8

ไข่ใบที่แปด

ไข่ใบที่แปด

ห้องพักผู้ป่วยยามสายค่อนข้างเงียบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวันนี้คือวันพฤหัสบดี คนส่วนใหญ่ยังติดอยู่กับภาระกิจการงาน ด้วยเหตุนี้แทบทุกเตียงจึงมีม่านโอบกั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยที่กำลังพักผ่อน เว้นเสียแต่เตียงสุดท้ายของห้อง นอกจากผู้ป่วยและญาติ ยังมีนายแพทย์เจ้าของไข้ รวมถึงพยาบาลสาวสองคน หนึ่งในนั้นถือสำลีชุบแอมโมเนีย เตรียมเอาไว้รับมือกับบางสิ่งซึ่งอาจเกิดขึ้น

ชาหวานจ้องกระดาษในมือหมอ มือกุมมือของแม่แน่น หัวใจเต้นระทึกราวจะหลุดออกจากอก คิ้วเรียวขมวดเป็นปม สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เอ่ยถามในสิ่งที่รอคอยมาสองอาทิตย์

“แม่ปกติใช่ไหมคะ?”

นายแพทย์เรมอนด์ขยับแว่นตา สีหน้าลำบากใจย่างเห็นได้ชัด มองผู้ป่วยแล้วตามด้วยญาติผู้เป็นลูกสาว ส่ายหน้าพร้อมส่งผลรายงานให้

“ผมขอแสดงความเสียใจด้วย ผลการตรวจชิ้นเนื้อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น...มะเร็ง”

แผ่นกระดาษเบาดุจขนนก หากช่างหนักอึ้งยิ่งนักสำหรับชาหวาน เธอรับมาอย่างเลื่อนลอย คำตอบเหล่านั้นดังก้องในหัวสลับไปมา ดวงตาเบนไปทางมารดาที่ยิ้มบางๆราวกับว่าเมื่อครู่ได้รับข่าวดี

“ไม่เป็นอะไรนะลูก” ละไมปลอบลูกสาว ฝืนยิ้มทั้งที่ในใจกำลังร้องไห้ “ไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไร...”

ชาหวานพึมพำคำนั้นแผ่วเบา สมองปวดร้าว โลกทั้งใบถูกทุบด้วยค้อนซึ่งทำมาจากผลตรวจซึ่งเธอถืออยู่ ดวงตาร้อนผ่าวน้ำตารินออกจากหางตา

มะเร็ง...แม่เป็นมะเร็ง!

มือเรียวยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น โผกอดมารดาผู้ยังคงยิ้ม สัมผัสที่ลูบแผ่นหลังแผ่วเบาจากแม่ทำให้เธอไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป สะอื้นพลางกอดสตรีผู้ป่วยเป็นโรคร้าย เจ็บปวดประหนึ่งตนเองคือผู้ป่วย

“แม่...แม่...”

“ไม่ต้องร้องนะลูก แม่ไม่เป็นอะไร”

แม้บรรยากาศจะเต็มไปด้วยความเศร้า หากนายแพทย์เจ้าของไข้จำเป็นต้องทำลายความเศร้านั้น ด้วยการเอ่ยความจริงอันแสนร้าวราน

“มะเร็งที่พบคือมะเร็งมดลูก  แต่ผมยังไม่สามารถยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าระดับไหน อาจแค่เริ่มหรือ...เอาเป็นว่า คนไข้ควรได้รับการตรวจอย่างละเอียดและเจาะจงกว่านี้...”

“แล้วต้องตรวจยังไงคะ? แล้วจะรักษาได้ตอนไหน? ผ่าตัดออกหรอคะหรือว่าต้องทำยังไง?”

ชาหวานผละออกจากอ้อมกอด เอ่ยถามด้วยเสียงร้อนรน ถามไปใช้มือเช็ดน้ำตาไป เธอไม่ทราบว่ามะเร็งมดลูกมีกี่ระดับและร้ายแรงแค่ไหน ทราบแค่ว่าหมอต้องรักษาชีวิตแม่ไว้ได้

สีหน้าหนักใจอยู่แล้วของนายแพทย์ ยิ่งหนักใจเพิ่มขึ้นเมื่อเจอคำถามและแววตาเปี่ยมด้วยความหวัง แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่การบอกความจริงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“โรงพยาบาลของเราเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก อุปกรณ์มีจำกัด เราไม่มีหมอด้านมะเร็ง การวินิจฉัยอย่างเจาะจงรวมถึงการรักษาผมต้องส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลที่พร้อมกว่านี้”

“หมายความว่าแม่จะไม่ได้รักษาที่นี่?”

“ผมเสียใจด้วยครับ เราไม่มีหมอเฉพาะทางและไม่มีเครื่องมือมากพอ แต่ผมจะพยายามประสานงานส่งคนไข้ไปยังโรงพยาบาลที่พร้อมกว่าให้เร็วที่สุด”

ชาหวานเบนหน้ามองละไม ผู้ซึ่งดวงตาแดงเล็กน้อย เธอกุมมือที่ดูแลเลี้ยงดูเธอมากว่ายี่สิบปี แข็งใจเล่นบทหญิงสาวผู้เข้มแข็ง แม้ว่าเมื่อครู่จะปล่อยโฮร้องไห้

“ไม่เป็นไรนะแม่ หนู...หนูจะหาโรงพยาบาลให้แม่” เธอหันหน้าไปทางหมอ “แล้วระหว่างนี้แม่จะอยู่ที่นี่ใช่ไหมคะ?”

เป็นอีกครั้งที่นายแพทย์เรมอนด์ถอนหายใจ “ผมมีบางเรื่องต้องคุยกับคุณครับ”

คำตอบไม่ตรงคำถาม ยังมีท่าทีของหมอ ทำให้ชาหวานผู้โลกทั้งใบแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว รู้สึกราวกำลังถูกกระทืบซ้ำ เธอหันไปยิ้มให้แม่ บีบมือซึ่งกุมมือเธอแน่น

“เดี๋ยวหนูกลับมานะคะ แม่ไม่ต้องห่วงนะ หนูจะหาทางรักษาแม่”

ละไมไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงพยักหน้าปล่อยมือลูกสาว มองตามร่างอวบอิ่มเดินตามนายแพทย์ไปอีกด้าน คนทั้งสองหยุดลงห่างจากเตียงคนไข้พอควร ถึงกระนั้นเสียงการสนทนาก็เบาพอได้ยินเพียงสองคน

“หมอจะย้ายแม่ได้เร็วแค่ไหนคะ?”

นายแพทย์ส่งชาร์ตในมือให้เจ้าของคำถาม “นี้คือผลตรวจเลือดต่างๆครับ”

หญิงสาวมองสิ่งที่ปรากฏ แทบทุกบรรทัดมีการขีดไฮไลท์ ถึงเธอไม่ใช่หมอแต่พอคาดเดาได้ว่าผลเลือดของแม่มีปัญหา

“หมายความว่ายังไงคะ?”

“นอกจากคุณแม่ของคุณจะเป็นมะเร็ง ซึ่งเราไม่รู้ว่าลามไปถึงไหนแล้ว คุณแม่คุณยังมีโรคอื่นด้วย การรักษามะเร็งในตอนนี้ที่หมอพอมองออกคือการผ่าตัดหรืออาจให้คีโม เพียงแต่สุขภาพของคุณแม่คุณอาจไม่อำนวยในการรักษา”

นิ้วเรียวจิกชาร์ต ยิ้มบางๆทั้งที่ดวงตาดุกร้าว “หมายความว่าหมอจะไม่รักษา?”

นายแพทย์เรมอนด์ส่ายหน้าน้อยๆ เริ่มต้นอธิบายอย่างใจเย็น “ไม่ใช่แบบนั้นครับ หมอทุกคนยินดีและต้องการรักษาคนไข้ แต่บางกรณีก็ต้องคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าสุขภาพคนไข้ไม่อำนวยต่อการรักษา บางทีมันอาจจะแย่หนักกว่านี้ บางที...”

“หมอคือหมอนะคะ นี่หมอกำลังบอกว่าจะไม่รักษาแม่ของฉัน จะปล่อยให้แม่เป็นแบบนี้โดยไม่ทำอะไร?”

ใบหน้าสวยแฝงด้วยรอยยิ้มอันเย้ยยัน ส่งชาร์ตผลเลือดคืนให้หมอผู้ถูกเข้าใจผิด “ ฉันจะหาหมอคนใหม่รักษาแม่ของฉัน”

“คุณชาร์ม คุณต้องใจเย็นๆนะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องการรักษา แต่สภาพร่างกายคนไข้ไม่อำนวยในการรักษา ร่างกายคนไข้อาจรับไม่ได้จน...”

ชาหวานยกมือห้ามหยุดคำพูดเหล่านั้น  สิ่งเหล่านี้ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจ เพียงแค่เธอยังไม่อาจยอมรับได้ ริมฝีปากเม้มแน่น กระพริบตาถี่พยายามกลั้นน้ำตาที่ทำอย่างไรก็ไม่อาจกลั้น

“ฉันขอผลตรวจและรายงานทั้งหลายด้วยค่ะ ฉันต้องการผลเหล่านี้ไปติดต่อหมอคนอื่น”

นายแพทย์อาวุโสไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง ด้วยประสบการณ์การเป็นหมอมากว่าค่อนชีวิต ทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของสาวน้อยตรงหน้า

“ผมจะจัดการให้ครับ คุณชาร์ม...ผมเสียใจจริงๆ”

ชาหวานพยักหน้ารับรู้ หันหลังเดินจากโดยไม่มีการเอ่ยลา เธอรู้ว่าเป็นการกระทำที่เสียมารยาทยิ่งนัก หากความเจ็บปวดซึ่งเกิดขึ้นในใจตอนนี้ กำลังแพร่ขยายไปทั่วและเริ่มฆ่าเธอทั้งเป็นทีละน้อย

ละไมมองลูกสาวที่เดินกลับมาด้วยท่าทางห่อเหี่ยว ดวงหน้าขาวซีดจนกลัวว่าร่างซึ่งกำลังตรงมาอาจล้มลงได้ทุกเมื่อ ความเสียใจและทุกข์จากการได้รับข่าวเรื่องมะเร็ง ไม่อาจเทียบเท่าความเสียใจยามเห็นลูกสาวสุดที่รักร้องไห้ เธอสะอื้นในใจกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ เริ่มต้นเอ่ยโทษตัวเองอีกครั้ง

ถ้าไม่มีฉัน...ชาหวานคงไม่ต้องทุกข์แบบนี้...!

ความรู้สึกของแม่ ล้วนถูกเชื่อมโยงส่งผ่านไปถึงลูก ชาหวานนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ส่งรอยยิ้มปลอบประโลมผู้กำลังคิดว่าตนเองคือต้นเหตุแห่งทุกข์ เอ่ยด้วยเสียงสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง

“แม่อย่าคิดมากนะคะ ชีวิตของหนูมีแม่แค่คนเดียว ถ้าแม่ทิ้งหนูไปหนูคงไม่อยากอยู่ต่อ...”

ละไมหลุบตาต่ำปล่อยน้ำตาอาบแก้ม “ชาหวาน แม่แก่แล้ว...แม่...”

“หนูจะหาทางรักษาแม่ แม่จะต้องหาย แม่จะต้องไม่เป็นอะไร ที่มหาวิทยาลัยของหนูมีคณะแพทย์ อาจารย์หมอที่นั้นเก่งๆทั้งนั้น หนูจะไปพบพวกเขา พวกเขาต้องช่วยแม่ได้”

“แล้วหนูจะเอาเงินจากไหน?”

คำถามนี้ราวกระบองเหล็กฟาดใส่คนที่พยายามดิ้นร้นหาทาง เธอเบนหน้าออกไปทางหน้าต่าง จ้องมองตึกสูงมากมายเบื้องนอก หากแท้จริงแล้วสายตากำลังทอดยาว...ยาวไปถึง Beverly Hills ซึ่งอยู่อีกฝั่งฝากของสหรัฐอเมริกา

“แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูจะหาเงินมารักษาแม่เอง”

ละไมถูกรั้งตัวอยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะสามารถหาโรงพยาบาลใหม่ได้ ส่วนชาหวานเดินทางกลับบ้านพร้อมผลตรวจและร่างกายไร้วิญญาณ หลังจากเก็บตัวร้องไห้ด่าทอการเปลี่ยนแปลงและโชคชะตาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ จนดวงตาคู่สวยบวมราวจะปลิแตกออก เธอได้ตั้งสติไม่ให้กระเจิงไปกว่านี้ หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรหาแลน รู้ว่าสิ่งที่จะขอคงยากจะเป็นไปได้ ถึงกระนั้นก็ดีกว่านั่งนิ่งเฉยและไม่ทำอะไร

เสียงรอสายดังไม่นานนัก ภาษาอังกฤษสำเนียงเอเชียรับสาย พร้อมการทักทายราวรู้จักกันมานานปี

“ว่าไงชาร์มมี่ สบายดีไหม?”

ชาหวานสูดลมหายใจ ควบคุมเสียงไม่ให้สั่น “สบายดีค่ะ แลนคะฉันรู้ว่าการรอผลตรวจต้องใช้เวลาราว 6 สัปดาห์ แต่คือฉัน...คือฉันอยากทราบว่าพอจะมีหนทางใดสามารถเร่งให้เร็วกว่านั้นได้ไหมคะ?”

“ชาร์ม...แบบที่ฉันเคยบอก ผลตรวจเลือดทุกอย่างล้วนต้องใช้เวลา จริงอยู่ที่ผลบางตัวอาจใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงหรือสามวัน แต่ผลเลือดบางตัวต้องใช้เวลาขั้นต่ำ...เอาเป็นว่าเร็วที่สุดคือสามอาทิตย์”

“คุณพอจะเร่งให้ฉันได้ไหมคะ ฉันมีความจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ?” หญิงสาวตัดสินใจพูดออกไป แน่ใจว่าอีกฝ่ายคงจับความร้อนรนในน้ำเสียงเธอได้ ถึงกระนั้นก็ต้องการตอกย้ำ

“ฉันเข้าใจ เอาเป็นว่าฉันจะโทรหาแล็บและทุกคนที่ดูแลเคสเธอ แต่ถึงยังไงเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาราว 3-4 สัปดาห์”

“แล้วนายจ้างละคะ คนที่จะเลือกฉันเป็น Egg Donor พอจะเป็นไปได้ไหมคะว่าคุณจะอนุญาตให้ฉันออนไลน์ประวัติก่อนผลตรวจทั้งหลายจะออก ฉันสามารถเขียนเรียงความให้คุณได้ตอนนี้เลย”

“ไม่ๆๆๆ ไม่มีทาง!” อีกฝั่งร้องเสียงสูง “ฉันทำแบบนั้นไม่ได้ ฉันไม่ได้หมายความว่าผลตรวจเธอจะมีปัญหา แต่ถ้าเกิดมันมีอะไรขึ้นมาจริงๆ แล้วฉันดันจับคู่เธอกับลูกค้าไปแล้ว คนจะถูกฟ้องคือฉันและเอเจนซี่ เราไม่สามารถทำแบบนั้นได้”

ชาหวานกลืนก้อนแข็งลงคอ น้ำตาเอ่อนองสองข้างแก้ม แสงสว่างแห่งความหวังดวงเล็กกว่าเหรียญเพนนีค่อยๆหม่นแสงลง จนแทบจะดับมืดเต็มที

“คุณพอจะมีวิธีอะไรไหมคะ ที่จะแมชฉันได้ไวที่สุด?”

“ข้อเสนอด้านราคาที่ฉันให้เธอ ตกลงเธอโอเคไหม?” แลนถามกลับในทันที

ชาหวานหลับตาลง ภาพแม่นอนป่วยอยู่โรงพยาบางลอยวนเวียน ยังมีภาพผลตรวจเลือดและผลตรวจชิ้นเนื้อ เงียบอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดจึงตอบด้วยเสียงสั่น

“ตกลงค่ะ $69,000 แต่ถ้ามีครั้งต่อไป ฉันต้องการ $100,000”

เพราะไม่รู้เลยว่าค่ารักษามะเร็งร้ายมีราคาเท่าใด แต่เธอแน่ใจว่าคงมีราคาสูงมาก สูง...จนบางทีการขายไข่เพียงหนึ่งหรือสองครั้ง ก็อาจยังไม่พอจ่ายค่าใช้จ่ายนี้ หากหญิงสาวแน่วแน่ในใจ ต่อให้เธอต้องขายหมดทั้งรังไข่ ไม่ว่ายังไงเธอก็จะทำเพื่อรักษาชีวิตแม่!

แลนหัวเราะเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงซึ่งสามารถบอกได้ว่าพอใจ “แน่นอน ครั้งที่สองจนถึงครั้งที่หก ราคาของเธอจะสูงขึ้นในทุกๆครั้ง”

“ครั้งที่หก?”

“ตายจริงฉันคงลืมบอกเธอ Egg Donor สามารถบริจาคได้สูงสุดหกครั้งในชีวิต* เพื่อความปลอดภัยของตัว Donor เอง”

ชาหวานไม่ได้พูดความจริง ว่าเธอจะทำงานนี้เพียงแค่พอมีเงินรักษาแม่ ไม่ได้คิดไปไกลถึงขนาดจะทำครบหกครั้ง เพียงแค่พอค่ารักษา เพียงเท่านี้เธอก็พอใจแล้ว

หญิงสาวกดวางสาย หยิบผลตรวจของแม่ขึ้นมาดู เปิดแล็ปท็อปขึ้นมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงมะเร็งมดลูก ยังค้นหาค่ารักษาคร่าวๆ ตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอพาให้ร่างอวบอิ่มถึงกับสะดุ้ง พร้อมกับความรู้สึกอ่อนแรงจับเข้าทั่วร่าง

สำหรับมะเร็งระยะแรก การรักษาในกรณีไม่มีประกันสุขภาพ มีสิทธิ์สูงถึง $200,000 หรือมากกว่า!

ดวงตาซึ่งยังไม่ได้พักเริ่มปรากฏน้ำตาอีกครั้ง ร่างของเธอสะอื้นโยนอย่างรุนแรง ก่อนร่างจะฟุบลงไปนอนคว่ำกับพื้น เล็บจิกลงบนฟูกตามด้วยการทุบฟูกนั้นสุดแรง เพื่อระบายความเจ็บปวดอัดอั้นในใจ

“ทำไม!...ทำไม!”

การตีโพยตีพายถูกขัด ด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัทพ์มือถือ ชาหวานเคลื่อนมือไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดู ลุกขึ้นนั่งหลับตาลง

“กรี๊ดดดด!”

เธอกรีดร้องสุดเสียง ระบายความอัดอั้นที่อัดแน่นในใจครั้งสุดท้าย ตามด้วยการกดรับสาย

“ฮัลโหล”

“ฮัลโหลชาร์ม คุยได้ไหม?” ผู้โทรมาคือผู้จัดการผับ VIP Room ผับสุดหรูประจำนิวยอร์กซิตี้

“ได้ค่ะ ไม่ทราบว่า...”

“มะรืนนี้เธอว่างไหม ฉันขาดเด็กเสริฟหนึ่งคน เธอสนใจมาทำรึเปล่า ตั้งแต่ห้าโมงเย็นถึงตีสี่ จ่ายเงินสดหลังเลิกงาน”

ชาหวานใช้หลังมือปาดน้ำตา ตอบทันทีอย่างไม่ต้องคิด “ว่างค่ะ มีชุดให้ใช่ไหมคะ หรือแค่เสื้อเชิ้ตขาวกางเกงแสลคดำแบบครั้งที่แล้ว?”

“ใช้ชุดนั้นนั้นแหละ เจอกันวันมะรืนนะชาร์ม ขอบใจเธอมาก”

หญิงสาวโยนโทรศัพท์ลงบนฟูก แม้จะโศกเศร้าเพียงใดหากเธอเลือกระบายความเศร้านั้นไปกับการทำงาน เลิกร้องไห้ตีโพยตีพาย ถึงกระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้น พร้อมกับน้ำตาซึ่งยังไหล

เธอเรียงผลตรวจทั้งหลายลงในแฟ้ม กดเข้าเว็บไซด์หน่วยมะเร็งของคณะแพทย์ประจำมหาวิทยาลัย จัดการนัดหมายออนไลน์ โดยอาศัยความเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ทำให้ได้คิวนัดหมายไวขึ้น

ข้อดีของการพบหมอคณะแพทย์ในฐานะนักศึกษาของมหาลัย คือเธอไม่ต้องจ่ายค่า Copay ราคา $65 ทั้งได้คิวไวกว่าปกติหากวิธีนี้ก็เสี่ยงยิ่งนัก ด้วยแท้จริงแล้วผู้ป่วยที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เธอ

ครั้งนี้คือครั้งแรกที่ชาหวานได้มาเยือนโรงพยาบาลอันเป็นส่วนหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยซึ่งเธอศึกษาอยู่

ตึกสูงสิบชั้นห้าตึกเรียงต่อกันเป็นตัวยู ห่างออกไปไม่ไกลคือตึกสิบชั้นสามตึก หน้าตึกเหล่านั้นมีป้ายหินอ่อนสีน้ำตาลทองแกะสลัก Columbus Medical Research Institute หญิงสาวหันกลับมาสนใจส่วนโรงพยาบาล ด้วยเป้าหมายการมาเยือนคือที่นี่

หน้าทางเข้ามีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ รูปปั้นนางฟ้าอุ้มเด็กอยู่กึ่งกลาง ในบ่อน้ำพุมากมายด้วยเศษเหรียญซึ่งผู้คนโยนลงไป ด้วยความเชื่อที่ว่าอาการป่วยจะหายขาด ทิ้งโรคร้ายไว้ที่นี่ไปพร้อมกับเงิน เงินนั้นคือการจ่ายให้เทพธิดารับโรคร้ายเอาไว้

หญิงสาวหยิบเหรียญเพนนีขึ้นมาอธิษฐาน โยนออกไปในน้ำพุนั้น ทิ้งมะเร็งของแม่ไว้ที่นี่เช่นกัน กอดแฟ้มเดินเข้าไปในโรงพยาบาลตึกหน้าสุด พบกับประชาสัมพันธ์สามคน แต่ละคนวุ่นวายอยู่กับผู้มาติดต่อ เธอยืนเข้าคิวต่อจากบุรุษสูงอายุ ดวงตากวาดมองรอบด้านเพื่อสำรวจ

ภายในตึกเรียกได้ว่าหรูหรา กลางโถงห้อยชวาลาขนาดยักษ์ ผนังสีขาวประดับตกแต่งด้วยรูปภาพผู้บริจาค ยังมีข่าวการได้รับรางวัลต่างๆของบุคลากรประจำมหาวิทยาลัย ข่าวเรื่องได้รับการจัดอันดับให้เป็นโรงพยาบาลอันดับหนึ่งของรัฐนิวยอร์ก

เมื่อเห็นข่าวนั้น หัวใจดวงน้อยรู้สึกอุ่นขึ้นราวถูกโอบล้อมด้วยเตาผิง แน่นอนว่าชื่อเสียงของโรงพยาบาลและคณะแพทย์ประจำมหาวิทยาลัย เธอได้ยินมาพอควร แต่ทุกครั้งไม่เคยใส่ใจ

จนกระทั่งวันนี้...วันที่เธอสนใจในความมีชื่อเสียงนั้น เพราะนั้นหมายถึงโอกาสรอดของแม่สูงขึ้นไปด้วย

“สวัสดีค่ะ ติดต่ออะไรคะ?”

ประชาสัมพันธ์สาวผู้ให้ข้อมูลคุณตาผู้เดินจากไปแล้ว เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร

ชาหวานรีบก้าวเข้าไปยืนใกล้กับเคาเตอร์ หยิบเอาบัตรนัดและบัตรคนไข้ซึ่งปรินท์ไว้เรียบร้อยวางลงเบื้องหน้าผู้ถาม

“มาพบหมอค่ะ มะเร็งมดลูก”

คำตอบนั้นพาให้ผู้ฟังเข้าใจผิด มอบรอยยิ้มเศร้าเขียนลงบนบัตรนัด “ชั้นห้า อาคารบี”

“อาคารบี?”

ผู้คุ้นเคยสถานที่ผายมือไปด้านใน “เดินตรงไปนะคะ จะมีทางเชื่อมไปอาคารบี ฉันเสียใจด้วยนะคะ”

ชาหวานเพียงยิ้ม ไม่ได้แก้ตัวในสิ่งใด หยิบบัตรนัดและบัตรคนไข้เดินไปตามทางนั้น ภายในโรงพยาบาลค่อนข้างวุ่นวาย มากล้นด้วยผู้มาใช้บริการและบุคลากรทางการแพทย์ เธอเดินผ่านทางเชื่อมเข้าสู่เขตอาคารบี ยืนรอลิฟท์เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ขึ้นสู่ชั้นห้าอันเป็นความหวังซึ่งกำลังลุกช่วงในใจ

ชั้นห้าคนไม่มากเท่าที่คิด หญิงสาวเดินตามป้ายบอกทาง ราวสิบก้าวก็ได้พบกับเคาน์เตอร์สี่เหลี่ยมซึ่งมีพยาบาลในชุด Scrub* สีน้ำตาลอ่อนยืนอยู่ ป้ายห้อยจากเพดานระบุแจ้ง

 “ศูยน์มะเร็ง”

เธอกระชับแฟ้มในอ้อมกอด เดินตรงไปยังพยาบาลเหล่านั้น ยิ้มทักทายพยาบาลสาวน้อยใหญ่ที่มองมา

“สวัสดีค่ะ ฉันมีนัดค่ะ”

หนึ่งในพยาบาลรับใบนัดไปดู พยาบาลคนอื่นแยกย้ายไปตามหน้าที่ ผู้รับใบนัดชี้มาที่แฟ้ม “เอาผลตรวจมาใช่ไหมคะ?”

ชาหวานพยักหน้า ยื่นแฟ้มนั้นให้พยาบาลสาว เธอเป็นพยาบาลร่างอวบอัด ผิวขาวชมพู ผมบลอนด์ ตาสีเขียว เธอผู้นั้นอ่านแฟ้มก่อนจะเลิกคิ้วสูงพร้อมคำถาม

“นี่ไม่ใช่แฟ้มของคุณ?”

“ไม่ใช่ค่ะ อันที่จริงแล้วผู้ป่วยคือแม่ของฉัน”

เธอผู้นั้นปิดแฟ้ม “ในนัดคุณระบุใช้สิทธิ์นักศึกษา” เธอเดินอ้อมเข้าไปในเคาน์เตอร์ หยิบเอกสารหนึ่งแผ่นขึ้นมา “แม่คุณไม่ใช่นักศึกษา คุณกรอกแบบฟรอมนี้ด้วยค่ะ แล้วฉันจะนัดคิวใหม่ให้”

“คิวอีกนานไหมคะ?”

 “ขั้นต่ำอีกห้าเดือน”

ชาหวานเบิกตากว้าง รีบเอ่ยแย้งในทันใด “ห้าเดือน! แต่แม่ของฉันป่วยเป็นมะเร็งนะคะ อาการจะไม่กำเริบไปมากกว่านี้หรอคะ? ไม่ใช่ว่าหมอจะรักษาให้เลยในทันทีหรอในเมื่อผลตรวจก็มีแล้ว คุณหมอคนเก่าก็เขียนอธิบายมาว่าโรงพยาบาลที่นั้นเครื่องมือไม่พอไม่มีหมอเฉพาะทาง ยินดีทำเรื่องส่งตัวมาที่นี่ในทันที”

“ตามคิวค่ะ ถ้าอยากเร็วคงต้องไปเข้า ER* แล้วหมอที่รับไว้จะพิจารณาอีกทีว่าจะรับเอาไว้เลยหรือไม่”

“แล้วเข้า ER นี่คือยังไงคะ รบกวนช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมคะ?”

พยาบาลสาวถอนหายใจ ใบหน้าแสดงออกถึงความรำคาน “ก็อย่างเช่นเกิดเหตุฉุกเฉิน ถ้าจะได้พบหมอทันทีก็หยุดหายใจ เสียชีวิต...พาร่างหัวใจไม่เต้นกำลังจะเสียชีวิตมา...”

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ ชาหวานได้กระชากแฟ้มกลับ พูดแทรกคนซึ่งกำลังลอยหน้าลอยตา เอ่ยเรื่องการเสียชีวิตราวกำลังเล่าเรื่องโอเปร่า

 “ขอชื่อคุณด้วย ฉันจะร้องเรียน คุณแน่ใจหรอว่าคุณเป็นพยาบาล?”

“ฉันพูดความจริง ถ้ากำลังเสียชีวิตหมอรับแน่นอน”

“ฉันทราบค่ะว่าฉันอาจจะทำไม่ถูกต้องเรื่องคิว แต่คุณมีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนี้? ฉันจะฟ้องคุณและฟ้องโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วย!”

เสียงโวยวายจากความไม่พอใจ ดึงให้สตรีอเมริกัน-แอฟริกันในชุด Scrub สีน้ำเงินเข้มมีเสื้อกาว์นคลุมรีบตรงเข้ามาแทรก เธอฉีกยิ้มกว้างแม้สถานการณ์ตอนนี้จะระอุราวอยู่ในสงคราม

“ใจเย็นค่ะใจเย็น ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้ฉันช่วยได้?”

ชาหวานถลึงตาใส่พยาบาลสาวที่ไม่ได้รู้สึกผิด หันมาสนใจผู้มาใหม่ ความขุ่นเคืองเมื่อครู่สลายสิ้นยามเห็นเสื้อกาว์นและอักษร MD ปักตามหลังชื่อนามสกุลของสตรีผู้นี้

“คุณเป็นหมอ?”

“ค่ะ ฉันเป็นหมอ”

หญิงสาวส่งแฟ้มให้กับหมอ หมอรับไปเปิดอย่างมึนงง กวาดตามองแล้วปิดแฟ้ม “คนไข้คือ...?”

“แม่ฉันค่ะ แม่ฉันเป็นมะเร็ง”

ยังไม่ทันที่หมอจะเอ่ยสิ่งใด พยาบาลคนก่อนได้เอ่ยแทรก “ผู้หญิงคนนี้นัดในชื่อเธอค่ะ เอาสิทธิ์นักศึกษาเข้ามาใช้ พอฉันแจ้งว่าไม่ได้ต้องรันตามคิวของคนไข้ทั่วไป เธอก็...”

“โอเคพอ เดี๋ยวฉันจัดการเอง” แพทย์หญิงเอ่ยตัดบท ผายมือไปทางเก้าอี้ไม้ยาวทาสีขาว ซึ่งตั้งไม่ไกลจากเคาน์เตอร์นัก ใกล้กับตู้กดน้ำซึ่งมีไว้บริการบุคลากรและผู้มาใช้บริการ พร้อมกับเดินนำไปนั่งและเริ่มการสนทนาในเบื้องต้น

“ฉันชื่อ วาเนสซา เป็นแพทย์ด้านมะเร็งสมองของที่นี่ ไม่ทราบว่าคุณ...?”

“ชาร์มค่ะ ฉันชื่อชาร์ม”

วาเนสซ่าเปิดแฟ้ม พร้อมกับชี้นิ้วลงในผลตรวจชิ้นเนื้อ “แม่คุณได้รับการวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าเป็นมะเร็งมดลูก แต่ผลตรวจค่อนข้าง...ข้อมูลที่แนบมาค่อนข้างน้อยมาก แทบจะบอกอะไรไม่ได้เลย”

“อันที่จริงฉันเพิ่งได้ผลชิ้นเนื้อค่ะ แล้วพอดี...” อาการบ่อน้ำตาตื้นเริ่มมาเยือน ชาหวานกระพริบตาถี่กลั้นน้ำตา เอ่ยอย่างยากลำบาก

 “พอดีหมอที่นั้นแจ้งว่าทางโรงพยาบาลเครื่องมือไม่เพียงพอ ไม่มีหมอเฉพาะทาง แล้วยังแจ้งว่าผลตรวจเลือด...สุขภาพอาจ...”

เธอเอ่ยได้เพียงเท่านี้ ปล่อยน้ำตาให้ไหล ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงร่ำไห้ไม่ให้ดังออก

แพทย์หญิงวาเนสซาเปิดแฟ้มดูรายละเอียดอื่นๆ เริ่มเข้าใจว่าคนไข้มีปัญหาอื่นๆแทรกมากมาย เธอปิดแฟ้มลง ส่งแฟ้มคืนให้ผู้กำลังใช้หลังมือเช็ดน้ำตา

“คุณชาร์ม หมอรู้ว่าฟังแล้วอาจจะใจร้าย แต่ว่าคนป่วยของทางเราในตอนนี้มีเยอะมากที่รอคิว หากคุณต้องการให้แม่ของคุณรักษาที่นี่ คุณจำเป็นต้องรอคิว”

“ฉันขอโทษที่ทำผิดในเรื่องนั้นค่ะ แต่ฉันสงสัยว่าแล้วในระหว่างที่รอคิว อาการจะไม่ลามมากขึ้นหรอคะ แม่ของฉันก็จะต้องเจ็บไปเรื่อยๆแบบนี้?”

“หมอเข้าใจค่ะว่าคนไข้ทรมาน เพียงแต่...” วาเนสซ่าถอนหายใจ “ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนสามารถรักษาได้ บางเคสทางเดียวที่เราทำได้ คือให้มอร์ฟีนบรรเทาอาการปวด ซึ่งมอร์ฟินก็มีปริมาณสูงสุดสามารถใช้ได้ต่อวัน หากครบโดสทางเราก็ไม่มีทางเลือก ต้องปล่อยให้คนไข้ปวด เราไม่สามารถให้ได้มากไปกว่านั้นเพราะอันตรายเกินไป  ในบางรายเราอาจการเสนอทางเลือกสุดท้ายให้ผู้ป่วย แต่นั้นหมายความว่าหมดทางจริงๆ ซึ่งแม่ของคุณอาจยังไม่ถึงขั้นนั้น”

ชาหวานไม่เอ่ยถามถึงทางเลือกสุดท้าย และไม่ต้องการทราบว่าคืออะไร เธอลุกขึ้นยืน กวาดตามองรอบด้านอย่างไร้จุดหมาย แสงสว่างดวงเมื่อครู่ดับสลาย หัวใจเย็นยะยือกราวถูกแช่แข็งในช่องฟรีซ

วาเนสซ่าลุกขึ้นยืน แตะลงบนหลังมือของผู้กำลังใจสลายครั้งแล้วครั้งเล่า “คุณชาร์ม ยังไงหมอจะลงชื่อนัดแม่ของคุณให้นะคะ”

“ค่ะ”

“ยังไงรบกวนคุณกรอกข้อมูลคุณแม่ด้วยค่ะ ตามหมอมาทางนี้นะคะ”

แพทย์หญิงเดินกลับไปทางเคาน์เตอร์ พยาบาลสาวผู้นั้นได้หายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยพยาบาลสาวอีกคนท่าทางใจดีกว่า เธอผู้นั้นส่งเอกสารให้อย่างรู้หน้าที่ ยังมีกระดาษทิชชู่

ชาหวานยิ้มตามมารยาทแทนคำขอบคุณ กรอกข้อมูลด้วยมือค่อนข้างสั่น เช่นเดียวกับขาซึ่งสั่นจนแทบไม่อาจฝืนยืน ถึกระนั้นก็กลั้นใจพยุงร่างไว้จนกรอกเสร็จ

พยาบาลสาวรับกระดาษแผ่นนั้นไป จัดการคีย์ข้อมูลพร้อมปรินท์ใบนัดส่งให้ “คิวได้วันที่ 25 เมษายนปีหน้านะคะ”

“ขอบคุณค่ะ” ชาหวานกำใบนัด ฉีกยิ้มอันแฝงด้วยความเศร้าให้วาเนสซ่า “ขอบคุณค่ะ” 

วาเนสซ่าพยักหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ”

สตรีทั้งสองเชคแฮนด์อำลา ชาหวานพาร่างที่เริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะตรงไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิม รู้สึกถึงความร้อนระอุแผ่ทั่วร่าง จนเธอต้องถอดเสื้อโค้ทออก ยังมีอาการคลื่นไส้ ของเหลวเริ่มเดินทางจากท้องมาค้างจุกแถวลำคอ

เธอยกมือปิดปากแน่น หลับตาลงพยายามคุมลมหายใจ มืออีกข้างหยิบเอาวารสารการแพทย์ขึ้นมาโบกพัด ความเย็นจากการพัดพาให้รู้สึกดีขึ้น มือข้างที่ปิดปากจึงล้วงหยิบเอายาดม ซึ่งเธอหย่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทขึ้นมาสูดดม

เมื่อเห็นยาดม ดวงตาทรงอัลมอนด์เริ่มร้อนผ่าวอีกครั้ง ยาดมหลอดนี้แม่เป็นผู้นั่งรถเมล์ไปซื้อให้จากร้านขายสินค้าไทยในควีนส์ เพราะเธอทำหลอดเดิมหายและไม่มีเวลาไปซื้อเสียที ความรู้สึกหวาดกลัวว่าจะต้องเสียแม่พาให้เธอมือไม้อ่อน ปล่อยทั้งยาดมและวารสารตกลงพื้น

หญิงสาวรีบก้มเก็บยาดม มืออีกข้างหยิบวารสารซึ่งตอนนี้เปิดหน้ากลางของเล่ม สายตาได้เห็นข้อความขนาดใหญ่ตัวอีกษรสีแดงสด

“ชีวิตคล้ายเกิดใหม่ ของหญิงสาววัยห้าสิบปี ผู้รอดพ้นจากมะเร็งรังไข่และปัจจุบันคลอดลูกสาววัย 1 เดือน”

แม้ว่ามะเร็งคนละชนิด หากเนื้อหาคือสิ่งดึงดูดให้เธอรีบคว้าขึ้นมาอ่าน อ่านทุกบรรทัดด้วยความถี่ถ้วน ในนั้นปรากฏชื่อแพทย์ผู้เกี่ยวของราวหกคน หากสายตาหยุดลงที่ชื่อชื่อหนึ่ง

“นายแพทย์เตรัณย์ จาติกวนิชยากุล”

ชาหวานหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดหน้าจอเสริชหาชื่อชื่อนั้น ข้อมูลผู้ถูกค้นหาปรากฏมากมาย ทั้งรางวัลที่เขาได้รับ ทั้งผลงานวิจัยดีเด่น ทั้งแพทย์ Top 5 ของสหรัฐอเมริกา

ดวงตาอันลุกโชนด้วยไฟแห่งความหวังหยุดลงที่ประโยคสุดท้าย...

ปัจจุบันนายแพทย์จาติกวนิชยากุล คือผู้เชี่ยวชาญด้านผู้มีบุตรยาก ประจำหน่วยงานวิจัย Columbus Medical Research  Institute แห่งคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัย Columbus

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่แพทย์ด้านมะเร็ง แต่ด้วยเหตุใดไม่อาจทราบ คงเป็นสัญชาตญาณลึกๆอันไร้เหตุผล ชี้นำให้เธอติดต่อไปที่เขาผู้นี้ โทรศัพท์มือถือกดถ่ายภาพบันทึกข้อมูลเหล่านั้น วรสารการแพทย์วางคืนที่เดิม หยิบโค้ทขึ้นมาสวม พร้อมกับแฟ้มถูกเก็บใส่กระเป๋า

ดวงตาคู่งามมองภาพที่ปรากฏบนโทรศัพท์ คือข้อมูลการติดต่อนายแพทย์ผู้เป็นความหวัง ชั่วสติหนึ่งที่แทรกกลับคืน หญิงสาวเกิดคำถามที่ว่าเหตุใดเธอต้องติดต่อแพทย์ผู้นี้ เขาไม่ใช่แพทย์ด้านมะเร็งเสียหน่อย

ปลายนิ้วของเธอแตะลงที่ชื่อของเขา ยังมีนามสกุลที่บ่งบอกว่าเป็นคนไทย ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกแผ่ซ่านผ่านปลายนิ้ว พร้อมกับความรู้สึกเชื่อมั่นอย่างไม่เคยเกิดขึ้น คิดอย่างง่ายๆเข้าข้างตนเอง

เขาเป็นคนไทย...บางทีเขาคงจะช่วยคนไทยด้วยกัน!

=        กระบวนการ Egg Donor ทั้งเอเจนซี่และคลีนิก อยู่ภายใต้การควบคุมของ American Society for Reproductive Medicine (ASRM) ทาง ASRM คือผู้กำหนดจำนวนครั้งสูงสุดต่อการบริจาคไข่ของคนคนหนึ่งอยู่ที่หกครั้ง ถ้ามีการบริจาคครั้งที่เจ็ดเกิดขึ้นถือว่าผิดกฏหมาย จัดเป็นคดีอาญาด้านการซื้อขายอวัยวะมนุษย์ 

=        ชุด Scrub คือเสื้อคอกลมหรือคอวีและกางเกงขายาว คล้ายกับชุดผ่าตัดสีเขียว เป็นชุดที่บุคคลากรทางการแพทย์ที่สหรัฐอเมริกาสวมใส่ระหว่างทำงาน บางโรงพยาบาลแยกสีตามแผนก

=        ER คือคำย่อของ Emergency Room  

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น