9

ไข่ใบที่เก้า

 

ไข่ใบที่เก้า

การเข้าพบแพทย์แห่งศูยน์วิจัย ไม่ใช่เรื่องง่ายเพียงเดินเข้าไปศูยน์วิจัย แจ้งชื่อว่าต้องการพบ แล้วจะได้เข้าพบ ทั้งยังไม่สามารถทำการนัดหมายเพื่อขอเข้าพบได้

สิ่งที่ชาหวานได้เรียนรู้ คือแพทย์ของศูยน์วิจัยไม่รับรักษาผู้ป่วยนอก หน้าที่ของพวกเขารักษาและทำวิจัยเฉพาะคนไข้พิเศษทั้งหลาย และคนไข้กรณีศึกษาทดลองยาของศูยน์วิจัยเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ยามเมื่อเธอได้ไปติดต่อขอพบนายแพทย์เตรัณย์ จาติกวนิชยากุล คำตอบซึ่งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ผู้ประจำเคาเตอร์ทางเข้าศูยน์มอบให้ในทันทีคือ

“ขอโทษนะคะ นายแพทย์เจ.*ไม่รับคนไข้นอกค่ะ”

“แต่ฉันมีความจำเป็นต้องเข้าพบนายแพทย์จาติกวนิชยากุลจริงๆนะคะ” เธอเอ่ยด้วยเสียงเว้าวอน พร้อมกับวางแฟ้มลงเบื้องหน้าเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์

“ยังไงรบกวนช่วยส่งแฟ้มนี้ให้นายแพทย์จาติกวนิชยากุลก่อนได้ไหมคะ”

ประชาสัมพันธ์สาวชาวตะวันตกส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ”

“แล้วพอจะมีหนทางติดต่อนายแพทย์จาติกวนิชยากุลได้บ้างไหมคะ?”

“ไม่ทราบค่ะ”

ชาหวานเบนสายตามองไปทางทางขึ้นลิฟท์ ณ จุดนั้นมียามชาวตะวันตกตัวโตสี่คน ยืนคุมรักษาความปลอดภัย ทั้งยังคอยตรวจบัตรผ่านผู้ต้องการขึ้นไปชั้นบน จากการคาดการณ์แล้ว หากเธอไม่ได้รับบัตรผ่านจากประชาสัมพันธ์สาวคนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่สามารถขึ้นไปพบเขาผู้เป็นความหวังเดียวที่เธอมองเห็นได้

หญิงสาวถอนหายใจ หยิบแฟ้มเดินหันหลังแล้วหยุดลงที่หน้าประตูทางเข้า หย่อนกายลงบนม้านั่งยาวสีน้ำตาลเข้ม เฝ้ามองบุคลากรในศูยน์วิจัยพากันเดินเข้าเดินออก แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด การสนทนาส่วนใหญ่ซึ่งเธอได้ยินเกี่ยวข้องกับงานวิจัย บางส่วนซุบซิบนินทา

ดวงตาทรงอัลมอนด์เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ร่างสั่นสะท้านยามเมื่อลมแห่งเหมันตฤดูพัดผ่าน เธอกอดร่างตนเองแน่น สิ่งที่กำลังหนาวเหน็บที่สุดในยามนี้ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจอันเปี่ยมด้วยความหวาดหวั่น...กังวล...ทุกข์

นอกเหนือจากความกลัดกลุ้มเรื่องหาหมอรักษา คือความกลัดกลุ้มเรื่องค่ารักษาพยาบาล เพราะมารดานั้นไร้ประกันสุขภาพ ค่ารักษาทุกดอลล่าห์คือความรับผิดชอบของเธอ

เมื่อคิดถึงค่ารักษา ชาหวานได้หยิบกระดาษเอสี่หนึ่งแผ่นออกมาจากอีกแฟ้มในกระเป๋า บนกระดาษแผ่นนั้นคือลายมือของเธอ ข้อมูลซึ่งปรากฏเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับศูยน์พยาบาลซึ่งเน้นให้บริการผู้คนไร้บ้านและไม่มีประกันสุขภาพ แน่นอนว่าครึ่งต่อครึ่งของผู้ได้รับการรักษา ล้วนไม่ต้องเสียค่าบริการ บางครั้งยังได้รับยาฟรี

ถึงแม้ว่าศูยน์พยาบาลเหล่านี้เครื่องมือจะทันสมัยสู้โรงพยาบาลแห่งคณะแพทย์ประจำมหาวิทยาลัยไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็มีหมอที่ได้มาตรฐานประจำอยู่ นิ้วเรียวเริ่มต้นกดเบอร์โทรศัพท์ ต่อสายหาศูยน์พยาบาล

หลังจากรอสายราวห้านาทีจึงได้รับการตอบรับ น้ำเสียงบอกอายุว่าผู้รับเป็นสตรีวัยกลางคน ค่อนข้างห้วนบ่งบอกความยุ่งยากของวัน

“ฮัลโหล New York Homeless Medical Center”

“สวัสดีค่ะ ฉันอยากนัดหมอให้แม่ค่ะ”

“ป่วยเป็นอะไร?”

“แม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งมดลูกค่ะ”

ปลายสายนิ่งเงียบ เสียงดังลอดแทรกคือเสียงคล้ายกำลังเคาะแป้นพิมพ์ นิ่ง...ราวห้านาที ในที่สุดคู่สนทนาจึงสานต่อ

“ต้องเข้ามาพบหมอแล้วให้หมอวินิจฉัยนะว่ารับเคสได้ไหม  ถ้าเป็นเยอะต้องไปที่อื่น จ่ายเองรึเปล่า?”

คำถามทำให้ชาหวานสะอึก ยังไม่ทันจะตอบคำตอบใดอีกฝ่ายชิงพูดต่อ

“ตอนนี้เราหมดโควต้าคีโมฟรีหรือรักษาฟรีแล้ว แต่ละปีเราได้โควต้าค่อนข้างจำกัดมาจากรัฐนิวยอร์ก”

“มีรักษาฟรีด้วยหรอคะ? แล้วไม่ทราบว่าถ้ารักษาฟรีโควต้าปีหน้านี่...”

“เต็มแล้ว โควต้าปีหน้าเต็มตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมปีนี้ ถ้าคุณเข้ามานัดตอนนี้ได้คิวพบหมอราวๆกลางปีหน้า ส่วนคิวรักษาพยาบาลฟรี...” เป็นอีกครั้งที่ปลายสายเงียบ ตามด้วยเสียงเคาะแป้นพิมพ์ “ที่ดูตารางคร่าวๆ น่าจะได้คิวราวๆเดือนเมษาปีถัดจากปีหน้า...รอคิวสองปี”

ชาหวานอ้าปากค้าง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกับจำนวนคิวซึ่งต้องรอ ถึงกระนั้นก็รวบรวมสติ ลงขื่อมารดาไว้พร้อมกับบอกอีเมลล์แอดเดรสของเธอ ให้ทางเจ้าหน้าส่งใบนัดมาทางอีเมลล์

เธอวางสายพร้อมกับความรู้สึกทุกสิ่งรอบตัวมืดหม่น ชีวิตช่างน่าขันนัก เจอสถานที่สำหรับรักษาฟรี ทว่าคิวต้องรอกลับยาวเหยียดไปถึงสองปี

สองปี...หากรอขนาดนั้นแม่ของเธอคง...

ดวงตาคู่สวยกระพริบถี่ มือที่สวมถุงมือปาดน้ำตาซึ่งไหลผ่านหางตา อากาศอุณหภูมิ 9 องศาสเซลเซียสไม่อาจทำอะไรเธอได้ ด้วยยามนี้ภายในร่างกายและจิตใจร้อนรุ่มราวมีกองเพลิงกองใหญ่ กำลังแผดเผาบ้าคลั่งอยู่ภายใน เธอเก็บเอกสารทั้งหมดลงเป้ ก้าวเท้าเตรียมตรงไปยังป้ายรถประจำทางหน้าโรงพยาบาล หากสองเท้าชะงักเมื่อนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้

เธอยังไม่ได้ไปพบแผนกการเงินของโรงพยาบาล เพื่อให้พวกเขาประเมินค่ารักษาพยาบาลคร่าวๆให้

แม้จะนัดหมอที่ศูยน์พยาบาล หากชาหวานไม่อยากหวังกับที่นั้นนัก ด้วยไม่แน่ใจว่าอาการแท้จริงของแม่หนักแค่ไหน ไม่ทราบว่าหมอจะรับรักษาหรือจะส่งตัวต่อ ด้วยเหตุนี้หนทางเดียวที่พอมองออกคือโรงพยาบาลแห่งคณะแพทย์ประจำมหาวิทยาลัยซึ่งเธอศึกษาอยู่

เธอเดินตรงกลับเข้าไปในโรงพยาบาล เอ่ยถามประชาสัมพันธ์ถึงจุดมุ่งหมาย เดินต่อไปยังตึก C ชั้นห้า แปลกใจไม่น้อยเมื่อมาถึง

จำนวนผู้มาติดต่อเรียกว่าน้อยมาก เก้าอี้รอเรียกนับร้อยตัวมีผู้นั่งรอราวห้าคนเท่านั้น สิ่งแบ่งกั้นระหว่างผู้รอและเจ้าหน้าที่คือกระจกแผ่นใหญ่สีชาเข้มจนไม่อาจมองเห็นด้านใน หน้าทางเข้าห้องกระจกนั้นคือเคาเตอร์ซึ่งติดป้ายว่า “สอบถาม”

ชาหวานตรงไปหน้าเคาเตอร์ ส่งยิ้มทักทายให้หนุ่มละตินผู้มอบรอยยิ้มกว้าง “จะมาขอประเมินค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลค่ะ”

“ขอเลขประจำตัวคนไข้ด้วยครับ”

หญิงสาวหยิบใบนัดส่งให้ เขารับไปคีย์ข้อมูลชั่วครู่ ในที่สุดก็คืนบัตรนัดยังมีกระดาษแผ่นเล็กสีขาว บนนั้นระบุเลขหนึ่ง พร้อมกับผายมือไปทางห้องกระจก

“เข้าไปได้เลยครับ ช่องแรกหมายเลขหนึ่ง”

“ขอบคุณค่ะ”

เธอผ่านประตูกระจกบานเลื่อน ห้องนี้ถูกแบ่งกั้นเป็นคอกซอยนับสิบช่อง ดวงตาทรงอัลมอนด์หยุดลงที่ช่องแรกซึ่งมีป้ายสีน้ำเงินตัวเลขสีขาว “1” สองเท้าพาเธอก้าวไปหาเจ้าหน้าที่ประจำช่อง หย่อนกายลงพร้อมยื่นบัตรให้

เธอคนนี้เป็นสาวตะวันตก อายุคงไม่เกิน 35 ปี ผมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาล เธอรับบัตรคิวแล้วสแกนบาร์โค้ดบนบัตร

“คนไข้ไม่มีประกันนะคะ?”

“ไม่มีค่ะ”

เจ้าหน้าที่สาวพิมพ์กรอกข้อมูล ใช้เวลาราวห้านาทีเสียงปรินเตอร์ทำงาน พร้อมกับที่เธอหยิบกระดาษจากปรินเตอร์วางลงเบื้องหน้าผู้มารับการประเมิน ปากกาไฮไลท์สีส้มสะท้อนแสงขีดลงบนตัวเลข

“เนื่องจากอาการของผู้ป่วยยังไม่ได้รับการประเมินอย่างชัดเจนว่าระดับไหน การประเมินราคานี้จะใช้ราคาเฉลี่ยระหว่างมะเร็งมดลูกระยะเริ่มต้นและระยะสุดท้าย ค่าใช้จ่ายคร่าวๆราวๆ $245,000 อาจมากกว่านี้ตามอาการโรคและวิธีการรักษาค่ะ ราคานี้รวมทุกอย่างตั้งแต่วันแรกที่เข้าพบแพทย์เพื่อขอคำวินิจฉัย”

ปากกาไฮไลท์ขีดทับตัวเลขต่อมา “เนื่องจากผู้ป่วยไม่มีประกันสุขภาพ เป็นการรักษาโดยการจ่ายเงินด้วยตนเอง ทางโรงพยาบาลจึงมีความจำเป็นต้องขอเก็บเงินมัดจำ 50% ของค่ารักษาคร่าวๆค่ะ ส่วนนี้ $160,000 ผู้รับผิดชอบค่ารักษาต้องชำระในวันแรกที่พบหมอและเซ็นสัญญารักษาพยาบาลค่ะ”

“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”

คำตอบของผู้ถูกตัวเลขค่ารักษาพยาบาลตบหน้าค่อนข้างเบา หยิบกระดาษใบนั้นลุกขึ้นยืน เดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึก...ว่างเปล่า

ยามนี้เหมือนสมองของเธอกำลังบวมใกล้ระเบิดเต็มที ไม่สามารถรับรู้สิ่งใดได้อีกแล้ว เธอพาตนเองตรงกลับไปหาแม่ที่โรงพยาบาล แทบสิ้นสติเมื่อเห็นแม่กำลังกรีดร้องดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวด สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้ไม่อาจตรงเข้าไปหา ความรู้สึกผิดถาโถมล้นอก

 รู้สึกผิด...ที่ปล่อยให้แม่ต้องทรมาน

ขาหวานตรงกลับบ้าน พุ่งตัวลงนอนกอดตุ๊กตาน้องมิ้วแล้วเริ่มร้องไห้ ตามด้วยการเผลอหลับไปอย่างไม่อาจห้ามร่างกายและหัวใจ ซึ่งแสนเหนื่อยล้าและหนักหน่วงมาอย่างเกินจะบรรยาย

แสงไฟหลากสีสันถูกฉาดสายทั่วห้องโถงขนาดใหญ่ เมื่อรวมเข้ากับความมืดของห้องและเสียงเพลงจากดีเจชื่อดัง ยังมีกลิ่นแอลกฮอลมากมายหลากชนิด พาให้ผู้ไม่คุ้นเคยเกิดความรู้สึกอยากอาเจียนมากกว่าสนุกสนาน ต่างจากเหยี่ยวราตรีนับร้อยซึ่งพากันส่ายสะโพกโยกย้ายตามเสียงเพลงอยู่กลางฟลอร์

ใช่เพียงกลางฟลอร์เท่านั้นที่สนุกสนาน ตามโต๊ะต่างๆเองก็เช่นกัน บางคนสุดเหวี่ยงมากขนาดลุกขึ้นยืนเต้นบนโต๊ะ ถอดเสื้อโชว์ทรวงอกอวบอิ่มอันถูกห่อหุ้มด้วยบราสุดแสนเซ็กซ์ซี่ราคาแพงลิ่ว ซึ่งผู้โชว์ตั้งใจใส่มาเพื่องานนี้

“ชาร์ม ไปรับออเดอร์ลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาหน่อย โต๊ะ 3 โซน VIP ลูกค้าสามคน”

คำสั่งจากหัวหน้าคุมงาน ทำให้ชาหวานผู้เพิ่งเสร็จากการเสริฟแชมเปญให้ลูกค้า รีบถือถาดไม้ตรงกลับไปเคาน์เตอร์บาร์ คว้าเอาไฟฉาย เมนูและเครื่องรับออเดอร์ดิจิตอลเครื่องเล็ก เบียดร่างผ่านเหล่าลูกค้าไปสู่โซน VIP

โซน VIP แตกต่างจากโซนปกติราวหลุดออกมาสู่อีกโลกหนึ่ง ที่นั่งเป็นโซฟาหรู เสียงเพลงไม่อึกทึก เนื่องด้วยลูกค้ากระเป๋าหนักกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อธุรกิจ หรืออาจเป็นกลุ่มคนที่ต้องการเที่ยวโดยคงความส่วนตัวเอาไว้พอควร

หญิงสาวหยุดลงตรงโต๊ะ 3 ส่งยิ้มทักทายตามมารยาท ส่งเมนูซึ่งหยิบมา 3 แผ่นให้กับบุรุษในชุดสูทสีดำทั้งสามคน พวกเขาล้วนเป็นหนุ่มตะวันตก หนึ่งในนั้นเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยพร้อมลุกขึ้นยืน

“สาวเสริฟคนนั้นนี่!”

คำทักทายทำให้ผู้ถูกทักสะดุ้ง ถึงกระนั้นก็รีบปรับสติเอ่ยถามด้วยเสียงนอบน้อม “คะ?”

ฟิลลิปคลี่ยิ้ม เขยิบร่างเข้าใกล้อย่างลืมตัว ก่อนจะรีบส่งยิ้มขออภัยเมื่ออีกฝ่ายเบิกตากว้างตกใจพร้อมถอยหลัง เขายกมือลูบท้ายทอยแสดงท่าทางราวเด็กหนุ่มเพิ่งเริ่มมีรัก

“ผมจำคุณได้ เราเคยพบกันมาก่อนที่ร้าน The Romantic”

ชาหวานยิ้มแหยพยักหน้า “ค่ะ ฉันเสริฟที่ร้านนั้นด้วย”

“ผมฟิลลิป”

ดวงตาทรงอัลมอนด์เหลือบมองมือเรียวขาวซึ่งยื่นมาเบื้องหน้า เธอส่งมือเชคแฮนด์ตามมารยาทก่อนรีบดึงมือออก

 “ชาร์มค่ะ”

หญิงสาวไม่รอให้อีกฝ่ายเริ่มรุก รีบขยับตัวไปยังอีกสองชายหนุ่มซึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ไม่ทราบว่ารับอะไรดีคะ?”

บุรุษทั้งสองเหลือบตามองผู้ที่รีบกลับมานั่งพร้อมหยิบเมนูขึ้นมาดู หนึ่งในนั้นหัวเราะในลำคอ วางเมนูลงบนโต๊ะพร้อมกับสะกิดผู้ที่รอคอยจังหวะ

“นายสั่งสิ”

ฟิลลิปส่งสายตาแทนคำขอบคุณ กวักมือเรียกสาวน้อยให้เข้ามาใกล้ เธอก้มตัวลงใกล้เขาโดยเว้นระยะห่างพอควร

“มีแพ็คเกจอะไรบ้างวันนี้?”

หากขายแพ็คเกจได้ ผู้ขายจะได้รับส่วนแบ่งถึง 15% ด้วยเหตุนี้ชาหวานจึงเริ่มยิ้มออกบ้าง ถึงกระนั้นก็เลือกตอบเสียงดังแทนการขยับตัวเข้าไปใกล้จนแทบจะจูบแก้มลูกค้า เช่นเพื่อนร่วมงานโต๊ะถัดไปกำลังทำ

“แพ็คเกจ 1 ขวด  Premium Bottle ตามรายการนี้ค่ะ ราคาเริ่มที่ $300 แล้วแต่ประเภทยี่ห้อที่เลือก จำกัดจำนวนท่านสูงสุด 6 ท่านต่อหนึ่งขวด”

เธอกดไฟฉายสาดไปยังรายชื่อแอลกฮอล์ระดับพรีเมี่ยมนับสิบชนิด ก่อนจะเคลื่อนไปยังรายการแถวข้างๆ

“แพ็คเกจนี้เป็นแพ็คเกจ 3 ขวดค่ะ ราคาจะเริ่มที่ $1,500 โดยแอลกฮอล์ส่วนนี้จะ Premium กว่าทางด้านซ้าย จำกัดลูกค้า 6 ท่านต่อโต๊ะ”

“แล้วคิดว่าอันไหนดีกว่ากัน?”

คำถามพร้อมสายตาระยิบระยับ ทำให้ผู้กำลังถูกเกี้ยวเม้มปากเล็กน้อย แต่ด้วยส่วนแบ่งที่จะได้รับทำให้ฝืนใจฉีกยิ้มทำหน้าน่ารักใส่

“ก็...แพ็คเกจ 3 ขวดค่ะ สามารถเก็บไว้ใช้ครั้งหน้าได้ เปิดบิลแล้วมีอายุใช้บริการ 6 เดือน ลูกค้าจะได้บัตรผ่านเข้าผับได้ไวกว่าเดิมไม่ต้องรอ Waiting list ด้วยค่ะ เป็นแพ็คเกจระดับ Exclusive”

ฟิลลิปเลิกคิ้วหนึ่งข้าง “ว่าอะไรนะ เพลงดังมากไม่ได้ยินที่พูด”

คำตอบของลูกค้าทำให้ผู้ให้บริการจำใจเขยิบเท้าเข้าใกล้เข้า ก้มหน้าต่ำลงไปอีกจนยามนี้หน้าเธอและเขาห่างกันราวหนึ่งฝ่ามือ เธอใช้เสียงที่ค่อนข้างดังกว่าเดิม ตอบประโยคเดิมซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากทางร้าน

“แพ็คเกจ 3 ขวดค่ะ สามารถเก็บไว้ใช้ครั้งหน้าได้ เปิดบิลแล้วมีอายุใช้บริการ 6 เดือน ลูกค้าจะได้บัตรผ่านเข้าผับได้ไวกว่าเดิมไม่ต้องรอ Waiting list ด้วยค่ะ เป็นแพ็คเกจระดับ Exclusive”

“6 เดือน?”

“ค่ะ 6 เดือน”

ฟิลลิปหันไปยักคิ้วให้เพื่อนทั้งสองที่นั่งเท้าคางมองด้วยความสนใจ หนึ่งในนั้นส่งสายตาสร้างคำถาม ‘จะเปย์ไหม?’ เขาอมยิ้มเจ้าเล่ห์ หันกลับมาหาคนซึ่งบัดนี้ยืนตรง กวักมือให้เธอก้มใบหน้าลงมาต่ำ

“ผมงานค่อนข้างยุ่ง หกเดือนคงมาดื่มไม่หมด เว้นแต่ว่า..”

“ถ้าอย่างนั้นเปิดขวดเดียวก็ได้ค่ะ เริ่มที่ $300”

ความคล่องคล่วและกระตือรือร้นในการขายของของเธอทำให้เขาอมยิ้ม แสร้งหยิบเมนูขึ้นมาดูทั้งที่มีคำตอบในใจ ดูไปก็เหลือบตามองคนที่กำลังยืนรอไป ดวงตาทรงอัลมอนด์ซึ่งกำลังมองมา ทำให้เขารู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก อยากจะหิ้วแม่ตุ๊กตาน้อยตัวนี้กลับห้องด้วย!

“ชาร์ม คืนนี้คุณเลิกงานกี่โมง?”

ชาหวานหุบยิ้ม จ้องดวงตาสีฟ้าใสซึ่งกำลังเปล่งประกายวิบวับท่ามกลางความมืด ลังเลชั่วครู่จึงตอบอย่างไม่เต็มใจนัก

“ก็...กว่าทุกอย่างจะเสร็จคงตีสี่ค่ะ แต่ไปไหนต่อไม่ได้ต้องรีบกลับ พรุ่งนี้มีงานแต่เช้า ไม่ทราบว่าลูกค้าสั่งขวดไหนดีคะ?”

เสียงหัวเราะของผู้ฟังทั้งสองดังหลังจากคำตอบกึ่งปฏิเสธเอ่ยจบ หนึ่งในนั้นซึ่งนั่งใกล้คนถูกปฏิเสธเป็นฝ่ายสั่งเสียเอง

“เอาแพ็คเกจขวด $750  มาแล้วกัน แก้ว 4 ใบนะ เพื่อนผมอีกคนกำลังตามมา”

“ค่ะ อีกห้านาทีเดี๋ยวจะรีบนำมาเสริฟค่ะ”

“เดี๋ยวก่อนครับ” ฟิลลิบลุกขึ้นยืน ใช้มือกั้นออกไปขวางทางเธอที่กำลังจะเดินหนี “ขอเบอร์ได้ไหมครับๆ ว่างๆไปดินเนอร์ด้วยกัน”

“ไม่สะดวกค่ะ”

“มีแฟนแล้ว?”

คำถามตรงไปตรงมา สำหรับผู้ชายเช่นเขา ถึงแม้จะถูกใจแค่ไหน แต่ถ้าสตรีนั้นมีเจ้าของ ถึงอย่างไรก็ไม่มีวันลดศักดิ์ศรีลงไปแตะต้อง

ใบหน้าสวยของผู้ถูกถามส่ายน้อยๆ “ไม่มีค่ะ แต่ตอนนี้ยังไม่คิดเรื่องจะเดทใคร”

“แค่ทานข้าวเป็นเพื่อนกันก็ได้ หรือว่าไม่ชอบผู้ชายตะวันตก?”

“ไม่ใช่ค่ะ แต่ตอนนี้...ฉันไม่สะดวกจริงๆ ขอตัวนะคะ”

ชาหวานรีบถอยหลังเดินหนี หางตาเหลือบเห็นบุรุษร่างสูงอีกคนหนึ่งเพิ่งมาถึงจากทางด้านประตู VIP และนั่งลง เธอเดินจากมาโดยไม่รู้เลยว่า

เขา...คือคนที่เธอคาดหวังจะพบ

เขา...คือนายแพทย์เตรัณย์

เตรัณย์ส่งสายตาถามเพื่อนทั้งสองว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น แน่นอนว่าเพื่อนทั้งสองรีบเล่าอย่างออกรสออกชาด โดยไม่ลืมส่งเสียงกระเซ้าเหย้าแหย่ผู้ที่นั่งลงด้วยอาการหัวเสีย ครั้งนี้คือครั้งแรกของฟิลลิปที่ถูกผู้หญิงปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ดวงตาสีฟ้าใสอดไม่ได้ที่จะส่งสายตามองตามเธอคนนั้น

ผู้ตกเป็นหัวข้อการสนทนาของก๊วนหนุ่มโสด เร่งเท้าพาตัวเองออกจากโซนนี้ พร้อมกับความตั้งมั่นในใจ โต๊ะที่สามจะไม่มีวันได้เจอเธออีกอย่างแน่นอน เธอเลือกไปวุ่นวายหัวหมุนกับโซนปกติ ดีกว่ามาเป็นลูกไก่ให้พ่อสุดหล่อตาฟ้าต้อนหวังจับเธอกินแบบเมื่อครู่!

มหานครนิวยอร์กเริ่มถูกประดับตกแต่งด้วยช่วงเวลาแห่งคริสต์มาส ช้ากว่าฝั่งแคลิฟอเนียซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน ต้นไม้ตามข้างทางประดับหลอดไฟดวงเล็กดวงน้อย บางต้นผูกโบว์สีแดงสลับสีเขียวอันใหญ่ อันเป็นสีสัญลักษณ์แห่งเทศกาลคริสต์มาสซึ่งกำลังใกล้เข้ามา

เพลง Fairytale of New York ถูกเปิดสลับกับเพลง Silent Night ทั่วเมือง ไม่เว้นแม้แต่ร้านบ้านอาหารไทย

แพทตี้ผู้เป็นเจ้าของร้านได้ตกแต่งร้านให้เข้ากับเทศกาล มุมร้านตั้งต้นคริสต์มาสสีเขียวต้นเล็ก ห้อยของตกแต่งหลากหลายอยู่ตามกิ่งต่างๆ ถุงเท้าสีแดงและเขียวขนาดใหญ่ห้อยโดดเด่นที่สุด ยังมีดวงไฟดวงเล็กสีส้มส่องแสงกระพริบตลอดเวลา พร้อมกับกล่องของขวัญปลอมราวห้ากล่องวางไว้ใต้โคนต้นคริสต์มาส

เสียงเพลงถูกกลบด้วยเสียงการสนทนาของลูกค้า ซึ่งนั่งรับประทานอาหารเต็มทุกโต๊ะ ลูกค้าบางส่วนยืนกอดอกตากความหนาวด้านนอกรอคิว ด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก หากไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากรอหรือสั่งอาหารกลับ

ใช่เพียงหน้าร้านที่วุ่นวาย แต่ในครัวก็เช่นกัน เพราะอาหารซึ่งต้องเร่งทำมีทั้งรายการทานที่ร้านและสั่งกลับ สองมือของแม่ครัวเคลื่อนไหวราวหนวดปลาหมึก เตาทั้งหกเตาถูกใช้งานถึงกระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ

“น้าแอลลี่ มี To go* มาเพิ่มจ๊ะ กระเพราหมูสับไม่เผ็ดหนึ่ง ไข่ดาวไข่แดงไม่สุกหนึ่ง ต้มข่าไก่ไม่เผ็ดหนึ่ง”

ชาหวานเสียบรายกายอาหารลงบนแท่นเสียบสีชมพู เดินไปตักข้าวใส่กล่องกระดาษทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดกระทัดรัด วางลงในถุงพลาสติกซึ่งมีกระดาษรายการอาหารติดอยู่ หางตาเหลือบเห็นแม่ครัวคว้าออเดอร์ใหม่ขึ้นมาดู

“นี่นังชาหวาน กระเพราไม่เผ็ดหน้าร้านในถาดก็มี ตักใส่กล่องสิ จะมาให้ผัดใหม่ทำไม?” อรุณถามด้วยความไม่เข้าใจ

 เมนูกระเพราหมูสับคือเมนูยอดนิยม ด้วยเหตุนี้จึงผัดทั้งแบบเผ็ดและไม่เผ็ดใส่ถาดเอาไว้ สำหรับตักเป็นเซทราดข้าว ตั้งที่ตู้กระจกด้านหน้า เพื่อประหยัดเวลาทั้งทางลูกค้าและทางร้าน

“ลูกค้าต้องการให้ผัดใหม่ค่ะ ลูกค้าบอกว่าต้องการอาหารปรุงใหม่”

คำตอบทำให้อรุณกระแทกตะหลิว “โอ๊ยเยอะ!”

“น้าก็ผัดไปเถอะ ลูกค้าเขาจ่ายเงินเขามีสิทธิ์เลือก”

อรุณกระแทกตะหลิวอีกรอบ “อย่าให้กูได้ผัวรวยบ้างนะมึง คราวนี้จะแดกแต่สเต็กผสมทองคำทุกวันเลย!”

ชาหวานหัวเราะขำ ส่ายหน้าน้อยๆก่อนเดินกลับออกไปหน้าร้าน เดินไปวางใบเสร็จโต๊ะที่รับประทานอาหารเสร็จแล้วและเรียกขอใบแจ้งค่าอาหาร หันไปเก็บกวาดโต๊ะที่ลูกค้าจ่ายค่าอาหารและเดินออกจากร้าน ตามด้วยการเดินไปเรียกคิวลูกค้าซึ่งรออยู่ให้เข้ามานั่ง

ส่วนทางแพทตี้ก็วุ่นวายกับการตักอาหารและคิดเงิน ทั้งวุ่นวายกับลูกค้าซึ่งขอชิมอาหารในถาดเพื่อประกอบการตัดสินใจ

 เรื่องนี้คือเรื่องปกติของร้านอาหาร ศูยน์อาหาร หรือซุปเปอร์ซึ่งมีอาหารปรุงสำเร็จพร้อมตักขาย ลูกค้าสามารถขอชิมได้ นอกจากเพื่อประกอบการตัดสินใจของลูกค้า ยังเพื่อป้องกันการสั่งอาหารรับประทานแล้วไม่พอใจรสชาดจนเกิดการปฏิเสธการจ่ายเงิน

ช่วงเวลากลางวันจนถึงบ่ายต้นๆ ทุกคนล้วนวุ่นวายไม่มีใครว่างแม้แต่จะพักดื่มน้ำ

สาเหตุหนึ่งที่ร้านค่อนข้างยุ่ง เพราะทำเลที่ตั้งห้อมล้อมด้วยแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม และสำนักงานน้อยใหญ่ รวมถึงร้านบ้านอาหารไทยคือร้านอาหารไทยร้านเดียวในย่านนี้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงพากันมาใช้บริการอัดแน่นทั้งในยามพักกลางวันและยามค่ำ

เรียกได้ว่าในขณะที่สถานการณ์ร้านอาหารร้านอื่นๆเริ่มขาดทุนเพราะผลกระทบพิษเศษฐกิจ หากร้านบ้านอาหารไทยกลับทำกำไรได้มากขึ้นมากขึ้นในทุกๆวัน

อีกสาเหตุเป็นเพราะรสชาดอาหาร ค่อนข้างอร่อยแบบไทยแท้ ไม่ใช่ถูกดัดแปลงจนติดหวานเพื่อเอาใจชาวตะวันตก อีกส่วนสำคัญเป็นเพราะราคาถูกกว่าร้านอาหารละแวกนี้เมนูละประมาณหนึ่งเหรียญ ถึงแม้จะแค่หนึ่งเหรียญ แต่ก็สร้างความรู้สึกประหยัดได้พอควรให้ผู้จ่ายเงิน

ช่วงเวลายุ่งผ่านพ้นไป ลูกค้าพากันกลับไปทำงาน เหลือเพียงลูกค้าสองโต๊ะที่กำลังรับประทานอาหาร ชาหวานใช้ทัพพีกวาดอาหารรวมกันไว้ที่มุมถาด แพทตี้รินชาไทยใส่แก้วแล้วยกดื่ม หย่อนกายนั่งลงหลังเคาน์เตอร์คิดเงิน ใช้ธนบัตรดอลล่าห์ซึ่งเพิ่งรับมาจากลูกค้าพัดต่างพัด

“โอ๊ยเหนื่อย ฉันละจะเป็นลม”

“เหนื่อยแต่ได้เงินเยอะก็คุ้มนะน้า หิวข้าวไหม น้ากินอะไรดี?”

แพทตี้ชี้นิ้วมั่วๆไปทางตู้อาหาร “ผัดปลาดุกละกัน ตักแกงหน่อไม้แยกใส่ถ้วยด้วยนะ ตักแล้วยกมาให้ฉันด้วยละ”

ชาหวานเดินกลับเข้าไปในครัว อรุณกำลังนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้เพื่อรับประทานอาหาร พร้อมกับที่คุยวิดีโอคอลกับแฟนหนุ่มคนใหม่ ผู้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชาหวาน

 ชาหวานไม่ได้สนใจเอ่ยถาม เดินตรงไปตักข้าวสองจาน แล้วเดินกลับออกไปที่หน้าร้าน ตักกระเพราะหน่อไม้ใส่จานตัวเอง ตักกับข้าวตามคำสั่งของแพทตี้ ยกอาหารทั้งหมดไปให้แพทตี้ก่อน ส่วนเธอยกไปรับประทานบนโต๊ะตัวน้อยข้างตู้อาหาร

“แม่แกเป็นไงบ้างชาหวาน ใกล้หายดีรึยัง?” แพทตี้เอ่ยถามพร้อมกับใช้ช้อนหั่นปลาดุก

“กำลังรอหมอรักษาจ๊ะ”

“แล้วค่าใช้จ่ายแกหาได้แล้วหรอ ไปหามาจากไหนเงินตั้งเยอะ? บิลที่มานั้นก็ตั้งหนึ่งพันเหรียญ”

ชาหวานถอนหายใจ บิลค่ารักษาพยาบาลจากการเข้ารักษาฉุกเฉินในคืนนั้น ได้ถูกส่งมาเพื่อเรียกเก็บเมื่อวานนี้ อันที่จริงเธอไม่ได้บอกใคร แต่เป็นความไม่ระวังของเธอที่ดันวางใบเรียกเก็บเงินไว้บนกระเป๋า ตั้งใจว่าเสร็จงานแล้วจะนำไปจ่าย ด้วยเหตุนี้อรุณจึงเจอพร้อมถือวิสาสะเปิดอ่าน ก่อนจะรีบนำมาป่าวประกาศบอกแพทตี้

“หนูจ่ายไปแล้วเมื่อเช้า”

“แล้วไอ้ส่วนที่เหลืออีกเยอะๆละ แกจะไปหาจากไหน?”

ชาหวานใช้ช้อนเขี่ยหน่อไม้ เขี่ยไปเขี่ยมาไม่ตักเข้าปาก เงินในบัญชีของเธอยามนี้เหลือเพียงสองพันดอลล่าห์ อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่มารดานอนอยู่โรงพยาบาลตั้งแต่คืนนั้น ยังดีที่ค่าใช้จ่ายส่วนนั้นยังไม่ถูกเรียกเก็บ

“หนูกำลังหางานเพิ่ม”

“งานอะไรของแก บอกฉันบางสิเผื่อฉันจะได้ไปทำบ้าง”

คำถามออกแนวประชดและอยากรู้อยากเห็น ผู้ถูกถามวางช้อนลง ตัดสินใจไม่รับประทานอาหารต่อ ลุกขึ้นเก็บจานไปไว้ในครัว คว้ากระเป๋าสะพายเดินตรงมายังแพทตี้ที่ชักสีหน้าเมื่อพบว่าเธอกำลังจะไป

“หนูกลับแล้วนะ ต้องไปธุระ”

“โอ้ยอี่นี่ มาทำงานไม่กี่ชั่วโมงจะมาทำไม! ค่าแรงไม่ให้ เมื่อกี้กินข้าวฉันไปแล้ว”

ชาหวานกอดอกเหล่ตา แบมือไปเบื้องหน้าคนที่ทำท่าไม่สนใจ “จ่ายมาซะน้า เราคุยกันแล้วว่าครึ่งวันจ่าย $18 ส่วนทิปหนูมาเอาพรุ่งนี้ หนูจำได้นะทิปที่รับเมื่อกี้ไม่ใช่น้อยๆ”

แพทตี้กระแทกแก้วน้ำ “เอ๊ะนังนี่!”

“จ่ายมา ไม่งั้นจะโทรแจ้งตำรวจแน่ว่าเอาเปรียบ”

คำขู่และท่าทางพร้อมทำจริง ทำให้แพทตี้เปิดลิ้นชักหยิบเงินออกมาส่งให้ โดยไม่วายหักออกจนเหลือเพียง $8

“เอาไป”

ชาหวานยัดเงินใส่กระเป๋า “อีกสิบเหรียญจ่ายมา จะจ่ายดีๆหรือจะไปจ่ายค่าปรับสองพันเหรียญ”

“โอ๊ยยยยยนัง...นังชาขม!”

แพทตี้เปิดลิ้นชักอีกรอบ หยิบธนบัตรสิบดอลล่าห์วางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างไม่พอใจนัก

“เอาไปแล้วไปให้พ้นหน้าฉันเลย”

ชาหวานยิ้มกวนประสาท ยัดเงินใส่กระเป๋าโบกมือลา “ไปแหละ ขอให้วันนี้ขายดีๆนะน้า”

ถึงแม้จะถูกปฏิเสธถึงห้าครั้ง หากชาหวานก็ยังมาที่ศูยน์วิจัย ในครั้งนี้เธอไม่ได้มาขอพบเขา แต่มาเพื่อรอพบเขา รอพบกับนายแพทย์เตรัณย์ตัวเป็นๆ รอทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา

น่าแปลกยิ่งนัก เธอพยายามค้นหารูปของเขาทางอินเตอร์เน็ต หากไม่เคยหาพบรูปที่สามารถเห็นหน้าตาเขาชัดเจน บางภาพเหมือนจะชัดเมื่อกดดูก็ดันไฟล์แนบเสีย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทราบว่าเขามีหน้าตาเช่นไร

จากการลอบสังเกตในหลายครั้งที่ผ่านมา เธอพบว่าศูยน์วิจัยเลิกงานราวห้าโมงเย็น ด้วยเหตุนี้เธอจึงใช้เวลาหลังเยี่ยมละไมรีบมาดักรอพบพร้อมพุ่งเข้าไปถาม

 ทว่า...บุรุษชาวเอเชียคนแล้วคนเล่า ล้วนส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับคำตอบ

“ขอโทษนะครับ ผมไม่ใช่นายแพทย์จาติกวนิชยากุล”

ถึงแม้จะผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า หากชาหวานไม่เคยย้อท้อ ภาพความทรมานของแม่ซึ่งนอนร้องไห้เจ็บปวด ทำให้เธอฝ่าความหนาวมายืนรอเขาด้านหน้าทางออก ร่างอวบอิ่มกอดตัวเองแน่น เขย่งปลายเท้าขึ้นลงสลับไปมา หวังให้การเคลื่อนไหวต้านความหนาวเย็นซึ่งกำลังรุมล้อมเธอ

การยืนรอราวหนึ่งชั่วโมงทำให้ขาของเธอแข็งและชา ถึงกระนั้นเมื่อสายตาเห็นบุรุษหน้าตาเอเชียค่อนข้างคมเข้มเกินกว่าจะเป็นชาวจีนหรือเกาหลีเดินออกมา สองขาอันปวดร้าวรีบพาร่างพุ่งตรงไปหาเขาผู้นั้น พร้อมรอยยิ้มคาดหวัง

“ขอโทษนะคะ คุณใช่นายแพทย์จาติกวนิชยากุลรึเปล่าคะ?”

บุรุษผู้ถูกประชิดตกใจถอยหลัง รีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ครับ”

“อ้อ ขอโทษค่ะ แล้วไม่ทราบว่าคุณพอจะเห็นนายแพทย์จาติกวนิชยากุลบ้างไหมคะ?”

“ไม่เห็นเลยครับ”

ความผิดหวังจับหัวใจดวงน้อย เธอคอตกเตรียมเดินกลับไปยืนรอที่เดิม หากเสียงเรียกของบุรุษผู้นั้นรั้งสองเท้าซึ่งกำลังก้าวของเธอไว้

“คุณครับ นายแพทย์เจอยู่ทางนั้นครับ กำลังออกมาพอดี”

หัวใจอันห่อเหี่ยวถูกเติมเต็มด้วยลมภายในท้อง พองขึ้นจนน่ากลัวว่าจะแตก เจ้าของหัวใจรีบพาร่างหันกลับ สายตาทอดมองไปทางนิ้วของชายคนนั้นชี้บอก หยุดลงที่ร่างสูงใหญ่ในเสื้อโคทหนังสีดำ ดวงตาทรงอัลมอนด์เบิกกว้าง สองแก้มซึ่งแดงอยู่แล้วยิ่งแดงจัดลามขึ้นไปถึงใบหู หัวใจอันถูกเติมลมจนพองเมื่อครู่เริ่มเต้นตูมตามราวจะหลุดออกจากอก

หล่อ...เป็นความหล่อที่ฉาดแสงจ้าเปล่งประกาย ขับไล่ความหนาวเย็นซึ่งโอบล้อม ทำให้บริเวณโดยรอบอบอุ่นขึ้นในทันตา...

ชาหวานคลี่ยิ้มของสาวน้อยผู้กำลังเคลิ้มฝัน ยังไม่ทันจะยิ้มสุดความรู้สึกหนึ่งพุ่งจับขึ้นมาในสมอง

เขา...ดูคุ้นตาเหลือเกิน...



นายแพทย์ เจ. ตามธรรมเนียมอเมริกัน จะเรียกผู้ที่เราไม่สนิทด้วยนามสกุล แต่เนื่องจากนามสกุลคนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างยาวและออกเสียงยาก บางครั้งจึงเรียกเพียงพยัญชนะแรกของนามสกุลแทนการเรียกเต็ม

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น