโยค ซึ่งไม่รู้เวนไตยเข้าใจหรือเปล่า แต่ชายหนุ่มที่ง่วนอยู่กับการคนโจ๊กสีขาวข้นเอ่ยขัดขึ้น

"จะย้อนไงวะ แก๊สกับแรงดันและความร้อนสะสมไม่ยอมย้อนกะแกแน่ แน่ใจนะว่าไอ้วิธีการย้อนกลับอะไรของแกจะไม่สร้างมหาระเบิดวินาศสันตะโรจนแล็บแหลกเหมือนหนก่อนที่แกคิดสูตรกระดาษนามบัตรพิศวงของแกอะ"

หญิงสาวทำปากเบ้ สีหน้าขัดใจ ขณะพยายามแก้ตัว "เกินไป นั่นมันก็แค่..." 

"แค่ระเบิดห้องแล็บราคาสองร้อยล้านเหรียญทิ้งไปครึ่งนึง" เวนไตยต่อให้สีหน้าเหนื่อยใจก่อนแนะนำ "คิดอะไรง่ายๆ ไม่ได้รึไง อย่างกล่องที่ครอบระเบิดแล้วทำให้มันไม่ระเบิดเป็นวงกว้างอะไรอย่างเงี้ย"

"ใครจะบ้าพกไอ้กล่องพรรค์นั้นไปไหนต่อไหนล่ะ แกจะไปขายใครได้" อันองค์แย้ง

"น่าสนใจออก ผมคิดว่าน่าซื้อนะ"

เสียงของบุคคลที่สามทำให้การสนทนาของเจ้านายและลูกน้องชะงักไป

อันองค์เพิ่งหันไปเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย มีความประหลาดใจเจืออยู่ในสีหน้าเธอ แต่ความไม่พอใจมีมากกว่าเมื่อมองไปเห็นผู้บุกรุกอยู่ในครัวสีขาวของเธอ

กาเบรียล เฮย์เดน นั่งอยู่บนเก้าอี้สตูลที่อีกฟากของครัว ห่างไปสุดความยาวของเคาน์เตอร์ เวย์คงหาเก้าอี้มาให้เขา เพราะที่นี่มีเก้าอี้แค่ตัวเดียวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว...เธอไม่เคยมีแขก ไม่ต้อนรับแขก โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขกร่างยักษ์ที่ถอดสูทสุดเนี้ยบออกไปแล้ว เหลือเพียงเชิ้ตสีขาวที่ปลดกระดุมออกสองสามเม็ด และพับแขนเสื้อจนเห็นไรขนบางๆ เต็มแผงอกและท่อนแขนที่แน่นด้วยมัดกล้าม...เหมือนหมีกริซลีไม่มีผิด! ขายาวๆ ของเขาในกางเกงสแล็กที่เมื่อไม่มีสูทตัวนอกยิ่งดูยาว

เกะกะ! หมอนี่จะตัวใหญ่ไปไหนนะ!

หญิงสาวทำปากเบ้อย่างหมั่นไส้...หมั่นไส้เลยไปถึงดวงหน้าหล่อเหลากระชากใจที่มีดวงตาสีเขียวที่มองนิ่งมายังเธอด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก

"ทำไมหมอนี่มาอยู่ที่นี่" เจ้าของบ้านหันไปเหวี่ยงใส่ลูกน้องประหนึ่งคนฟังไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย

“เพราะจำเป็นต้องอยู่ว่ะ” เวนไตยว่าพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนมอซอที่ผูกเอวไว้

ชายหนุ่มเดินไปเลื่อนบานสไลด์ของตู้แขวนผนังใบหนึ่ง เผยให้เห็นจอมอนิเตอร์ข้างใน เมื่อกดรีโมตมันก็กลายเป็นจอของเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ที่กำลังเสนอรายงานข่าวเกี่ยวกับการระเบิดเมื่อวาน

ภาพกองเศษซากปรักหักพังของโรงแรมอรรณพถูกกั้นด้วยเทปอาชญากรรมสีเหลืองเป็นเขตอันตราย มีเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานกำลังพยายามขุดกองภูเขาเศษซากนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานถึง ‘อุบัติเหตุ’ ที่เกิดขึ้น โดยไม่ทราบชะตากรรมผู้ถูกฝังอยู่ข้างใต้ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่ามีกี่คนที่สูญหายไปใต้นั้น

“อรรถคราวนี้มันเล่นใหญ่มาก ลงทุนระเบิดทิ้งทั้งตึกเลย” เวนไตยพึมพำก่อนหันมาเห็นรอยยิ้มผุดพรายที่มุมปากของนายสาว เขาหรี่ตาจ้องหน้า ส่งคำถามทางสายตาให้อันองค์

“ที่จริง...มันไม่ได้กะระเบิดทิ้งทั้งตึกหรอก...” อันองค์เอ่ยช้าๆ สีหน้ามีความสุข “คนวางระเบิดเลือกจุดที่หลีกเลี่ยงโครงสร้างหลักแล้ว ดูเหมือนมันจะผ่านการคำนวณมาเป็นอย่างดี ระเบิดจะทำลายแค่คนที่อยู่บนชั้นนั้น” 

“แล้ว?” เวนไตยซักอย่างเริ่มเข้าใจสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเธอบ้างแล้ว

“ฉันก็แค่ขยับ...นิดหน่อย ถือว่าช่วยๆ กัน โรงแรมนั้นมันก็เก่าแล้ว อีกอย่าง...พี่อรรณพเขาก็ไม่ต้องใช้แล้วนี่” คนพูดทำน้ำเสียงรื่นรมย์ดุจไม่ได้ทำเรื่องใหญ่ขนาดถล่มตึกหลายสิบชั้นนั้นเองกับมือ

“แกเอาระเบิดไปไว้ตรงโครงสร้างที่รับแรงเพื่อให้มันถูกทำลายตอนระเบิดทำงานและถล่มลงมา” เวนไตยสรุปได้ในที่สุดแล้วถอนใจเบาๆ นี่...ถ้าเมื่อวานเขาช่วยเธอออกมาไม่ได้ อันองค์ก็มีแผนสองที่จะฝังตัวเองไว้ใต้ตึกนั้นเสียเลย ประท้วงที่เขาขู่ว่าแรงระเบิดแค่นั้นอาจไม่ทำให้เธอตาย

“ใช่ และแกยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าหมอนี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” อันองค์จิกไม่ปล่อย

เซฟเฮาส์ของเธอใช่ที่ที่จะให้ใครบุกรุกเข้ามาได้แบบนี้เหรอ แล้วเธอจะยังนอนหลับลงได้อยู่อีกรึ

“อรรถส่งคนออกมาตามล่าพวกเรา” เวนไตยไม่สนใจสายตามุ่งร้ายของเจ้านายแล้วเริ่มรายงานสถานการณ์ในระหว่างที่เธอหลับไปสิบกว่าชั่วโมง

...

หากจะทบทวนถึงความผิดพลาดของเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็คงเริ่มจากเครื่องบินมาถึงเร็วเกินไป ส่วนรถที่ส่งไปรับก็เจอรถติดจากอุบัติเหตุบนถนนขวางไว้ถ่วงเวลาจนมาช้าเกินไปไม่มีเวลาเตรียมการให้เรียบร้อย

แถมตอนที่หญิงสาวลงจากเครื่องทีมบอดีการ์ดที่เดินทางมาด้วยเที่ยวบินเดียวกันและมีหน้าที่คอยคุ้มกันอยู่ห่างๆ ก็ดันทำเจ้านายหาย เพราะโดนกรุ๊ปทัวร์สามกลุ่มใหญ่เดินแทรกจนคลาดสายตา โทรศัพท์มือถือของอันองค์ก็ติดต่อไม่ได้ กว่าที่ทุกคนจะหาเธอเจอ คนของอรรถก็ชิงล็อกตัวเธอขึ้นรถไปแล้ว 

เวนไตยทำได้เพียงขับรถตามไปพร้อมประเมินสถานการณ์และประสานงานทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเธอด้วยอย่างเคร่งเครียด

ในที่สุดเมื่อถึงจุดหมายปลายทางคือโรงแรมอรรณพที่ตอนนี้อรรถเป็นเจ้าของอยู่ เวย์ค่อยถอนหายใจได้หน่อย เขาพาทีมเข้าสแตนด์บายในตึกด้านข้างอย่างไม่ลังเล เพราะมันเป็นตึกที่หุ้นส่วนของพวกเขาถือครองอยู่

...

"เดี๋ยว...คุณจะบอกว่าพวกคุณบังเอิญรู้จักกับเจ้าของตึกที่อยู่ข้างๆ โรงแรมนั้นจริงๆ น่ะเหรอ" กาเบรียลสงสัยในความบังเอิญจนเกินไป 

เวนไตยยิ้มก่อนบอกเขา "ไม่มีเรื่องบังเอิญหรอก...ทุกที่ที่เป็นทรัพย์สินของอรรถ เราต้องมีศูนย์บัญชาการประกบไว้อย่างน้อยหนึ่งแห่งเสมอ ถ้าไม่ใช่ตึกของเราเอง ก็เป็นตึกของพันธมิตรที่เราสนิทพอจะไปขอใช้พื้นที่ของเขาได้"

นั่นเป็นเหตุผลที่ชายหนุ่มไปโผล่อยู่ดาดฟ้าตึกข้างๆ และช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที

กาเบรียลทำหน้าสงสัย แต่ไม่ถามต่อ

เป็นอันองค์เสียเองที่สงสัย "แล้วนายเอาโดรนกับเชือกปีนเขานั่นมาจากไหน" 

"บังเอิญตึกนั้นมีชอปของคุณน้อยหน่าอยู่ด้วยสาขานึง" เวนไตยยิ้มกว้างเมื่อเล่าต่อ

อันองค์พยักหน้าส่งๆ ไม่สงสัยชื่อผลไม้ที่ถูกเอ่ยถึง

"อะไรคือชอปของน้อยหน่า" แต่กาเบรียลสงสัย

"ร้านค้าของคนรู้จักน่ะ" อันองค์หันมาบอกสั้นๆ แต่คนฟังยังไม่เคลียร์

"ร้านค้าคนรู้จักคุณนี่...มีทั้งโดรนและเชือก แถมยังบังเอิญมาอยู่ในตึกที่คนรู้จักของคุณเป็นเจ้าของเนี่ยนะ?"

"อันที่จริง...คงต้องบอกว่าเขาเป็นเจ้าของทั้งร้านทั้งตึกนั่นแหละ" อันองค์หันมาขยายความให้หมดความสงสัยกันไป

เวนไตยส่ายหัวให้ทั้งคู่ แต่ไม่ยอมขยายความต่อว่านอกเหนือจากร้านที่มีอุปกรณ์สารพัด ทั้งอุปกรณ์กู้ภัย อุปกรณ์เดินป่า อุปกรณ์ทางเรือ ไปจนถึงเครื่องมือที่ใช้ในการทหาร ซึ่งเขาแอบไปฉกของสองสามอย่างออกมาจากโชว์รูม โดยพนักงานไม่ได้เต็มใจให้สักเท่าไร ตัวเจ้าของร้านยังมีบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับต้นๆ ของประเทศได้และเธอได้โทร. มาโวยวายจนเขาหูชาไปเรียบร้อยแล้ว

เหตุการณ์หลังจากนั้นเวนไตยละไว้ไม่เล่าต่อ เพราะรู้ว่าเจ้านายเรื่องมากของตัวเองต้องปรี๊ดแตกแน่นอน

...

เรื่องที่เวนไตยไม่ได้เล่าคือหลังจากที่พาอันองค์ข้ามตึกมาได้อย่างเรียบร้อย แต่หญิงสาวที่นอตหลุดไปแล้วไม่ยอมไปต่อซะงั้น จนกาเบรียลต้องช่วยอุ้มเธอลงมา ยังดีที่มีลิฟต์จากชั้นดาดฟ้ามายังที่จอดรถซึ่งเวนไตยเตรียมรถเอาไว้เรียบร้อย เขาสั่งการรวดเร็ว

“มีรถแปดคัน คุณเอาไปใช้ก่อนสักสามคันก็ได้ เสร็จแล้วจอดทิ้งไว้ เดี๋ยวคนของผมตามจีพีเอสไปเอาเองขอบคุณมากที่ช่วยขนมันลงมา” เวนไตยบอกกับกาเบรียลก่อนหันมาเห็นอันองค์

“อ้าว!...หลับไปแล้วรึนี่!” เวนไตยอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ มองเจ้านายตัวเองที่หลับไป ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ ชายหนุ่มถอนใจขณะเปิดประตูรถ 

"วางมันลงบนรถนี่แหละครับ ขอบคุณมาก"

เวนไตยได้แต่ร้อง เฮ้ย! อยู่ในใจ คำว่า 'ขอให้โชคดี' กับ 'สวัสดี' และ 'ลาก่อน' ถูกกลืนหายไปในคอ เพราะแทนที่อีกฝ่ายจะวางอันองค์ลงบนเบาะแล้วต่างคนต่างไป กาเบรียลกลับเข้ามาในรถด้วยอย่างหน้าตาเฉย

"ผมไม่รู้ว่าอรรถต้องการอะไรกันแน่ ดูเหมือนพวกคุณจะรู้จักเขาดี ผมต้องการรู้แผนการ จำนวนคน และขอบเขตวิธีการโจมตีของเขา วิธีที่ดีที่สุดคือพวกคุณต้องช่วยผม" กาเบรียลบอกแกมบังคับโดยจับเจ้านายของเขาไว้เป็นตัวประกันในมือ หรือจะพูดให้ถูกคือ...บนตัก

"โอเค..." เวนไตยบอกอย่างข่มอารมณ์ "งั้นเอางี้วางอันลงก่อนดีไหม คุณจะได้นั่งสบายๆ" 

ชายหนุ่มต่อรอง เมื่อคนที่อยู่บนรถไม่ยอมวางร่างหญิงสาวที่หลับไปในอ้อมแขนลง

ดวงตาสีเขียวของกาเบรียลปรายมองมาแวบหนึ่ง เขาไม่เอ่ยอะไร แต่กระชับอ้อมแขนนิดหนึ่ง ไม่ยอมปล่อยมือเหมือนจะยึดไว้เป็นตัวประกันกลายๆ และไม่ว่าเวนไตยจะพูดอย่างไร ขอร้อง ปลอบ ขู่ กดดัน ยื่นข้อเสนอใดๆ กาเบรียลก็ไม่ยอมคืนอันองค์ให้ จนเขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว นอกจากยัดตัวเองเข้ามาอีกคนในที่นั่งตอนหลังของรถญี่ปุ่นซึ่งไม่ได้ใหญ่โตนัก เพราะต้องการความคล่องตัวและไม่ให้เป็นจุดสังเกตเห็นง่ายเหมือนรถหรู อเล็กซ์ติดตามเข้ามาประจำที่นั่งข้างคนขับ ส่วนคนอื่นๆ กระจายกันขึ้นรถคันที่เหลือ ก่อนจะพากันขับรถหายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายและเสียงไซเรนรถดับเพลิง

เซฟเฮาส์ซ่อนตัวอย่างแนบเนียนอยู่ในย่านชุมชนที่ผู้คนพลุกพล่าน ขบวนรถแล่นผ่านทางเข้าที่เป็นตึกแถวเก่าๆ สลับซับซ้อนเจาะทะลุถึงกันผ่านเข้ามาสู่สวนกลางบ้าน มันเป็นพื้นที่ว่างกลางอาคารปูนเปลือยทาสีขาว ที่ถูกรายล้อมด้วยแนวตึกแถวที่ล้อมไว้รอบนอก ซ่อนสถานที่นี้ไว้อย่างมิดชิด มีต้นไม้ถูกตกแต่งไว้เล็กน้อยเป็นไม้แขวนประดับและสวนแนวตั้งชิดกำแพง พอให้ชุ่มชื่นสายตา

เมื่อรถหยุดลง อันองค์ยังไม่ตื่น และกาเบรียลก็ไม่ยอมให้เวนไตยปลุกเธอ ชายหนุ่มตัวโตอุ้มหญิงสาวลงจากรถ

‘ก็คง...เอาไว้เป็นตัวประกันเหมือนเดิมแหละ’

เวนไตยคิดเซ็งๆ และไอ้เจ้านายของเขาก็หลับได้หลับดีชะมัด ทั้งๆ ที่ธรรมดาอันองค์เป็นคนนอนหลับยากชนิดที่...ถ้าไม่พึ่งยาก็ต้องทำงานหนักต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เกินเจ็ดสิบสองชั่วโมงขึ้นไป หรือจนกว่าแบตฯ จะหมดและสลบไสลไปเอง แต่นี่...น่าจะเพิ่งสามสิบกว่าชั่วโมงเองมั้ง...

คงเพราะหลังจากผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาด้วยแหละ ที่ทำให้ประสาทเขม็งเกลียวด้วยความเครียดที่ต้องกลับมาในที่ที่ไม่อยากระลึกถึงและถูกขู่ฆ่าอีกรอบจนเหนื่อยล้า เจ้าตัวถึงหลับป๊อกอย่างลืมโลกได้ขนาดนี้

ดังนั้น...ถึงจะไม่เต็มใจแค่ไหน แต่เวนไตยก็คงทำได้เพียงเพิ่มกลุ่มคนยุ่งยากอีกฝูงเข้ามาในเซฟเฮาส์ที่ตัวอาคารและทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสีขาว ทั้งพื้น ผนัง เพดานประตู หลอดไฟ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นขาวสะอาด เรียบเกลี้ยงซะจนนิยามคำว่า ‘มินิมัล’ ยังดูมากเกินไป สถานที่นี้ดูปลอดเชื้อยิ่งกว่าโรงพยาบาลเสียอีก

เวนไตยเดินขึ้นชั้นสาม เปิดประตูห้องสีขาวห้องหนึ่งเข้าไปให้กาเบรียลวางหญิงสาวที่หลับสนิทลงบนเตียงขาวสะอาด

"วางไว้แถวนี้แหละ" ชายหนุ่มคนสนิทของอันองค์บอกพร้อมกับดึงรองเท้าผ้าใบออกจากเท้าเล็ก โยนส่งๆ ไว้ด้านข้างก่อนดึงผ้าห่มมาคลุมถึงคอให้หญิงสาวซึ่งยังคงไม่ยอมรู้สึกตัวตื่น

กาเบรียลกวาดตามอง 'ห้อง' สีขาว ซึ่งนอกจากเตียงขนาดควีนไซซ์สีขาวล้วนแล้วห้องนั้น...ห้องทั้งห้องนั้นไม่มีอะไรเลย! 

เวนไตยเหมือนอ่านสายตาเขาออก เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงมากแล้วสำหรับมาตรฐานชายไทย แต่ยังตัวเล็กกว่ากาเบรียลมาก

"ห้องเรียบๆ ป้องกันกล้องสอดแนมเครื่องดักฟังหรือการลอบสังหารน่ะ" เวนไตยเฉลยความสงสัยในแววตาคนเป็นแขก

สีหน้ากาเบรียลออกจะอัศจรรย์ใจเมื่อได้ฟังว่ามีคนที่ต้องป้องกันการลอบสังหารถึงขนาดนี้

"ตึกนี้ถูกนำออกจากแผนที่ ด้านบนพรางไว้จนส่องกูเกิลเอิร์ธลงมาไม่เจอ ผนังทุกด้านกันไฟ กันระเบิด มีระบบป้องกันสัญญาณดาวเทียมสอดแนม กล้องซีซีทีวีในรัศมีห้ากิโลเมตรรอบๆ นี้เราใส่เทคโนโลยีสแกนใบหน้าเข้าไป และระบบจะต่อตรงมารายงานทันทีหากตรวจพบผู้ต้องสงสัย" 

เวนไตยอธิบายแค่ 'บางส่วน' เพิ่มเติมเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของชายหนุ่มโดยละส่วนสำคัญหลายส่วนไว้ เขายิ้มอย่างไม่อนาทรร้อนใจเมื่อบอกอย่างคนที่ยังมีไพ่เหนือกว่าอยู่ในมือ

"คุณจะนอนที่นี่ก็ได้ เลือกเอาสักห้องละกัน มันเหมือนๆ กันหมดแหละ" เวนไตยบอกพร้อมเดินนำออกมาจากห้องนอนของอันองค์

ชายหนุ่มล็อกกุญแจขังเจ้านายตัวเองเอาไว้ ทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจเมื่อเดินกลับลงไปด้านล่าง ทิ้งกาเบรียลเอาไว้กับห้องที่เหมือนๆ กันอีกหกห้องซึ่งเหมือนกันหมดจริงๆ

ห้องสีขาว มีเตียงตัวเดียวตั้งกลางห้อง ไม่มีซอกมุมไหนให้หวาดระแวงว่าจะมีการซุกซ่อนสิ่งน่าสงสัยอะไรได้ ห้องน้ำกว้างไม่มีอ่างอาบน้ำ แต่แทนที่ด้วยคอกฝักบัวและอ่างล้างหน้าขนาดใหญ่ ทุกห้องมีผ้าเช็ดตัวและชุดอุปกรณ์อาบน้ำแบบเดียวกันหมด ไม่มีตู้เสื้อผ้า มีเพียงเสื้อผ้าผู้หญิงสีขาวพับเตรียมไว้ให้หนึ่งชุด เป็นชุดคล้ายๆ กับที่เธอสวมวันนี้ นั่นคือเสื้อยืดแขนยาวสีขาว กางเกงสีอ่อน รองเท้า และถุงเท้า นอกนั้นไม่มีสิ่งของที่แสดงถึงการอยู่อาศัยของผู้หญิงอยู่เลย ไม่มีกระทั่งโต๊ะเครื่องแป้ง กระปุกครีม ลิปสติก หรือแป้งฝุ่น

กาเบรียลจินตนาการไม่ออกจริงๆ ผู้หญิงคนหนึ่งจะใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร แต่ที่เขาเดาได้คือ ความหวาดระแวงทำให้เธอต้องคอยย้ายห้องไปมา เพื่อไม่ให้ใครเดาได้ว่าเจ้าของบ้านนอนอยู่ในห้องไหน แต่ก็พยายามลดความหวั่นระแวงด้วยห้องที่คล้ายกันหมด เพื่อไม่ให้ตกใจเมื่อตื่นขึ้นมาเจอเพดานไม่คุ้นตา

กาเบรียลมองประตูห้องที่ล็อกไว้ ซึ่งมีหญิงสาวเจ้าของสถานที่นอนหลับอยู่หลังบานประตูนั้น เจ้าของร่างบอบบางที่เขายึดตัวมาอุ้มเอาไว้เกือบชั่วโมง และมีน้ำหนักน่าจะไม่เกินสี่สิบห้ากิโลกรัมนั้นไม่ทำให้เขาเดือดร้อนสักนิด หากจะต้องอุ้มเธอไว้นานกว่านั้น ความจริงเธอดูผอมบางเกินไปด้วยซ้ำ

ห้วงเวลาที่อยู่บนรถด้วยกัน นอกจากมองทางอันไม่คุ้นเคยที่รายรอบตัวแล้ว ในสายตาเขาก็มีแต่หญิงสาวที่หลับใหลอยู่ใกล้ตัว ดวงหน้าซีดเซียวทาบด้วยแพขนตายาวหนา หน้าที่ไม่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมนั้นเปิดเผยแผลเป็นจางๆ ที่คิ้วด้านขวาและจุดขี้แมลงวันเล็กๆ ที่ใต้ตาด้านซ้าย

หญิงสาวหลับสนิทอย่างไร้การป้องกันตัวเอง เหมือน...เป็นสิ่งมีชีวิตหายากใกล้สูญพันธุ์สักชนิดที่อ่อนแอบอบบางน่าปกป้อง

แต่บางครา...ก็น่า...ล่าเอามาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวซะเอง!

ชายหนุ่มคิดแล้วก็มองห้องสีขาวสะอาดรอบตัว ขาว...เหมือนสถาปัตยกรรมหิมะ

และ...เมื่อคิดถึงผิวขาวๆ ที่ขับให้ดวงตากลมโตดำจัดดูโดดเด่นขึ้นมา ดวงตากลมโตคู่นั้นบางทีก็ทอประกายหวั่นระแวงนั่น 

อืม...ลูกแมวน้ำแน่ๆ

เป็นลูกแมวน้ำจอมหวาดระแวงที่จับจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตสีดำที่ฉายแววอริชัดเจน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น